everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 1-4 #นิยายวาย
บทที่ 3
ชาติปางก่อน
“ท่านนักพรต ข้าไม่เข้าใจ” เด็กรับใช้เริ่มแก้ต่างแทนผู้เป็นนาย “ในเมื่อท่านบอกว่าคุณชายมีสัณฐานกระดูก แล้วไยจึงว่าเขาไร้รากปัญญาเล่า”
“ปุถุชนเช่นพวกท่านมักพูดกันว่า ‘คนงามงามที่กระดูก มิใช่เนื้อหนัง’ แต่สำหรับพวกเราชาวเซียนแล้ว ‘กระดูกคือรากฐานของรูปลักษณ์’ ” เซี่ยหลางเกาคางแมวพลางอธิบายว่า “เส้นปราณโปร่งโล่ง ลักษณะกระดูกโปร่งงามก็คือสัณฐานกระดูกที่ดี ทว่ารากปัญญานั้นไม่เกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ แท้จริงแล้วคือการตื่นรู้”
นักพรตหนุ่มพูดต่อ
“รากปัญญามีสามจิต ได้แก่ จิตสังหาร จิตดอกบัว และจิตสัมผัสวิเศษ สัมผัสวิเศษเข้าสู่เต๋าได้ จิตดอกบัวสามารถตื่นรู้ในพุทธะ จิตสังหารจะกลายเป็นมารอสูร แต่ขณะนี้เซียนกับมารแยกจากกัน พุทธะเร้นกาย ต่อให้มีจิตสังหารก็ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นมาร มีจิตดอกบัวก็ไม่แน่ว่าจะเป็นพุทธะ ตัวอย่างเช่นเจ้ากระบี่เยี่ยเข้าสู่มรรคากระบี่ด้วยจิตสังหาร อีกตัวอย่างก็เช่นลู่หลันซาน หนึ่งในสามจวินที่รักษาจิตดอกบัวจึงมีวิถีเที่ยงธรรม ล้วนจัดเป็นประเภทนี้”
“ดังนั้นจิตทั้งสามนี้คุณชายของเราไม่มีสักอย่างเลยหรือ” เด็กรับใช้โกรธมาก จ้องเฉินเวยเฉินปราดหนึ่งด้วยเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า[1]* แต่กลับเห็นอีกฝ่ายเพียงยิ้มมองมาทางนี้ พัดในมือโบกไปโบกมา ภาพฟังเสียงคลื่นที่อยู่บนหน้าพัดมีมิติสูงล้ำราวกับสามารถโบกจนเกิดบุปผาได้
“เปล่าเลยๆ นี่ล่ะก็คือความยุ่งยาก หากเป็นคนธรรมดาสัมผัสวิเศษจะทำให้เฉลียวฉลาด จิตดอกบัวทำให้มีเมตตากรุณา จิตสังหารมักนำมาซึ่งข้อพิพาท…จิตทั้งสามนี้มีกันทุกคน เพียงแต่ตื้นลึกต่างกัน จิตทั้งสามของคนธรรมดานั้นสับสนปนเปกันจึงทำให้เลอะเลือนและไหลตามกระแส ก่อให้เกิดชีวิตหลายร้อยรูปแบบในแดนมนุษย์ ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนบ่มเพาะจิตเดียว สภาพจิตแจ่มใสประภัสสร ด้วยเหตุนี้จึงบรรลุเต๋าได้”
หากเซี่ยหลางมีเครา ป่านนี้คงกลัดกลุ้มจนทึ้งเคราไม่หยุด
“แต่คุณชายบ้านเจ้ากลับเกิดมาไม่เอนไม่เอียง ลึกตื้นเท่ากัน คนผู้นี้ต้องไม่ดีไม่ชั่ว ไม่ฉลาดไม่โง่เขลา นิสัยจิตใจเช่นนี้ไม่ว่าจะบำเพ็ญทางใดก็ล้วนไม่มีความก้าวหน้า…นับเป็นธาตุแท้ที่ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาสามัญมากไปกว่านี้อีกแล้ว” นักพรตคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสริมอย่างจริงจัง “ธรรมดาจนไม่ธรรมดา”
เฉินเวยเฉินไม่ฟังต่อ หันไปมองเยี่ยจิ่วหยาที่อยู่ข้างกาย ภายใต้สีหน้าท่าทางเย็นชาราวน้ำแข็งของคนผู้นี้ ยามนี้กลับมีกลิ่นอายของการครุ่นคิดปรากฏขึ้นมา
เขาไม่มองใคร เพียงมองจันทร์กระจ่างกลางทะเล
เซี่ยหลางที่อยู่ข้างๆ ยังพล่ามอยู่กับเวินหุยไม่รู้จบ คล้ายกับอาจารย์เฒ่าที่หลังเลิกเรียนมักไปพร่ำฟ้องบิดามารดาของลูกศิษย์ถึงพฤติกรรมหยิบโหย่งเสเพลของพวกเขา
“นี่เพราะฟ้าจะสะบั้นหนทางบำเพ็ญเซียนของเขา โทษข้ามิได้และโทษเจ้ากระบี่เยี่ยมิได้ ยังคงคืนจี้เมี่ยเซียงแต่เนิ่นๆ ดีกว่า”
ขณะที่เวินหุยกำลังจะโยกโย้ยื้อสุดฤทธิ์ กลับได้ยินเสียงเย็นเยียบดุจแสงจันทร์ของเยี่ยจิ่วหยา “หลางหรันโหวไม่ต้องพูดมากแล้ว”
คำพูดพล่ามไม่รู้จบหยุดลง นักพรตลอบเหลือบดูสีหน้าของเยี่ยจิ่วหยา พลันเปลี่ยนจากอาจารย์เฒ่าเป็นนักเรียนผู้รับการอบรม ยกแส้ขึ้นปิดบังหน้า “ขอรับ เจ้ากระบี่เยี่ย”
เยี่ยจิ่วหยากล่าว “มือ”
เฉินเวยเฉินยื่นมือขวาให้ นึกในใจว่าหวงวาจาดั่งทองคำดังคาด
ความรู้สึกหนาวเหน็บบังเกิดที่จุดสัมผัสกันและลามไปทั่ว กระจายไปตามเส้นปราณทั่วสรรพางค์กาย นำมาซึ่งความเจ็บแปลบเล็กน้อย
เยี่ยจิ่วหยาชักมือกลับ “เจ้าตัดสินใจจะบำเพ็ญเซียนหรือ”
เซี่ยหลางโผล่หน้าออกมาจากแส้จามรีถามว่า “เจ้ากระบี่ รากปัญญาเยี่ยงนี้ยังจะบำเพ็ญเซียนได้หรือ”
คราวนี้เยี่ยจิ่วหยาไม่มองอีกฝ่าย ตอบว่า “มีเพียงวิธีเดียว”
เฉินเวยเฉินจึงถากถางนักพรตอย่างได้ใจ “หลางหรันโหว ข้ามิได้จะว่าอะไรนะ สามจวินสิบสี่โหว แน่นอนว่าโหวสู้จวินไม่ได้ และจวินก็สู้เจ้ากระบี่เยี่ยมิได้ เชอะ”
เซี่ยหลางเพิ่งตัดสินหยกๆ ว่าเขาไม่อาจบำเพ็ญเซียนได้โดยเด็ดขาด บัดนี้กลับถูกตอกจนหน้าหงาย ได้แต่แค่นเสียงดังฮึ
เยี่ยจิ่วหยาพูดอีกว่า “แต่วิธีนี้ไม่ง่าย โอกาสริบหรี่”
“มิเป็นไร” เฉินเวยเฉินยิ้ม “ในเมื่อไร้ความปรารถนาย่อมไม่มีความสูญเสีย หากไม่สำเร็จก็ถือเสียว่าเสียเวลาไปหนึ่งปี ถึงอย่างไรสิบกว่าปีที่ผ่านมาของข้าก็เสียเวลาเปล่าอยู่แล้ว ไม่เสียหายอันใด”
นักพรตพิเคราะห์กวาดตาขึ้นๆ ลงๆ หลายรอบ พูดมากอย่างอดมิได้ว่า “น่าสนใจ” ออกมาสามคราติดกัน
เฉินเวยเฉินชำเลืองด้วยหางตา “ในคัมภีร์หนานหัวจิงซึ่งเป็นคัมภีร์พื้นฐานสำนักเต๋าของพวกท่านมิใช่เขียนไว้ว่า ‘ผู้ไร้ความสามารถไร้ความปรารถนา’ หรอกหรือ เหตุใดข้าซึ่งเป็นคนธรรมดาที่อยากทำตัวเช่นเรือที่มิได้ผูกโยง[2]* จึงถูกมองเป็นเรื่องประหลาดเล่า”
เซี่ยหลางอึ้งไปแล้วคารวะให้อย่างจริงใจ “คุณชายท่านนี้พูดถูก ผู้ถือพรตน้อมรับคำสั่งสอน”
เฉินเวยเฉินเพียงยิ้ม ค่อยๆ เก็บพัดที่มีภาพวาด ตลอดทั้งตัวโปร่งสง่าดุจตะวันจันทรา หากมิใช่สวมใส่เสื้อหนังเบาบาง รวมถึงคาดสายรัดเอวและเครื่องประดับหรูหราคงจะดูคล้ายเซียนยิ่งกว่านักพรตที่อยู่เบื้องหน้าเสียอีก
ระหว่างสนทนากันผู้นำหมู่บ้านที่ทราบข่าวก็พาชาวบ้านรุดมา ชูคบเพลิงต้อนรับ
เพียงพริบตาเสียงผู้คนก็ดังจอแจ ล้วนเป็นคำขอบคุณแสดงความตื้นตันจนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร เยี่ยจิ่วหยากลิ่นอายทั้งตัวดุจน้ำแข็งยะเยือก บรรดาชาวบ้านไม่กล้าเข้าใกล้ เห็นข้างๆ มีนักพรตหนุ่มถือแส้จามรีจึงพากันขอบคุณ
ด้านผู้ฆ่าปีศาจทะเลตัวจริงไม่พูดไม่จา สตรีชาวบ้านที่เห็นเรื่องราวโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ช่วยบอกความจริง เซี่ยหลางจึงได้แต่ทนแบกรับเกียรตินี้อย่างฝืดฝืน คารวะทางซ้าย “ชมเชยเกินไปแล้ว ชมเชยเกินไปแล้ว” คารวะทางขวา “มิบังอาจ มิบังอาจ” รวมถึงประโยคว่า “ผู้ถือพรตตบะยังไม่แก่กล้า” แต่ยังคงหนีไม่พ้นถูกชาวบ้านรั้งไว้ด้วยไมตรีจิต ต้อนรับราวกับบูชาเทพเจ้า
จัดการกับท่านเซียนจนเรียบร้อย กว่าชาวบ้านจะสลายตัวก็ดึกดื่นค่อนคืน
ฤดูสารทไม่มีเสียงจักจั่นและไร้เสียงหรีดหริ่ง เด็กทางบ้านตะวันตกงอแงส่งเสียงโดยไม่ทราบสาเหตุ สตรีกล่อมเด็กอย่างเอาใจใส่ กระทั่งเสียงค่อยๆ เงียบลง รอบข้างเวิ้งว้างเหลือแต่เสียงคลื่น
เฉินเวยเฉินขอสุราที่ฝังใต้ต้นดอกกุ้ยไหหนึ่งมาจากสตรีชาวบ้าน ถือจอกกระเบื้องเคลือบสีขาวและโคมไฟไว้ในมือ ผลักประตูไม้ดังแอ๊ดมุ่งไปทางริมทะเล
ปราณกระบี่พุ่งเข้าทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง ผนึกตัวเร็วและละลายเร็ว เพียงช่วงสั้นๆ ที่คึกคักวุ่นวายน้ำแข็งก็ละลายหมดสิ้น น้ำทะเลม้วนเป็นเกลียวคลื่นซัดใส่หินบนหาดและผนังผา กลับเป็นภาพทิวทัศน์ของเกลียวคลื่นขาวดุจหิมะอีกฉาก
แสงจันทร์สาดส่องไปยังคนผู้หนึ่งบนโขดหิน ลมทะเลพัดโชยเสื้อขาวปานหิมะและเส้นผมดำขลับ เพิ่มความเดียวดายให้กับเงาหลังเพรียวโปร่งนั้นอีกสามส่วน
เฉินเวยเฉินมาถึงข้างกายเขา วางสุราลงแล้วนั่งกับพื้น
“วันนี้เป็นวันที่สิบห้าเดือนแปด ตรงกับสารทไหว้พระจันทร์พอดี ในแดนมนุษย์เน้นที่การอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า ข้าเห็นข้างกายเจ้ากระบี่เยี่ยมิมีผู้ใดเลย มิสู้อยู่เป็นสหายข้าผ่านคืนนี้เถิด”
“เป็นสหายอย่างไร”
“เป็นสหายดื่มสุรากับข้า”
สุราถูกรินลงจอกเปล่าจนปริ่ม จอกกระเบื้องเคลือบสีขาวสะท้อนสุราใสมีสีค่อนข้างเหลือง แสงจันทร์สาดส่องระลอกกระเพื่อม รอกระทั่งกลิ่นอายสุรากำจาย สีสันยิ่งงดงาม กลิ่นหอมยิ่งจรุงใจ การเคลื่อนไหวของเขาแสนงามสง่าราวกับกำลังดื่มด่ำอมฤต
คุณชายผู้สวมชุดแพรหรูหราจิบก่อนคำหนึ่ง
สุราหมักเองในหมู่บ้าน เผ็ดร้อนปานเปลวเพลิง
“สุราดี” ดวงตาของคุณชายฉายแววชื่นชม
ผ่านไปครู่หนึ่งรอยยิ้มค่อยจางลง หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน กำลังข่มกลั้นความเจ็บปวด
เยี่ยจิ่วหยาแลดูเขา เห็นรอบตัวไม่มีสิ่งใดจึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”
เฉินเวยเฉินแหงนหน้ากรอกสุราเข้าไปอึกใหญ่ หายใจลึกหลายครั้ง มองดูจันทร์กระจ่างกลางทะเล เนิ่นนานจึงคล้ายค่อยยังชั่ว
“มิเป็นไร เป็นอาการป่วยไข้ตั้งแต่กำเนิด” เขาหลุบตา “ความยินดี ความโกรธ ความโศกเศร้า หรือความสนุก โลภะ โทสะ โมหะ คราใดที่เกิดอารมณ์เหล่านี้จะเจ็บปวดหัวใจและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากจิตใจไม่สงบลงจะไม่จางหาย เสียดายที่จิตใจคนเรามิใช่น้ำนิ่งและมักเกิดระลอกคลื่นขึ้น” คุณชายใต้แสงจันทร์ถากถางตนเอง “คาดว่าคงเพราะ ‘มรรคาสวรรค์’ ที่พวกท่านพูดถึงนั้นรังเกียจข้า ไม่เพียงมอบคราเคราะห์ให้ แม้แต่ทุกข์สุขที่เป็นธรรมดาของโลกก็ไม่ยอมให้ข้าแม้แต่น้อย เมื่อครู่เพียงคิดว่าท่านงดงาม กำลังจะรู้สึกยินดี อาการปวดหัวใจก็กำเริบ จึงได้แต่เก็บระงับความยินดี จะว่าไปแล้วชั่วชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยลิ้มรสความดีอกดีใจอย่างแท้จริงเลย”
“เจ้าสามารถบำเพ็ญวิถีฟ้าเบื้องบนลืมรัก” เยี่ยจิ่วหยากล่าวเรียบๆ
เฉินเวยเฉินยื่นจอกสุราให้เขา “เยี่ยจิ่วหยา ท่านช่างไม่เข้าใจบรรยากาศเอาเสียเลย ข้ากำลังเศร้าใจกับตนเอง ท่านกลับจะให้ข้าบำเพ็ญวิถีผีสางที่ฟังชื่อแล้วไร้สาระสิ้นดี”
เยี่ยจิ่วหยาไม่ปฏิเสธ เขารินสุราดื่ม
“ฟ้าเบื้องบนลืมรัก ไร้โศกไร้ยินดี ก็จะไม่ถูกโรคร้ายรังควาน”
เฉินเวยเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่บำเพ็ญ เยี่ยจิ่วหยา ท่านคงไม่ทราบกระมัง ในแดนมนุษย์มีคำพังเพยว่าดื่มพิษดับกระหาย[3]*”
เยี่ยจิ่วหยา “ข้ารู้เพียงแต่การชำระต้นตอทำให้ถูกต้อง”
เฉินเวยเฉินหัวร่อ “ท่านนี่นะ…”
แต่ไม่มีคำพูดต่อจากนั้น ทั้งสองไม่พูดอีก
พวกเขาไม่เคยรู้จักกัน แต่คืนนี้กลับนั่งลงบนโขดหินเดียวกัน ต่างคนต่างดื่มสุรา ไม่ชนจอกและไม่สนทนา
ปีนี้วันนี้โลกโลกีย์กว้างไกลใต้แสงจันทร์ ท่ามกลางผู้คนมหาศาลในทะเลมนุษย์ มิทราบมีสักกี่คนที่ยินดี สักกี่คนที่โศกศัลย์ สักกี่คนไร้โศกศัลย์ไร้ยินดี และมีอีกสักกี่คนที่มิอาจโศกศัลย์มิอาจยินดี
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดเฉินเวยเฉินรู้สึกได้ว่าเยี่ยจิ่วหยาค่อยๆ หยุดอากัปกิริยาทั้งปวง
เขาจิบสุราคำหนึ่ง สุรานี้ต่อให้เป็นในโลกหล้าก็ยังเป็นสุราประเภทร้อนแรง ตามหลักแล้วผู้อยู่ในวิถีเซียนชืดชาต่อทุกสิ่งไม่ควรมีของเช่นนี้ อีกอย่างดูแล้วเยี่ยจิ่วหยาน่าจะมิใช่ผู้ดื่มเป็นประจำ
เขาผินหน้าแลดู ก็เห็นคนผู้นี้จ้องจันทราบนทะเลนิ่งสนิทครู่ใหญ่
เฉินเวยเฉินหัวร่อร้องเรียก “เยี่ยจิ่วหยา”
เยี่ยจิ่วหยาหันมาทางเขา
เฉินเวยเฉินถาม “คิดอะไรอยู่”
เยี่ยจิ่วหยาตอบเรียบๆ “มิได้คิด”
“มิได้คิด ไยจึงมีท่าทางหดหู่” ดูเหมือนเฉินเวยเฉินจะนึกสนุก ยื่นมือโบกไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย “ที่นี่ที่ใด”
“ผาชางลั่ง”
“วันนี้ท่านทำอะไร”
เยี่ยจิ่วหยามุ่นคิ้วไม่ตอบ ดูแล้วไม่สู้สบายใจจริงดังคาด
เฉินเวยเฉินช่วยตอบ “เจ้ากระบี่เยี่ยวันนี้รับปากข้าว่าจะพาข้าไปบำเพ็ญเซียน” พูดถึงตรงนี้ก็หัวร่อเอง ถามอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้ากระบี่เยี่ย จิตทั้งสามของข้าลึกตื้นเท่ากัน หลางหรันโหวยังไม่ยอมรับ ไฉนท่านจึงดึงดันว่าธาตุแท้เช่นนี้เหมาะกับการบำเพ็ญธรรมเล่า”
เยี่ยจิ่วหยายังคงไม่ตอบ เพียงมองดู สายตาคล้ายปกคลุมด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง เหมือนชมบุปผาผ่านน้ำ
เฉินเวยเฉินกระเถิบเข้าใกล้ จ้องประสานสายตาโดยไม่กะพริบ “ยังมีผู้อื่นที่มีธาตุแท้เช่นนี้ใช่หรือไม่”
ได้ยินเยี่ยจิ่วหยาตอบเบาๆ คำหนึ่ง เสียงเบามากจนแทบไม่ได้ยิน
เขาตอบว่ามี
เฉินเวยเฉินถาม “ผู้ใด”
เยี่ยจิ่วหยาแลดูอีกฝ่าย อาการเมามายเมื่อครู่สลายสิ้น ยังตื่นตัวและเย็นชา “เฉินเวยเฉิน เจ้ากำลังทำอะไร”
เฉินเวยเฉินยังหัวร่ออย่างไร้สาเหตุ “อยากลวงท่านตอนเมา เมื่อครู่ท่านคิดถึงคนอื่นหรือ นามว่าอะไร คงมิใช่คนรักในฝันกระมัง คนเช่นท่านมีคนรักในฝันด้วยหรือ”
เยี่ยจิ่วหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มิใช่”
เฉินเวยเฉินรินสุราให้ตนเองอีก รินจนหยดสุดท้ายจากไห เขาดื่มจนหมด มองดูเยี่ยจิ่วหยา
“เจ้ากระบี่เยี่ย อดีตมิอาจเรียกคืน” เฉินเวยเฉินยังยิ้มบอกว่า “มิสู้คว้าคนที่อยู่ต่อหน้าดีกว่า” พูดจบเหมือนนึกขึ้นได้จึงสั่นศีรษะ “ไม่ดี ข้าคิดผิด ท่านผู้นี้คงบำเพ็ญ ‘วิถีฟ้าลืมรัก’ อะไรนั่น ฟ้าลืมรักย่อมไม่มีอารมณ์รัก นี่ไม่เพียงไม่รำลึกอดีต กระทั่งอนาคตก็ไม่มุ่งหวังแล้ว”
เขาพูดพลางยิ้มแย้มว่า ‘อนาคตก็ไม่มุ่งหวัง’ เพิ่งขาดคำเทียนในโคมไฟที่เขาถือก็เผาไหม้เปลวสุดท้าย แสงไฟโลดเต้นแล้วดับลง
ทั้งสองสลายตัว ต่างคนต่างไป ทิ้งไว้เพียงจันทราและหมู่ดาว
เวินหุยตื่นเพราะเสียงกุกกักตอนเฉินเวยเฉินกลับห้อง
คุณชายเกาะกรอบประตูหน้าซีดเซียว ไหล่ยังสะท้านน้อยๆ คล้ายกำลังเจ็บปวด
เด็กรับใช้แทบจะกระโดดจากเตียงลงมาลากคุณชาย ร้องว่า “คุณชายโรคเก่ากำเริบอีกแล้วหรือ ไม่มีอาการมาหลายปี เพราะดื่มสุรากับคนงามกระมังถึงได้ยินดีปานนี้”
คุณชายทนกับความเจ็บปวด ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ยินดีกับผีน่ะสิ ข้าเสียใจแทบตาย”
“เสียใจ?”
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะซักถามอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบว่าเหตุใดจึงเสียใจ เพียงได้ยินคุณชายที่รำคาญคำถามพึมพำก่อนหลับไปในที่สุดว่า “คงเป็นเรื่องเก่าแต่ชาติปางก่อนกระมัง”
[1]* เจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า อุปมาถึงการคาดหวังในตัวคนคนหนึ่ง แต่คนคนนั้นกลับไม่ได้เก่งหรือดีอย่างที่เราคาดหวังเลยรู้สึกว่าไม่ได้ดั่งใจ
[2]* เรือที่มิได้ผูกโยง เป็นสำนวน อุปมาถึงชีวิตที่ร่อนเร่ไป ไร้การผูกมัด เต็มไปด้วยอิสระ
[3]* ดื่มพิษดับกระหาย เป็นสำนวน หมายถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่สนใจผลร้ายแรงที่จะตามมา
Comments



