ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 5-8 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 5-8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

ทดลองอ่านเรื่อง หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1

ผู้เขียน :  อีสือซื่อโจว (一十四洲)

แปลโดย : เซี่ยงฉี

ผลงานเรื่อง : 一剑九琊 (Yi Jian Jiu Ya)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

บทที่ 5

ค้างคืน

ออกจากเมืองเยวี่ยเฉิง ผ่านพื้นที่อันรุ่งเรืองสามสี่แห่งจนสุดท้ายก็มาถึงแดนดินอันรกร้าง

หออาคารพังล้ม สระและแท่นเต็มไปด้วยดินและฝุ่น ชายคาหักตกในโคลนตม

จนกระทั่งผ่านช่องเขาอันตรายตามธรรมชาติ ออกจากด่านป้องกันถึงพื้นที่นอกเขตแดนของแคว้นหนานก็ยิ่งรกร้างวังเวง ในระยะร้อยหลี่ไร้ผู้คน

ริมทางมีสุนัขที่ผอมแห้งเหมือนท่อนฟืนคาบกระดูกขาวเกลี้ยงเกลามาจากที่ใดไม่รู้ มันนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ริมทาง ปากคาบไว้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ขึ้นเหนือไปอีกมีเมืองร้างแห่งหนึ่งเป็นเมืองใหญ่โต น่าเสียดายที่คูน้ำป้องกันเมืองแห้งขอดแล้ว

เฉินเวยเฉินวางคัมภีร์หนานหัวจิงในมือลง มองดูทิวทัศน์ผ่านช่องหน้าต่างรถม้า และกล่าวกับเด็กรับใช้อย่างอวดความรู้ว่า “นี่น่าจะเป็นเมืองซั่งจิ่น ยามราชวงศ์รุ่งเรืองถึงขีดสุด ความเจริญทัดเทียมเมืองเยวี่ยเฉิง เสียดายที่วอดวายเพราะไฟสงคราม”

ยามที่สัญจรอยู่ในเมืองก็เห็นแต่บ้านเรือนดำเมี่ยมเพราะเปลวเพลิง ข้างทางมีกระดูกมนุษย์ประปราย

“หนึ่งปีให้หลังข้าผู้เป็นคุณชายจะลงสู่ปรภพไปเป็นสหายกับพี่น้องเหล่านี้แล้ว เมื่อร่างกายนี้ดับสูญ ไม่มีใครจำใครได้อีก ดีมาก ประเสริฐที่สุด”

เวินหุยโบกมือแสดงท่าทีว่าไม่อยากสนใจคำพูดเหลวไหลของเขาอีก แล้วจึงเข้าไปกระซิบใกล้ๆ ข้างหูว่า “คุณชาย ต่างก็บอกว่าเซียนจะฆ่าภูตผีกำจัดมารทำตามมรรคาสวรรค์ แต่ในใจของพวกเรานั้นทุกข์จากภัยสงครามยิ่งกว่าเภทภัยจากภูตผีมารร้ายเสียอีก ไยพวกเขาจึงไม่เหลียวแลเล่า”

ว่าแล้วยังลอบชำเลืองดูเซี่ยหลางที่กำลังตั้งอกตั้งใจเล่นกับแมว และเยี่ยจิ่วหยาที่มัวแต่เช็ดถูกระบี่ช้าๆ

เฉินเวยเฉินกล่าวอย่างชื่นชมว่า “เจ้าถามได้ดีมาก ไม่เสียทีที่ฟังซินแสโจวเล่านิทานมาสิบกว่าปี”

ภายในรถม้าที่โคลงเคลง เสียงเขาไม่ดังไม่เบา “เวทนาสงสารราษฎรคืออริยปราชญ์มิใช่เซียน แต่ในสายตาของเหล่าเซียนไม่มีสรรพสัตว์มีแต่มรรคาสวรรค์ มีแต่ชีวิตอมตะ มีหรือจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องจิปาถะของแดนมนุษย์”

เซี่ยหลางมองดูกระดูกขาวและฝูงกายามสนธยาข้างนอก ลูบแมวในอ้อมอก “มรรคาสวรรค์ย่อมมีลิขิต โชคเคราะห์แดนมนุษย์ขึ้นอยู่กับเหตุและผล พวกเรามิอาจสอดแทรก”

เฉินเวยเฉินพูดต่อ “ฆ่าภูตผีกำจัดมารอสูรคือมรรคาสวรรค์ ไม่สอดแทรกเรื่องแดนมนุษย์ก็เป็นมรรคาสวรรค์ เรื่องที่ซินแสโจวชอบเล่าที่สุดก็คือเรื่องครานั้นที่ราชันเทพเยี่ยนกระบี่เดียวเหนี่ยวรั้งธารสวรรค์ซึ่งกำลังจะล่มสลาย รักษากำแพงขวางกั้นระหว่างเซียนกับอสูรไว้ได้ ช่วยสรรพสัตว์ในโลก…หากศึกษาถึงแก่นแท้ของสาเหตุ ยังเป็นเพราะพวกเซียนต้องการปกป้องตนเอง เพราะหากกำแพงกั้นขวางเซียนกับอสูรพังลง ยังจะเหลือแดนสงบให้บำเพ็ญเซียนอีกหรือ เห็นได้ว่าแม้จะเป็นเหล่าเซียนและราชันเทพก็ใช่ว่าจะเป็นตัวดี”

เซี่ยหลางกล่าวว่า “คุณชายเฉิน เห็นได้ว่าจิตเต๋าของท่านไม่แจ่มแจ้งเอาเสียเลย”

แต่เฉินเวยเฉินหัวร่อ “ข้าแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับราชันเทพผู้นั้นของพวกท่านมิได้หรือไร”

 

ขึ้นไปทางเหนือของเมืองซั่งจิ่น เศษเสี้ยวตัวเมืองที่หลงเหลือยิ่งน้อย จนกระทั่งอาทิตย์สนธยาลับเหลี่ยมเขา ม่านราตรีกำลังจะคลุมลงจึงค่อยถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีคนอาศัย ควันจากการหุงต้มล่องลอยกระจายไปทั่ว เสียงสตรีร้องเรียกบุตรของตนให้รีบกลับบ้าน แต่งแต้มกลิ่นอายมนุษย์ให้กับยามพลบของดินแดนร้างนี้

เฉินเวยเฉินเคาะประตูเรือนหลังหนึ่งถามว่าจะขอที่พักอาศัยได้หรือไม่ บุรุษที่เปิดประตูเห็นเป็นคนนอกสีหน้าก็พลันเคร่งเครียดระวังตัว โบกมือเอ่ย “ที่หัวหมู่บ้านทางเหนือ เรือนของอาจารย์สอนหนังสือมีห้องว่างอยู่”

นี่เท่ากับโดนไล่ พวกเขาจึงไปยังทางเหนือของหมู่บ้าน

“โมงยามวุ่นวายเยี่ยงนี้ยังมีอาจารย์สอนหนังสืออีก แปลกจริง” เฉินเวยเฉินพึมพำขณะเข้าใกล้เรือนหลังนั้น

หลังจากเดินผ่านแปลงผัก ผ่านหน้าต่างรับลม ก็เห็นบัณฑิตสภาพซอมซ่อหน้าตาคมคายกำลังสอนเด็กหลายคนทำนองว่า “รักอันยิ่งใหญ่ลึกซึ้งเรียกว่าเมตตาธรรม ดำเนินตามวิถีเรียกคุณธรรม”

แต่กลียุคยังมีผู้ใดคำนึงถึงคุณธรรมเมตตาธรรมเล่า

เมื่อเด็กนักเรียนผอมกะหร่องหน้าตาเหลืองซีดหลายคนรอจนเขาอธิบายตำราอริยปราชญ์วันนี้จบก็แตกฮือสลายตัว วิ่งน้ำมูกย้อยตะบึงกลับบ้านที่มีแต่โจ๊กใสๆ รสจืดชืดรออยู่

บัณฑิตซอมซ่อถอนใจปิดตำรา เหลือบมองไปก็ปะกับใบหน้าของเฉินเวยเฉินโดยไม่ตั้งใจพอดี

เขางงงันวูบหนึ่งแล้วถามว่า “คุณชายท่านนี้ ท่านคือ…”

จนกระทั่งรู้ว่าหลายคนที่จะมาหาที่พักนี้มาจากดินแดนแคว้นหนาน แววตาบัณฑิตก็ทอความเลื่อมใส

“ไว้รอให้ถึงฤดูวสันต์ข้าก็จะไปรับราชการที่แคว้นหนานเช่นกัน บัดนี้ฝูงจิ้งจอกจับจ้องทุกทิศคือจังหวะที่ราชสำนักต้องการบัณฑิตเยี่ยงพวกเราที่สุด”

เฉินเวยเฉินเงียบงัน

ภายในเรือนส่วนที่น่าจะเป็นห้องครัวมีควันหุงต้มลอยออกมา มีสตรีนางหนึ่งผลักประตูไม้เปิดออกกึ่งหนึ่ง พอเห็นข้างนอกมีแขกก็พลันไม่รู้ว่าตนควรออกไปต้อนรับหรือควรหลบดี

“อาซู” บัณฑิตเรียกนาง ไม่ได้ถือสาอะไร

“ประหลาด” เซี่ยหลางที่อยู่ข้างกายเฉินเวยเฉินพูดเบาๆ “ชิงหยวนน้องสาวข้า ตั้งแต่เห็นบัณฑิตผู้นี้ก็ไม่สู้ปกติ ส่วนข้าดูแล้วคนผู้นี้มีโชคมาก แต่กลับมีกลิ่นอายโลหิต”

ระหว่างพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร จึงได้ทราบว่าบัณฑิตผู้นี้มีนามว่าจวงไป๋หาน เดิมครอบครัวมั่งมี วัยเด็กเคยเรียนหนังสือจากสำนักศึกษาในเมืองและแต่งงานกับบุตรีของอาจารย์ผู้มีพระคุณ จนใจที่ประสบภัยสงครามจึงตกยากถึงที่นี่

พอพบว่าหลายคนนี้ไม่ธรรมดาก็มิแข็งมิอ่อน สนทนาพาทีไม่ธรรมดา นับเป็นผู้ทรงภูมิจิตใจลึกซึ้ง

หลังอาหารมื้อค่ำก็ยังเก็บกวาดห้องพักให้ ห้องว่างสองห้อง ชวนให้รู้สึกแปลกพิลึกทีเดียว เฉินเวยเฉินจัดการให้เวินหุยพักห้องเดียวกับเซี่ยหลางและแมว ส่วนตนพักห้องเดียวกับเยี่ยจิ่วหยา

“เวลานี้บัณฑิตที่ตั้งอกตั้งใจจะเป็นปราชญ์มีน้อยยิ่งกว่าน้อย” เฉินเวยเฉินค่อนข้างยินดีและไม่สนใจที่เยี่ยจิ่วหยาอยู่ด้วย “เพียงแต่คนแคว้นหนานมัวเมากับสุรานารี ไม่คิดคำนึงเรื่องการฟื้นฟูบ้านเมือง เขาไปแล้วคงผิดหวัง”

พูดยังไม่ทันขาดคำฝักกระบี่ก็พาดขวางลำคอ กลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ซ่าน กักเขาไว้ที่มุมห้องไม่อาจขยับได้

“เฉินเวยเฉิน” เยี่ยจิ่วหยาเรียกชื่ออีกฝ่ายตรงๆ แววตาลึกล้ำ “เจ้าคือผู้ใดกันแน่”

คุณชายที่เมื่อครู่เพิ่งพูดโอ้อวดความรู้ไปทั่ว พอเผชิญกับการคุกคามถึงชีวิต ความทะนงองอาจพลันเหือดหายหมดสิ้น

“เจ้ากระบี่เยี่ย อย่าวู่วาม” เขาหัวร่อแหะๆ

ฝักกระบี่ยิ่งชิดลำคอ

“ข้าบอก ข้าบอกแล้ว” เขาทำท่าทางว่าจะสารภาพตามความจริงแต่โดยดี “เฉินเวยเฉินเป็นชาวเมืองเยวี่ยเฉิง บิดาเป็นเจ้าเมือง มารดาเป็นธิดาคนโตของคหบดีจ้าวเฉวียนแห่งเยวี่ยเฉิง ปีนี้อายุสิบเก้า ยังไม่แต่งงานและไม่มีคู่หมั้นหมาย” เขาเงยหน้าสบสายตาเย็นชาของเยี่ยจิ่วหยาแล้วพูดต่อ “…มีเพียงเท่านี้ หากท่านไม่เชื่อในที่ว่าการเมืองมีสมุดทะเบียนเรือนเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน”

“ไยจึงบำเพ็ญเซียน”

เฉินเวยเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “เรื่องนี้น่ะหรือ บังเอิญข้ามีความชมชอบเล็กๆ ในเรื่องตัดแขนเสื้อ[1]* หลงใหลในความสง่างดงามไม่มีใดเทียมของเจ้ากระบี่เยี่ย เกิดเคลิบเคลิ้มไม่รู้ตัว เพียงอยากใกล้ชิดสักครา…โอ้!”

พริบตานั้นกระบี่ก็ออกจากฝัก ประกายกระบี่จี้ลงบนคอหอย

เฉินเวยเฉินใช้สองนิ้วคีบกระบี่ ค่อยๆ ผลักมันออกไป

“ก็แค่คนที่กำลังจะตายคนหนึ่งเท่านั้น ไยเจ้ากระบี่เยี่ยจึงต้องใส่ใจถึงเพียงนี้ สามารถถกวิถีเซียนกับหลางหรันโหว ก็แค่เพราะเคยอ่านหนังสือไม่เป็นเรื่องเป็นราวและปกติชอบคิดเหลวไหลฟุ้งซ่านเท่านั้น” เฉินเวยเฉินเอ่ยเสียงเบาลงแต่ท้ายที่สุดก็ยังเก็บอาการหยอกเย้าไว้ “สรุปแล้วไม่มีเจตนาร้ายใดๆ ต่อเจ้ากระบี่เลย”

 

เรือนซอมซ่อ เสียงจึงดังผ่านผนังไปถึงห้องข้างๆ อย่างง่ายดาย

เวินหุยที่อยู่ห้องติดกันมือปิดหน้า ทอดถอนใจให้กับความหน้าหนาของคุณชายตน ส่วนเซี่ยหลางเดือดดาลจนแทบเต้น “อยากใกล้ชิดสักครา…อยากใกล้ชิดสักครา! เจ้ากระบี่เยี่ยเป็นคนระดับใด คุณชายบ้านเจ้าไฉนจึงรุ่มร่ามเช่นนี้”

เวินหุยฉุดตัวอีกฝ่ายไว้ “คุณชายบ้านข้าวิกลจริตอยู่แล้ว ชอบพูดจาเหลวไหล ท่านอย่าถือสา อย่าถือสา”

 

เยี่ยจิ่วหยาจ้องเฉินเวยเฉินหลายตลบ เก็บกระบี่เข้าฝักแล้วเดินไปที่เตียง

เฉินเวยเฉินรีบเข้าไปปูเตียงทันที ซักถามโน่นนี่อย่างห่วงใย หลังจากเผชิญหน้ากับความเย็นชาน่าเบื่ออยู่พักหนึ่งก็ได้แต่ไปจัดแจงที่นอนของตนเอง

แน่นอนว่าเป็นที่พื้น

แสงจันทร์ส่องเข้าทางหน้าต่าง หันหน้าไปก็เห็นสภาพบนเตียงได้

คนผู้นั้นวางกระบี่ไว้ข้างหมอน บนกระบี่ยังสลักชื่อกระบี่ไว้ด้วย เป็นอักษรสองตัวคือคำว่า ‘จิ่วหยา’ ลายมือกร้าวแกร่ง เย็นเยือกรุนแรง

เฉินเวยเฉินมองกระบี่ มองตัวอักษร

กระบี่เป็นกระบี่ชั้นดี อักษรก็เขียนได้ดี

เป็นกระบี่ที่ตีจากเหล็กนิลในแดนหิมะสุดขั้วเหนือแสนหนาวเหน็บแล้วจึงเสาะหาช่างที่หลอมกระบี่มาหลายชั่วคนจากเหวลึกสุดขั้วใต้ ขณะหลอมกระบี่ก็มีเพลิงใหญ่เผาผลาญเจ็ดวันไม่เคยดับ แช่ด้วยน้ำแข็งจากสุดขั้วเหนือ ควันที่เกิดขึ้นทะลุฟ้า สำเร็จเป็นกระบี่วิเศษไร้เทียมทาน

หลังจากนั้นช่างหลอมกระบี่จึงถามว่าจะตั้งชื่ออะไร

คำตอบของเขาคือ ‘ยังมิได้คิด’

เช่นนั้นจึงเลยตามเลย ให้ชื่อเหมือนเจ้าของไปก่อนว่าจิ่วหยา

แสงจันทร์สาดส่องผ่านซี่หน้าต่าง ทิ้งเงาจางๆ ไว้ใต้แพขนตาของเฉินเวยเฉิน กลบเกลื่อนแววตาไป ชั่วครู่หนึ่งราวกับเห็นสีสันอ่อนโยนจับต้องได้ยาก คล้ายมีคล้ายไม่มี

 

[1]* ตัดแขนเสื้อ หมายถึงชายที่ชมชอบเพศเดียวกัน มีที่มาจากพระเจ้าฮั่นอายตี้กับชายรับใช้ชื่อต่งเสียนในประวัติศาสตร์สมัยฮั่น ขณะที่ทั้งสองนอนหลับกลางวันด้วยกัน พระเจ้าฮั่นอายตี้ตื่นบรรทมก่อน แต่แขนเสื้อถูกต่งเสียนนอนทับอยู่ จึงทรงตัดแขนเสื้อตนเองทิ้งเพราะไม่อยากกวนต่งเสียนให้ตื่น

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com