ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 5-8 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 5-8 #นิยายวาย

บทที่ 7

คนเก่าก่อน

เนื่องจากมิได้จงใจลดเสียงจึงทำเอาเวินหุยและเซี่ยหลางที่อยู่ห้องติดกันตกใจตื่น ทั้งสองรีบแนบตัวชิดฝาผนัง เงี่ยหูฟังอย่างขวัญผวา

เซี่ยหลางกระซิบ “ข้าว่าแล้ว คุณชายบ้านเจ้าต้องมีความเป็นมา”

เวินหุยเกาศีรษะ “ข้ากับคุณชายโตมาด้วยกัน เขานอกจากดวงไม่ค่อยดีแล้วก็ไม่มีอะไรผิดแปลก”

แมวดำฟุบลงกับคอเสื้อของเวินหุย หลับสนิทท่าทางพึงพอใจ แต่เซี่ยหลางไม่พอใจ เขาคว้าแมวกลับมาไว้ในอ้อมอกตน กระซิบเอ่ย “คนที่มีดวงชะตาเช่นเขาแทบจะไม่เป็นที่ยอมรับของฟ้าดิน นี่เป็นไปได้อย่างไร คนธรรมดาหากมีชะตาเช่นนี้มีหวังตายโหงไปนานแล้ว”

“ข้าไม่สน” เวินหุยพึมพำ “ถึงอย่างไรคุณชายก็มิใช่คนเลว”

 

เยี่ยจิ่วหยานั้นเอ่ยถามว่า ‘เจ้าเป็นใคร’

เฉินเวยเฉินอยู่ใกล้กับเขามาก ถูกสายตาเย็นเยียบดุจหิมะน้ำแข็งจับจ้องกดดันอยู่

“สหายเก่าที่มาพบเจอท่านโดยบังเอิญ” เฉินเวยเฉินตอบเบาๆ “พูดต่อไม่ได้แล้ว ขืนพูดอีกท่านต้องฆ่าข้าแน่”

เยี่ยจิ่วหยาจ้องตา เห็นแววตาอีกฝ่ายไม่เหมือนโกหก

“ข้าไม่มีสหายเก่า” เยี่ยจิ่วหยากล่าว “และไม่มีคนที่ต้องฆ่า”

“ข้ารักชีวิตมาก” เฉินเวยเฉินมอง “เยี่ยจิ่วหยา หนึ่งปีให้หลังรอข้าใกล้ตายแล้วจะบอกท่าน ที่ใช้จี้เมี่ยเซียงมาขู่ก็เพียงเพื่อจะโกงเจ้ากระบี่เยี่ยหนึ่งปี หนึ่งปีมีฤดูวสันต์ ฤดูคิมหันต์ ฤดูสารท ฤดูเหมันต์ รวมสามร้อยหกสิบห้าวัน สั้นยิ่งนัก”

เยี่ยจิ่วหยาย้อนถามเสียงเรียบ “จริงหรือ”

“จริงสิ” เฉินเวยเฉินตอบ “อะไรก็ตามที่ข้าพูดกับเจ้ากระบี่เยี่ย ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ไม่มีคำใดโกหกเลย หากมี…” เขาหยุดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ให้ฟ้าลงโทษทำลายข้าเป็นผุยผง ไม่อาจกลับเข้าสู่วัฏสงสารชั่วนิรันดร์”

เยี่ยจิ่วหยาไม่ถามต่อ อาจเพราะแววตานั้นคล้ายธารน้ำมรกตในวสันตฤดูและคำสาบานนั้นเหมือนปลายเข็มชุบยาพิษร้ายแรง อีกทั้งคนตรงหน้านี้สุดจะคาดเดา

หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน สำหรับเขาแล้วเพียงชั่วพริบตาเดียวจริงๆ

เฉินเวยเฉินมองดู หางตาเจือแววยิ้มนุ่มนวลบางๆ ชวนให้นึกถึงภาพพุ่มดอกซิ่ง[1]* กลางหมอกฝน ธารใสไหลริน หญ้านุ่มเขียวขจี

เบื้องหน้าเยี่ยจิ่วหยาพลันปรากฏภาพเงาร่างของผู้บำเพ็ญวิถีเซียนขึ้นมา

หนึ่งราชันสามจวินสิบสี่โหว ต่างสำนักต่างฝ่ายต่างเผ่าพันธุ์ ไม่ต่ำกว่าพันคน

ในจำนวนนี้ที่ฝืนวัฏสงสารเปลี่ยนแปลงชะตาชั้นฟ้าเกิดใหม่เป็นมนุษย์มีเพียงสองสามคน

กลับมิมีผู้ใดสามารถยิ้มแย้มเยี่ยงนี้

คนเช่นนี้ไม่มีวันบำเพ็ญเซียนสำเร็จ

วิถีเซียนมิอาจยอมรับความมากน้ำใจเช่นนี้

แสงจันทร์นอกหน้าต่างซีดจาง ดึกดื่นสรรพสิ่งเงียบสงัด

ครั้นอรุณรุ่งของวันใหม่มาถึงก็จะเผยให้เห็นดินแดนรกร้างน่าเวทนาที่เต็มไปด้วยควันไฟสงครามอีก

 

หลังจากคลุมร่างด้วยเสื้อคลุมแพรต่วนลายปักหรูหรา ถือพัดหน้าแพรด้ามเลี่ยมทอง เขาก็กลายเป็นคุณชายผู้งดงามที่เดินออกมาจากความหรูหราแห่งโลกโลกีย์อีกครา

เวินหุยใช้หวีทำจากนอแรดสางเส้นผมที่เหมือนสายน้ำของเขา ทันใดนั้นก็ถูกแสงสะท้อนวูบเข้าตา รีบหยิบจับมันออกมาอย่างระมัดระวัง “คุณชาย ผมท่านขาวแล้ว”

คุณชายโบกพัด ยิ้มอย่างมิใส่ใจ “ลมฤดูสารทเริ่มโชย ผมขาวย่อมค่อยๆ ปรากฏเป็นธรรมดา หามีอันใดน่าเสียดายไม่”

พัดเล่มนั้นยังเป็นพัดเล่มเดียวกับตอนที่ออกจากเรือน หน้าพัดวาดรูปภูผาวารียามรุ่งเรือง หลังพัดเขียนบทกวีเศร้าโศก

ยังเป็นบทกวีที่ไร้ชื่อบทหนึ่ง

 

ลมสารทเอย พัดมาหาใจอาดูร ออกก็อาดูร เข้าก็อาดูร

ที่นั่งอยู่นั่นผู้ใดหนอ ผู้ใดมิโศกศัลย์

ทำข้าเกศาขาว’

 

เริ่มมีเสียงอ่านหนังสือดังมาจากห้องเรียนทางด้านนั้น เสียงบัณฑิตแว่วลอยมา ที่เอ่ยคือ “สามปีไร้จารีต จารีตย่อมเสื่อมถอย สามปีไร้ดนตรี ดนตรีจักเหือดหาย” และอื่นๆ อีก

ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเด็กๆ ฟังรู้เรื่องหรือไม่ ไม่มีผู้ใดส่งเสียงสักนิด มีเพียงบัณฑิตพูดเองเออเอง

เวินหุยพลันรู้สึกเย็นวาบจับหัวใจ กำผมขาวเส้นนั้น น้ำตาจวนจะหลั่งริน

เขาไม่เข้าใจหลักเหตุผลของอริยปราชญ์ เพียงได้ยินคำว่า ‘สามปี’ ‘เสื่อมถอย’ และ ‘เหือดหาย’ ก็รู้สึกเหมือนเข็มทิ่มตำหัวใจ

ปีนี้คุณชายของเขาอายุสิบเก้า ปีหน้ายี่สิบ ปีถัดไปไม่รู้

“คุณชาย” เขาถามอย่างระมัดระวัง “จะถอนหรือไม่”

“ไม่ต้องหรอก ถอนแล้วก็เจ็บ ไม่ดี” คุณชายเหมือนไม่ใส่ใจแต่อย่างใด

 

พวกเขากล่าวลาบัณฑิตแล้วเดินทางต่อ

ก่อนจากกันเฉินเวยเฉินได้มอบจี้หยกอันหนึ่งให้อาซู สีแดงฉานเหมือนผลึกโลหิต

“เยี่ยจิ่วหยา แต่โบราณมามนุษย์กับปีศาจอยู่คนละวิถี แม่นางผู้นั้นยินดีสลายพลังปีศาจที่บำเพ็ญมาเพียงเพื่อจะได้อยู่เคียงคู่กับสามีของนาง” บนรถม้าเฉินเวยเฉินพลันถาม “ท่านเดินย่ำไปทั้งสิบสี่โจวเพื่อเสาะหาของวิเศษที่เกี่ยวข้องกับพลังโชค นั่นทำเพื่ออะไรกัน”

เยี่ยจิ่วหยาตอบ “ได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น”

“ข้าไม่เชื่อ ท่านผู้นี้ไร้น้ำใจอย่างยิ่ง ยังจะมีผู้ใดสามารถไหว้วานท่านกระทำเรื่องใหญ่โตที่ขัดต่อมรรคาสวรรค์และเหตุผลได้”

“ตอบแทนบุญคุณ”

“บุญคุณอะไร”

“บุญคุณหนึ่งกระบี่”

เยี่ยจิ่วหยามองดูเฉินเวยเฉินเหมือนอยากสังเกตท่าทีตอบสนองของอีกฝ่าย

เฉินเวยเฉินกลับไม่มีท่าทีอันใด มีเพียงดวงตาที่เผยแววยิ้มออกมาจางๆ “…เช่นนี้นี่เอง”

 

ตลอดทางไร้วาจา ระหว่างทางหากมีเรือนก็ขอแวะพัก ไม่มีผู้คนก็เร่งรุดเดินทางใต้แสงดาวยามราตรี จนมาถึงนครหลวงเก่าของจงโจวซึ่งเรียกกันว่า ‘เมืองผีจิ่นซิ่ว’

ในเมืองจิ่นซิ่ว หมื่นผีคร่ำครวญ นอกเมืองจิ่นซิ่วมีแต่กระดูกขาว

เดิมราชวงศ์ของแคว้นหนานมิใช่ราชวงศ์ของแคว้นหนาน หากแต่เป็นการสืบเชื้อสายโดยตรงของราชวงศ์ฮ่องเต้จงโจว นครหลวงเต็มไปด้วยร้านทองบ้านเงิน ไข่มุกและหยกมากมาย เสียงดีดสีตีเป่าตลอดคืนรื่นเริงหรูหราอย่างยิ่ง แต่จนใจที่ต่อมาเกิดภัยสงครามกะทันหัน ม้าเกราะเหล็กของข้าศึกลงใต้ตีประตูเมืองแตก สังหารผู้คนหมดสิ้น ปล้นชิงเงินทอง และวางเพลิงเผาเมืองแสนมั่งคั่งที่ได้ชื่อว่าเมืองไร้ราตรีแห่งนี้ไปครึ่งเมือง

คนในเมืองที่ถูกสังหารล้วนกลายเป็นวิญญาณแค้น คร่ำครวญทุกค่ำคืน หลวงจีนเก่งกาจและนักพรตชราล้วนไม่อาจสวดส่งได้ เมืองจิ่นซิ่วจึงกลายเป็นเมืองผีจิ่นซิ่ว

ยามที่พวกเขามาถึงเป็นเวลาพลบค่ำ แสงสนธยาริมขอบฟ้าตะวันตกแดงฉานจนน่าตกใจ ประตูเมืองถูกแสงเงาในยามนี้ปกคลุมจนดูลึกลับ ต่อให้เป็นกายเนื้อที่ไม่ได้เบิกเนตรสวรรค์ก็ยังดูออกว่ามีไอทมิฬดำมืด

แมวในอ้อมอกเซี่ยหลางร้องเสียงแหลมชวนขนลุก นักพรตหนุ่มจึงปลอบอย่างนุ่มนวล “ชิงหยวน พี่ใหญ่ของเจ้าอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว”

เฉินเวยเฉินข้องใจมานาน ในที่สุดก็ถามว่า “ท่านทั้งสองเป็นพี่ชายน้องสาวท้องเดียวกันจริงหรือ”

เซี่ยหลางมองเขม่นปราดหนึ่ง

“ที่บ้านส่งข้าขึ้นอารามเต๋าบนภูเขากราบอาจารย์บำเพ็ญพรตตั้งแต่เล็ก” เขากล่าว “มีอยู่ครั้งหนึ่งลงจากเขาไปเยี่ยมเยียน ปรากฏว่าคนที่บ้านเสียชีวิตหมดเพราะภัยสงคราม เหลือเพียงแมวดำที่ยังไม่หย่านมตัวหนึ่ง ข้าจึงอุ้มมันกลับภูเขา นับแต่นั้นมันก็คือน้องสาวข้า”

เวินหุยถลึงตาใส่คุณชายตนเอง ตำหนิที่ไปสะกิดแผลในใจผู้อื่น

“ไม่เป็นไร” เซี่ยหลางลูบขนแมวที่ชื่อเซี่ยชิงหยวนแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ถึงกับเป็นแผลในใจ ปลงตกนานแล้ว ไม่เช่นนั้นผู้ถือพรตคงไม่อาจถึงขั้นฟ้าระดับหนึ่ง”

พอเคลื่อนใกล้เข้าไปอีกพลันเห็นสตรีผู้หนึ่งสวมเสื้อแดงสดยืนอยู่ที่ประตูเมือง เส้นผมดำสนิท ร่างโปร่งอ้อนแอ้น ดูเผินๆ คล้ายผีร้าย ดูอีกทีท่าทางปกติเป็นคนมีชีวิต

ใบหน้าของนางสวมหน้ากากสีทองถือกระบี่หนักสีดำเหมือนกำลังรอพวกเขาโดยเฉพาะ

เมื่อเห็นเยี่ยจิ่วหยา นางก็เอ่ยว่า “เจ้ากระบี่เยี่ย”

เซี่ยหลางกำลังลงจากหลังม้า ตกใจจนแทบร่วงตก “กระบี่หนัก ‘ซุ่ยคุนหลุน’ ท่านคือชัน…ชัน…”

พอเจอะเจอผู้ยิ่งใหญ่เขาก็เกิดอาการติดอ่างอีกแล้ว เฉินเวยเฉินจึงเคาะศีรษะให้คราหนึ่ง “ลิ้นท่านล่ะ?…ชันหลงจวิน!”

เยี่ยจิ่วหยาทัก “ชันหลงจวิน”

นางพยักหน้าให้เขา หมุนกายถือกระบี่กระโจนขึ้นกลางอากาศ

เงากระบี่พร่างพรายเกลื่อนฟ้าสะท้อนกับชุดแดงที่พลิ้วไหว ขอบฟ้าสีแดงทองคล้ายมีมังกรคำราม

เห็นเพียงกระบี่ของนางอานุภาพใหญ่โต ทั้งกล้าแข็งและอ่อนโยน ก่อนจะพุ่งลงสู่ประตูเมือง

จนกระทั่งเงากระบี่และแสงสีแดงสลายไป สตรีผู้นั้นจึงค่อยๆ ร่อนลงตรงประตูเมือง ปานแดงใต้เส้นผมดำขลับเด่นชัดเป็นพิเศษ

ประตูเมืองปรากฏรอยแตกและค่อยๆ ขยายตัว เสียงดังสนั่นคราหนึ่ง พังทลายแยกจากกัน

ในเวลาเดียวกันคล้ายกับมีฉากกำบังไร้รูปร่างฉากหนึ่ง เสียงผีร่ำไห้แว่วมาในพริบตา เสียงจอแจนับพันหมื่นรวมตัวกันกรีดร้องเสียงแหลมเสียดหู ไอดำอบอวล ประตูเมืองแตกเป็นช่องเหมือนปากของสัตว์ประหลาดดุร้ายแยกเขี้ยวกำลังจะกัดกินคน

สตรีชุดแดงเก็บกระบี่อย่างหมดจด มองเห็นอักษรโบราณสามตัวบนฝักกระบี่สีดำ ‘ซุ่ยคุนหลุน’

นางแลดูสามคนที่อยู่หลังเยี่ยจิ่วหยา ถามว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ใด”

เซี่ยหลางดึงชายชุดนักพรตให้เรียบร้อย “ผู้ถือพรต เซี่ยหลาง”

“หลางหรันโหว” สตรีผู้นั้นผงกศีรษะให้อย่างเกรงใจ แล้วมองไปทางเฉินเวยเฉิน

“เฉินเวยเฉิน ผู้ติดตามจากแดนมนุษย์ที่เจ้ากระบี่เยี่ยรับไว้” น้ำเสียงเฉินเวยเฉินมีแววได้ใจ “นี่คือเด็กรับใช้ของข้า”

นางร้องคราหนึ่ง “หนึ่งไร้การบำเพ็ญเพียร สองไร้ขั้นบำเพ็ญ มีหรือเยี่ยจิ่วหยาจะรับเจ้าเป็นผู้ติดตาม”

คุณชายเฉินกะพริบตาปริบๆ “ถึงอย่างไรข้าก็มีหนังหน้าที่ไม่บาง”

นางทิ้งคำพูดให้ “ข้ามีนามว่าลู่หงเหยียน” ว่าแล้วก็ตรงเข้าไปในประตูพร้อมกับเยี่ยจิ่วหยา

“ข้านึกออกแล้ว โลหิตไคหยางกลับมิใช่เจ้ากระบี่เยี่ยได้มาแต่ผู้เดียว” เซี่ยหลางขมวดคิ้ว

เฉินเวยเฉินเลิกคิ้ว “ท่านช่างรู้ข่าวคราวรวดเร็วจริง”

“อารามชิงจิ้งของข้ามีลูกศิษย์ลูกหาทั่วทั้งสิบสี่โจว ข่าวคราวย่อมรวดเร็ว” เซี่ยหลางพล่ามต่อ “เรื่องสังหารเจียวหลงและจิงหนีทะเลบูรพา ความจริงเป็นฝีมือเจ้ากระบี่เยี่ยผู้เดียว ตอนหงส์กำเนิดใหม่การต่อสู้ที่รังหงสานั้นมีเขาและชันหลงจวินสองคน”

“ถ้าเช่นนั้นที่บอกว่าได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น ผู้ไหว้วานคงเป็นแม่นางผู้นี้สินะ” เฉินเวยเฉินเปรยอย่างแช่มช้า

“อาจเป็นพวกเขาสองคนที่ถูกไหว้วานก็เป็นได้ แต่ผู้ถือพรตนึกไม่ออกจริงๆ จะเป็นชนชั้นใดกันหนอจึงสามารถให้เจ้ากระบี่เยี่ยและชันหลงจวินตอบแทนบุญคุณเช่นนี้…” เซี่ยหลางเดินต่อพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

เฉินเวยเฉินไม่พูดจา

[1]* ดอกซิ่ง คือดอกแอปปริคอต

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com