ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 9-12 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 9-12 #นิยายวาย

บทที่ 10

เซียนจวิน

“เรื่องรักใคร่ในแดนมนุษย์นี้ ข้าย่อมเห็นมามากกว่าเจ้ากระบี่เยี่ย” พัดภาพวาดด้ามเลี่ยมทองคลี่ออกเผยให้เห็นภาพธุลีแดง[1]* อันวุ่นวายที่อยู่ด้านหน้า “ข้าดูแล้วแม่นางลู่อายุอานามไม่เกินยี่สิบปี จิตใจนิสัยของสตรีเยาว์วัย คาดว่าน่าจะกล่อมได้ง่าย หากเป็นคนเช่นเจ้ากระบี่เยี่ย ไร้ตัณหาไร้รัก จิตดุจน้ำแข็งหิมะ จึงจะทำการยากเย็นอย่างแท้จริง”

“นางตั้งใจมุ่งสู่เต๋า เพียงมีความยึดมั่นถือมั่น ไม่เกี่ยวกับเรื่องรักใคร่”

“หากกล่าวเช่นนี้น่าจะให้หลวงจีนไปดีกว่า ไปกล่อมนางให้ละวางว่างเปล่าต่อทุกสิ่ง” ขนตาคุณชายหลุบลงเล็กน้อย “เจ้ากระบี่เยี่ย ท่านรู้เกี่ยวกับความยึดมั่นถือมั่นสักเท่าใด ต้องข้าเท่านั้นที่ไปแล้วยังพอมีโอกาส”

หลวงจีนสีหน้าเปี่ยมการุณย์ “ประสกเยี่ย ปล่อยให้เขาไปเถิด”

เฉินเวยเฉินได้รับความเห็นชอบจากหลวงจีนจึงยิ้มจนตาหยี ยกซุ่ยคุนหลุนขึ้นมากรีดข้อมือ หยดเลือดสดของตนใส่

กระบี่วิเศษเชื่อมโยงกับจิตเจ้าของ ใช้โลหิตเป็นสายชักนำสามารถนำเขาเข้าสู่แดนมายา

“เจ้ากระบี่เยี่ย โปรดวางใจ” เฉินเวยเฉินกล่าวกับอีกฝ่าย

“เจ้าจงใจทำให้ภาวะจิตของชันหลงจวินปั่นป่วน ชักนำนางเข้าสู่แดนมายา ยังจะมีใจนึกถึงข้าด้วยหรือ” เยี่ยจิ่วหยากล่าวเนิบๆ

“เจ้ากระบี่เยี่ยล้อเล่นแล้ว” เฉินเวยเฉินยิ้มตาหยี

ว่าแล้วก็ผ่อนคลายจิตใจ ปล่อยจิตสำนึกเข้าสู่แดนมายา

 

วิญญาณยึดติดกับภาพความรุ่งเรืองซึ่งเลือนหายไปในชั่วพริบตา แต่แดนมายาของชันหลงจวินกลับมิใช่ความจอแจเมื่อครั้งบ้านเมืองยังรุ่งเรืองและมิใช่ความเงียบสงบของยามสันติ

ไม่มีทัศนียภาพดุจภาพวาดและไม่มีภูผาวารีนับหมื่นหลี่

หากเป็นเปลวเพลิงลุกลามต่อเนื่อง บ้านเรือนพังทลาย

เสียงกรีดร้องและเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดค่อยๆ หายไป เหลือแต่ลมแรงที่พัดใส่เปลวเพลิง

นางที่ยังเป็นดรุณีน้อยขดตัวในห้อง กัดริมฝีปากอย่างดื้อดึงมิยินยอม แววตาทั้งสิ้นหวังและอาฆาตแค้น

ใบหน้าครึ่งซีกของนางถูกไฟลวกจนเกิดเป็นบาดแผล นางกำลังกระเสือกกระสนจะปีนออกไปจากหน้าต่าง กลับนึกไม่ถึงว่าคานห้องที่ติดไฟจะถูกเผาไปจนถึงลิ่มไม้ที่ตรึงกับผนังเรือน คานไม้หนักอึ้งจึงตกลงมาพร้อมกับเปลวเพลิงขวางทางออกตรงช่องหน้าต่างพอดี

คานอีกตัวเริ่มหลวมคลอนทำท่าจะหล่นใส่นางเช่นกัน

นางไม่มีที่ให้หนีอีกจึงหลับตาอย่างสิ้นหวัง ตัวสั่นเทา

กลับมีปราณกระบี่สายหนึ่งฟันใส่คานที่ไฟไหม้ให้เบี่ยงออกไป ฝืนทิ้งที่ว่างเล็กน้อยแต่พอตัวไว้ให้นางได้รอดปลอดภัย

นางเงยหน้ามองก็เห็นมือข้างหนึ่งยื่นให้ตน เป็นมือที่น่าดู

ดวงตาของนางเปล่งประกายแห่งความหวังจากการรอดชีวิต กุมมือข้างนั้นและถูกแรงขุมหนึ่งดึงออกจากกองเพลิง

ขณะตกใจลนลานก็เหลือบไปมอง เห็นเป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดดำแขนเสื้อปักลายเดินทอง

คนผู้นั้นวางนางลงใต้ต้นไทรใหญ่ ไม่พูดไม่จา หมุนตัวจะจากไป

จันทร์กระจ่างไกลลิบ ลมวิกาลพัดโบก ไม่เหมือนมนุษย์ในโลกโลกีย์

นางโซซัดโซเซตามไปหมายจะดึงชายเสื้อคนผู้นั้น แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็เอื้อมไม่ถึง

“ท่านเป็นผู้ใด ไยจึงช่วยข้า” นางข่มกลั้นความเจ็บปวด วิ่งเหยาะๆ ไปอย่างยากลำบากพลางถาม

คนผู้นั้นไม่ตอบ

นางก็ไม่ยี่หระ ยามนี้นางเหมือนคนจมน้ำแล้วคว้าขอนไม้ไว้ได้ จึงติดตามผู้ที่ช่วยนางออกจากทะเลเพลิง เขาข้ามภูเขา นางก็จะข้ามภูเขา เขาลงน้ำ นางก็จะลงน้ำ

นางเห็นคนผู้นี้มีสีหน้าเย็นชา ไม่ว่าจะมองในมุมใดล้วนสูงส่งเหมือนจันทราบนฟากฟ้า

นางกลัวจะเห็นแววตาของคนผู้นี้ เพราะในสายตาของเขานางคงเป็นเพียงมดตัวหนึ่ง หรืออาจเป็นเพียงเศษธุลี สรุปแล้วไม่ต่างอะไรกับหญ้าหรือหินริมทาง

ไม่รู้เดินมานานเท่าใด ในที่สุดก็ได้หยุดพัก นางพิงกับต้นไม้นั่งลง คลึงข้อเท้าที่เขียวช้ำไม่กล้าถอดรองเท้าถุงเท้าออกเช่นนี้ ด้วยเกรงว่าตุ่มน้ำที่เกิดจากการเสียดสีจะกลายเป็นน้ำเลือดเหนียวจับกับผ้าจนแกะไม่ออกแล้ว

“ท่านเป็นผู้บำเพ็ญเซียนใช่หรือไม่ ที่บ้านข้าก็มีผู้บำเพ็ญเซียน ข้าดูออก” นางพูดกับบุรุษผู้นั้น แม้จะไม่ได้รับการแยแสสนใจเลยก็ตาม นางกึ่งรั้นกึ่งขอร้องว่า “ท่านเซียน ท่านพาข้าไปบำเพ็ญเซียนได้หรือไม่”

ในที่สุดดวงตาที่ไร้แววหวั่นไหวใดๆ ของคนผู้นั้นก็จ้องนาง

“ไฉนจึงอยากบำเพ็ญเซียน”

“แสวงหาชีวิตอมตะ มีอิทธิฤทธิ์ จะได้ล้างแค้นให้สกุลลู่ของข้า” นางพูดทีละคำอย่างแน่วแน่

“ยึดมั่นถือมั่นเกินไป” น้ำเสียงและท่าทางของคนผู้นั้นเย็นชานัก คำพูดก็เช่นเดียวกัน “มิใช่คนในวิถี”

นางกัดฟันถาม “เช่นนั้นเหตุใดจึงช่วยข้า ในเมื่อไม่ส่งข้าข้ามฝั่ง ไยต้องช่วยข้า”

“…ช่วยก็คือช่วย”

ประโยคที่ว่า ‘ช่วยก็คือช่วย’ นั้นพูดออกมาอย่างเบาสบาย แต่นางสะอึกจนพูดไม่ออก กะโผลกกะเผลกเดินถึงริมธารใต้แสงจันทร์ ถอดรองเท้าปักออก สองเท้าแช่ลงในน้ำ เริ่มถอดถุงเท้าที่มีเลือดติดอย่างระมัดระวัง

นางเจ็บจนต้องสูดปาก แต่ยังต้องระวังคอยดูใต้ต้นไม้นั่นด้วย จะได้ไม่ปล่อยให้คนผู้นั้นจากไปโดยไม่รู้ตัว ทิ้งตนไว้ในทุ่งร้างตามลำพัง

คนผู้นั้นพิงต้นไม้ หลับตา ถูกแสงจันทร์อาบไล้ หากไม่มองบรรยากาศเย็นเยียบรอบกายก็คงราวกับภาพวาดภาพหนึ่ง

นางลอบชำเลืองมอง ทันทีที่หันกลับมาก็ไม่รู้ว่าข้างกายมีอีกคนมานั่งด้วยตั้งแต่เมื่อใด นางตกใจจนแทบร้องออกมา

คนผู้นั้นเป็นคุณชายในชุดหรูหราผู้หนึ่ง แต่งกายตามแบบมนุษย์ปุถุชน พัดที่มีด้ามเลี่ยมทองวางอยู่บนพื้นหญ้าริมธาร กุมข้อเท้านางที่มีรอยช้ำและถูกไฟลวก ถอดถุงเท้าติดสะเก็ดเลือดอย่างระมัดระวัง ยังเจ็บน้อยกว่านางลงมือทำเองเสียอีก

“ท่าน…” นางถามอย่างลังเล

แววยิ้มอ่อนจางปรากฏขึ้นที่หางตาของคุณชาย “จะตามข้าไป?”

นางดิ้นหลุดจากมือเขาอย่างตื่นตัว “ท่านเป็นใคร”

“คนผ่านทาง” เขาตอบ “ตามข้ากลับบ้าน เป็นน้องสาวข้า ใช้ชีวิตมั่งคั่งสูงส่งปลอดภัย ไม่ดีหรือ”

นางกัดริมฝีปาก สั่นศีรษะ “ข้าอยากบำเพ็ญเซียน”

“บำเพ็ญเซียนหนาวเย็นลำบาก”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่ไปกับท่าน” นางนิสัยดื้อรั้น “เขาช่วยข้า ข้าจะติดตามเขา เขาร้ายกาจ ข้าจะเรียนจากเขา ข้าจะล้างแค้น”

“ติดตามเขามีอะไรดี” เสียงคุณชายแผ่วเบาทอดถอนใจน้อยๆ “นั่นเป็นคนไร้น้ำใจอันดับหนึ่งในหล้า”

“เขาช่วยข้า” นางพูดคำนี้ซ้ำๆ

“แม้เขาจะช่วยเจ้า แต่ไม่สนใจเจ้า” คุณชายช่วยเสยผมที่ยุ่งเหยิงบนหน้าผากของนาง “เขาผู้นี้เห็นอะไรล้วนเป็นมดปลวก เหมือนเมฆเหมือนธุลี เพียงผ่านทางแล้วยกเท้าช่วยมดไว้ตัวหนึ่ง ยังต้องสนใจด้วยว่าหลังช่วยแล้วมดตัวนั้นจะกลับรังใดกระนั้นหรือ”

“ข้าไม่มีบ้านแล้ว” นางพ้อ “เขาไม่ได้สนใจความเป็นความตายของมด แต่ก็ห้ามไม่ให้มดติดตามเขาไม่ได้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นแม้เขาจะดูน่ากลัว แต่ความจริงมีจิตใจดีงาม ไม่เช่นนั้นคงจากไปแต่แรก ทิ้งข้าไว้ที่นี่แล้ว!”

“เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนเน้นที่ชะตาและโชคมากที่สุด” คุณชายอธิบาย “เขาเพียงเกิดมีใจเมตตาขึ้นชั่วขณะจึงช่วยชีวิตเจ้า เพราะชะตาเจ้ายังไม่ขาด และนับแต่นี้ชะตาของเจ้าจะแบกอยู่บนตัวเขา หากทิ้งให้เจ้าถูกสุนัขเถื่อนหรือหมาป่าในภูเขาแย่งกันกินก็จะติดค้างเป็นเวรกรรม ดังนั้นจึงยอมให้เจ้าติดตามไปตลอดทาง” เขาหัวร่อพลางเอ่ยอีกว่า “แต่ในเมื่อมีขั้นบำเพ็ญเช่นเขาก็ไม่ต้องกลัวเวรกรรมเล็กๆ ที่เกิดจากชีวิตคนคนหนึ่งนานแล้ว ฉะนั้นอาจเพียงเพราะเขาขี้เกียจสนใจเจ้าเท่านั้น”

“ข้าไม่เชื่อ” นางเถียงคอเป็นเอ็น “เขาไม่สนใจข้า ทว่าข้าสนใจเขา ต่อให้เขาจะถือว่าข้าเป็นมด ข้าก็จะฝึกวิทยายุทธ์ให้ร้ายกาจเหมือนเขา ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยังมองข้าเช่นนี้อีก”

นางมองดูเงาตนเองในน้ำ ใบหน้าครึ่งซีกเสียโฉม กล่าวอย่างเจ็บช้ำว่า “ข้าก็มิใช่สตรีตระกูลใหญ่โตที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี เพียงรู้หนังสือไม่กี่ตัวและปักดอกไม้เป็นบ้าง ไม่มีบิดามารดา ข้ายังจะไปที่ใดได้เล่า”

“ไยจึงไม่ติดตามข้า”

“บ้านข้าค้าขาย ต้องดูคนเป็น แม้เขาจะไม่สู้มีไมตรีนัก แต่ก็ไม่มีจิตคิดร้าย ทั้งยังคร้านจะทำร้ายข้า” นางปากคอเราะราย “ท่านยิ้มได้น่าดูมาก แต่ไม่รู้ว่ามีแผนการใดซ่อนอยู่”

เฉินเวยเฉินถูกเปิดโปงกะทันหัน ไม่ทันระวัง พริบตานั้นไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางดี

เขาพลันถามว่า “เจ้ายินดีนักหรือ”

“ย่อมยินดี ตอนแรกข้าถูกกักในห้อง ได้แต่รอถูกไฟคลอกตายทั้งเป็น กลับถูกท่านเซียนที่ผ่านทางช่วยไว้ ไม่เพียงรักษาชีวิตไว้ได้ ยังมีหวังที่จะบำเพ็ญเซียน ค้นหาความจริงเพื่อแก้แค้นให้ตระกูล ไฉนจะไม่ยินดี”

“หากไม่ว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่ยอมสอนเจ้าบำเพ็ญเซียนเล่า”

“ข้าก็จะติดตามเขา อย่างไรเขาก็คงต้องไปยังสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเซียนจนได้ ข้าจะจดจำบุญคุณของเขาไว้แล้วหาทางใหม่ รอจนมีฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่แล้วย่อมสามารถตอบแทนบุญคุณ หาพี่ชายของข้าให้พบและล้างแค้นให้คนในครอบครัว”

“พี่ชาย?” เฉินเวยเฉินรู้สึกเหนือความคาดหมาย

“เขาถูกท่านเซียนพาไปตั้งแต่เล็ก ไม่รู้ไปแห่งหนใด ขอเพียงข้าได้บำเพ็ญเซียนและเขายังไม่ตาย ย่อมต้องมีสักวันที่เราจะได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้า”

“แม่นางลู่ นิสัยกร้าวแกร่งเสียจริง” คุณชายโบกพัดในคืนฤดูสารทอย่างไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ

นางประหลาดใจ “ท่านรู้ว่าข้าแซ่ลู่?”

“ย่อมรู้” คุณชายริมธารใต้แสงจันทร์กล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “ข้ายังรู้ด้วยว่าคนผู้นั้นแซ่เฉิน เป็นราชันเทพในวิถีเซียน”

“ท่านก็เป็นเซียนหรือ”

“มิใช่”

“ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นใคร”

“เป็นคนนอกความฝัน”

“คนนอกความฝัน?”

“แม่นางลู่ฝันตื่นหนึ่ง ฝันเห็นห้วงเวลาที่ตนดีใจและคิดถึงที่สุด พริบตานั้นถึงกับไม่ตื่นขึ้นมา พวกเราที่อยู่ข้างนอกก็จนปัญญา จึงได้แต่ให้ข้าเข้ามาในความฝันของเจ้า พาเจ้ากลับไป”

“ข้าไม่เชื่อ” นางกล่าว “เรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตข้าคือการเดินทางบนทิวเขาทุ่งร้างที่ลำบากเช่นนี้กระนั้นหรือ คนผู้นั้นก็ไม่มีสีหน้าที่ดีกับข้าเลย ไยจึงไม่ให้ข้าฝันถึงบิดามารดาหรือพี่ชายข้าเล่า”

“คิดดูแล้วคงเพราะเจ้ารู้สึกว่าเช่นนี้ดีมาก ดูเถิดเขามีท่าทางไม่ชวนให้รักชอบเช่นนี้เจ้าก็ยังคงติดตามเขา ซ้ำยังพูดคุยกับเขาตลอดด้วย”

“ข้าต้องการบำเพ็ญเซียน ข้าอยากแก้แค้น ไม่ได้หรืออย่างไร”

“หากเจ้าต้องการบำเพ็ญเซียนจริง ขณะข้ามภูเขาผ่านอารามชิงจิ้ง เหตุใดจึงไม่เข้าไปเล่า”

“ที่นั่นล้วนเป็นพวกนักพรตแม่ชี…”

“หากจะรีบแก้แค้นจะสนใจไปไยว่าเป็นเซียนเป็นพุทธหรือเป็นมาร กล่าวถึงที่สุดแล้วเจ้าอยากติดตามเขานั่นเอง กลัวเขาจะหายไป เหตุใดจึงกังวลเช่นนี้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขา ไฉนจึงปล่อยให้เจ้ายึดมั่นถือมั่นเยี่ยงนี้” คุณชายจ้องนาง

“เขา…” นางอ้าปากค้าง แววตาสับสน

 

[1]* ธุลีแดง หมายถึงโลกโลกีย์หรือชีวิตความเป็นไปในทางโลก

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com