everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 1-4 #นิยายวาย
บทที่ 2
น้ำแข็งหิมะ
“ค่ำนี้ราตรีใดได้ยลโฉมคนงาม” คุณชายหุบพัดถอนใจ “ชีวิตนี้มีโชคดีไม่เพียงพออยู่แล้ว คงต้องเบิกโชคชาติหน้ามาใช้ก่อน”
ไม่มีใครรับลูก คุณชายมองข้างกายก็เห็นเด็กรับใช้ของตนยืนทึ่มทื่อจ้องมองท่วงท่าของคนที่อยู่บนหาดผู้นั้นตาไม่กะพริบ จึงใช้ด้ามพัดเคาะศีรษะเขา “ตั้งสติหน่อย”
ขณะพูดอยู่คนผู้นั้นก็เดินมาถึงตรงหน้าแล้ว
คนประเสริฐ กระบี่ก็ประเสริฐ
เฉินเวยเฉินคิด หนึ่งเดียวที่ไม่ประเสริฐคือเงาร่างเบื้องหน้านี้มีกลิ่นอายฆ่าฟันเย็นเยียบทั้งตัว เสียทีที่มีใบหน้ารูปลักษณ์งามล้ำหมดจด
“ขอบพระคุณท่านเซียนที่ช่วยชีวิต ข้าน้อยเป็นคนธรรมดา ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนได้ มิสู้…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดบท
“เอามา”
น้ำเสียงสมกับตัวราวกับหิมะใหม่ที่เกาะบนดอกเหมย เฉินเวยเฉินมีความคิดเจ้าชู้กรุ้มกริ่มที่ไม่เข้ากับสภาพความเป็นจริงอยู่เต็มสมอง เอาแต่ดื่มด่ำกับน้ำเสียงไพเราะ กว่าจะได้สติกลับมาจึงเพิ่งตระหนักว่าตนไม่รู้เลยว่า ‘คนงาม’ พูดว่ากระไร
“ข้าใจลอยไปชั่วขณะจึงฟังไม่ถนัด ท่านเซียนจะ…จะพูดอีกครั้งได้หรือไม่” เขากล่าวอย่างขัดเขิน
เวินหุยที่อยู่ข้างๆ แทบอยากมุดหายไปในหาดทรายให้รู้แล้วรู้รอด เขาติดตามคุณชายมา มีอยู่สิ่งเดียวที่ไม่เคยขาดเลยก็คือการขายหน้า
“เอามา” คนผู้นั้นพูดซ้ำเหมือนไม่สบอารมณ์ สายตาหยุดที่สิ่งของขาวนวลเป็นประกายในมือของเฉินเวยเฉิน
ขณะที่เวินหุยกำลังคิดว่าคุณชายของตนที่อยู่ต่อหน้าคนงามคงใช้สองมือประคองส่งของให้แต่โดยดี กลับเห็นท่าทีของเฉินเวยเฉินเปลี่ยนจากก่อนหน้านี้กลายเป็นอันธพาลข้างถนน
“ไม่ให้” เฉินเวยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงถือดี “นี่เป็นข้าเก็บได้”
น้ำเสียงคนผู้นั้นเย็นชา “ข้าเป็นผู้ฆ่าปีศาจทะเล”
“ข้าเห็นกับตาว่ามันขึ้นมาจากทะเล เป็นสิ่งไม่มีเจ้าของ”
“สิ่งนี้มีชื่อว่าจี้เมี่ยเซียง ชั่วร้ายสุดแสน” คนผู้นั้นบอกกับเฉินเวยเฉินว่า “หากพกติดตัวไว้เป็นเวลานานจะรบกวนโชคจนยุ่งเหยิง เคราะห์ร้ายจะพัวพัน ไม่ได้ตายดี”
“ขออภัย” เฉินเวยเฉินคิ้วตาโค้งเล็กน้อย ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ข้ามีเคราะห์ร้ายพัวพันตั้งแต่เกิด หากจะเพิ่มอีกนิดก็ไม่ต่างกันหรอก”
คนผู้นั้นแลดูเขา มุ่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้า…”
ไม่ทันสิ้นเสียงก็เห็นเงาดำสายหนึ่งโฉบผ่านเฉินเวยเฉินไปพร้อมกับกลิ่นอายชั่วร้าย
เฉินเวยเฉินร้องโหยหวนคราหนึ่ง หลับตาแน่น แต่กลับมิได้รับบาดเจ็บตามที่คิด เพราะคนชุดขาวเบื้องหน้าใช้ฝักกระบี่ต้านไว้ สิ่งนั้นกลิ้งหลุนๆ กับพื้นหลายตลบ เป็นแมวดำอ้วนตัวหนึ่งชูหางใส่เฉินเวยเฉิน ขนหางตั้งชัน
เฉินเวยเฉิน “…”
มีเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไกลออกไป “ชิงหยวน (กลมใส) เซี่ยชิงหยวน…เจ้าจะวิ่งเร็วปานนี้ไปทำอะไร ผู้พี่เกือบตามไม่ทันแล้ว”
ดูท่าชื่อที่เรียกคงเป็นชื่อแมว
“ชิงหยวน…ชื่อดีๆ เสียเปล่าหมด” เฉินเวยเฉินถือดีที่มีคนงามกลิ่นอายเย็นชาทั้งตัวอยู่ข้างๆ แมวตัวนั้นไม่กล้าจู่โจมเขาอีก เขาจึงวิจารณ์มันตั้งแต่หัวจรดหาง “ขาสั้น ตัวอ้วน คอหด น่าจะเรียกว่าเฮยหยวน (กลมดำ) มากกว่า”
ที่วิ่งล้มลุกคลุกคลานมาแต่ไกลเป็นนักพรตชุดสีเทาคนหนึ่งที่ในมือถือแส้จามรี พอเข้ามาใกล้แล้วมองเห็นผิวน้ำก็ร้องอุทานเฮือกออกมาด้วยความตกใจ
“ทำให้น้ำทะเลในรัศมีสิบหลี่เป็นน้ำแข็งได้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเจ้าปีศาจนี่จะบรรลุขั้นฟ้าระดับสอง! ผู้ถือพรตมิอาจปราบได้แล้ว”
เฉินเวยเฉินแลไป เห็นใบหน้าที่ยังเยาว์วัยของนักพรตคมคายน่าชมดู
…มิใช่ปีศาจแมวกระมัง เขาพึมพำในใจ พลันนึกถึงคำว่า ‘ผู้พี่’ ขึ้นมา
นักพรตเห็นสตรีที่สวมใส่อาภรณ์เช่นชาวบ้านก็ประสานมือคารวะ “แม่นาง ต้องขออภัยด้วย ปีศาจนี่มิใช่ผู้ถือพรตจะต่อกรได้ รบกวนช่วยเรียนท่านผู้นำหมู่บ้านด้วย ผู้ถือพรตจะไปหาผู้มากฝีมือที่อยู่ในขั้นฟ้าระดับสองเดี๋ยวนี้…”
ที่แท้นี่ก็คือเซียนที่คนในหมู่บ้านใช้วิธีโบราณอัญเชิญมา
“…ท่านเซียน” นางชี้ไปที่ริมทะเล “มีคนฆ่าปีศาจไปแล้ว”
“หืม?” นักพรตก้าวไปทางชายหาดอย่างสงสัย กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เอ๊ะ เหตุใดในน้ำแข็งจึงมีเจตจำนงกระบี่”
มองดูอีกทีก็เห็นสามคนใต้คลื่นน้ำแข็งกับแมวตัวหนึ่ง
พอนักพรตหนุ่มเห็นคนชุดขาวก็ตะลึงค้าง
เฉินเวยเฉินได้ที อาศัยว่ามีผู้หนุนหลังเหมือนจิ้งจอกอาศัยบารมีพยัคฆ์[1]* จึงคลี่พัดโบกพลางมองดูความคืบหน้าของสถานการณ์
“เยี่ย…เยี่ย…เยี่ย…”
คำว่า ‘เยี่ย’ ถูกเอ่ยซ้ำอยู่เนิ่นนานแต่กลับไม่มีคำถัดไป
เฉินเวยเฉินใช้ศอกสะกิดแขนคนผู้นั้นอย่างไร้ความเกรงอกเกรงใจ “นี่ ท่านเซียนท่านแซ่เยี่ยหรือ หรือว่าเป็นตามที่ตำนานเล่าขาน…”
ฉากนี้ดูเหมือนมีผลกระตุ้นต่อนักพรตหนุ่ม ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้
“เจ้ากระบี่เยี่ย”
คนผู้นั้นท่าทางไม่เปลี่ยน กล่าวเรียบๆ ว่า “หลางหรันโหว”
“เจ้ากระบี่ ท่านถึงกับยังจำข้าได้” นักพรตดีใจ คว้าแมวดำบนพื้นอุ้มไว้ในอ้อมอก ลูบขนแมวแรงๆ หลายคราเพื่อสงบจิตสงบใจ “ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ”
“คุณชาย” เวินหุยประชิดเข้ามา พูดอย่างไร้ความรู้สึกว่า “ข้าได้ยินเขาพูดว่าหลางหรันโหว”
“ข้าก็ได้ยิน” คุณชายพยักหน้า “ข้ายังได้ยินว่าเจ้ากระบี่เยี่ยด้วย”
“คุณชาย จบสิ้นแล้ว ต่อให้รวมกับชาติหน้าก็ไม่พอใช้” เวินหุยตบอกเบาๆ ให้หายใจหายคอได้ “คืนนี้ท่านใช้โชคแปดชั่วคนจนหมดสิ้นไปแล้ว”
“เฒ่าขาเป๋บอกว่าตามดวงข้าแล้ว ถึงอย่างไรอีกปีเดียวก็ต้องตาย แต่คืนนี้มีวาสนาพบกับท่านเซียนที่ผาชางลั่ง ไม่ผิดจริงด้วย” คุณชายกล่าว “กลับไปบอกบิดาข้า ช่วยรับเฒ่าขาเป๋ไปที่เรือน ดูแลให้อยู่อาศัยดื่มกินดีๆ ตลอดชีวิต”
พวกเขากำลังกระซิบกระซาบกัน คนชุดขาวกลับหันมาถามเฉินเวยเฉิน “เจ้าจะทำอันใด”
เฉินเวยเฉินทำท่าครุ่นคิดแล้วตอบ “เยี่ยจิ่วหยา ท่านรับข้าเป็นศิษย์ สอนข้าบำเพ็ญเซียน ข้าจะมอบจี้เมี่ยเซียงให้ท่าน”
แววตาเยี่ยจิ่วหยาดูเย็นชา “เจ้ารู้ชื่อข้า?”
“แน่นอน” เขาหัวร่อ “พวกท่านที่เป็นเซียน นอกจากหนึ่งราชันสามจวินสิบสี่โหว ยังมีเยี่ยจิ่วหยาอีกหนึ่ง ผู้คนต่างยกย่องว่า ‘เจ้าสำนักเจี้ยนเก๋อ (หอกระบี่) เป็นจวินที่มิใช่จวิน’ ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก คนเล่านิทานทั่วหล้าผู้ใดบ้างไม่เล่าเรื่องของท่าน”
“คุณชายท่านนี้” หลางหรันโหวหรือนักพรตเซี่ยหลางปลอบแมวดำที่มีท่าทางมุ่งร้ายต่อเฉินเวยเฉินแล้วก็เอ่ยกับเขาว่า “ขออภัยที่พูดตรงๆ น้องสาวข้าความรู้สึกไวต่อโชคเป็นพิเศษ จี้เมี่ยเซียงเกี่ยวข้องกับโชคและเปลี่ยนชะตา แม้แต่ข้ายังไม่กล้าแตะ หากอยู่ในมือท่าน ช้าเร็วย่อมต้องตายโหง รีบมอบให้เจ้ากระบี่เยี่ยจะดีกว่า”
เฉินเวยเฉินยังคงแย้มยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย ถึงกับให้ความรู้สึกว่าดวงหน้างดงามมีเสน่ห์ไม่มีที่สิ้นสุด
“นักพรตท่านนี้ คำกล่าวเช่นนี้ข้าเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง” เขากล่าว “มิสู้ให้ท่านลองคำนวณทำนายดวงข้าดูก่อนดีหรือไม่”
เซี่ยหลางจึงขอให้บอกวันและเวลาเกิด กวาดตาพิจารณาอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆ หลายรอบ จากนั้นจึงหลับตา ปากบ่นพึมพำไม่ทราบว่าพร่ำอันใด
พอลืมตาก็เปรยอย่างลังเลว่า “ไฉนจึงเป็นเช่นนี้”
เฉินเวยเฉินอมยิ้ม “ข้าหรือ”
เซี่ยหลางแววตาสับสนส่ายศีรษะ
เฉินเวยเฉินท่าทางยังผ่อนคลายดังเดิม “ตั้งแต่เล็กจนโต คราใดก็ตามที่เชิญอาจารย์ทำนายชะตามา ล้วนมีผลลัพธ์หนึ่งเดียว บอกว่าข้าผู้เป็นคุณชายชีวิตไม่ยืนยาว”
ว่าแล้วเขาก็นำจี้เมี่ยเซียงโบกไปมาหน้าเยี่ยจิ่วหยา ยิ้มตาหยี “เจ้ากระบี่เยี่ย ท่านพาข้าไปบำเพ็ญเซียนปีเดียวก็พอ ได้หรือไม่ ข้าจะไม่ทำร้ายท่านนานเกินไป ข้าแซ่เฉิน นามว่าเวยเฉิน คำว่าเวยเฉินที่มาจาก ‘เหวยเหวยคุนหลุน เหมียวเหมี่ยวเวยเฉิน’[2]* ซินแสหมอดูบอกว่าไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะมีอายุไม่เกินยี่สิบเอ็ดปี ปีนี้ข้าอายุสิบเก้า ใดๆ ในโลกข้าล้วนเห็นมาหมดแล้ว ก่อนตายจึงอยากไปดูโลกอื่นบ้าง หนึ่งปีให้หลังข้าจะให้สิ่งนี้แก่ท่าน รักษาสัจจะไม่คืนคำ ว่าอย่างไร”
นักพรตเห็นเขาไม่มีวี่แววเศร้าโศกแม้แต่น้อยจึงเก็บอาการและสีหน้าเมื่อครู่ เกาหูแมวดำในอ้อมอก กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “คุณชายท่านนี้น่าสนใจ การบำเพ็ญเซียนทุกข์ยากลำบาก บัดนี้ความตายใกล้เข้ามา ท่านไม่เสพสุขกับสตรีเนื้ออุ่นอยู่ที่เรือน กินดีดื่มดี กลับอยากไปลำบากบำเพ็ญวิถีเซียน”
“ไม่ปิดบังท่านนักพรต ความมั่งมีสูงส่งในแดนมนุษย์ ความจริงก็ไร้ความหมายอยู่แล้ว”
คุณชายรวบพัดหุบลง ลวดลายด้ามพัดเลี่ยมทองงดงามเป็นที่สุด หาได้มีความรู้สึกหยาบชุ่ยที่ทำเพื่อความหรูหราดาษดื่นเลยแม้แต่น้อย ตรงข้ามกลับเพิ่มกลิ่นอายหล่อเหลางามสง่ามากขึ้น
“ข้านั้นหรือ เบื้องบนมีพี่ชาย เบื้องล่างมีน้องสาว ไร้บิดามารดาให้ต้องเลี้ยงดู อนาคตเบื้องหน้าก็ไร้สิ่งให้ผูกพัน เพียงเหลือความปรารถนาเล็กน้อย…ตั้งแต่เล็กจนโตเคยฟังซินแสเล่านิทานเทพอสูรพุทธะปีศาจจนเกิดความอยากรู้และเลื่อมใส อยากไปดูแดนเซียน” เขาคลึงจี้เมี่ยเซียงที่กลมเกลี้ยงนวลเนียนใต้แสงจันทร์ในมือ ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ “กำลังคิดอยู่ว่าของนี่ส่งมาถึงมือตน และได้เห็นท่านทั้งสองที่มีอยู่แต่ในนิทาน นับว่าเป็นเวลาเหมาะเจาะ เป็นโชคชะตาโดยแท้ จึงจำใจต้องเล่นลวดลายอย่างไร้เหตุผลสักครา ขอท่านทั้งสองโปรดอภัย”
วิถีเซียนและวิถีมนุษย์นั้นไม่เกี่ยวข้องกัน ศิษย์สายตรงของสำนักเซียนเชื่อในโชคชะตาเคารพลิขิตฟ้า เพียงฆ่ามารกำจัดอสูรไม่แทรกแซงก้าวก่ายกิจมนุษย์และย่อมไม่อาจทำร้ายชีวิตปุถุชน
หากเฉินเวยเฉินตั้งใจจะยึดของสิ่งนี้ไว้กับตนและเยี่ยจิ่วหยาใช้กำลังแย่งชิงมา เช่นนั้นก็นับเป็นการละเมิดวิถีแห่งธรรมและขัดต่อความปรองดองของฟ้า เว้นแต่จะรอจนคนผู้นี้เสียชีวิตเอง…แต่หากคุณชายผู้นี้เกิดมอบของตกทอดให้ผู้อื่นก่อนตายก็จะเป็นความยุ่งยากอีกอย่าง
“วันนี้ได้พบเซี่ยหลาง นับว่าเจ้ามีวาสนาเซียน” เยี่ยจิ่วหยากล่าวเนิบๆ “ข้าบำเพ็ญกระบี่ ไม่นับเป็นคนวิถีเซียน มิสามารถชักนำเจ้า”
เขามองดูเซี่ยหลาง “หลางหรันโหว ขอรบกวนแล้ว”
“ให้ข้ารับศิษย์หรือ” เซี่ยหลางกลอกตาไปมา เอ่ยออกมาด้วยความยินดีที่ฉายชัดทั่วไปหน้า “ทำให้เจ้ากระบี่ติดค้างน้ำใจข้า นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่หาได้ยาก คุณชายเฉินท่านนี้ปลงตกต่อความเป็นความตาย ดูท่าจะมีรากปัญญาอยู่บ้าง”
เวินหุยกะพริบตาปริบๆ เห็นเซี่ยหลางวางแมวลง นิ้วมือขวาทั้งห้าแตะเบาๆ ที่หน้าผากของเฉินเวยเฉิน
แววตาของเฉินเวยเฉินพลันว่างเปล่า
เซี่ยหลางเริ่มถามคำถาม
คำถามตอนแรกเริ่มล้วนเป็นประเภท ‘อันใดคือความว่างเปล่า’ ‘อันใดคือการจดจ่อหนึ่งเดียว’ ‘อันใดคือการคล้อยตามธรรมชาติ’ เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างนึกในใจว่าตนยังฟังรู้เรื่องและพอจะตอบได้บ้าง แต่ภายหลังกลับถามเรื่อง ‘เต๋าเกิดธรรม’ ‘อ่อนหยุ่นคือความแข็งแห่งเต๋า’ คราวนี้ฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว
เพียงแต่ปลายนิ้วของเซี่ยหลางที่แตะอยู่นั้นกลับคล้ายว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดา ทุกครั้งที่ตั้งคำถามคุณชายของตนก็ตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ
จนกระทั่งเซี่ยหลางถามเป็นร้อยคำถามจึงค่อยปล่อยมือ แววตาของเฉินเวยเฉินก็กลับมากระจ่างใสเป็นปกติ
เขาเห็นเซี่ยหลางกำลังจ้องมาที่ตนด้วยสีหน้าประหลาด
“คุณชายเฉิน ข้ามีคำพูดที่ไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือไม่”
เวินหุยที่อยู่ข้างๆ กุมขมับด้วยความจนใจ พอได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ว่าโชคดีเพียงหนึ่งเดียวในคืนนี้ของคุณชายของตนกำลังจะหายไป
เฉินเวยเฉินตอบ “…เชิญกล่าว”
“ท่านทั้งมีวาสนาในวิถีเซียนและไม่ขาดสัณฐานกระดูก แต่กลับไร้ซึ่งรากปัญญาตื่นรู้ ชั่วชีวิตนี้มิอาจบรรลุเต๋าได้” เซี่ยหลางมุ่นคิ้วทำสีหน้าลำบากใจ แลดูเยี่ยจิ่วหยา “เจ้ากระบี่เยี่ย นี่ควรทำอย่างไรดี”
[1]* จิ้งจอกอาศัยบารมีพยัคฆ์ เป็นสำนวนเปรียบเทียบคนที่ใช้อำนาจของผู้อื่นหรือใช้ตำแหน่งหน้าที่มากดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
[2]* ‘เหวยเหวยคุนหลุน เหมียวเหมี่ยวเวยเฉิน’ แปลว่าคุนหลุนสูงเสียดฟ้า ฝุ่นผงต่ำต้อย โดยคำว่าเวยเฉิน (微尘) แปลว่าฝุ่นผง
Comments



