everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 9-12 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1
ผู้เขียน : อีสือซื่อโจว (一十四洲)
แปลโดย : เซี่ยงฉี
ผลงานเรื่อง : 一剑九琊 (Yi Jian Jiu Ya)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
นอกรีต
บนถนนเงียบสงัด ตอนแรกเพียงได้ยินเสียงฝีเท้า แต่หากปล่อยจิตให้ว่างก็จะสามารถได้ยินเสียงภูตผีร่ำไห้แว่วมา ยังมีเสียงฆ่าฟันต่อสู้และเสียงกระบี่ฟาดฟันอากาศลอยมาจากที่ห่างไกล
เฉินเวยเฉินถามว่า “หลวงจีน ท่านได้ยินหรือไม่”
ในเมื่อหลวงจีนชุดขาวสามารถนั่งกำกับที่นี่กว่าหนึ่งร้อยปี พูดตามภาษาพระก็คือมีอิทธิฤทธิ์ใช่ย่อย
น้ำเสียงหลวงจีนสดใสทรงพลัง “ได้ยินแล้ว” จากนั้นก็เอ่ยช้าๆ ต่อไปว่า “ประสกสองคนนั่นใช้พลังสังหารจากศาสตราสู้กับความคับข้องของเหล่าวิญญาณเพื่อจะฝ่าเข้าตัวเมือง”
“ฟังอีกที”
หลวงจีนหลับตาเงี่ยหูฟังอย่างจริงจัง ผ่านไปเนิ่นนานจึงค่อยลืมตา
“อาตมาขังตนเองอยู่ในเมืองนี้ ไม่ออกไปร้อยกว่าปี นึกไม่ถึงว่าโลกจะถึงกับมีคนเช่นนี้กำเนิดออกมา คาดว่าตั้งแต่อาตมายังไม่เข้าเมือง บุรุษหนุ่มวิถีเซียนผู้นี้ก็เริ่มมีชื่อเสียงแล้วกระมัง” ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะ “ไม่ถูก…คนผู้นั้นมุ่งไปมรรคาไร้รัก ทว่าคนผู้นี้แม้จะคล้ายมาก แต่รากเหง้าต่างกัน”
เฉินเวยเฉินยิ้มจนตาหยี “ภูผาวารีทุกสมัยล้วนมีอัจฉริยะปรากฏ หลวงจีนท่านชราแล้ว”
หลวงจีนไม่ถือสา เพียงตอบรับ “ชราแล้วจริงๆ”
“หลวงจีน ท่านว่าพวกเขารากเหง้าต่างกัน ต่างกันในที่ใด”
“ไม่ค่อยเหมือนวิถีฟ้าเบื้องบนลืมรัก หากแต่เข้าสู่วิถีด้วยจิตกระบี่อย่างเดียว จิตกระบี่นี้ก็นับว่าไร้น้ำใจเป็นที่สุด” หลวงจีนเอ่ย
เฉินเวยเฉินเอ่ยว่า “ฟังดูแล้วการจะไปถึงขั้นฟ้าระดับสามนั้นเกรงว่าคงไม่ง่าย”
“เป็นเช่นนั้นจริง” หลวงจีนแววตาสงบ “แต่สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นวิถี กระบี่เป็นวิถีได้ ไร้รักก็เป็นวิถีได้ เมื่อถึงเวลาก็จะบรรลุขั้นบำเพ็ญได้เอง”
คุณชายยิ้มน้อยๆ อย่างจนใจ “การบำเพ็ญไม่ควรทำเช่นนี้ หากพลาดพลั้งหลงเข้าสู่ความยึดมั่นถือมั่นก็จะไม่ดี”
หลวงจีนกล่าว “ในเมื่อบำเพ็ญวิถีนี้แล้ว ทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามวาสนา ประสกมิต้องกังวล”
แล้วหลวงจีนก็ไม่พูดอีก เสียงฝีเท้าบนถนนไกลออกไปทุกที
ผ่านประตูเมืองด่านแรก เข้าสู่เมืองชั้นใน
กลิ่นอายภูตผียิ่งเข้มข้น มีแต่เสียงพึมพำเบาๆ
หลวงจีนผู้เปี่ยมด้วยเมตตาจิตจึงกล่าวกับคุณชายในชุดหรูหราว่า “ข้างหน้าเป็นที่ของจิ่นซิ่วฮุย เป็นศูนย์รวมความยึดมั่นถือมั่น ภาพมายานับหมื่นพัน พลาดก้าวเดียวจะตกสู่บ่วงมาร ประสกโปรดระมัดระวัง”
เพียงก้าวไปก้าวหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าทัศนียภาพรอบข้างเปลี่ยนไป เขากำลังผ่านเข้าสู่แดนมายาลวงตา
เฉินเวยเฉินช้อนตาดูก็เห็นภูเขาลูกหนึ่งสุดแดนเหนือ บนนั้นมีหิมะตก ฟ้าดินขาวโพลน เงียบสนิท
บนภูเขามีคนกำลังฝึกกระบี่ ชุดขาวปานหิมะ เสียงลมที่เกิดจากการรำกระบี่ราวกับเสียงนกร้อง เฉินเวยเฉินรู้ว่าเป็นภาพหลอนจึงหลับตาแล้วเดินต่อ หิมะตกใหม่โปรยปราย รอยเท้าบนพื้นถูกกลบไป
ไม่รู้เดินอยู่นานเท่าใด จนกระทั่งสิ่งที่ปะทะกับใบหน้ามิใช่ลมหนาวอีกเขาจึงลืมตาขึ้น เห็นจันทรากลมใหญ่ดวงหนึ่งที่ขอบฟ้า ยอดต้นสนยังปกคลุมด้วยหิมะ ใต้ต้นไม้มีโต๊ะหิน บนโต๊ะเป็นสุรา
วันสารทไหว้พระจันทร์น่าจะเป็นช่วงเวลาที่คนในโลกได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าร่วมกินดื่มด้วยกัน
เขารู้ว่าตนเองดูต่อไปไม่ได้ เพราะหากดูต่ออาจตกสู่บ่วงมาร
ภาพหลอนเกิดจากจิตฟุ้งซ่าน
แต่สิ่งที่ชีวิตนี้ของเขาตัดไม่ขาดก็คือความฟุ้งซ่าน
หัวใจที่ปวดเค้นไม่หยุด ยามนี้กลับเป็นเรื่องดีเพราะทำให้รู้ตัวได้สติ ในที่สุดเขาก็หลับตาลง ความรุ่งเรืองหรูหราทั้งปวงพลันร่วงหล่นหายไปเหมือนหิมะ กลับสู่ความว่างเปล่ามืดมิดและเงียบสงัด
เฉินเวยเฉินยื่นมือไปสัมผัสกับประตูที่เย็นเยียบ
ประตูคลังหลวงแง้มเปิดอยู่กลางสายลม ลวดลายแกะสลักเป็นสนิม ห่วงทองเหลืองปกคลุมไปด้วยฝุ่น
เมื่อยามนครหลวงถูกตีแตก ผู้คนต่างพากันหนีลงใต้อย่างฉุกละหุก
เงินทองแพรพรรณนับไม่ถ้วนที่กองสุมในยุครุ่งเรือง ยามนั้นเพียงเปิดประตูก็เข้าสู่สายตา
ทางด้านหนึ่งเพราะข้าศึกวางเพลิงไปทั่วเมือง อีกด้านหนึ่งเป็นการออกคำสั่งให้วางเพลิงเผาคลังหลวงให้สิ้นเอง
มีราษฎรที่เคราะห์ดีหนีจากภัยสงครามบอกว่าเพลิงนั้นมีสีแดง ลุกไหม้หลายวันหลายคืน แดงฉานเหมือนโลหิต บางครั้งบางคราวก็ระเบิดออกมาเป็นสีอื่น เป็นแสงที่เปล่งออกมาจากมรกต ไข่มุก และหยกซึ่งถูกเผาจนกลาย
เวียงวังเปลี่ยนเป็นเมืองผี คนเป็นไม่อาจเข้ามา ราชวงศ์ใหม่ตั้งนครหลวงใหม่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทว่าด้วยสาเหตุสองประการ…ประการแรกคือกลิ่นอายอำมหิตของสงครามหนักเกินไป ประการที่สองคือมีแต่ขุนพลบุกเบิกเขตแดน แต่ไร้ปราชญ์ใหญ่ปกครอง ท่ามกลางฝูงหมาป่าที่จับจ้อง สุดท้ายก็มิอาจเจริญรุ่งเรืองได้ จนบัดนี้ตกอับกลายเป็นเพียงแว่นแคว้นเล็กๆ
ราชวงศ์เดิมสถาปนาขึ้นเป็นใหญ่ ณ ลานต้าหลงถิง เบื้องบนรับปราณมังกร เบื้องล่างเชื่อมต่อกับปราณพสุธา เพียงชั่วข้ามคืนนครหลวงก็เลือดนองเป็นท้องธาร จากราชวงศ์ที่รุ่งเรืองกลายเป็นทรุดโทรม พิธีการที่สืบทอดกันมาล่มสลาย โชคจึงฝากไว้กับขี้เถ้าในคลังหลวง ปราณจากขี้เถ้ากับจิงหนีและเจียวหลง ตลอดจนสัตว์ประหลาดในทะเลที่ตายตั้งแต่วัยรุ่งโรจน์ ผนึกกันจนเทียบได้กับจี้เมี่ยเซียง ซ้ำยังแฝงด้วยความอาดูรของความพินาศแห่งวัฏสงสารอีกส่วนหนึ่ง
มือของคุณชายไม่เคยแตะงานบ้านหรือซักผ้า เป็นมือสูงส่งที่เพียงหยิบจับเปิดหนังสือและดีดพิณเท่านั้น ย่อมน่าดูและงดงามยิ่ง ขาวผ่องตามแบบลูกหลานผู้สูงส่งมีอันจะกิน เจือกลิ่นหอมเบาบางละเมียดละไมชวนลุ่มหลง
มือนั่นสัมผัสกับขี้เถ้าสีดำ ปลายนิ้วหยิบจับแล้วเก็บเข้าถุงแพรที่พกมา ซุกไว้บนตัวพร้อมกับจี้เมี่ยเซียง
ทำให้โชคปั่นป่วน มรรคาสวรรค์มิยอมรับ เหตุและผลเริ่มขึ้น เคราะห์ร้ายจะมาเยือน
ลมหนาวกระโชกเข้ามาทางประตู เสียงผีร่ำไห้ดังกว่าเดิม
ริมฝีปากคุณชายที่มักมีรอยยิ้มเสมอมีเลือดสายหนึ่งไหลซึมออกมา
เหมือนถูกกระแทกแรงๆ ด้วยพลังไร้รูปร่าง ใบหน้าเขาซีดขาว สายตาพร่าไปวูบหนึ่งแทบจะยืนไม่ติด
ในใจเจ็บแปลบราวถูกขูดกระดูก
“ประสก ที่แท้ท่านมิใช่คนในแดนนี้ ก่อนหน้านี้อาตมาถึงกับไม่ทันสังเกต”
“ในเมื่อต้าซือ[1]* ดูออกด้วยสายตาอันเฉียบแหลม” เสียงของเขาพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวด “จะฆ่ามารกำจัดอสูรหรือไม่”
“ทะเลทุกข์ไร้ฟากฝั่ง แต่สามารถข้ามเองได้” หลวงจีนเปล่งคำว่าอมิตาภพุทธคำหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านมีบาปกรรม อาตมามิอาจส่งท่านถึงฝั่งได้”
“ขอบคุณต้าซือ…ที่เมตตา” น้ำเสียงของเฉินเวยเฉินเริ่มกระท่อนกระแท่น “ดูท่าข้าคงต้องข้ามฝั่งเองแล้ว”
“ปลงตกด่านรัก”
“ไม่ปลง”
“ไม่ปลงจะไม่รอด”
“ไม่ปลง”
“หากไม่ปลงตกในรักโลภโกรธหลง ด้วยกายเนื้อธรรมดามิอาจแบกรับน้ำหนักของเหตุแลผลได้”
มุมปากคุณชายยกขึ้นยิ้มอย่างอ่อนแรง “หากข้ารักโลภโกรธหลงอยู่แต่เดิมเล่า”
“มรรคาสวรรค์มิอาจยอมรับ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็มีเพียงการดิ้นรนยื้อชีวิตอย่างสิ้นหวัง”
“เช่นนั้นก็ดิ้นรนต่อไปเถิด ข้ากำลังหอบใกล้ตายอยู่แล้วมิใช่หรือ” เขายิ้มให้กับตนเอง ปาดคราบเลือดที่มุมปาก พิงกับผนัง “หลวงจีน ในเมื่อท่านบอกว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นวิถีได้ หากข้าจำเป็นต้องไปทำเรื่องหนึ่ง เรื่องนั้นก็จะเป็นวิถีของข้าใช่หรือไม่”
กระบี่เป็นวิถีได้ ไร้รักก็เป็นวิถีได้ ถ้าเช่นนั้นความยึดมั่นถือมั่นก็เป็นวิถีได้เช่นกัน
เป็นหรือตายคั่นด้วยสายใยเดียว จิตใจว่างเปล่า
โลกโลกิยะท่วมท้นดุจสายน้ำประจิม
จมลอยกับเรื่องในโลก รักโลภโกรธหลง
มิปลง มิลืม
เฉินเวยเฉินลืมตาอีกครั้ง ลมหายใจเริ่มเป็นปกติ ไม่มีท่าทางใกล้ตายเหมือนเมื่อครู่
“ขั้นฟ้าระดับหนึ่ง ประสกเข้าสู่วิถีแล้ว” หลวงจีนแลดูเขา “อาตมาขอล่วงเกิน ขอถามว่าประสกตื่นรู้ด้วยวิถีใด”
คุณชายตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “วิถีนอกรีตมารชั่ว”
เขาพิงกับผนังมองไปข้างนอก รอคนมา
จนกระทั่งประกายกระบี่กับเงากระบี่ใกล้เข้ามา ที่เข้าประตูมาก่อนเป็นสตรีชุดแดงที่ปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากสีทอง
สตรีผู้นี้ใช้กระบี่หนักซุ่ยคุนหลุนฟันผีวิญญาณ หลังต่อสู้อย่างดุเดือดลมปราณก็ยุ่งเหยิง นางยันกระบี่หนักกับพื้น เหลียวมองรอบๆ “ท่าน…”
หลวงจีนประนมมือคารวะให้ “ประสก”
เฉินเวยเฉินที่แฝงตัวอยู่ในเงาตรงมุมห้องถูกพบเป็นคนที่สอง
น้ำเสียงของนางเย็นชา “เหตุใดเจ้าจึงอยู่นี่”
เฉินเวยเฉินโบกถุงแพรในมืออย่างอ่อนระโหย “ได้ยินว่าที่นี่มีของดี ข้าเป็นมนุษย์ปุถุชนย่อมเกิดความโลภเป็นธรรมดา ผนวกกับตกลงกับหลวงจีนได้พอดีจึงชิงตัดหน้าพวกท่านมาก่อน”
“เจ้า” สตรีชุดแดงโกรธจัด เงื้อกระบี่หนักในมือจะฟาดใส่ “ส่งจิ่นซิ่วฮุยให้ข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะปลิดชีวิตสุนัขเช่นเจ้า”
ได้ยินเพียงเสียงโลหะกระทบกัน เป็นเสียงที่เกิดจากคุณชายที่รับการจู่โจมครั้งนี้ด้วยด้ามพัด
สตรีชุดแดงแค่นหัวร่อ “แค่ขั้นฟ้าระดับหนึ่งยังกล้ามาโอ้อวด” ว่าแล้วก็ถ่ายทอดพลังลงในกระบี่หนัก ฟันใส่ด้วยอานุภาพรุนแรง
เฉินเวยเฉินรู้ดีว่ารับไม่อยู่จึงพิงกับผนังอย่างเกียจคร้านรอความตายเสียเลย
ไม่แน่ว่าอาจมีคนมาช่วย
และแล้วเสียงปราณกระบี่สดใสก็ดังขึ้น กระบี่จิ่วหยาขวางใส่กระบี่หนักซุ่ยคุนหลุน
สตรีผู้นั้นคาดคั้นอย่างไม่เข้าใจ “ไยจึงช่วยมัน”
เยี่ยจิ่วหยามุ่นคิ้วเล็กน้อย กล่าวกับนางว่า “คนของพวกเรา จี้เมี่ยเซียงก็อยู่ในมือเขา”
“มิบังอาจ ข้าน้อยไม่นับเป็นคนของพวกท่าน” คุณชายที่อยู่ตรงมุมห้องหัวร่อ “เพียงอยากเป็นของเจ้ากระบี่เยี่ยคนเดียว”
สตรีชุดแดงมองดูสภาพลมหายใจไม่ปะติดปะต่อของเขา ท่าทางเหมือนจะขาดใจจึงตวาดอย่างเดือดดาล “พูดจาเหลวไหล! อาศัยอะไรเจ้ากระบี่เยี่ยจึงต้องการเจ้า”
“ประมาณว่า…” เขากระแอมหลายครา น้ำเสียงระโหย “เห็นจิตทั้งสามของข้าลึกเท่ากันตื้นเท่ากัน เป็นปุถุชนที่ไม่เคยพานพบในรอบพันปีกระมัง”
“จิตทั้งสาม เจ้า…” นางตาโตด้วยความตกใจ แม้แต่เสียงก็ยังสั่น “เจ้า…” พริบตานั้นนางถึงกับมีสีหน้าสับสนตื่นตะลึง
มือของเยี่ยจิ่วหยากดที่หน้าผากนาง “คุ้มครองจิต คืนสติ”
สายไปเสียแล้ว
คาดว่านางคงย่ำผ่านจิตมารภาพหลอนมาจนถึงบัดนี้ ภาวะจิตอ่อนไหวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอถูกกระตุ้นด้วยคำพูดของเฉินเวยเฉินเพียงนิดก็พลันตกสู่วิถีมาร สองตาหลับแน่น ลมหายใจติดขัด ร่างอ่อนยวบล้มลงเหมือนบุปผาน้ำแข็งโลหิตดอกหนึ่งที่โรยรา ก่อนถูกเยี่ยจิ่วหยารับไว้
ได้ยินสตรีผู้นี้พึมพำไม่ได้สติ “เยี่ยนจวิน”
น้ำเสียงคุณชายไม่ยินดีอย่างยิ่ง “ทีละคนสองคนล้วนจดจำอยู่ไม่รู้ลืม เห็นได้ว่าเยี่ยนจวินผู้นี้ทำบาปไม่น้อย”
หลวงจีนที่อยู่ข้างๆ นำซุ่ยคุนหลุนกรีดข้อมือของสตรีชุดแดงเพื่อนำเลือดมาทำพิธี “แดนมายานี้อันตรายเกินไป ผู้ใดจะกล้าเข้าไปในนั้นเพื่อช่วยนาง”
“ข้าเอง” เฉินเวยเฉินก้าวออกมาแล้วยื่นมือให้ “นางถูกข้าทำร้าย”
“ข้าเอง” เยี่ยจิ่วหยากล่าว “ภาวะจิตของเจ้าไม่มั่นคง”
“แม้ภาวะจิตข้าจะไม่มั่นคง ต่อให้ลุ่มหลงไปกับภาพมายาหรือต่อให้ในนั้นจะงดงามรุ่งเรืองสุดขอบฟ้า ขอเพียงเจ้ากระบี่เยี่ยไปตามหาข้าด้วยตนเอง แม้ข้าจะหลงไปกับภาพมายาก็จะยอมกลับมาแต่โดยดี” เฉินเวยเฉินยิ้มบางๆ “แต่หากเจ้ากระบี่เยี่ยไปช่วยคนไม่สำเร็จและหลงสู่ภาพมายาเสียเอง ที่นี่ไม่มีเยี่ยนจวินที่พวกท่านทั้งหลายเฝ้าคิดถึง จึงไม่มีผู้ใดจะสามารถตามท่านกลับคืนมาได้”
เยี่ยจิ่วหยาจ้องเขาอย่างเย็นชา
“เฉินเวยเฉิน” เขาพูดขึ้น “ตามที่เจ้าว่า ที่นี่ไม่มีเยี่ยนจวิน แล้วเจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะช่วยชันหลงจวินกลับมาได้”
[1]* ต้าซือ เป็นคำเรียกอาจารย์หรือยอดฝีมือในศิลปการแขนงต่างๆ นอกจากนี้ยังใช้เรียกขานภิกษุสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ และใช้กับนักบวชผู้เป็นที่เคารพนับถือ
Comments



