everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 1-4 #นิยายวาย
บทที่ 4
ไร้รัก
ตอนเฉินเวยเฉินไปจากชายหาดเป็นเวลาตะวันขึ้นพอดี เมฆลอยเกลื่อนฟ้า
เขาเดินไปบนเส้นทางภูเขาในป่าที่สายหมอกเริ่มจางพร้อมกับเยี่ยจิ่วหยา เซี่ยหลางและเวินหุยติดตามอยู่ข้างหลัง ความสัมพันธ์ของสองคนนี้พัฒนาจนเป็นมิตรภาพที่น่ายินดี คาดว่าคงเพราะชอบพูดเหมือนกัน
…เพียงแต่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังจากข้างหลังเป็นครั้งคราว
“ข้าขอถามนะหลางหรันโหว ท่านตามพวกเรามาด้วยเหตุใดหรือ”
“นั่นเพราะเจ้ากระบี่เยี่ย ในเมื่อได้พบแล้วข้าย่อมต้องตามติดตลอดทาง”
“ท่านกลับเหมือนคุณชายบ้านเรา เป็นพวกเกาะติดไม่ยอมปล่อย…ดีถึงเพียงนั้นจริงหรือ”
“เจ้ากระบี่เยี่ยเป็นคนระดับใด ข้าเพียงอยู่ข้างๆ เงียบๆ ต่อให้ไม่ได้อะไรเลย อย่างน้อยก็อิ่มตาตลอดทาง หากได้เห็นเขาออกกระบี่ ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างก็นับว่าโชคดีมหาศาล คุ้มค่ายิ่งกว่าท่องคัมภีร์หนานหัวจิงร้อยปีเสียอีก”
…ที่แท้ก็ลอบจับจ้องวิทยายุทธ์ของผู้อื่นนี่เอง
“เจ้ากระบี่เยี่ย” เฉินเวยเฉินทนไม่ไหวเอ่ยปากก่อน “วิถีเซียนของท่านได้รับการเทิดทูนจากผู้คนจริงๆ”
คนผู้นั้นยังคงมีสีหน้าท่าทางไม่เปลี่ยนราวกับไม่ได้ยิน
ได้ยินเวินหุยกระซิบอีกครั้งจากข้างหลังว่า “ร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียว”
เสียงเซี่ยหลางยิ่งเบา “เจ้ากระบี่เยี่ยมีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเฉพาะเพลงกระบี่ กระบี่ของท่านต่างจากสำนักอื่น มรรคาไร้รักสะบั้นทุกสิ่งผูกพันและทำลายจิตมารได้! จิตมารคืออุปสรรคอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุดในเส้นทางบำเพ็ญเซียน แต่ภายใต้พลังกระบี่ไร้รัก ฆ่าฟันสิ่งชั่วร้ายจนถอยห่าง เฮอะ มิอาจต้านทานได้โดยแท้”
“เช่นนั้น…ปีนี้เจ้ากระบี่เยี่ยอายุเท่าใด”
เฉินเวยเฉินดวงตาลุกวาว มองดูสีหน้าเยี่ยจิ่วหยาพลางเงี่ยหูฟัง
“ก็…” เซี่ยหลางกล่าวอย่างขวยเขินว่า “อายุพอๆ กับข้ากระมัง”
เมื่อเห็นสายตาดูแคลนจากเวินหุย เซี่ยหลางจึงรีบกล่าวเสริม
“ความจริงแล้วการบำเพ็ญเซียนเน้นที่การตื่นรู้ของรากปัญญาเป็นสำคัญ ครั้นเยาว์วัยเจ้ากระบี่เยี่ยอาศัยกำลังของตนเพียงผู้เดียวก็สามารถฟื้นฟูสำนักเจี้ยนเก๋อขึ้นมาได้ ส่วนราชันเทพที่จนบัดนี้ยังมิรู้เป็นหรือตายของพวกเรานั้น นับแต่แรกที่เข้าสู่วิถีเซียนก็สามารถใช้กระบี่เดียวเหนี่ยวรั้งธารสวรรค์ ชื่อเสียงลือเลื่องทั้งแผ่นดิน หลังจากนั้นชนะสามจวินสิบสี่โหวอย่างต่อเนื่อง ขึ้นสู่เขาฮว่านตั้งเดินบนเส้นทางเชื่อมสวรรค์ บรรลุจุดสูงสุดของวิถีเซียน นับเป็นความสามารถที่สวรรค์มอบให้โดยแท้”
“ถ้าเช่นนั้นราชันเทพของพวกท่านเปรียบเทียบกับเจ้ากระบี่แล้วเป็นอย่างไร”
“นี่มิอาจทราบได้ ทั้งสองมิได้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ท่านผู้นั้นได้รับแต่งตั้งเป็นราชันแห่งวังฝูเทียนเขาฮว่านตั้ง เจ้ากระบี่เยี่ยยังเล็กอยู่เลยและยังมิได้ลงจากเขาเจี้ยนเก๋อ ภายหลังก็ไม่เคยได้ยินว่าทั้งสองท่านเคยพบกัน” เซี่ยหลางถอนใจราวกับยังไม่สาสมใจ ย้อนพูดถึงหัวข้อเมื่อครู่อีก “เห็นได้ว่าเรื่องการบำเพ็ญเซียนเป็นลิขิตฟ้า มิใช่กำลังมนุษย์ คนเช่นคุณชายบ้านเจ้านี้…เฮ้อ”
“…” เฉินเวยเฉินถูกแดกดันเย้ยหยันโดยไร้สาเหตุก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรตอบสนองแบบใด
บังเอิญว่ายามนี้ไอชื้นบนเส้นทางภูเขายังคงไม่จางหาย คนที่สามารถเดินบนพื้นราบก็หกล้มได้เช่นเขายามนี้จึงยิ่งขวัญผวา สาวเท้าอย่างลำบาก เยี่ยจิ่วหยาที่อยู่ข้างๆ เหมือนไม่ได้ยิน ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยแม้แต่น้อย เขาจึงหันไปมองเวินหุยอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง
เด็กรับใช้จำต้องหยุดพูดคุยกระซิบกระซาบกับนักพรตเต๋า ตามขึ้นไปดูแลคุณชายของตนเพื่อป้องกันไม่ให้ดวงซวยเกินไปจนพลั้งตกหน้าผาตาย
เฉินเวยเฉินถามเยี่ยจิ่วหยา “เจ้ากระบี่ หลังลงจากเขาแล้วท่านจะไปหนใด”
“แดนมนุษย์”
พอเวินหุยได้ยินก็หูไวมือไวรีบชิงพัดจีบมาจากมือของเฉินเวยเฉินทันทีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเผลอโบกพัดจนลืมดูทาง
แต่แม้จะไม่มีเครื่องมือที่ใช้สำหรับเสแสร้งทำท่าทำทางก็มิได้ทำให้ท่วงท่าดั่งงูเจ้าถิ่นของคุณชายแซ่เฉินลดทอนลง “ที่ใดของแดนมนุษย์หรือ…หากเป็นจงโจว ข้าคุ้นเคยดี”
“นครหลวงเก่าของจงโจว”
“เมืองผีจิ่นซิ่ว?”
เยี่ยจิ่วหยาส่งเสียง “อืม” เบาๆ
เซี่ยหลางโบกแส้จามรีคราหนึ่ง “ช่างบังเอิญยิ่ง ผู้ถือพรตจะได้ฝึกการจับผีที่นั่นด้วย”
เวินหุยตัวสั่นงันงก
แผ่นดินแห่งนี้แบ่งเป็นสิบสี่โจว และเป็นที่มาของโหวทั้งสิบสี่
จงโจวใหญ่ที่สุด ส่วนอีกสิบสามโจวเป็นเมืองบริวารซึ่งถูกคั่นด้วยทะเล
หากแดนมนุษย์มีฮ่องเต้องค์ใดยึดครองจงโจวไว้ในกำมือ ครอบครองทั่วหล้าด้วยวิถีแห่งกลอุบายได้ การเป็นใหญ่บนบัลลังก์มังกรย่อมสำเร็จในเร็ววัน
แต่ก็เป็นดังที่ซินแสโจวซึ่งเป็นคนเล่านิทานว่าไว้ แดนมนุษย์แตกแยกมานาน ต่างคนต่างตั้งตัวเป็นใหญ่ ไม่มียอดคนผู้เปล่งวาจาเพียงคำเดียวทั่วหล้าก็พร้อมน้อมรับคำ ไฟสงครามลุกลามไปทั่ว โดยเฉพาะจงโจวซึ่งรุนแรงที่สุด นอกจากดินแดนที่เจริญที่สุดแห่งสุดท้ายของแคว้นหนานที่ถอยร่นจนถึงชายขอบแล้วก็ไม่มีที่ใดสงบสันติอีกต่อไป
“บิดาและมารดาของข้าเข้มงวดยิ่ง หากจะออกไปต้องโดนดุแน่” เฉินเวยเฉินกล่าว “แต่บัดนี้มีเจ้ากระบี่เยี่ยอยู่ด้วย คิดว่าน่าจะปล่อยข้าไปโดยราบรื่น”
คนทั้งสี่ลงจากภูเขา เนื่องจากเฉินเวยเฉินเพียงพาเด็กรับใช้ลอบออกมา ไม่มีรถม้าให้โดยสาร ตลอดทางกลับเมืองจึงเงียบเชียบ
ก่อนจากไปเขายังถูกฮูหยินสกุลเฉินกำชับแล้วกำชับอีก “ห้ามเพิ่มความยุ่งยากแก่ท่านเซียน ไม่ต้องคิดถึงบ้าน” สุดท้ายนางก็ดึงมือเวินหุยไปพร้อมเอ่ย “คอยดูเจ้าตัวร้ายให้ดีนะ”
ที่ใต้ต้นไม้ตรงปากประตูมีดรุณีน้อยคนหนึ่งพิงอยู่ นางแต่งกายเป็นหญิงรับใช้ ดวงตากลมโตมองไปมองมาบนตัวเวินหุย จนกระทั่งอีกฝ่ายใกล้เข้ามาก็แค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่งแล้วเดินหนีไป
เวินหุยกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เสี่ยวเถา รอข้ากลับมานะ”
ดรุณีน้อยส่งเสียงร้องฮึผ่านกำแพง ผ่านไปครู่เดียวก็มีผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกท้อถูกโยนมาจากหลังกำแพง
เวินหุยเก็บมันขึ้นมา สีหน้าท่าทางดีใจจนราวกับจะเหาะขึ้นสวรรค์
เฉินเวยเฉินโบกพัดที่มีภาพวาด มองดูอยู่ข้างๆ อย่างอิจฉา เมากลับบ้านคราหนึ่งเปลี่ยนพัดอีกเล่ม หน้าพัดวาดเป็นภาพเก๋งงดงามท่ามกลางภูผาวารีในยามบ้านเมืองรุ่งเรือง ทว่าด้านหลังพัดกลับเขียนบทกวีฟู่[1]* ที่โศกสลดเอาไว้ พอเห็นท่าทางเช่นนั้นของเวินหุยเขาก็กำลังจะออกปากประชด แต่กลับถูกเยี่ยจิ่วหยาชายตาใส่ปราดหนึ่งจนต้องหุบปากและรีบตามไป
ตอนผ่านประตูเมือง บังเอิญเห็นเฒ่าขาเป๋ที่เป็นหมอดูพิงอยู่ที่มุมกำแพง กำลังโคลงศีรษะรับแสงตะวัน
เฉินเวยเฉินเหลือบดูเยี่ยจิ่วหยาทีหนึ่ง เห็นคนผู้นี้ไม่มีท่าทีรำคาญจึงก้าวเข้าไปทักว่า “เฒ่าเป๋ เฒ่าเป๋!”
เฒ่าขาเป๋ลืมตาขึ้นเล็กน้อย “คุณชายเฉินหรือ”
“ข้าผู้เป็นคุณชายจะไปแล้ว ยังไม่รู้จะกลับมาวันใด ท่านก็ไม่ต้องตากลมตากฝนแล้ว ไปพักที่เรือนข้ากินดื่มดีๆ ท่านยินยอมหรือไม่”
“ไม่ยอม” เฒ่าขาเป๋กล่าวเรียบๆ “เรือนท่านไหนเลยจะสุขสบายเหมือนข้างนอก”
“เดาไว้แล้วว่าท่านต้องไม่ยอม” เฉินเวยเฉินกล่าว “ข้าไปแล้วนะ ก่อนไปช่วยทำนายให้หน่อยได้หรือไม่”
เฒ่าขาเป๋หยิบกระบอกไม้ไผ่ผุๆ มาเขย่าคราหนึ่งแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา “ขี้เกียจอธิบาย ท่านนำติดตัวไปก็พอ”
เฉินเวยเฉินยิ้มพลางหยิบไม้ติ้วขึ้นมาอันหนึ่งแล้วยัดใส่ห่อสัมภาระบนบ่าของเด็กรับใช้โดยไม่แม้แต่จะมองดู ซ้ำยังไม่บอกลา เพียงแค่หมุนตัวจากไป
“ข้าว่านะ” เซี่ยหลางสะกิดศอกเวินหุยเบาๆ “เขาไม่ถามว่าบำเพ็ญเซียนอย่างไร และไม่ถามว่าเจ้ากระบี่เยี่ยจะทำอะไร จู่ๆ ก็ติดตามมา มิหนำซ้ำก่อนจากยังไม่โศกเศร้า แม้แต่ติ้วเซียมซีก็ยังไม่ดู คุณชายบ้านเจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่”
“คนบ้าอย่างไรเล่า” เวินหุยตอบ “เราสองคนเกิดวันเดือนปีเดียวกัน ไม่เคยแยกกันเลยสักวัน ตั้งแต่เล็กเขาก็นิสัยผีสางเช่นนี้ แก้ไม่หายหรอก”
“วันเดือนปีเดียวกันหรือ…” เซี่ยหลางครุ่นคิด
เฉินเวยเฉินหันกลับมา เลิกคิ้วกล่าวว่า “นักพรตหมอดู ข้าดูแล้วท่านคงดีแต่ทักโน่นทายนี่ตามดวงเกิด เช่นนั้นลองทำนายอาหุยบ้านข้าดูสิ”
เมื่อถูกดูแคลนวิชานักพรตจึงโต้กลับอย่างเดือดดาล “ดวงชะตา! ดวงชะตาคนเราไม่ใช่แค่วันเดือนปีเกิด!”
เฉินเวยเฉินเห็นคนผู้นี้ยั่วโมโหง่ายก็หัวร่ออย่างเบิกบาน ไม่ทันระวังอาการโรคเก่าจึงกำเริบ ท่าทีฮึกเหิมพลันหายไปกว่าครึ่ง เดินตามไปแต่โดยดี
เยี่ยจิ่วหยาผู้นี้พูดแล้วทำเลย เขาเริ่มสอนเฉินเวยเฉินบำเพ็ญเซียนอย่างจริงจัง
ไอหนาวเย็นพุ่งทะลวงก่อกวนอยู่ในกระดูกทั่วร่าง เฉินเวยเฉินปวดจนแทบร้องโอดโอยออกมา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นหัวสองหัวโผล่จากหน้าต่างของโรงเตี๊ยมเพื่อชมดูความครึกครื้น ให้รู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าชังนัก
“เจ้า…เจ้ากระบี่เยี่ย” เขากล่าวเสียงสั่น “พอประมาณก็พอแล้ว แม้ข้าจะอยากบำเพ็ญเซียน แต่ก็ไม่รีบ”
“นี่เพียงเริ่มต้น” เยี่ยจิ่วหยาสีหน้าไร้ความรู้สึก “เป็นการผลัดเปลี่ยนกระดูกทั่วร่างเป็นกระดูกเซียน จะเป็นพื้นฐานการตื่นรู้ของเจ้าในวันข้างหน้า”
“ข้าต้องตื่นรู้อันใดหรือ”
“ลืม” น้ำเสียงของคนผู้นั้นเหมือนสีหน้า เยือกเย็นไร้ความรู้สึกดุจน้ำแข็ง แม้แต่เนื้อหาคำพูดก็เช่นเดียวกัน “ลืมรากปัญญาแลดวงชะตา ลืมอดีตแลอนาคต มีชีวิตอยู่อย่างเคว้งคว้างล่องลอยจึงจะไม่ถูกร้อยรัดด้วยมรรคาสวรรค์แลโชคชะตา”
“สรุปแล้วก็ยังจะให้ข้าลืมรักอยู่ดี” เฉินเวยเฉินเหงื่อผุดที่หน้าผากเอ่ยเสียงสั่นเครือ แต่พยายามตั้งสติอย่างดื้อรั้น “ท่านบอกว่าเรื่องนี้เคยมีตัวอย่างมาก่อน แต่ข้าไม่ต้องการทำตามตัวอย่างนี้เลย เซี่ยหลางบอกว่าจิตทั้งสามของข้าลึกเท่ากันตื้นเท่ากัน เช่นนั้นก็บำเพ็ญทั้งเซียนพุทธมารเลยเป็นอย่างไร”
ความเจ็บปวดรุนแรงผุดขึ้นจากส่วนลึกของกระดูก เบื้องหน้าเขาดำมืด ทั้งตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
จนกระทั่งเยี่ยจิ่วหยาปล่อยมือ เขาก็ราวกับได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินเวยเฉินลืมตา ปะกับสายตาของเยี่ยจิ่วหยาพอดี
“การบำเพ็ญเต๋าคือการบำเพ็ญจิต” คนผู้นั้นกล่าวเรียบๆ “ข้าเพียงผลัดเปลี่ยนกระดูกในเจ็ดวันให้เจ้า เส้นทางที่ลำบากยากเย็นและอุปสรรคนานัปการจากนี้ต่างไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว”
เฉินเวยเฉินจุปากถอนใจว่า “ท่านช่างไร้น้ำใจจริง ช่างเถิด เดิมทีท่านกับข้าแค่คบหากันเพียงเพราะจี้เมี่ยเซียงก้อนหนึ่งเท่านั้น”
จนกระทั่งความเจ็บปวดช่วงนี้ผ่านไป ยังอยู่ในสภาพกึ่งตายกึ่งเป็น
เวินหุยกดบ่าเฉินเวยเฉินเอาไว้ “คุณชาย เมื่อครู่ข้าให้เซี่ยหลางช่วยดูรากปัญญาให้ เขาถึงกับบอกว่าข้ามีจิตสัมผัสพิเศษใหญ่โตอะไรนั่น ทางที่ดีที่สุดให้รีบเข้าสำนักเต๋า แล้วเขายังเอาคัมภีร์หนานหัวจิงให้ข้าเล่มหนึ่งด้วย”
เฉินเวยเฉินรู้สึกอิจฉามาก “…ออกไป” พูดจบก็เปลี่ยนความคิด “ช่างเถอะ ไม่ต้องออกไป นำคัมภีร์มาให้ข้าดูหน่อย”
“คุณชายก็อยากบำเพ็ญเต๋าหรือ”
“คุณชายของเจ้าอยากบำเพ็ญทุกอย่าง” เฉินเวยเฉินตอบ “เยี่ยจิ่วหยานั่นน่าจะมีมารผจญอันใด วันๆ นึกถึงแต่ฟ้าเบื้องบนลืมรักไม่ยอมเลิก ข้าจะไม่คล้อยตามเขา”
[1]* บทกวีฟู่ เป็นบทกวีรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะของบทกวีผสมผสานกับการเขียนร้อยแก้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments



