ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 5-8 #นิยายวาย – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 5-8 #นิยายวาย

4 of 4หน้าถัดไป

บทที่ 8

เจ๋อจู๋ (หักไผ่)

สตรีชุดแดงเข้าประตูก่อน พริบตานั้นหมื่นผีร่ำไห้ กลิ่นของความคั่งแค้นที่บ้านแตกสาแหรกขาดแว่นแคว้นสูญสิ้นซึ่งอบอวลสั่งสมมานับร้อยปีโถมทะลักใส่นาง

เยี่ยจิ่วหยามองเซี่ยหลาง “เฝ้าประตูเมืองไว้”

นักพรตพยักหน้า มอบชิงหยวนให้เวินหุยช่วยอุ้ม ถือแส้จามรีขาวราวหิมะด้ามหนึ่งอยู่ในมือ ดูมีร่องรอยดั่งเซียนดุจนักพรตอยู่บ้างจริงๆ

เฉินเวยเฉินแลดูเยี่ยจิ่วหยา

เยี่ยจิ่วหยากล่าวกับเขาว่า “ใช้กระบี่เป็นหรือไม่”

คนผู้นี้รู้กำพืดของตนเองอยู่บ้าง เฉินเวยเฉินจึงไม่ปิดบัง “เป็นอยู่บ้าง”

ประกายเงินสว่างบาดตาวูบหนึ่ง เยี่ยจิ่วหยาโยนกระบี่ให้เล่มหนึ่ง คุณชายเฉินรับไว้

เดาะดูแล้วเปลี่ยนเป็นถือมือซ้าย

เซี่ยหลางเลิกคิ้ว

เยี่ยจิ่วหยาจ้องมองดู แต่ที่พูดออกมากลับเป็น “เจ้ารั้งอยู่นี่” จากนั้นก็หมุนตัวจากไป

เฉินเวยเฉินพิเคราะห์กระบี่เล่มนั้น ประกายกระบี่แวววาวโปร่งใส กระบี่มีนามว่าเจ๋อจู๋

“ราตรีหิมะหักไผ่ เป็นกระบี่ที่ดี” เขาชมเชย

“เจ๋อจู๋…นี่เป็นกระบี่ที่เจ้ากระบี่เยี่ยใช้เมื่อครั้งเยาว์วัย มิรู้ว่าเพราะเหตุใดภายหลังจึงเปลี่ยนเป็นกระบี่อีกเล่ม” เซี่ยหลางใช้วิชาเวทป้องกันวิญญาณร้ายหนีออกไปจากเมืองพลางกล่าวว่า “คุณชายเฉิน ข้าประหลาดใจนัก ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ แม้แต่กระบี่ยังใช้มือซ้าย ปิดๆ บังๆ ราวกับกลัวว่าคนจะจำได้”

เฉินเวยเฉินเช็ดถูกระบี่พลางเอ่ยยิ้มๆ “บัดนี้ข้าเป็นเพียงปุถุชน เห็นข้าใช้กระบี่ท่านก็จะจำได้ว่าเป็นผู้ใดหรือ”

เซี่ยหลางค่อนข้างภูมิใจ “ใช่สิ สองสำนักใหญ่ที่มีชื่อทางวิชากระบี่ แดนเหนือคือสำนักเจี้ยนเก๋อ รวบรัดฉับไว ส่วนสำนักเจี้ยนไถ (แท่นกระบี่) แห่งทะเลทักษิณ แปรเปลี่ยนซับซ้อนแต่งดงาม บรรดาจวินโหวที่ใช้กระบี่นั้น วั่นจวินโหวหนักแน่น หลิวโปโหวคล่องแคล่ว เฟยซวงโหวรวดเร็ว ชันหลงจวินกระบี่หนักสะท้านคุนหลุน หลันซานจวินหนึ่งกระบี่ก่อเกิดหมื่นธรรม ขอเพียงท่านใช้เพลงกระบี่ข้าก็จะสังเกตพบเบาะแสเอง รู้ว่าท่านอยู่ภายใต้สำนักใด” เขาราวกับนึกขึ้นได้จึงกล่าวต่อไปว่า “เอ้อ แต่ข้าไม่เคยเห็นกระบี่ของราชันเทพเยี่ยนหรอกนะ ตอนที่ท่านผู้นั้นเคลื่อนไหวในโลกนี้ข้ายังตัวเล็กตัวน้อยไร้ชื่อเสียง ด้านวิถีเซียนก็เพียงรู้ว่าท่านผู้นั้นเคยใช้กระบี่ปิดกั้นเป็นกำแพงขวางธารสวรรค์นับหมื่นหลี่ และน้อยคนที่จะเคยเห็นยามลงมือ แต่ท่าทางเช่นท่านย่อมมิใช่ราชันเทพแน่”

“นั่นน่ะสิ” ปลายนิ้วเฉินเวยเฉินลูบผ่านคมกระบี่ “ข้าย่อมเทียบเขามิได้”

“ไม่ถูกๆ รอประเดี๋ยว” เสียงพึมพำพล่ามกล่าวของเซี่ยหลางพลันดังขึ้น “ข้าเห็นกระบี่ของเจ้ากระบี่เยี่ยมีนามว่าจิ่วหยา กระบี่จิ่วหยา…ชื่อคุ้นจริง”

จู่ๆ เซี่ยหลางก็คล้ายคิดได้ทะลุปรุโปร่ง แทบจะกระโดด “ใช่แล้ว กระบี่จิ่วหยา นั่นมิใช่กระบี่ที่ราชันเทพเยี่ยนพกพาครานั้นหรือ เพียงแต่ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานจนไม่มีผู้ใดจำได้! ไม่ถูกต้อง หากเป็นกระบี่ของราชันเทพเยี่ยน ไฉนจึงมีนามว่า ‘จิ่วหยา’ เล่า เอ๊ะ แล้วเหตุใดเจ้ากระบี่เยี่ยจึงชื่อ ‘จิ่วหยา’ ด้วย”

เฉินเวยเฉินหัวร่อกล่าวว่า “คำว่า ‘จิ่วหยา’ เป็นนามจริงของเขา การตั้งชื่อกระบี่ตามนามเดิมของตนเช่นนี้ก็ไม่เห็นแปลก”

“เช่นนั้นกระบี่ของราชันเทพเยี่ยน…”

“กระบี่ดีเช่นนี้จะมีผู้ใดบ้างไม่รักชอบ หากจะมีผู้ยืมไปใช้สักหลายปีก็ไม่แปลก ยืมใช้เสร็จย่อมควรกลับคืนสู่เจ้าของ”

“ท่านนี่ช่างพูดจาเหลวไหลไม่มีเหตุผล” เซี่ยหลางพึมพำ

เฉินเวยเฉินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ กลับยื่น ‘เจ๋อจู๋’ ให้เวินหุย “ข้าไปแล้ว พลังฝีมือของเจ้านักพรตน้อยแซ่เซี่ยธรรมดามาก เจ้าถือไว้ป้องกันตัว”

จากนั้นเฉินเวยเฉินก็คลี่พัด เดินไปทางตัวเมืองไม่หันกลับมาอีก

“คุณชาย ท่านจะไปที่ใด” เวินหุยมินำพาว่าเซี่ยหลางพึมพำอะไร ตะโกนตามเฉินเวยเฉินที่กำลังจะลับไปที่ประตูเมือง

ขณะที่เขาคิดว่าคุณชายบ้าบิ่นของตนนั้นชอบแส่หาความตายกำลังจะถูกผีร้ายกลืนกินทั้งเป็นอยู่นี้ กลับเห็นร่างในชุดหรูหราเดินเข้าไปกลางฝูงภูตผีที่กำลังเต้นแร้งเต้นกา ถึงกับไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย

ฝูงผีร้ายคั่งแค้นรอบข้างไม่มีตัวใดที่พุ่งโจมตีใส่เขาเช่นเดียวกับตอนที่เยี่ยจิ่วหยาและลู่หงเหยียนก้าวเข้าไป ราวกับมองไม่เห็นและยังล่องลอยวนเวียนอย่างไร้จุดหมายอยู่ตามตรอก ต่อให้ประจันหน้ากับเฉินเวยเฉินแล้วก็เหมือนไม่รู้สึก ราวกับสิ่งที่เดินฝ่าพวกมันไปนั้นมิใช่มนุษย์ แต่เป็นฝุ่นธุลีที่ล่องลอย เฉกเดียวกับผีวิญญาณเหาะเหิน

ผ่านถนนสายกว้าง เลี้ยวคราหนึ่งแล้วเฉินเวยเฉินก็หายลับไปในทิศทางที่ต่างจากเยี่ยจิ่วหยา เงาร่างนั้นพลันดูอ้างว้างและเดียวดายอยู่หลายส่วน

เวินหุยเบิกตามองดูคุณชายของตนที่หายไปท่ามกลางฝูงภูตผี ในกลางกองไฟนรกราวกับข้ามจากแดนมนุษย์ก้าวสู่น้ำพุเหลือง[1]*

 

บ้านเรือนใหญ่โตเรียงรายอยู่สองฟากถนน ชายคาโค้งงอนงามสง่า หากเป็นในยุคสันติที่คึกคักรุ่งเรืองย่อมให้ความรู้สึกโอ่อ่าหรูหรา แต่ยามนี้แสงสนธยาลำสุดท้ายที่เหลือน้อยนิดกำลังจะลับไป แสงแดงฉานราวกับหยดโลหิตที่หลั่งลงบนดินสีดำสนิท ไร้สุ้มเสียง ทั้งถนนเหลือเพียงเงาทะมึนเป็นหย่อมๆ ไฟนรกริบหรี่ลอยไปมา ชั่วร้ายพิสดาร

ยิ่งเข้าไปกลางเมืองไอของความคั่งแค้นยิ่งหนาหนัก ภูตผีหาได้เป็นหมอกควันเลือนรางอีกต่อไป ผ่านไปสองถนนมาถึงถนนที่มีบ้านเรือนที่ชาวบ้านเคยพักอาศัย

มีเงาคนเคลื่อนไหว ด้วยจิตยึดมั่นถือมั่นหนาหนัก ผนึกจนมีร่างจริงขึ้นมา หากไม่นับดวงตาว่างเปล่าไร้แวว เสื้อผ้าเก่าขาดและฝีก้าวที่เชื่องช้าอืดอาดแล้วก็ไม่มีอะไรต่างจากมนุษย์

ผู้เฒ่าวัยเกินหกสิบยืนอยู่ที่ซากกำแพงมุมถนน มือหนึ่งยกค้างกลางอากาศ อีกมือหมุนไม่หยุด

ราวกับว่าที่นี่ยังคงเป็นแผงลอยร้านเกี๊ยวที่อยู่ในยุครุ่งเรือง ตกกลางคืนจุดโคมไฟแสงเหลืองอุ่นๆ ข้างหลังมีลูกค้านั่งอยู่ที่โต๊ะ พูดคุยกันพลางรอบะหมี่ควันร้อนกรุ่นชามหนึ่ง

เรือนที่อยู่ติดถนนแว่วเสียงสตรีร้องเพลงเสียงแหบแห้งเศร้าสร้อยว่า “เห็นเขาสร้างหอแดง เห็นเขาเลี้ยงแขกเหรื่อ เห็นหอห้องพังทลาย”

คุณชายที่ยืนกลางถนนถือพัดจีบมีภาพวาด หยกประดับกายส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง ลมราตรีพัดจนชายแขนเสื้อปลิวไสว

สตรีสวมชุดสีขาวหม่นนางหนึ่งเดินผ่านหน้าเขา ฝีก้าวหนักอึ้ง ถือโคมไฟริบหรี่ดวงหนึ่ง

“คุณชาย” ลูกตาขุ่นมัวหันไปมองทางเฉินเวยเฉินทันที ปากพึมพำว่า “หลี่หลาง ท่านเห็นหลี่หลางหรือไม่ เขาไม่กลับบ้านนานแล้ว”

เฉินเวยเฉินตอบ “หลี่หลางคนใดหรือ”

“หลี่หลางบ้านข้าน่ะสิ เขาตัวสูง…” วิญญาณล่องลอยหลับตา น้ำเสียงสับสน “สวม…ชุดดำ ยังมีชุดแดง…”

“ที่แท้เป็นหลี่ฮูหยิน” เฉินเวยเฉินกล่าว

วิญญาณล่องลอยลืมตาขึ้นอย่างยินดี “ข้าเอง ท่านรู้จักข้าหรือ นานแล้วที่มิมีผู้ใดรู้จักข้า”

“หลี่ฮูหยิน ข้าอยากถามว่าไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดของนครหลวงนี่เริ่มไหม้จากที่ใด”

“ไฟ…ไฟ…” วิญญาณล่องลอยถอยหลายก้าว เสียงแหบแห้งหวาดกลัว “ไฟ ไฟใหญ่ ฟ้าจะลุกไหม้แล้ว ร้อนจริง หลี่หลาง หลี่หลาง…”

“ฮูหยินไม่ต้องกลัว” นิ้วเรียวยาวของคุณชายแตะไปที่ไหล่นางเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยน

วิญญาณล่องลอยดวงนั้นงงงัน

เฉินเวยเฉินล้วงคันฉ่องบุปผาขนาดเท่าฝ่ามือออกมายื่นไปตรงหน้านาง “หลี่หลางอยู่ในนี้”

วิญญาณล่องลอยรับคันฉ่องทองเหลืองมา จ้องดูอย่างงงงันพลางพึมพำว่า “หลี่หลาง หลี่หลางของข้า…”

น้ำตาสายหนึ่งหลั่งรินลงจากแก้มขาวเทา นำพาความสับสนในดวงตาให้หายไป ปรากฏความสดใส

“คุณชาย” นางมองเฉินเวยเฉิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “ในเมื่อท่านก็รู้อยู่ว่าหลี่หลางไม่อยู่แล้ว และข้าเป็นเพียงวิญญาณคับข้อง ไยจึงให้ข้าพบกับภาพหลอนเพียงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ข้าเสาะหามาร้อยปี ในที่สุดก็ได้พบหน้าหลี่หลางคราหนึ่ง แต่กลับเป็นภาพมายาเหมือนเงาในฝัน ท่านเก็บคันฉ่องกลับไปเถิด ข้ากับหลี่หลางต้องจากเป็นจากตายอีกครา มิใช่ยิ่งทุกข์ทรมานหรอกหรือ”

“ฮูหยิน โลกนี้การจากเป็นไม่ทุกข์ การจากตายก็ไม่ทุกข์ แต่ความคิดคำนึงกลับทุกข์ที่สุด” ขนตาคุณชายหลุบลง น้ำเสียงเนิบนาบอบอุ่น

วิญญาณล่องลอยสะอื้น “ใช่แล้ว สตรีอาภัพขอบคุณคุณชาย” นางย่อตัวคารวะต่อเฉินเวยเฉินอย่างอ่อนโยน “คุณชาย ไฟมาจากทางใต้”

เมื่อพูดจบเงาร่างก็ค่อยๆ โปร่งใสจนเลือนหายไป ความยึดมั่นถือมั่นที่มีสิ้นสุดลงแล้ว กลายเป็นควันสายหนึ่งลับไป กลับสู่ฟากฟ้าไร้สิ้นสุด ไม่มีความดีใจ ความโกรธ ความเศร้า ความสุขอีกแล้ว และปราศจากรักโลภโกรธหลง

คันฉ่องบุปผาร่วงลงพื้นดังเคร้ง กลิ้งกับพื้นหลายตลบ ส่งเสียงทึบๆ ฟังแล้วสะท้านใจ

เฉินเวยเฉินก้าวไปหลายก้าว เก็บคันฉ่องขึ้นแล้วมุ่งไปยังทิศใต้

 

ห้องหอศาลาเก๋ง กลิ่นอายภูตผีอึมครึม

ผ่านตรอกสายหนึ่งพลันได้ยินเสียงกระแทกคราแล้วคราเล่า

เสียงนั้นกลวงโปร่งแจ่มใส แฝงไว้ซึ่งความสงบที่ไร้ขอบเขต ไม่เข้ากับบรรยากาศเมืองผีแม้แต่น้อย

เป็นเสียงของความเมตตากรุณา

เฉินเวยเฉินเดินไปตามเสียงก็เห็นแท่นสูงแห่งหนึ่ง บนแท่นนั้นมีหลวงจีนชุดขาวกำลังนั่งเคาะปลาไม้[2]* สำหรับสวดมนต์อยู่ นอกจากมือขวาที่ถือไม้คล้ายค้อนสำหรับเคาะตีแล้ว ส่วนอื่นๆ บนตัวหลวงจีนไม่เคลื่อนไหวสักนิด เหมือนรูปปั้นหินรูปปั้นหนึ่ง

ราวกับได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา หลวงจีนจึงลืมตา ลุกขึ้นช้าๆ เอ่ยว่า “ประสก”

หลวงจีนมีอายุราววัยกลางคน ใบหน้าคิ้วคางดวงตาเปี่ยมด้วยแววการุณย์

เฉินเวยเฉินโบกพัดไปมาเป็นครั้งคราว น้ำเสียงคล้ายคุณชายเจ้าสำราญเป็นที่สุด “หลวงจีน ท่านรอที่นี่กี่ปีแล้ว”

“หนึ่งร้อยสามสิบห้าปี” เสียงของหลวงจีนสดใส “แม้อาตมาจะทุ่มเทสุดกำลังก็มิอาจสวดส่งผีคับข้องที่นี่ได้หมด จึงนั่งเข้าฌานสมาธิที่นี่ วิญญาณออกไปมิได้ อาตมาเองก็ไม่ออกไป”

“บัดนี้คนที่จะช่วยท่านกำลังมาแล้ว ท่านจะให้ช่วยหรือไม่”

“ย่อมต้องการให้ช่วย” หลวงจีนก้าวลงจากแท่นสูงทีละก้าว ปัดฝุ่นผงด้วยท่าทางสำรวม “มิทราบประสกมาที่นี่มีธุระอันใด”

เฉินเวยเฉินยังมุ่งหน้าต่อไปทางใต้ ปากพูดกับหลวงจีนว่า “ข้ามาเอาจิ่นซิ่วฮุย”

“ประสกมีเวรกรรมจากชาติปางก่อน เป็นมหันตกรรม หากนำขี้เถ้าวิเศษนี้ไปอีกจะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”

“ยังอุตส่าห์มีคนอยากแย่งบาปไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดนี้กับข้าอีก” หางตาเฉินเวยเฉินทอแววยิ้มเล็กน้อย “ข้าคงต้องรีบรุดไปก่อนสักก้าวจะได้คว้าจิ่นซิ่วฮุยก่อน ช่วยเขารับเวรกรรมนี้เอง”

 

[1]* น้ำพุเหลือง หมายถึงยมโลก

[2]* ปลาไม้ หรือบั๊กฮื้อ คือเครื่องเคาะจังหวะประกอบการสวดมนต์ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง โดยมากจะแกะสลักเป็นรูปปลาซึ่งลืมตาอยู่ตลอดเวลา เป็นสัญลักษณ์ธรรมสื่อถึงผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

4 of 4หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com