everY
ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3 บทที่ 110-111 #นิยายวาย
บทที่ 111
จุมพิต
เมื่อผ่านเหตุการณ์นี้ไปสภาพจิตใจอันค่อนข้างเหนื่อยล้าเรื่อยมาของซ่งเสวียนก็คลายลงหลายส่วน
ความรู้สึกบางอย่างเมื่อได้แบ่งปันกับคนสนิท แม้จะไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด แต่ก็คล้ายปลดเปลื้องภาระไปได้หลายส่วน
ซ่งเสวียนกลับมาพูดถึงเรื่องหนานหรงจวินอีกครั้ง “เขามีความสามารถคล้ายคลึงกับข้า แล้วยังกล้ารับปาก ข่มขู่ ทั้งยังใช้ผลประโยชน์มาล่อลวงข้าอีกด้วย หากมิใช่นักบวชก็คงจะอวดโอ่โอหังเกินไปสักหน่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขามาด้วยจุดประสงค์ใด” สีหน้าของซ่งเสวียนดูสงสัยเล็กน้อย ทว่าท่าทีกลับผ่อนคลายลงมาก
ตอนที่สารภาพกับจีอวิ๋นซีก่อนหน้านี้นั้นเขานั่งตัวตรง แต่มาบัดนี้กลับพิงครึ่งตัวเอาไว้ระหว่างหมอนอิงในรถม้า เห็นได้ชัดว่าปลดเปลื้องความกังวลและหวาดระแวงในใจลงหลายส่วนจริงๆ
จีอวิ๋นซีมองเขา “ข้าส่งจู้หยางไปสืบก็สิ้นเรื่อง”
ซ่งเสวียนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า แล้วขมวดคิ้วน้อยๆ พลางเอ่ย “เจ้ารีบกลับสักหน่อยดีกว่า ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ามีคนของแคว้นหนานถูปะปนเข้ามา บัดนี้รู้แล้ว เจ้าอยู่ที่นี่ข้ารู้สึกไม่วางใจอย่างยิ่ง”
“ข้าเพิ่งมาวันเดียว เจ้าก็จะไล่ข้าไปแล้วหรือ” จีอวิ๋นซีแสร้งโมโหเพื่อหยอกล้อเขาเล่น
ซ่งเสวียนกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง “ข้าไม่ได้ไล่เจ้า เจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าย่อมดีใจ…”
“จริงหรือ” จีอวิ๋นซีตาเป็นประกาย
“จริง” ซ่งเสวียนสายตาแน่วแน่
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ตามข้ากลับไปด้วยสิ อาจารย์ซ่ง พี่เซวียน…” จีอวิ๋นซีเริ่มเรียกขานซี้ซั้วอีกครา ถึงขนาดกอดแขนเขาเกาะแกะถูไถ สุดท้ายแม้แต่คำว่า ‘พี่ชายคนดี’ ก็ยังเอ่ยออกมา
ซ่งเสวียนถูกอีกฝ่ายเกาะแกะก็ถึงกับจนปัญญา “เจ้าหยุดก่อน ให้ข้าคิดสักหน่อย”
“เจ้ายังจะคิดอะไรอีก” จีอวิ๋นซีแค่นเสียงเบาๆ “คงไม่ได้จะกลับไปแคว้นหนานถูพร้อมหนานหรงจวินอะไรนั่นหรอกนะ”
เขารู้สึกไม่พอใจอยู่หลายส่วน จึงยิ่งขยับเข้าใกล้ขึ้นอีก “ทั้งที่บอกข้าหมดทุกเรื่องแล้วแท้ๆ เจ้ายังมีอะไรต้องกลัวอีก หรือว่าเจ้ามีคนที่ชอบพออยู่ในเมืองนี้ถึงได้อาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก”
ซ่งเสวียนลูบผมเขาคราหนึ่ง “เหลวไหลอีกแล้ว คนที่ชอบพอไม่ชอบพออันใดกัน ข้ายังคงรู้สึกว่าตำแหน่งราชครูนี้สำคัญยิ่งใหญ่เกินไป ยังมิกล้ารับไว้”
ยิ่งอำนาจของราชครูมากขึ้นเท่าไร ชื่อเสียงก็ยิ่งเกรียงไกรเท่านั้น ซ่งเสวียนก็รู้สึกอยู่เนืองๆ ว่าตนควรทุ่มเทบางสิ่งเพื่อตำแหน่งนี้ มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่อาจทำใจให้สงบได้
ทว่าซ่งเสวียนลองตีอาณาเขตความสามารถของตนดูแล้ว เขาก็พบว่านอกจากพรางเป็นเทพแสร้งเป็นผีแล้ว เขาก็ไม่ได้มีสิ่งใดใช้แบกรับตำแหน่งนี้ได้เลยจริงๆ
จีอวิ๋นซีกระจ่างว่าซ่งเสวียนคิดอย่างไร เขาจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าดูหนานหรงจวินผู้นั้นสิ ความสามารถของเขาก็ไม่ต่างจากเจ้านัก เขายังอยู่ในตำแหน่งนักบวชใหญ่เรียกลมเรียกฝนได้มิใช่หรือ ที่สำคัญคือซ่งเสวียน หากเจ้าไม่นั่งตำแหน่งนี้ ข้าก็ไม่อาจหาผู้อื่น…อย่างไรเจ้ากับจีหุยก็มีความเกี่ยวโยงกันอยู่บ้าง ข้าสามารถฝืนผลักดันเจ้าขึ้นตำแหน่งนั้นโดยอาศัยร่มเงาของคนตายได้ แต่หากเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด ต่อให้อยากผลักดันข้าก็ผลักดันไม่ได้…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เข่าของจีอวิ๋นซีก็ดันอยู่ข้างกายของซ่งเสวียน อีกฝ่ายอยู่ห่างกับเขาเพียงไม่กี่ชุ่น แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังได้ยิน
“พี่ชายคนดี เจ้าก็ถือเสียว่าช่วยข้าสักครั้ง เท่านี้ก็ไม่ได้หรือ”
ทั้งที่เป็นบุรุษวัยผู้ใหญ่หน้าตาเกลี้ยงเกลาแลดูเย็นชาทั้งยังรูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ทว่ายามมาเอ่ยเรียก ‘พี่ชายคนดี’ ข้างหูเขา ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนทนไม่ไหว
คำเรียกสุดท้ายนั้นทำเอาซ่งเสวียนกลัวจนขนหัวลุก เขารีบปิดปากจีอวิ๋นซี “ท่านบรรพบุรุษ* เลิกเรียกได้แล้ว”
การข่มขู่หรือใช้ผลประโยชน์มาหลอกล่อของหนานหรงจวินนั่นจะนับเป็นสิ่งใดได้ นี่ต่างหากที่เรียกว่าของจริง
จีอวิ๋นซีราวกับมีรอยยิ้มประดับอยู่กระทั่งบนขนตางอนงาม “เช่นนั้นเจ้าก็รับปากข้าแล้วใช่หรือไม่”
ซ่งเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “…ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องบอกกล่าวกับข้าให้ชัดเจน ข้าไม่อาจอยู่ที่นั่นไปชั่วชีวิต เช่นนั้นมันจะต่างอันใดกับการอยู่ในคุกเล่า”
เมื่อพูดจบแล้วเขาก็เพิ่งรู้ว่าพลั้งปากพูดไม่ดีออกไป แต่กลับเห็นจีอวิ๋นซียิ้มน้อยๆ “ใช่แล้ว ถึงอย่างไรคุกใหญ่โตนี้ก็มีข้าอยู่คนเดียว”
“…อาซี” ซ่งเสวียนเม้มปาก เขานึกถึงคำพูดของจู้หยางขึ้นมาเล็กน้อย
‘หลายปีมานี้ข้าเห็นกับตาว่าองค์ชายไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเท่ากับตอนร่อนเร่พเนจรกับท่านเลย เกรงว่าต่อไปต้องสืบทอดราชบัลลังก์ก็จะยิ่งไม่อาจมีช่วงเวลาสุขสบายใจอีกแล้ว’
ใจเขายิ่งรู้สึกไม่รื่นรมย์ขึ้นไปอีก
จีอวิ๋นซีกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขาเพียงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “หกปี…เจ้าจากไปหกปีก็ชดใช้ให้ข้าหกปี หกปีผ่านไปแล้วเจ้าก็กลับมาเป็นอาจารย์ซ่ง เช่นนี้เป็นอย่างไร”
ซ่งเสวียนมองสบตาคู่นั้นของอีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ชั่วขณะนั้นซ่งเสวียนไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าการเชื่อคำของจีอวิ๋นซีก็ไม่ต่างอันใดกับการกระโดดลงไปในหลุมไฟ แนวคิดที่จีอวิ๋นซีเสนอมาคือการหลอกให้คนเข้ามาอยู่ในกำมือก่อน ส่วนบัญชีที่ต้องชดใช้หลังจากนั้นค่อยใช้เวลาชั่วชีวิตในการชำระให้เสร็จสิ้น
ซ่งเสวียนที่น่าสงสารอ่านความทรงจำคนได้ ทว่าไม่อาจมองทะลุจิตใจคนได้
เรื่องการหลอกลวงคนนี้มิใช่สิทธิ์ขาดของซ่งเสวียนเพียงผู้เดียว
จีอวิ๋นซีเห็นซ่งเสวียนรับปากแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายลงทั้งเนื้อทั้งตัว เมื่อคลายมือออกร่างครึ่งบนก็โถมทับลงบนร่างของซ่งเสวียน เขาหัวเราะเบาๆ “ครานี้ข้าจะได้วางใจเสียที ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว”
ซ่งเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “อาซี เจ้า…ต่อไปช่วยเปลี่ยนคำเรียกขานได้หรือไม่”
“อะไรหรือ คำเรียกขานใด” จีอวิ๋นซีรู้แก่ใจแต่แสร้งถาม
“ก็…คำว่า…” ซ่งเสวียนลังเลครู่หนึ่ง ตัวเขาก็รู้สึกยากจะเอ่ยปากอยู่บ้าง เสียงจึงค่อยๆ เบาลง “พี่ชายคนดี”
จีอวิ๋นซีกลับทำสีหน้างงงัน “อะไรนะ”
“ก็คำว่า…พี่ชายคนดี” ซ่งเสวียนไอออกมาคราหนึ่ง
“หือ?” มุมปากของจีอวิ๋นซีค่อยๆ ยกเป็นวงโค้งขึ้น
ซ่งเสวียนเห็นแล้วก็รู้ว่าเจ้าเด็กนี่กำลังหยอกเขา จึงโถมตัวเข้าไปขยี้ผมอีกฝ่ายให้ยุ่งเหยิง “เจ้าตัวดี นี่ถือว่าตนเองโตแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็กล้ากลั่นแกล้งใช่หรือไม่…”
จีอวิ๋นซีไม่ได้สนใจว่าผมของตนจะยุ่งเหยิงอย่างไร เขากลับขยับมาใกล้หูซ่งเสวียนแล้วพ่นลมหายใจเบาๆ “เช่นนั้นข้าควรเรียกว่าอะไรเล่า ชิงชิง*?”
คนไร้คู่หมื่นปีอย่างซ่งเสวียนไหนเลยจะเคยพบเจอการวางท่าทีเช่นนี้ คนงามเสน่ห์เย้ายวนนั่งเอนกายอยู่บนตักเขา เอ่ยเรียกแผ่วเบาด้วยความรักอย่างยั่วเย้า ไม่รู้ว่าเป็นการเกี้ยวพานหรือหยอกเย้า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการโถมทับหรือเพราะการแตะต้องสัมผัส ทันใดนั้นบางส่วนของร่างกายซ่งเสวียนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยากจะเอื้อนเอ่ย
จีอวิ๋นซีเป็นคนแรกที่สัมผัสได้
ซ่งเสวียนเบิกตากว้าง ขัดเขินตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก กลับเป็นจีอวิ๋นซีที่หัวเราะร่าเริงสดใสยิ่งกว่าเดิม ปริมาณน้ำตาลที่เขากินไปเมื่อเช้าคล้ายจะเอ่อล้นออกมาที่หางตาและมุมปาก
“ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าพี่ชายมิได้มีคนที่ชอบพออันใดอยู่ในเมืองนี้จริงๆ” จีอวิ๋นซีทอดสายตามองอย่างเชื่องช้า วางมือทาบทับลงไป สายตาแฝงไว้ซึ่งความหมายยากคาดคะเน “มิเช่นนั้นคงไม่…กระชุ่มกระชวยเช่นนี้”
ซ่งเสวียนไอโขลกออกมาสองเสียง เขาอยากหลบเลี่ยงเรื่องนี้ กลับคิดไม่ถึงว่าจีอวิ๋นซีจงใจยั่วยุ “เป็นเพราะพี่ชายฝึกฝนบำเพ็ญเพียรจนจิตใจบริสุทธิ์ละกิเลสกามาได้แล้ว หรือที่จริงแล้วยังคงเป็นไก่อ่อนอยู่?”
ไม่ว่าผู้ใดก็คงทนฟังการหยอกเย้าเช่นนี้ไม่ไหว
เดิมทีซ่งเสวียนยังอารมณ์ดีอยู่ แต่กลับรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาด้วยความอับอาย คล้ายว่าเลือดครึ่งร่างของเขาจะพุ่งขึ้นมาที่กลางกระหม่อม ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
เขาดึงคอเสื้อจีอวิ๋นซีเข้ามารวดเดียวทำให้อีกฝ่ายมาอยู่ตรงหน้าตน ริมฝีปากสีแดงสดที่ขยับไปมาอยู่ตรงหน้านั้น ทำเอาเขารู้สึกราวกับว่าแม้แต่สติสัมปชัญญะก็แทบแตกกระเจิง
“ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ คำเหล่านี้เจ้าก็กล้าพูดออกมาหรือ” ซ่งเสวียนจับจ้องริมฝีปากนั้น แม้แต่ความดุดันที่จงใจแสดงออกมาก็ดูไม่น่าเชื่อถือไปเสียแล้ว
“อะไรกัน พี่ชายอยากจะสั่งสอนข้าหรือ”
มุมปากนั้นยกขึ้นราวกับจะยั่วเย้า ลิ้นสีแดงสดที่อยู่ระหว่างฟันบนฟันล่างนั้นโผล่ให้เห็นวับแวม
“พี่ชายยอมหักใจได้หรือ”
ซ่งเสวียนนึกถึงวัวไถนาในชนบทขึ้นมา ปกติมันก็เชื่องเชื่อเรียบร้อยดี แต่หากได้เห็นสีแดงเมื่อใดดวงตาก็จะแดงก่ำราวกับบ้าคลั่งขึ้นมาทันที
ตอนนี้เขาก็คล้ายวัวตัวหนึ่ง ราวกับทุกสิ่งที่อยู่ในสมองนั้นจากไปไกล เหลือเพียงกลีบปากบางแดงเรื่อนั้น ทำให้เขากดจูบลงไปตรงๆ อย่างมึนงง
เรียกว่าจูบก็อาจเกินไปนัก เพราะมันเหมือนกับริมฝีปากชนกันเสียมากกว่า แต่นั่นกลับทำให้จีอวิ๋นซีกับซ่งเสวียนนิ่งงันกันไปทั้งคู่
ซ่งเสวียนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทั้งเนื้อทั้งตัวนิ่งค้างอยู่กับที่ ในขณะที่จีอวิ๋นซีมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ
ซ่งเสวียนไม่คิดว่าตนจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ เขาถึงขั้นรู้สึกด้วยซ้ำว่าคนที่ควบคุมความคิดของผู้อื่นได้อย่างแท้จริงนั้นไม่ใช่หนานหรงจวิน หากแต่เป็นจีอวิ๋นซี
เขาอาจเสียสติไปแล้ว
ดวงตาของซ่งเสวียนกลอกไปมาซ้ายขวาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโดดลงจากรถม้าโดยไว “ข้า…ข้าไปซื้อกับข้าวเตรียมทำอาหารเย็นนะ…”
จีอวิ๋นซีแทบไม่คิดจะห้ามปรามอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
เขานั่งอยู่บนรถม้าราวกับโง่งมไปแล้ว แข็งทื่ออยู่เนิ่นนานก่อนจะยื่นมือออกมาอย่างเหม่อลอยเพื่อแตะลงบนริมฝีปากของตน
สัมผัสที่ซ่งเสวียนทิ้งเอาไว้เมื่อครู่คล้ายยังคงอยู่ที่เดิม
นี่เขาไม่ได้กำลังฝันจริงๆ ใช่หรือไม่
ผ่านไปครู่ใหญ่ใบหน้างดงามที่แฝงไว้ด้วยแววป่วยไข้นี้ก็ปรากฏรอยยิ้มโง่งมออกมา ไม่ว่าผู้ใดเห็นเข้าก็ล้วนต้องสงสัยกันไปว่าองค์ชายสามผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมลงมือเด็ดขาดผู้นี้ถูกใครตีศีรษะจนสมองเลอะเลือนไปแล้วหรือไม่
* ท่านบรรพบุรุษ เป็นคำเรียกในเชิงประชดประชัน หรือบางครั้งจะเป็นคำที่ผู้ใหญ่ใช้เรียกเด็กๆ เวลาที่ซุกซน
* ชิงชิง เป็นคำที่สามีภรรยาใช้เรียกขานกันอย่างรักใคร่ใกล้ชิด
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
