ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1 บทที่ 1 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1 บทที่ 1 #นิยายวาย

ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1

ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)

แปลโดย : ศีตกาล

ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

   

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 1

ซ่งเสวียน

โรงเตี๊ยมจี๋เสียงต้อนรับเทพแห่งความมั่งคั่งมาแล้วหลายต่อหลายท่าน

โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองอันติ้ง พื้นที่ไร้ค่าซึ่งแม้แต่นกไก่ยังไม่ใช้วางไข่หรือถ่ายมูล ในอาณาบริเวณร้อยหลี่* ทั้งในและนอกเมืองมีโรงเตี๊ยมนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

ในยามปกติผู้มาเยือนก็มีเพียงพ่อค้าเร่ผู้ยากจนต้อยต่ำ ก้อนเงินหนึ่งเจี่ยว** หรือเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญยังต้องนับกันละเอียดยิบ คำนวณอยู่นานจนแม้แต่เติ๋งจื่อ*** ของร้านยังแทบฝุ่นจับ

ทว่าผู้ที่มาในวันนี้กลับดูองอาจยิ่งนัก ยังไม่เอ่ยถึงอาภรณ์แพรไหมหรือเครื่องประดับทั้งหยกและทองบนร่าง กระทั่งบริวารที่ตามมา แค่ล้วงมือออกจากกระเป๋ายังเต็มไปด้วยก้อนเงินวาววับ

เสี่ยวเอ้อร์ใช้ฟันกัดก้อนเงินนั้นอยู่หลายคราก่อนจะเก็บลงกล่องอย่างไม่เต็มใจนัก เขาก้มศีรษะค้อมเอวเอาอกเอาใจ “นายท่านทั้งหลาย จะกินอาหารหรือพักแรมดีขอรับ อยากรับอะไรหรือไม่”

องครักษ์ขมวดคิ้วเอ่ย “มีกับข้าวอะไรพอกินได้ก็ยกมาให้หมด ห้องพักห้าห้อง ข้างนอกมีม้าอีกสองสามตัว อย่าลืมให้หญ้าพวกมันด้วย”

เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าหงึกหงัก คนอื่นๆ อีกสองสามคนพากันล้อมหน้าล้อมหลัง เชิญคุณชายผู้นำกลุ่มไปนั่งยังจุดที่สงบที่สุดในร้านเรียบร้อยแล้ว

คุณชายผู้นั้นอายุราวสิบห้าสิบหกปี เกิดมารูปลักษณ์ดี เพียงแต่ดูอ่อนแออยู่บ้าง สีหน้าเรียบนิ่งมีความทะนงตนของชนชั้นสูงแฝงอยู่หลายส่วน

เขาครองโต๊ะทั้งตัวเพียงผู้เดียว ข้างกายมีองครักษ์คนหนึ่งยืนนิ่งไม่ขยับราวกับกำลังระวังภัย ส่วนองครักษ์อีกสองสามคนรอบกายแยกย้ายกันไปนั่ง แม้จะเป็นกลุ่มชายหนุ่มที่อยู่ด้วยกันหลายคน แต่ยามนี้บรรยากาศในโรงเตี๊ยมกลับเงียบสงัด กดดันจนเสี่ยวเอ้อร์ไม่กล้าหายใจแรง

ท่านเทพแห่งความมั่งคั่งผู้นี้แม้จะมีเงิน แต่ก็น่ากลัวยิ่งนัก

เสี่ยวเอ้อร์พึมพำอยู่ในใจ

ฤดูกาลนี้เป็นช่วงที่กิจการซบเซา ภายในโรงเตี๊ยมไม่มีแขกแม้แต่คนเดียว จะมีก็เพียงท่านเทวมารหลายท่านนี้สถิตอยู่ ทำเอาโรงเตี๊ยมดีๆ หนาวยะเยือกราวกับห้องใต้ดิน ชวนให้คนรู้สึกไม่ดียิ่ง

เวลานี้เองที่หน้าประตูก็มีคนผู้หนึ่งเข้ามา

คนผู้นี้แต่งตัวค่อนข้างประหลาด บนกายสวมชุดจื๋อตัว**** สีขาวที่ซักจนเหลือง สวมรองเท้าที่ถักด้วยป่าน ผมบนศีรษะเกล้าเป็นมวย ปักปิ่นที่ทำจากไม้อวี๋มู่เอาไว้หนึ่งอัน มือถือแส้ขนจามรีสีขาวที่ขนร่วงไปแล้วครึ่งหนึ่ง สภาพช่างอนาถาจนน่าขัน มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่ดูงดงามหล่อเหลา คงกลิ่นอายแห่งเซียนอยู่บ้าง

เสี่ยวเอ้อร์เห็นเขาก็เอ่ยทักเสียงใส “อาจารย์ ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ วันนี้ทำนายไปกี่ชะตาแล้ว?”

คนผู้นั้นแย้มยิ้มพลางปัดแส้ เมื่อเอ่ยปากกลับมีแต่เรื่องการค้า “แค่ชะตาเดียว พักนี้ในเมืองอันติ้งทำการค้ายากนัก”

“อาจารย์ ท่านมีความสามารถล้นเหลือ ไหนเลยต้องกลัวค้าขายยาก” เสี่ยวเอ้อร์เข้าไปหาด้วยความยินดี “วันนี้ท่านจะรับอะไรขอรับ”

“เอาห่านย่างมาหนึ่งจาน วันนี้ตรวจดูชะตาแปดอักษร* ให้คู่รักคู่หนึ่งได้เงินรางวัลมาบ้าง แบ่งห่านให้เจ้าได้ขาหนึ่งพอดี” สีหน้าคนผู้นั้นดูเกียจคร้าน คำพูดคำจามีแต่เรื่องเนื้อสัตว์อยู่ตลอดเวลา ทำให้องครักษ์คนหนึ่งถึงกับหัวเราะพรวด

องครักษ์ผู้นั้นเห็นเขามองมาจึงเอ่ยว่า “เมืองอันติ้งนี้ช่างเป็นสถานที่พิกล คนทำนายชะตาดื่มสุรากินเนื้อสัตว์ ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นทองแดง** นับว่าข้าได้เปิดโลกแล้ว”

คุณชายซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มเอ่ยเสียงเรียบ “จู้หยาง”

องครักษ์ผู้นั้นเงียบเสียง ทว่าใบหน้ายังคงมีแววยิ้มเยาะอยู่

เสี่ยวเอ้อร์รีบเอ่ยว่า “คุณชายท่านนี้อาจยังไม่ทราบ อาจารย์ซ่งเสวียนของเราเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง ในหลายเมืองทางเหนือนี้ล้วนขนานนามท่านว่าครึ่งเซียนซ่ง…”

ซ่งเสวียนที่ถูกเสี่ยวเอ้อร์ป่าวประกาศฉายาก็มิได้รีบร้อนรับรอง เพียงพินิจคุณชายผู้นั้นอย่างถี่ถ้วน สังเกตตั้งแต่เกี้ยวหยกบนศีรษะมาจนถึงรองเท้าอวิ๋นหลี่ว์*** จู่ๆ สีหน้าก็ดูจริงจังขึ้นมาทันที

“หว่างคิ้วดำคล้ำ สองกรามหม่นหมอง สีสันมิชวนมอง เห็นพ้องเป็นไออิน…” ซ่งเสวียนพ่นคำพูดอมตะออกมาจากปาก “คุณชายท่านนี้เกรงว่าจะมีภัยไม่คาดคิด”

“หืม?” คุณชายผู้นั้นเลิกคิ้ว ท่าทีแฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายขบขัน เขาใช้ด้ามพัดเคาะไปที่โต๊ะ “ท่านมีความเห็นสูงส่งประการใด มิสู้นั่งลงพูดคุยกัน”

ซ่งเสวียนสีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงโบกแส้ขนจามรีในมือช้าๆ “ในเมื่อคุณชายไม่เชื่อ เราก็ไม่มีอะไรให้คุยกันอีก เอาไว้ประสบปัญหาค่อยมาหาข้าแล้วกัน”

คุณชายผู้นั้นมิได้ต่อความ

กลับเป็นองครักษ์ข้างกายที่เอ่ยพึมพำเสียงแผ่ว “พรางเป็นเทพแสร้งเป็นผี”****

เมื่อห่านย่างที่ซ่งเสวียนรอมาถึงเขาก็แบ่งขาห่านขาหนึ่งให้เสี่ยวเอ้อร์จริงๆ จากนั้นก็ใช้กระดาษห่อแป้งทอดสองอันแล้วเดินจากไป

ก่อนไปเสี่ยวเอ้อร์เอ่ยเบาๆ “อาจารย์อย่าโกรธพวกเขาเลยนะขอรับ คนพวกนี้ไม่รู้ว่าท่านมีพลังวิเศษ หลงคิดว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋น พวกเขาน่ะเสียโอกาสแล้ว”

ซ่งเสวียนสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ในใจกลับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เพราะเขาคือนักต้มตุ๋นของแท้

ไม่ผิด ซ่งเสวียนหรือที่ผู้คนเรียกขานว่าครึ่งเซียนซ่งผู้ทำนายทายทักแม่นยำดั่งเทพพยากรณ์แห่งเมืองอันติ้งนั้น เป็นนักต้มตุ๋นมาตั้งแต่ต้น

อย่าว่าแต่ดูโหงวเฮ้งทำนายชะตาเลย กระทั่งเรื่องฮวงจุ้ยเขาก็ไม่รู้สักนิด

เพื่อหาเลี้ยงชีพแล้วซ่งเสวียนร่อนเร่ไปทั่วตั้งแต่อายุสิบสอง แรกเริ่มใช้ชีวิตเป็นจอมยุทธ์พเนจรอยู่พักหนึ่ง ได้พบเห็นบ้านเมืองและผู้คนมากมาย

ภายหลังเมื่ออายุมากขึ้นก็อาศัยว่าตนมีใบหน้าที่แฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายของเทพเซียน ซ้ำยังมีความสามารถประหลาดอยู่กับตัวอย่างหนึ่งจึงเริ่มทำนายชะตาปลอมๆ เพื่อหลอกเอาเงินทอง

เขาเคยเห็นพวกต้มตุ๋นมานับไม่ถ้วนจึงคิดหาหนทางหลอกลวงเล่นกลให้ตนเองบ้าง ซ่งเสวียนมาทำการหลอกลวงที่เมืองอันติ้งตั้งแต่สองปีก่อน ผ่านมาจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยโดนใครจับได้ กลับกันยังกลายเป็นผู้เลื่องชื่อเรื่องการทำนายชะตาในแถบทางเหนืออีกต่างหาก

ที่ซ่งเสวียนขู่คุณชายผู้นั้นไปเมื่อครู่คือการปล่อยเหยื่อล่อ คนสูงศักดิ์เหล่านั้นมักจะมีภัยกันทุกสามวันห้าวันอยู่แล้ว ยิ่งคุณชายผู้นั้นดูร่างกายอ่อนแอมากโรค ไม่แน่สักวันอาจกระอักเลือด โดนลมหนาวจนจับไข้ หรือในบ้านเกิดเรื่องวุ่นวาย นั่นล้วนนับเป็น ‘ภัยไม่คาดคิด’ เช่นกัน

หากช่วงนี้ไม่ได้บังเอิญพบกันอีก คุณชายผู้นั้นหันหน้าจากไปก็คงจดจำนักต้มตุ๋นเช่นเขาไม่ได้แล้ว

หากได้พบกัน เช่นนั้นอีกฝ่ายก็คงติดกับซ่งเสวียนเข้าแล้ว ส่งผลให้เขาได้เงินเพิ่มอีก

 

ตอนที่ซ่งเสวียนกลับมาถึงบนเขา ตะวันก็ลาลับไปแล้ว

เขาลูกนี้มีวัดร้างอยู่แห่งหนึ่ง เดิมทีเคยมีภิกษุจำวัดอยู่ ทว่าแม้แต่ภิกษุก็ยังหมิ่นไฟธูปอันน้อยนิดในเมืองอันติ้ง จึงละทิ้งวัดร้างหนีไปอยู่ที่อื่น ทำให้ซ่งเสวียนได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้

ซ่งเสวียนกินแป้งทอดกับห่านย่างไปครึ่งตัวแล้วเหลืออีกครึ่งที่ไม่มีขาวางไว้ในลานวัด เขาจุดตะเกียงดวงหนึ่ง หยิบหนังสือนิยายออกมาจากใต้ฟูกบนคั่ง* อ่านจนไส้ตะเกียงไหม้หมดไปกว่าครึ่งถึงยอมวางลง

กระทั่งจันทราลอยสูงกลางฟ้าซ่งเสวียนค่อยรู้สึกง่วงงุนขึ้นมาบ้าง ขณะที่เขาสะลึมสะลือกำลังจะหลับก็ได้ยินเสียงสัตว์ร้องดังมาจากด้านนอก

คราแรกซ่งเสวียนไม่คิดใส่ใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องนั้นกระชั้นและดังขึ้นเรื่อยๆ จึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

เขาหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวม หลังมองผ่านรูที่หน้าต่างออกไปก็พบว่าข้างนอกมีเงาคนผู้หนึ่งกำลังต่อสู้ยื้อยุดกับสัตว์สีขาวราวหิมะ ภาพที่เห็นทำเอาเขาตกใจจนเหงื่อเย็นแตกพลั่ก

“หมาโง่ กลับมา!” ซ่งเสวียนผลักประตูออกไปตะคอกคราหนึ่ง เงาร่างสีขาวราวหิมะรีบพุ่งมาที่เท้าของเขาพลางหอบหายใจครืดๆ อย่างแรง

เงาร่างของคนที่ถูกสุนัขกระโจนเข้าใส่ยังคงขวัญหนีดีฝ่อ ต้องตะเกียกตะกายอยู่หลายครั้งกว่าจะลุกขึ้นได้ เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาก็ร้องเสียงดัง “อะ…อาจารย์ซ่ง!”

ซ่งเสวียนเพ่งมองอยู่พักหนึ่งถึงรู้ว่าอีกฝ่ายคือองครักษ์ที่พบกันในโรงเตี๊ยม ชายคนเดียวกับที่เคยหัวเราะเย้ยหยันว่าเขาดื่มสุรากินเนื้อ พรางเป็นเทพแสร้งเป็นผีผู้นั้น

องครักษ์คนนั้นหยัดตัวลุกขึ้น สติกระจ่างชัดขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่นึกว่าอาจารย์เองก็เลี้ยงสุนัข…” เขาจำได้ว่าซ่งเสวียนเรียกเจ้าสุนัขตัวขาวว่า ‘หมาโง่’ จึงรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“หมาโง่เป็นหมาจรจัดที่อยู่บนภูเขาแห่งนี้ มันเพียงมีชะตาต้องกับข้าเท่านั้น” ซ่งเสวียนคิดยื่นมือไปลูบหัวเจ้าหมาโง่ แต่เจ้าสุนัขกลับเบี่ยงหลบ เขาจึงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “บางครั้งข้าก็แบ่งของกินให้มัน มันเองก็ช่วยข้าดูบ้านเฝ้าเรือน”

องครักษ์เห็นเขี้ยวในปากเจ้าหมาโง่ก็อกสั่นขวัญแขวน ในใจคิดว่ามีสุนัขจรจัดเช่นนี้ที่ใดกัน ทว่าเขายังคงไม่ลืมเรื่องสำคัญจึงไม่ได้ต่อความอะไร

“อาจารย์ ข้าน้อยจู้หยาง ที่ต้องรบกวนยามวิกาลเช่นนี้ก็ด้วยเรื่องของคุณชายข้า” องครักษ์ค้อมกายคำนับอย่างเคารพนบนอบ ไม่มีท่าทีโอหังเช่นเมื่อกลางวันอีก “และอยากเชิญท่านไปกับข้าสักครั้ง”

ซ่งเสวียนแย้มยิ้มอย่างเชื่องช้า “คุณชายส่งคนมาเชิญกันกลางดึกเช่นนี้ คงเกี่ยวกับเรื่องที่ข้าพูดไปเมื่อกลางวันกระมัง”

จู้หยางยิ่งดูเลื่อมใส “คำทำนายของอาจารย์ดั่งเทพพยากรณ์ เมื่อกลางวันเป็นจู้หยางที่เสียมารยาทแล้ว”

“เช่นนั้นรอก่อน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “รอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วจะไปพบคุณชายของเจ้า”

ซ่งเสวียนไม่ได้จงใจจะสร้างความลำบาก เพียงแต่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาว่าหากคุกเข่าค้อมกายยอมให้อย่างง่ายดาย เขาอาจถูกจับได้ว่าเป็นนักต้มตุ๋น ดังนั้นต้องทำทีเล่นตัวเสียบ้าง อีกฝ่ายจะได้มองเขาสูงส่งเหนือคนทั่วไป

ไม่รู้ว่านี่เป็นนิสัยโดยทั่วไปของมนุษย์หรือเป็นความสามารถในการดูแคลนกดคนอื่นให้ต่ำของพวกชนชั้นสูงกันแน่

ทว่ามาเร็วมิสู้มาได้จังหวะ ซ่งเสวียนกำลังกังวลเรื่องความเป็นอยู่ของเดือนนี้ก็มีแพะอ้วนโผล่มาเสนอตัวถึงปากเขาพอดี

มิหนำซ้ำตอนกลางวันเขาเพิ่งจะโยนกับดักไป ตอนกลางคืนคุณชายท่านนั้นก็ประสบปัญหา เห็นได้ชัดว่าสวรรค์บันดาล ควรค่าแก่การให้ซ่งเสวียนได้เอาเปรียบอย่างไม่เลือกวิธีการ

เวลานี้ซ่งเสวียนไม่รู้เลยว่าคำพูดวางกับดักที่เขาเอ่ยไปส่งๆ ประโยคเดียวจะเป็นสิ่งที่ย้อนมาทำให้ตัวเขาติดกับโดยสมบูรณ์

  

* หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

** เจี่ยว คือหน่วยเงินย่อยของจีน โดย 10 เจี่ยวเท่ากับ 1 หยวน

*** เติ๋งจื่อ เป็นเครื่องมือชั่งน้ำหนักสิ่งของที่มีมูลค่าสูงและมีปริมาณไม่มาก เช่น ทอง เงิน มีลักษณะเป็นคานยาวที่สามารถถือได้ด้วยมือข้างเดียว ข้างหนึ่งผูกภาชนะสำหรับใส่ของที่จะชั่งเอาไว้ อีกข้างผูกตุ้มน้ำหนัก วัดค่าโดยเลื่อนตำแหน่งตุ้มน้ำหนักไปเรื่อยๆ

**** ชุดจื๋อตัว เป็นชุดคลุมยาวที่กุ๊นขอบผ้าเป็นแถบใหญ่ด้วยผ้าสีดำ แขนเสื้อกว้าง สมัยก่อนนิยมใช้เป็นเครื่องแต่งกายของภิกษุหรือนักพรตเต๋า ต่อมากลายเป็นที่นิยมในกลุ่มบัณฑิตเช่นกัน

* ดวงชะตาแปดอักษร คือหนึ่งในการตรวจดวงชะตาของจีน โดยการนำวันเดือนปีและยามเกิดของบุคคลมาตั้งเป็นอักษรจีนแปดตัว ทั้งยังสามารถตรวจดูว่าคนคู่นั้นมีดวงสมพงศ์กันหรือไม่อีกด้วย

** ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นทองแดง เป็นคำเปรียบเปรยถึงคนที่ให้ความสำคัญกับเงินทอง เห็นแก่เงินจนมีกลิ่นของเหรียญทองแดง (เงินอีแปะ) โชยออกมา

*** รองเท้าอวิ๋นหลี่ว์ เป็นรองเท้าใช้สวมกับชุดฮั่นฝูของผู้ชาย ตรงหัวรองเท้าทำนูนใหญ่ขึ้นมาเหมือนเมฆ มักใช้สวมกันในหมู่ขุนนางในวัง

**** พรางเป็นเทพแสร้งเป็นผี หมายถึงใช้อุบายหลอกลวงตบตาผู้อื่น

* คั่ง หมายถึงเตียงนอนก่อด้วยอิฐของชาวจีนทางเหนือ ด้านบนปูด้วยฟูกที่นอน ด้านล่างมีปล่องเตาเพื่อจุดให้ความอบอุ่น

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 65-66

บทที่ 65 ต่อสู้ กรมซือเทียน ห้องโถงรับแขกของกองเสวียนอู่ เซี่ยหงเฉินถูกเชิญเข้ามาข้างใน ชาถูกยกมาให้อย่างรวดเร็ว เขามิได...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 96-97

บทที่ 96 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เซิ่งฮูหยินโกรธจนร่างสั่น นางรีบคุกเข่าลงที่พื้นร้องขอความเมตตาและขออภัยฮุ่ยหมิ่นเซ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 98

บทที่ 98 เมื่อคิดได้เช่นนี้ โม่เซี่ยวเหนียงก็ลุกขึ้นนั่งให้ดี ก่อนจะยกเท้าถีบฮั่วสุยเฟิงที่นอนนิ่งอยู่ข้างๆ อย่างแรง ฮั่...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 67-68

บทที่ 67 หลบหนี เซี่ยหลิงปี้ ‘สวม’ ร่างของเซี่ยหงเฉินเดินออกจากตำหนักหลัวฝูไปอย่างเปิดเผยเช่นนี้เอง ส่วนเซี่ยหงเฉินถูกกั...

community.jamsai.com