ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3 บทที่ 116-117 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3 บทที่ 116-117 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3

ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)

แปลโดย : ศีตกาล

ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

   

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 116

วีรชน

เสี่ยงหรงไม่อยากหวนระลึกว่าเหตุใดนางจึงจากจีอวิ๋นฉีไป

และนางจะไม่บอกผู้ใดด้วย

ปีที่รัชทายาทอายุสิบแปด ในที่สุดโอกาสที่จีอวิ๋นฉีรอคอยก็มาถึงนั่นคือ…สงคราม

แคว้นหนานถูกับต้าเหยามีเขตแดนติดกันมานาน การกระทบกระทั่งเล็กน้อยก็เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง ท้ายที่สุดวันหนึ่งก็เกิดการปะทะขึ้นที่ชายแดน รายงานการศึกถูกส่งมายังเมืองเซิ่งจิงที่อยู่ห่างไปแปดร้อยหลี่อย่างรวดเร็ว เหล่าขุนนางพากันหารือให้วุ่นวาย

วันก่อนหน้าจีหุยเพิ่งจะใช้ยาลูกกลอนเซียนเข้าไป หนังตาของเขาหนักอึ้ง ท่าทางคล้ายยังไม่ตื่นเต็มตา ฟังผู้คนถกเถียงกันอยู่ในท้องพระโรงให้ขรมไปหมด

ฝ่ายของจีอวิ๋นฉีหนุนให้ทำการศึก ส่วนฝ่ายรัชทายาทหนุนให้ใช้สันติวิธี ไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้ใดคิดถูกผู้ใดคิดผิด หากกล่าวโดยสรุปแล้วต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลกันทั้งสิ้น

จีหุยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เอ่ยถาม ‘หากส่งกำลังไปปราบปรามแคว้นหนานถู ผู้ใดจะอาสาเป็นผู้นำทัพ’

ต้าเหยามีแม่ทัพผู้องอาจไม่กี่นาย แม่ทัพหลินทำหน้าที่พิทักษ์แดนเหนือ ส่วนที่เหลือล้วนเป็นผู้ไม่เคยผ่านประสบการณ์ทำศึกสงคราม ไม่นับว่ามีประโยชน์มากนัก

ในท้องพระโรงไม่มีแม้แต่เสียงนกกา* รัชทายาทหฤหรรษ์อยู่บนหายนะ

จีอวิ๋นฉีก้าวออกมาท่ามกลางสายตาของทุกคน ‘ลูกขออาสา’

ราวกับน้ำหยดหยาดหนึ่งหยดลงในหม้อที่น้ำมันเดือดปุด ท้องพระโรงปั่นป่วนพลุ่งพล่านขึ้นทันใด

บ้างก็ว่าจีอวิ๋นฉีมีสถานะสำคัญสูงส่งนัก บ้างก็ว่าจีอวิ๋นฉีอาสารับผิดชอบทั้งที่ยังเยาว์นัก

มีเพียงจีหุยที่มองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ‘เจ้ายินดีรึ’

‘พ่ะย่ะค่ะ ลูกยินดี’

‘เช่นนั้นก็เป็นเจ้าแล้วกัน’

สายตาของจีหุยดูโรยแรง มิไยดีขุนนางเสนาบดีทั่วท้องพระโรงที่พากันคุกเข่าอ้อนวอนห้ามปราม เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเอ่ยว่าจะไปหาเทียนซือใหญ่เฟิงเหวินจื่อเพื่อสวดมนต์ทำพิธี

รัชทายาทลอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง ‘วิธีการของเสด็จพี่ช่างดีนัก ระวังจะไปอย่างเกรียงไกรแต่กลับมาไม่ได้ก็แล้วกัน’

จีอวิ๋นฉียิ้มแย้มสง่างาม ‘ขอบใจมากที่เตือน ยังคอยระมัดระวังให้พี่อีกด้วย’

นี่คือการเตรียมการหลายปีของจีอวิ๋นฉี ในที่สุดเขาก็ได้เริ่มเผยความสามารถออกมาแล้ว

ส่วนฮวาอู๋ฉยงก็ได้ทำให้ความปรารถนาของตนในครานั้นเป็นจริงขึ้นมา นางได้กลายมาเป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญเก่งกาจในการรบอันดับหนึ่งภายใต้การนำทัพของจีอวิ๋นฉี

ทั่วทั้งต้าเหยาล้วนรู้ดีว่าทัพอวิ๋นอี้ซึ่งมีจีอวิ๋นฉีเป็นผู้นำนั้นโจมตีไร้พ่าย ศึกใดล้วนกำชัย ภายในสามปียึดครองไปได้ห้าเมืองติดต่อกัน สู้รบจนแคว้นหนานถูต้องก้มศีรษะร้องขอสันติ

และผู้ที่เก่งกาจน่าทึ่งที่สุดในการศึกสงครามครั้งนี้ก็ไม่มีผู้ใดเหนือไปกว่าฮวาอู๋ฉยง เล่าลือกันว่าแม่ทัพผู้นี้ร่างเล็กแต่พละกำลังมหาศาลแต่กำเนิด วรยุทธ์สูงส่งแข็งแกร่ง อาจหาญเก่งกล้าเหนือมนุษย์ แม้มีเพียงหนึ่งก็สามารถต่อสู้กับศัตรูสิบได้

ในขณะที่ทำศึกสงครามมีหลายคราซึ่งตกอยู่ในวิกฤต จีอวิ๋นฉีก็ล้วนอาศัยความเก่งกล้าของฮวาอู๋ฉยงฝ่าฟันไปได้ ฮวาอู๋ฉยงสามารถต่อสู้พลิกสถานการณ์ให้กลับตาลปัตรได้อย่างน่าทึ่งหลายครั้งหลายครา

สิ่งนี้ทำให้ฮวาอู๋ฉยงกลายเป็นวีรชนผู้ยิ่งใหญ่ที่เด็กน้อยกล่าวขานกันอย่างแท้จริง

บัดนี้เมื่อเสี่ยงหรงลองมาคิดดู นางยังคงจดจำชีวิตในช่วงเวลานั้นได้…นางไม่อาจกล่าวได้อย่างเด็ดขาดว่านั่นคือความสุขหรือคือความเจ็บปวด เพียงแต่ทุกวันล้วนใช้ชีวิตราวกับเป็นวันสุดท้าย ทั้งด้านชาและรุนแรง

วันวานยังหัวเราะเริงร่าโกรธขึ้งด่าทอกับสหายร่วมรบ ชั่วขณะต่อมาคนผู้นั้นกลับอันตรธานไปจากข้างกายเสียแล้ว

นายท่านที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแต่เก่าก่อน ศึกหน้ายังต้องมีบาดแผลใหม่เพิ่มเติมขึ้นอีก

ขอเพียงหลับตาลงก็เห็นเพียงเลือดกับสายตาอาฆาตของศัตรู

นางเคยคิดว่าบนสนามรบก็เหมือนกับที่เขียนเอาไว้ในบทอุปรากร หากมีคนตายก็จะมีคนไปบอกเขา มีคนคอยดูแลครอบครัวแทนเขาเป็นแน่

แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น

ส่วนมากแล้วมีเพียงยามที่นางพาร่างอันเต็มไปด้วยเลือดของตนกลับมาค่ายพักแล้วเท่านั้น นางจึงค่อยรู้ว่าบางคนได้หายสาบสูญไปอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอยเสียแล้ว

ฮวาอู๋ฉยงเปลี่ยนไปแล้ว

นายท่านก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แรกเริ่มเขามักพูดว่าหากชนะเขาก็จะมีไพ่ตายเพียงพอที่จะไปนั่งบนบัลลังก์สูงสุดนั้น ไม่ต้องอาศัยลมหายใจต่อจากจมูกของผู้ใดอีก

ภายหลังเขาพูดกับฮวาอู๋ฉยงว่า ‘หากข้าตาย เจ้าก็ฝังข้าเอาไว้บนสนามรบเสียแล้วกัน เมืองหลวงไม่มีพี่น้องข้า แต่ที่นี่มี’

 

ครั้นกำชัยในศึกสงครามกลับมา กองทัพยาตราผ่านหมู่บ้านที่ฮวาอู๋ฉยงเคยอาศัย นางจึงกลับบ้านอย่างปลื้มปีตินัก

ตั้งแต่นางติดตามนายท่านก็ไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว นางอยากไปบอกผู้อาวุโสในหมู่บ้าน อยากไปบอกผู้นำหมู่บ้าน บอกว่านางได้กลายเป็นวีรชนใหญ่ผู้หนึ่งแล้ว

ทว่านางมองเห็นเพียงความวังเวงเย็นเยียบเต็มสองตา

นางตามหาเรือนแล้วเรือนเล่าก็ยังหาผู้คนที่นางเคยรู้จักไม่พบ

ทั้งป้าซุนที่เคยให้ลูกกวาดแก่นาง นายพรานจางที่เคยฉลองปีใหม่กับนาง แล้วยังมีเสี่ยวฮวาเอ๋อร์ที่เคยหัวเราะคิกคักไปกับนางอีก

ทั้งหมู่บ้านราวกับตายไปแล้ว

มีเพียงยายเฒ่าซึ่งอาศัยอยู่ในเรือนที่ชายป่าเท่านั้น นางนอนพะงาบอยู่บนเตียง แม้แต่เสียงจะใช้พูดจาก็ยังฟังดูอู้อี้ไม่ชัดเจน

นางบอกว่าเมื่อเกิดสงครามทหารก็มาพาตัวบุรุษทั้งหลายไปหมดตั้งแต่ต้น

ต่อมาแนวหน้าขาดแคลนเสบียงจึงเริ่มระดมเสบียงอาหารอย่างเร่งด่วน ดังนั้นแม้แต่ข้าวปลาอาหารทุกคนก็กินไม่อิ่มกันเสียแล้ว ทั้งยังมีผู้ลี้ภัยจากแนวหน้าหรือไม่ก็พวกทหารหนีทัพของแคว้นหนานถูมาขโมยอาหารไปอีก

นับวันยิ่งไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้มากขึ้นทุกขณะ

สตรีและเด็กในหมู่บ้านถูกขายกันไปหมด แม้แต่ตนเองก็ยังต้องถูกขายเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ คนที่หนีจากความยากลำบากได้ก็หนีไป คนที่อดตายก็อดตาย หากหนีไม่รอดจริงก็ได้แต่รอความตายอยู่ที่นี่

ทั้งยังมีคนฉวยโอกาสซ้ำเติมเวลาที่เกิดเหตุเดือดร้อน

ตอนที่พูดถึงตรงนี้ยายเฒ่าก็หลั่งน้ำตา ‘ภรรยาของหลินจื่อขายตนเองออกไปแล้ว ให้ข้าเลี้ยงบุตรสองคนของนาง แต่ข้าก็รั้งเอาไว้ไม่ได้ ถูกคนมาขโมยเอาเด็กไปอีก ต่อให้ลงนรกไปข้าก็คงไม่มีหน้าไปพบนาง…’

ทุกถ้อยคำของฮวาอู๋ฉยงล้วนติดคาอยู่ที่ลำคอ

ไม่ว่าคำใดนางก็ล้วนพูดไม่ออก สุดท้ายจึงนำอาหารและเงินทองทั้งหมดที่มีติดตัวทิ้งเอาไว้ให้ยายเฒ่า เรื่องเงินทองนั้นนายท่านไม่เคยตระหนี่กับนาง ทว่าตอนนี้นางกลับรู้สึกว่าเงินเหล่านี้ค่อนข้างร้อนมือเสียแล้ว

ตอนที่นางคิดออกจากหมู่บ้าน นายท่านมาพูดถ้อยคำนั้นกับนาง

‘เจ้าอยากได้สิ่งใด’

‘ข้าอยากเป็นวีรชน’

‘ได้ เจ้าติดตามข้า หากงานข้าสำเร็จลุล่วงเจ้าก็จะเป็นวีรชนอย่างแท้จริง’

นางนึกถึงเมื่อครั้งเยาว์วัย ที่เบื้องหน้าเวทีงิ้วมีเด็กน้อยสองสามคน ทั้งชาวแคว้นหนานถูและชาวต้าเหยา ทุกคนเล่นด้วยกัน

‘ข้าจะเป็นวีรชนยิ่งใหญ่!’

‘ข้าก็จะเป็นวีรชนยิ่งใหญ่เช่นกัน!’

พวกเขาร้องตะโกนกันคนละเสียงสองเสียง แข่งกันจนหน้าแดงหูแดง ฮวาอู๋ฉยงมีกำลังมากที่สุด นางยกเด็กอีกคนขึ้นเหนือศีรษะ เอ่ยถามพวกเขาด้วยความทะนงตน ‘เป็นอย่างไร ผู้ใดกันแน่จึงเป็นวีรชนผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง’

‘ฮวาอู๋ฉยง!’

‘ฮวาอู๋ฉยง!’

‘ฮวาอู๋ฉยงคือวีรชนผู้ยิ่งใหญ่!’

เด็กๆ กระโดดโลดเต้น ทั้งยังตบไม้ตบมือด้วยความดีใจ

 

ครั้นฮวาอู๋ฉยงกลับมาที่ค่าย สวีวั่งผู้เป็นกุนซือทัพกำลังเอ่ยสรรเสริญเยินยอจีอวิ๋นฉี ‘เป็นพระมหากรุณาธิคุณขององค์ชายที่ครานั้นได้วางแผนรายงานเรื่องนี้กลับไปยังเซิ่งจิง เมื่อพระองค์ยืนกรานความคิดจะทำศึก จึงได้มีการใหญ่ให้มุ่งหวังในวันนี้ได้ องค์ชายทรงองอาจมุ่งมั่น กระหม่อมหวนมองตนเองแล้วละอายยิ่งนัก’

คำนี้พวกเขามิได้เลี่ยงไม่ให้ฮวาอู๋ฉยงรับรู้แต่อย่างใด ด้วยพวกเขาทราบดีถึงความภักดีของนาง

นางเองก็รู้นานแล้วว่าโอกาสทำศึกครานั้นเป็นเพียงเรื่องเหนือความคาดหมายไม่เล็กไม่ใหญ่ประการหนึ่ง จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก จีอวิ๋นฉีคว้าโอกาสนี้เดินเข้าสนามรบ ทั้งยังเดินเข้ามาในคลองสายตาของมวลประชาทั่วหล้า และได้กลายเป็นเทพแห่งสงครามในสายตาและดวงใจของพวกเขา

ฮวาอู๋ฉยงเองก็ไม่เคยคิดว่าจีอวิ๋นฉีทำพลาดผิด เขาประสบความสำเร็จ แผ่ขยายพื้นที่ให้ต้าเหยา แล้วจะผิดพลาดที่ใดกัน

ทว่าครั้งนี้นางพลันสับสนเคว้งคว้างเสียแล้ว

สุดท้ายแล้วการศึกครานี้ยังความสุขแก่ผู้ใดบ้าง

เมื่อเห็นฮวาอู๋ฉยงเดินเข้ามา จีอวิ๋นฉีก็ยิ้มแย้มถามนาง ‘เหตุใดกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า มิใช่อยากกลับไปเยี่ยมบ้านหรือ’

ฮวาอู๋ฉยงพลันจ้องเขาเขม็ง ‘นายท่าน’

‘หืม?’

‘ข้าเป็นวีรชนจริงหรือ’

คนตรงหน้าแต่งกายอย่างทหารเต็มยศ ผิวทั่วกายถูกแดดเผาจนหยาบกร้านดำคล้ำ ไม่มีลักษณะอย่างสตรีแม้แต่น้อยนิด ดวงตาที่แบ่งแยกดำขาวชัดเจนแต่เดิมบัดนี้กลับเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง

สายตาของนางราวกับการจ้องมองของสหายร่วมรบที่กำลังจะตายจาก และเหมือนสายตาของศัตรูที่กำลังจับจ้อง ทำให้คนไม่อาจหลบเลี่ยงแต่ก็ไม่กล้าสบตาโดยตรง

‘ข้าเป็นวีรชนจริงหรือ’ นางถาม

จีอวิ๋นฉีพูดไม่ออก

สวีวั่งยิ้มตาหยีอยู่ด้านข้างพลางเอ่ย ‘แน่นอน ต้าเหยาของเราให้ความสำคัญด้านบุ๋นมากกว่าบู๊ ดังนั้นกำลังทหารจึงไม่แข็งแกร่งเทียมเท่าแคว้นหนานถู แต่บัดนี้กลับกำราบห้าเมืองได้ในสามปี ได้ชัยชนะมาทั้งสิ้น ความดีความชอบของอู๋ฉยงมากมายใหญ่หลวงนัก’

ฮวาอู๋ฉยงมิได้เอ่ยตอบ นางหันกายจากไปแล้ว

 

ยามที่พวกเขาอยู่ห่างจากเซิ่งจิงในระยะที่เดินเพียงหนึ่งวันถึง ฮวาอู๋ฉยงก็เตรียมจากไปแล้ว

ต่อให้เมืองหลวงจะมีความร่ำรวยสูงส่งล้นฟ้ารอนางอยู่ก็ตามที

นายท่านกล่าวว่านางสามารถย้อนคืนไปเผยร่างสตรีได้ กลายเป็นแม่ทัพสตรีซึ่งหาได้ยากยิ่งและมีเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ต้าเหยา

นางสามารถมีจวนเป็นของตนเอง มีคนรับใช้ของตนเอง และเข้าท้องพระโรงได้ กลายเป็นวีรชนที่ทุกคนเคารพนับถือ เป็นตำนานจากปากของนักเล่านิทานทั้งหลาย

แต่นางก็ยังเก็บข้าวของ ทว่าไม่ได้นำสิ่งสำคัญล้ำค่าใดไป นางเดินไปยังกระโจมของจีอวิ๋นฉีเพื่อบอกลาเขา

‘จะไปจริงหรือ’

‘จริงเจ้าค่ะ’

ฮวาอู๋ฉยงโขกศีรษะคำนับนายท่านสามครั้ง ‘หลายปีมานี้ต้องขอบคุณนายท่านอย่างยิ่ง’

นางรู้จักพูดจายิ่งนัก ทว่าบัดนี้กลับพูดสิ่งใดไม่ออกทั้งสิ้น

นางเพียงโขกศีรษะลงไปแรงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกครั้ง เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ในทุกครั้ง

โขกศีรษะเสร็จสิ้นนางก็หันกายจากไป

‘ฮวาอู๋ฉยง!’

ยามเดินไปถึงหน้าประตูนางก็ได้ยินเสียงแหบพร่าของนายท่าน

‘หากวันนี้เจ้ากล้าออกจากประตูนี้ไป…หากเจ้ากล้าออกจากประตูนี้…’ นายท่านโกรธจนแม้แต่เสียงก็ยังสั่นเครือ สุดท้ายยังคงไม่พูดสิ่งใดออกมา แต่กลับเขวี้ยงถ้วยชาลงบนพื้นแทน

ท่าทางโมโหเกรี้ยวกราดเช่นนั้นไม่เหมือนนายท่านเลยแม้แต่น้อย

หากออกจากประตูนี้ไปแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า

ถ้อยคำหลังจากนั้นล้วนจมหายไปในกระโจมทหารที่หนาหนัก

 

* ไม่มีแม้แต่เสียงนกกา เป็นสำนวน หมายถึงเงียบมากๆ เปรียบว่าเงียบจนแม้แต่เสียงนกร้องก็ยังไม่ได้ยิน

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 1-2

บทที่ 1 เสียงเคาะระฆังบอกโมงยามดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงอันคุ้นเคยเตือนให้คนเก่าคนแก่ในวังตระหนักได้ว่าเพลานี้เป็น...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 1-2

บทที่ 1 ต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าสีฟ้าคราม สายลมโชยอ่อนพัดแผ่ว ม่านโปร่งบนศาลาริมน้ำขยับไหว ที่อยู่หลังม่านโปร่งคือโฉมสะคร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 1-2

บทที่ 1 เวลาเช้าตรู่กู้เจี้ยนหลีรออยู่หน้าโรงจำนำเป็นเวลานานมากแล้ว ในมือของนางกำปิ่นรูปผีเสื้อคู่ประดับพู่ระย้าไว้อันหน...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 3-4

บทที่ 3 เนี่ยชิงหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองสีหน้าเย็นชาเข้มงวดของเว่ยเหลิ่งเหยาปราดหนึ่ง นางลังเลอยู่ช...

community.jamsai.com