everY
ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3 บทที่ 112-113 #นิยายวาย
บทที่ 113
หาคน
นับแต่ตอนที่ทำอาหารเย็นจนกระทั่งยกอาหารขึ้นโต๊ะ ซ่งเสวียนก็ยังไม่กล้าสบตากับจีอวิ๋นซีตรงๆ
จีอวิ๋นซีเองก็ไม่บีบคั้นซ่งเสวียน เพียงยิ้มตาหยีมองอีกฝ่ายพลางเอาข้าวเข้าปาก ไม่ทันรู้ตัวเขาก็กินไปหนึ่งถ้วยเต็มๆ หรืออาจจะมากกว่านั้น สำหรับคนร่างกายอ่อนแอและกินไม่มากอย่างเขาแล้ว นี่ก็นับว่าเป็นความอยากอาหารที่หาได้ยาก
ซ่งเสวียนทนไม่ไหวต้องไอออกมาคราหนึ่ง “เจ้าจะกินก็กิน ไยต้องมาจ้องข้า”
จีอวิ๋นซีแย้มยิ้มแจ่มใส “ก็พี่ชายช่างงดงามชวนอิ่มอกอิ่มใจนี่นา”
ซ่งเสวียนหูแดง เมื่อช้อนตาขึ้นมองก็เห็นริมฝีปากแดงเรื่อของจีอวิ๋นซีที่กำลังเคี้ยวอะไรหมุบหมับ เขารีบบอกว่า “อิ่มแล้ว” ก่อนจะวางถ้วยข้าวลงแล้วจากไป
ตลอดทั้งวันนี้รอยยิ้มของจีอวิ๋นซีไม่จางหายไปแม้แต่น้อย แม้แต่ยามมองด้านหลังของซ่งเสวียนผู้ลนลานหนีไปก็ยังยิ้มแย้มอ่อนโยนราวกับสายลมยามวสันต์
ซ่งเสวียนที่อยู่ในลานเรือนสูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง กลิ่นดอกไม้ใบหญ้าฤดูใบไม้ผลิผสมปนเปกันพัดพาเข้ามาในคอในจมูก เขาจึงค่อยรู้สึกได้ว่าจังหวะการเต้นของหัวใจตนสงบลงบ้างแล้ว
ทันใดนั้นจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงคนเรียกเบาๆ “อาจารย์…อาจารย์”
ซ่งเสวียนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นจู้หยางซ่อนตัวอยู่ในร่มเงาหมู่ไม้เขียวขจี ฝ่ายนั้นโบกมือให้เขา “อาจารย์!”
ซ่งเสวียนเดินเข้าไปถาม “อะไร”
จู้หยางเอ่ยถามเสียงเบา “ตอนนี้องค์ชายทรงเป็นอย่างไรบ้าง”
ซ่งเสวียนไม่เข้าใจ “เป็นอย่างไรเรื่องอะไร”
จู้หยางแลบลิ้น “ก็วันนี้องค์ชายราวกับคนเสียสติอย่างไรอย่างนั้น ยิ้มโง่งมอยู่ทั้งวัน ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตอนนี้แม้แต่เรื่องข่าวคราวความคืบหน้าข้าก็ยังไม่กล้าส่ง กลัวว่าจะไปรบกวนองค์ชายแล้วต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ข้ารับไม่ไหว”
ซ่งเสวียนย่อมรู้ว่าการที่จีอวิ๋นซียิ้มโง่ๆ เช่นนั้นเกิดมาจากสาเหตุใด เขาอดไอออกมาเสียงหนึ่งไม่ได้ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าจะส่งข่าวอะไรหรือ”
“คราก่อนทรงสั่งให้ข้าไปสืบเบื้องหลังหนานหรงจวินนั่นมิใช่หรือ บัดนี้สืบได้ความมาแล้ว” จู้หยางเอ่ยเบาๆ “ข้างกายหนานหรงจวินผู้นี้มีองครักษ์คนหนึ่ง เขาตระเวนไปตามเมืองต่างๆ มากมายเพื่อจะสืบเรื่องราวของคนผู้หนึ่ง”
“ผู้ใด” ซ่งเสวียนถามอย่างสงสัย
จู้หยางมองซ้ายมองขวา ก่อนกดเสียงให้เบาลงแล้วเอ่ย “องค์ชายใหญ่จีอวิ๋นฉี”
สายตาของซ่งเสวียนนิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว “พวกเขาหาพบหรือไม่”
“ไม่พบ” จู้หยางส่ายหน้า “พวกเขาคล้ายมั่นใจแล้วว่าองค์ชายใหญ่อยู่ที่เมืองซื่อฟาง แต่ยามนี้ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ร่องรอยของพระองค์”
ซ่งเสวียนเอ่ยเสียงเบา “เจ้าเข้าไปรายงานให้องค์ชายทราบเถิด คงไม่เป็นอันใด”
จู้หยางได้ยินดังนั้นจึงผ่อนลมหายใจโล่งอก ก่อนหัวเราะคิกคักพลางประสานมือ “ขอบคุณอาจารย์มาก”
ขณะที่กำลังจะเข้าห้องไป จู่ๆ ก็ได้ยินซ่งเสวียนเอ่ย “ข้าฝากไปบอกองค์ชายด้วยว่าข้ามีธุระเล็กน้อย คืนนี้จะไม่กลับมานอน”
จู้หยางพยักหน้า จากนั้นก็ถามไปตามเรื่อง “อาจารย์จะไปที่ใด”
“หอฮวาซย่า”
ซ่งเสวียนเพิ่งเอ่ยจบก็พรวดพราดออกไปราวกับสายลมพัดวูบ ทิ้งให้จู้หยางยืนปากอ้าตาค้างอยู่กับที่
หอฮวาซย่า?
หากเขาเข้าไปบอกเรื่องนี้แทนอาจารย์ซ่ง เกรงว่าคงจะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้แล้ว
“อาจารย์ซ่งทำร้ายข้านี่นา!” จู้หยางร้องเสียงดัง แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อซ่งเสวียนฝีเท้าว่องไวปานนั้น ไม่นานก็หายลับไปจากประตูแล้ว
ในใจของซ่งเสวียนมีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ถ่วงอยู่จนรู้สึกหนักอึ้ง
หากหนานหรงจวินผู้นั้นมาเพราะจีอวิ๋นฉี เช่นนั้นเกรงว่าเขาจะต้องบอกเสี่ยงหรง
เขากับเสี่ยงหรงคบหาเป็นสหายกันมานาน ในเมืองซื่อฟางแห่งนี้ผู้ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเสี่ยงหรงก็มีเพียงเขา ซ่งเสวียนเพียงผู้เดียวเท่านั้น
เนื่องจากเสี่ยงหรงเป็นคนของจีอวิ๋นฉี หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าเคยเป็นคนของจีอวิ๋นฉี
เขายังจำเรื่องที่เสี่ยงหรงเคยพูดกับเขาหลังดื่มสุราเข้าไปได้
นางถูกจีอวิ๋นฉีเก็บมาเป็นผู้ติดตามตั้งแต่เด็ก เวลานั้นเสี่ยงหรงยังไม่ได้มีนามว่าเสี่ยงหรง นางมีแซ่เดิมคือฮวา นามว่าฮวาอู๋ฉยง
เสี่ยงหรงถือกำเนิดในหมู่บ้านทางตอนใต้แห่งหนึ่งซึ่งมีเขตแดนติดกับแคว้นหนานถู
อันที่จริงในบ้านเกิดของนางโดยทั่วไปแล้วจะมิได้มีนามเป็นทางการอันใด ทุกคนล้วนเรียกขานกันเพียงเจ้าหมาโง่เอย เจ้าเสาใหญ่เอยก็เท่านั้น
แต่นางกลับมีนามอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างเป็นทางการ สาเหตุก็เพราะนางมีเรี่ยวแรงมหาศาลตั้งแต่กำเนิด ปีที่นางอายุห้าขวบ สามารถอุ้มพี่ชายที่อายุสิบสองปีได้ ทำให้ทุกคนพากันตื่นตะลึง
ฮวาอู๋ฉยงไม่มีสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากเรี่ยวแรงมหาศาล ครานั้นนางยังเคยทุบวัวคลั่งตัวหนึ่งที่วิ่งผ่านเข้ามาในหมู่บ้านจนตายด้วย
ชาวบ้านที่เกือบต้องตายใต้กีบเท้าวัวพากันขอบคุณนาง เมื่อได้ยินว่านางไม่มีนามจึงได้อาสาตั้งนามอันไพเราะสักนามหนึ่งให้
อันที่จริงผู้อาวุโสที่อยู่ในหมู่บ้านก็ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน หลังคิดอยู่ทั้งคืนค้นดูตำราที่อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างจนหมด วันรุ่งขึ้นจึงพูดกับครอบครัวของนางว่า ‘ในหนังสือยามบรรยายถึงนักรบทั้งหลายล้วนกล่าวว่ามีเรี่ยวแรงมากมายไร้สิ้นสุด เจ้ามีเรี่ยวแรงมากมายเช่นนี้ เช่นนั้นก็เรียกว่าฮวาอู๋ฉยง* ก็แล้วกัน’
บิดาสกุลฮวาแสดงออกว่าหากนางมีนามว่าอู๋ฉยง มิสู้ตั้งชื่อว่าโหย่วฟู่** ยังจะฟังดูเป็นมงคลเสียกว่า
เหล่าผู้อาวุโสในหมู่บ้านปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างเด็ดขาด
ดังนั้นนางจึงมีนามเช่นนี้
ภายหลังนางได้พบกับนายท่านของนาง นายท่านก็ถามว่านางมีนามว่าอย่างไร
นางเอ่ย ‘พี่ชายข้ามีนามว่าฮวาต้าจู้*** พี่รองข้ามีนามว่าฮวาเอ้อร์จู้ ดังนั้น…’
‘เจ้ามีนามว่าฮวาซานจู้รึ’
‘มิใช่ ข้ามีนามว่าฮวาอู๋ฉยง’
ยามที่เสี่ยงหรงคุยโวถึงนายท่านในอดีตของนางให้ซ่งเสวียนฟัง นางสามารถคุยโวได้ตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนไม่ซ้ำเรื่องราวกันทีเดียว
ในสายตาของนาง นายท่านผู้นั้นเป็นคนใจดี ทั้งยังน่าคบหาคนหนึ่ง
นายท่านผู้แสนใจดีและน่าคบหาทั้งหมดทั่วหล้านี้ล้วนมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นคือข้างกายของพวกเขาจะต้องมีคนที่ก่อเรื่องได้เก่งเป็นพิเศษสักคนหนึ่ง
อย่างเช่นยามที่มีผู้ใดมาดูแคลนนายท่าน ผู้มีลักษณะท่าทางสูงส่งได้รับการอบรมอย่างดีเช่นนายท่านจะไปคิดเล็กคิดน้อยหาความเอากับคนผู้นั้นไม่ได้
และในเวลาเช่นนี้จะมีชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำสูงใหญ่หนวดเครายาวเดินออกมา จ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างราวกับกระดิ่งทองแดง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง ‘ไหนเจ้าลองพูดอีกครั้งซิ’
ทว่าฮวาอู๋ฉยงไม่อาจทำงานนี้ได้
นางมีข้อด้อยข้อหนึ่ง นั่นคือนางเป็นสตรี
แม้จะมีพละกำลังมาก แต่หากเทียบกับนายท่านแล้วนางยังเตี้ยกว่าถึงสองช่วงศีรษะ ซ้ำใบหน้ายังงดงามราวกับตุ๊กตามาตั้งแต่กำเนิด ต่อให้แต่งกายเป็นบุรุษก็ยังดูตัวเล็กผอมบาง
คนเช่นนี้เมื่อออกมายืนก็มิได้ดูน่าเกรงขามอันใด หากไม่รู้ยังอาจคิดว่านายท่านพาบุตรชายมาด้วยซ้ำ
ดังนั้นฮวาอู๋ฉยงจึงต้องทำให้ตนดูโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น
ผู้อื่นเพียงต้องเอ่ยวาจาผรุสวาท ส่วนนางนั้นไม่พูดจาอันใดก็เดินเข้าไปตบโต๊ะจนแตก จากนั้นก็กวาดตามองทุกคนในที่นั้นรอบหนึ่ง…ไม่ว่านางจะทำสายตาเช่นไรอยู่ เวลานั้นทุกคนล้วนรู้สึกว่าสายตาของนางดูราวกับจะกินเนื้อคนสดๆ ได้อย่างไรอย่างนั้น
ซ้ำนางยังต้องถ่มน้ำลายอีกครา เอ่ยวาจาตามอย่างชายฉกรรจ์อีกสักสองประโยค ‘เจ้าตัวน่ารังเกียจ เอาแต่พูดพล่ามซี้ซั้ว เจ้ากล้ามาประมือกับเหล่าจื่อสักสองสามกระบวนท่าหรือไม่เล่า’
เวลาเช่นนี้นายท่านก็จะตำหนิว่า ‘อู๋ฉยง ถอยไป!’
จากนั้นเขาก็จะกล่าวถ้อยคำที่กล่าวซ้ำมาเป็นรอบที่หนึ่งหมื่น พร้อมกับรอยยิ้มว่า ‘ผู้ใต้บัญชาเสียกิริยา ทำให้ทุกท่านเห็นเป็นเรื่องขบขันแล้ว’
พวกตาเฒ่าขี้อิจฉาทั้งที่มีหนวดเคราและไม่มีต่างพากันฝืนยิ้มแย้มอย่างไม่ได้น่าดูชมสักเท่าใดนัก พวกเขาโบกมือรัวพลางกล่าว ‘ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…’
ยามนั้นฮวาอู๋ฉยงคิดจริงๆ ว่านายท่านของนางเป็นคนเอื้ออารีเข้าถึงง่ายทั้งยังใจกว้าง เป็นคนดีคนหนึ่งโดยแท้
ภายหลังซ่งเสวียนคิดว่าเรื่องที่สมองของเสี่ยงหรงไม่ค่อยดีนั้นคงไม่ใช่จากอาการป่วยหลายปีมานี้อย่างแน่นอน
* อู๋ฉยง แปลว่าไม่หมดสิ้น ไม่ขาดแคลน ไม่ยากจน ไร้สิ้นสุด
** โหย่วฟู่ แปลว่าร่ำรวย
*** คำว่าจู้ แปลว่าเสา ส่วนคำว่าต้า เอ้อร์ และซาน เป็นคำเรียกลำดับพี่น้องภายในครอบครัว เมื่อนำมาประกอบกันคำว่าต้าจู้จะหมายถึงเสาต้นที่หนึ่ง เอ้อร์จู้หมายถึงเสาต้นที่สอง และซานจู้หมายถึงเสาต้นที่สาม เป็นชื่อที่สามารถบ่งบอกลำดับพี่น้องในครอบครัวได้ในเวลาเดียวกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
