ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 9-12 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 9-12 #นิยายวาย

บทที่ 11

ต้นสน จันทรา

“ข้าไม่สนใจ” นางสั่นศีรษะสุดชีวิต “เขาช่วยข้า จะไม่ต้องการข้าได้อย่างไร”

“บุญคุณช่วยชีวิต ไม่ขอบคุณเขา กลับโทษว่าเขาไม่ต้องการ แม่นางลู่ นี่สมเหตุสมผลหรือ เจ้าบอกเองว่าข้ามภูเขาลำบากเป็นที่สุด กลับฝันเห็นช่วงนี้ เห็นได้ว่ากลัวเขาจะทอดทิ้งเจ้า หรือเป็นเพราะนอกความฝันเขาทิ้งเจ้าไปกระนั้นหรือ”

“ฝันไม่ฝันอะไรกัน ข้าไม่เชื่อ เขาอยู่ที่นั่น ข้าจะติดตามเขา”

“สุดแล้วแต่เจ้า” คุณชายก็ไม่โกรธ “เข้าไปถามเขาสิว่าเขาจะไปหนใด จะทำอะไร หากเขาตอบว่าจะไปสำนักเจี้ยนเก๋อที่แดนเหนือเพื่อพบคนผู้หนึ่งก็จะยืนยันได้ว่าข้าเป็นคนนอกความฝันโดยมิต้องสงสัย”

นางมองเขาอย่างข้องใจคราหนึ่งโดยไม่พูดอะไร นางนึกกลัวคนผู้นั้นอยู่บ้าง ย่อมไม่กล้าถาม

เฉินเวยเฉินกลับเดินไปถึงข้างกายคนผู้นั้นอย่างไม่กริ่งเกรงราวกับไม่กลัวเขาแม้แต่น้อย ขณะถือพัดเตรียมจะเชยคางคนผู้นั้นด้วยท่าทางคล้ายคุณชายตระกูลร่ำรวยที่กำลังลวนลามสตรี แล้วก็เป็นดังคาด ดวงตาของคนผู้นั้นที่เดิมหลับอยู่พลันลืมขึ้น สิ่งที่เฉินเวยเฉินได้รับคือแววตาเย็นชา

มีคำกล่าวว่ามีพลังข่มขู่โดยมิต้องโกรธ แต่ก็ไม่อาจบรรยายแววตาที่เต็มไปด้วยความล้ำลึกนี้ได้แม้เศษเสี้ยว

เพราะนั่นมิใช่พลังข่มขู่

นั่นเป็นความไม่ไยดีบางอย่างที่ปราศจากกลิ่นอายของปุถุชน สูงส่งเหนือสิ่งใด

คล้ายตะวันจันทราหมุนกลับ ฟ้าถล่มดินทลาย ในสายตาของเขาก็แค่ธุลีร่วงลงเม็ดหนึ่ง

“ฟ้าเบื้องบนลืมรัก สงบมิหวั่นไหวคือวิถีของท่านหรือ” คุณชายที่สวมชุดหรูหราหุบพัด มุมปากแฝงรอยยิ้มที่เดาไม่ออก “เยี่ยนจวิน เลื่อมใสชื่อเสียงมานาน ข้าน้อยเฉินเวยเฉิน”

คนผู้นั้นจ้องกลับเงียบๆ “ยินดีที่ได้พบ”

 

เมื่อออกเดินทางอีกคราก็มีเฉินเวยเฉินเพิ่มมาอีกคน

ผู้สูงส่งท่านนั้นย่อมไม่สนใจเรื่องทางโลกเป็นธรรมดา ทุกอย่างที่ต้องทำจึงกลายเป็นภาระของคุณชายเฉิน

ร้านตัดเย็บที่ตีนเขาหิมะตัดชุดกระโปรงสีแดงขึ้นมา แม้ลายดอกไม้ที่ปักจะไม่ประณีต แต่กลับใส่ใจและน่าดูชมอย่างยิ่ง

คุณชายยิ้มตาหยีถือชุดหยอกเย้าแม่นางลู่ “เรียกข้าว่าพี่ชายสักคำจะยกกระโปรงให้”

นางคุ้นกับเขามากแล้ว แต่ยังโมโหจนหันตัวไป “ไม่เรียก”

“เจ้ายังคงไม่ชอบใจข้าอยู่ดี” เฉินเวยเฉินช่วยคลุมเสื้อให้นางจากข้างหลัง เอ่ยเสียงทอดถอนใจเสแสร้งถึงขีดสุด “ว่ากันตามหลักแล้ว ข้าผู้เป็นคุณชายไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือความรู้ล้วนดีกว่าเยี่ยนจวินผู้เย็นชาของเจ้า ไยจึงไม่เห็นเจ้าทั้งหวาดกลัวทั้งรักข้าเล่า”

ถึงอย่างไรแม่นางลู่ก็ถือคติว่ารับของผู้อื่นมือต้องสั้น[1]* จึงแค่นเสียงดังฮึ “ย่อมดีกว่าท่าน”

บังเอิญได้ยินโต๊ะข้างๆ ในโรงเตี๊ยมกล่าวว่า “ไปทางเหนืออีกร้อยกว่าหลี่จะเป็นเขตแดนสำนักเจี้ยนเก๋อ นั่นเป็นหนึ่งในสำนักเซียน คนธรรมดาชั่วชีวิตยังยากจะเหยียบย่างเข้าที่นั่น”

แม่นางลู่พลันเงียบงัน

นางกลับห้องตนเองนั่งซึมอยู่ครู่หนึ่ง สมองขบคิดวุ่นวาย ตอนออกไปจากประตูโรงเตี๊ยมที่มีน้ำแข็งย้อยเป็นแท่ง เห็นใต้ต้นไม้ที่ปกคลุมด้วยหิมะมีคนสองคนยืนอยู่

ในมือของเฉินเวยเฉินมีขลุ่ยสีหยกเลาหนึ่ง กำลังเป่าเป็นบทเพลงไม่ทราบชื่อ

หิมะโปรยปรายเกลื่อนฟ้าตกลงบนเสื้อคลุมของเยี่ยนจวินที่อยู่ข้างๆ

นางพลันผุดความเศร้าหมองในใจโดยไม่รู้ที่มา

เฉินเวยเฉินเห็นนางเข้าจึงเก็บขลุ่ย “เก็บข้าวของแล้วหรือ”

นางส่งเสียง “อืม” คำหนึ่ง

คุณชายใช้ศอกกระทุ้งคนข้างกายเบาๆ “เยี่ยนจวิน จะออกเดินทางแล้ว ท่านจะไปหนใดกันแน่”

“สำนักเจี้ยนเก๋อ”

เฉินเวยเฉินยักคิ้วให้แม่นางลู่

นางก้มหน้าไม่พูดไม่จา ตามพวกเขาไป

จากนั้นก็มุ่งขึ้นเหนือไปตลอดทาง ในแดนมายาไม่มีวันเวลา หลังจากพวกเขาผ่านด่านยากลำบากนานัปการก็มาจนถึงใต้ผาชันเหวหิมะ

บันไดสายหนึ่งทอดสู่เมฆาทะลุไปถึงหอสูงซึ่งอยู่บนยอดเขาหิมะ

ท่ามกลางลมหนาวคือปราณกระบี่แหลมคมที่พุ่งตรงสู่เมฆา กระบี่บินหกเล่มลอยคว้างบนท้องฟ้า เป็นปรากฏการณ์ที่มนุษย์ไม่อาจเห็นได้ ที่แห่งนี้คือสำนักเจี้ยนเก๋อ

ข้างบันไดหินของสำนักเจี้ยนเก๋อมีศิษย์สวมชุดสีน้ำเงินสองคนยืนอยู่ น้อมคารวะต่อราชันเทพชุดดำ กลับเหมือนไม่เห็นพวกเขาสองคนที่อยู่ข้างๆ ซ้ำพวกเขาก็ยังไปต่อมิได้

คนผู้นั้นขึ้นบันไดไปทีละขั้น

เฉินเวยเฉินยกมือบังตาแม่นางลู่ “โลกนี้พบกัน ท้ายที่สุดก็ต้องมีวันจากกัน เขาไปแล้ว อย่ามองอีกเลย”

น้ำตาไหลอาบฝ่ามือของเขา

แม่นางลู่สะอื้น “เฉินเวยเฉิน ท่านหลอกข้า”

“หลอกที่ใดกัน”

“ท่านบอกว่าเป็นความฝัน บอกว่าที่นี่เป็นสิ่งที่ข้าอยากได้ที่สุด…แล้วเหตุใดเขาจึงยังจากไป”

เสียงคำว่า ‘จากไป’ ที่ดังขึ้นประหนึ่งระลอกคลื่นแผ่วกระจายออกไป เงาร่างคนผู้นั้นลับหายไปในหิมะหมอกและไอเมฆ มองไม่เห็นอีกเลย

เฉินเวยเฉินเอ่ย “เพราะเจ้ารั้งไม่อยู่” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “รักโลภโกรธหลง โกหกตนเองได้ แต่ไม่อาจโกหกแดนมายาของจิตมารได้”

แม่นางลู่สะอื้นคำหนึ่ง ครู่เดียวเปลวไฟแห่งความดื้อดึงก็ลุกโพลงขึ้นมาในดวงตาอีกครั้ง “แล้วอย่างไร ไว้ข้าสำเร็จเป็นเซียนก่อน จะตีฝ่าขึ้นไป ดูซิว่าเขาจะมองข้าตรงๆ หรือไม่”

หิมะรอบด้านพลันโหมกระหน่ำ หน้าผาสั่นสะเทือน ภาพมายาตรงหน้าราวกับบุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี

“รอจนเจ้าบำเพ็ญจนสำเร็จมหามรรคา จะเห็นเขาทุกลูกเล็กมาก กระบี่เดียวสามารถสะเทือนเขาคุนหลุน” น้ำเสียงของเฉินเวยเฉินพลันแฝงแววเยือกเย็น “เขาอยู่ที่ใด”

“เขา…” แม่นางลู่จิตใจพังทลาย สั่นศีรษะไหวๆ ถอยหลายก้าว

แดนมายาทลายลงทีละชั้น

“ในแดนมนุษย์มีลำนำขับขานว่ายามท่านกำเนิด ข้ายังไม่เกิด…” คุณชายในชุดหรูหรามีรอยยิ้มอ่อนโยนในแววตา ทว่าในสายตาของแม่นางลู่แล้วกลับเห็นเป็นความแล้งน้ำใจที่น่ากลัว

“ท่านอย่าพูดอีกเลย!” นางแทบจะกรีดร้อง “เขาตายแล้ว กลับมีคนไม่ให้เขาตาย” แม่นางลู่ตาแดงก่ำ “ต่อให้การไปครั้งนี้จะเป็นสิบตายหนึ่งไร้ทางรอด แต่ข้าก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาตายเพื่ออะไรและจะพาเขากลับมาให้ได้”

“สิบตายหนึ่งไร้ทางรอด” เฉินเวยเฉินทวนคำกระซิบที่ริมหูนางว่า “ได้โลหิตไคหยาง ได้จี้เมี่ยเซียง ได้จิ่นซิ่วฮุย ที่แท้พวกเจ้าต้องการให้เขากลับมาหรือ”

“หนึ่งปีให้หลังพลังปราณฟ้าดินแปรเปลี่ยนจากแข็งแกร่งที่สุดเป็นเสื่อมโทรมที่สุด จากเสื่อมโทรมที่สุดเป็นแข็งแกร่งที่สุด” น้ำเสียงของแม่นางลู่สั่นเล็กน้อย ร่างกายพลันสูงชะลูดขึ้น ใบหน้าขยายใหญ่ขึ้น หน้ากากสีทองปรากฏขึ้นมาปิดบังใบหน้า ผมดำสยายคล้ายอสูรคลั่ง มือถือกระบี่หนักซุ่ยคุนหลุน ร่างกลับกลายเป็นชันหลงจวิน “สร้างแท่นบูชาการเกิดใหม่ให้เขากลับมาได้พอดี”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้” เฉินเวยเฉินพยักหน้า “แต่หากเขาไม่อยากกลับมาเล่า?”

“เขา…”

ไม่รอให้นางตอบ เฉินเวยเฉินก็หยิบคันฉ่องบุปผาออกมา พลิกด้านหลังของคันฉ่องไปทางโฉมงามแซ่ลู่ หลังคันฉ่องฝังลูกตาหินขาวหม่นไว้ลูกหนึ่ง เป็นดวงตาเย็นชาที่เห็นโลกมามากมาย เขากล่าว “นึกได้แล้วกระมัง รีบกลับไปเถิด”

คันฉ่องบุปผา ส่องจิตใจ ทำลายมายา

แม่นางลู่เมื่อสบสายตากับดวงตานั้นก็ตะลึงงัน

แดนมายาพังทลายลงอย่างรวดเร็ว พื้นที่รอบๆ พังลงทั้งสี่ทิศแปดทาง เพียงชั่วไม่กี่อึดใจรอบด้านก็มีแต่ความว่างเปล่า เหลืออยู่เพียงเกาะเล็กๆ โดดเดี่ยวที่ทั้งสองคนยืนอยู่แห่งนี้

ในที่สุดก็หวนระลึกถึงเรื่องราวในอดีต มุมปากลู่หงเหยียนมีรอยยิ้มคล้ายดีใจคล้ายโศกเศร้า หงายหลังล้มลง เงาร่างในชุดสีแดงพลิ้วไหวโบยบินท่ามกลางหิมะและลมหนาว หายลับไปในฟากฟ้าว่างเปล่า หมอกสลัวจางหายกลับคืนสู่ความสว่างสดใส

“เจ้าว่า…เหตุใดแต่ละคนจึงยังมองความตายไม่ปรุโปร่ง”

เฉินเวยเฉินพึมพำกับตนเอง เหลียวมองรอบๆ เห็นแต่ผาชันและภูเขาหิมะ บันไดทอดยาวเข้าสู่เมฆา

“ไม่เข้าใจสัจธรรมก็คือไม่เข้าใจ” เขากล่าว “ข้าเองก็มองไม่ปรุโปร่งมิใช่หรือ”

เขาเก็บคันฉ่องวิเศษกลับเข้าที่ เดินตามบันไดหินขึ้นไปสู่เมฆาเช่นเดียวกับคนก่อนหน้า

 

ที่ยอดเขามีต้นสนหิมะอายุราวพันปีต้นหนึ่ง หิมะใหม่คลุมอยู่บนยอดไม้ ข้างล่างมีโต๊ะหินเก้าอี้หินซึ่งเนื้อเกลี้ยงสีเหมือนหยก

บนโต๊ะมีสุราหนึ่งไห จอกหนึ่งคู่

เขานั่งลงรินเองดื่มเอง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดม่านราตรีเข้าปกคลุม ที่ขอบฟ้ามีดวงดาวปรากฏริบหรี่ไม่กี่ดวง แสงจันทร์สกาวสุกใส

มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลัง เขาหันกลับไปก็เห็นคนชุดขาวก้าวผ่านหิมะมา ภายใต้จันทร์กระจ่างลมหนาวพัดชายเสื้อพลิ้วสะบัด

พลันเหมือนตกอยู่ในตำหนักเซียนกว้างขวางเย็นเยียบ เห็นเซียนในภาพวาด

“เจ้ากระบี่เยี่ย” เขายิ้มทักทายคนผู้นั้น “ท่านมาพาข้ากลับไปหรือ”

เยี่ยจิ่วหยามุ่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้ามิได้ตกสู่แดนมายาหรือ”

“ข้าไร้จิตมาร ย่อมมิหลงใหลไปกับแดนมายา”

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่”

เฉินเวยเฉินมองดูเขา ตอบไม่ตรงคำถามว่า “เยี่ยจิ่วหยา ในตาท่านมีหิมะ”

“วันที่สิบห้าเดือนแปด ซงเฟิงไถ (แท่นสนวายุ)” เยี่ยจิ่วหยาเหมือนสูดหายใจลึกคราหนึ่ง แววตาไม่โศกไม่ยินดี กล่าวช้าๆ ว่า “เฉินเวยเฉิน เจ้ามิใช่เขาจริงหรือ”

เฉินเวยเฉินรินสุราใส่จอกอีกใบจนเต็ม เป็นเชิงชวนให้เยี่ยจิ่วหยาร่วมดื่มด้วย “ข้าเหมือนเขามากหรือ…ทว่าเยี่ยจิ่วหยา ความจริงท่านเองก็บอกไม่ถูกกระมังว่าเหมือนหรือไม่เหมือน บำเพ็ญมรรคากระบี่ไร้รัก มองผู้ใดล้วนไม่มีอะไรต่างกันมิใช่หรือ” เฉินเวยเฉินจิบสุราคำหนึ่งแล้วหัวร่อ “ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าข้าคือเขา เป็นอย่างไร”

 

[1]* มาจากสำนวน ‘กินของคนอื่นปากต้องหวาน รับของคนอื่นมือต้องสั้น’ หมายถึงเมื่อรับผลประโยชน์จากคนอื่นแล้วก็ต้องเกรงใจช่วยเหลืออีกฝ่าย แม้อีกฝ่ายจะทำผิดก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายหรือต่อว่าได้

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com