everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 9-12 #นิยายวาย
บทที่ 12
ลมหายใจภูตผี
เฉินเวยเฉินเงยหน้าสบกับสายตาเชิงพินิจพิเคราะห์ของเยี่ยจิ่วหยา
“อย่ามองข้า” เขาใช้พัดบังใบหน้า “เจ้ากระบี่เยี่ยควรเห็นใจผู้เจ็บป่วย”
“พัดนี้มีชื่อว่าอะไร” เจ้ากระบี่เยี่ยพลันถาม
“พัดหรือ” เฉินเวยเฉินประหลาดใจ “ไม่มีชื่อ”
ครู่หนึ่งผ่านไปเฉินเวยเฉินคล้ายนึกถึงอะไรที่ไม่ดีเอามากๆ ขึ้นมา จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น เพียงเผยดวงตาสองดวงแล้วกล่าวว่า
“หรือว่าท่าน…”
เยี่ยจิ่วหยากล่าว “อืม”
เฉินเวยเฉินพลิกดูหน้าพัดไปมา รู้สึกอาดูรอย่างยิ่ง
เพียงครู่เดียวความอาดูรก็มลายสิ้น “ไม่ถือว่าน่าอาย”
เยี่ยจิ่วหยากล่าว “คันฉ่องบุปผาและขลุ่ยถูซานเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ศาสตราวุธในคลังก็เป็นสนิมหมดแล้ว มีเพียงพัดนี้”
“อันว่าเวลาก็คือชะตา จะดีร้ายข้าก็เป็นคุณชายคนหนึ่ง มิอาจถือดาบกระบี่” เฉินเวยเฉินคิดไปคิดมาไม่เพียงทอดถอนใจ ยังเพิ่มความได้ใจอยู่หลายส่วน “ต่อมาก็ไม่ห่างกายเลย เช่นนั้นก็เรียกว่า ‘ไหวโยว (จิตอาวรณ์)’ เถิด”
การเข้าสู่แดนมายาต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เชื่อมโยงกับโลหิตของเจ้าของเดิม เป็นกระสายช่วยชักนำ ดังเช่นที่เฉินเวยเฉินเข้าสู่แดนมายาจิตมารของลู่หงเหยียนโดยอาศัยความสัมพันธ์ของกระบี่ซุ่ยคุนหลุนกับเจ้าของ
แต่ลู่หงเหยียนตื่นจากแดนมายาแล้ว เนิ่นนานผ่านไปเฉินเวยเฉินก็ยังไม่กลับมา ยามนี้เยี่ยจิ่วหยากับหลวงจีนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกจึงต้องหาวิธีพาเขาออกมา
คุณชายเฉินเพิ่งเข้าสู่วิถีเซียน ไม่เหมือนเซียนทั้งปวงที่มีอาวุธเชื่อมโยงกับโลหิต สภาพการณ์ในเมืองจิ่นซิ่วก็ค่อนข้างเลวร้าย มิมีศาสตราวิเศษที่เหมาะสมให้เขาครอบครอง
“พัดบ้านข้าย่อมต้องใช้แพรละเอียดประณีตที่สุดทำหน้าพัดและใช้ก้านพัดที่ดีที่สุด” คุณชายคลี่พัดท่ามกลางน้ำแข็งและหิมะ “ภาพและอักษรนี้ข้าวาดและเขียนด้วยตนเอง ข้ามีพรสวรรค์ในสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เกิด มักมีคนชมว่ามีกลิ่นอายชีวิตชีวา ไม่รู้จริงหรือเท็จ สรุปแล้วเป็นพัดที่ดีเล่มหนึ่ง”
ด้วยความบังเอิญพัดนี้กลับสอดคล้องกับดวงเนตรแห่งเซียน เกี่ยวโยงเข้ากับโลหิตแท้ในกายเขา วันข้างหน้าหากต่อยตีกันผู้อื่นอาจสู้กันดุเดือด เงาดาบกระบี่พร่างพราย เขาก็เพียงโบกพัดดูความครึกครื้นอยู่ข้างๆ หากมีผู้ใดจะประมือกับเขาให้ได้ พัดจีบพอหุบลงก็สามารถใช้เป็นศาสตราที่ไม่สั้นไม่ยาว ดูแล้วก็สง่างามดี
คุณชายเฉินพอใจกับสิ่งนี้มาก เดิมเขาถือพัดตลอดเวลาอยู่แล้ว ยังเคยถูกเจ้านักพรตแซ่เซี่ยถากถางว่าเป็นของธรรมดาสามัญ ครานี้จึงยิ่งมีเหตุผลที่จะไม่ให้ห่างมือ
เยี่ยจิ่วหยาถามเขา “เคยฝึกวิทยายุทธ์หรือไม่”
“กระบวนท่านั้นพอรู้ แต่ทนความลำบากไม่ไหว ดังนั้นพื้นฐานจึงนับว่าธรรมดายิ่ง” เฉินเวยเฉินมินำพา “แต่บัดนี้อยู่ข้างกายเจ้ากระบี่เยี่ย ย่อมไม่ต้องกลัวว่าจะเสียชีวิต ท่านอย่าได้บังคับให้ข้าฝึกวิทยายุทธ์”
เยี่ยจิ่วหยามองอีกฝ่าย มุมปากเกิดรอยยิ้มโดยไม่ตั้งใจ
หากจะว่าใช่ ความจริงแล้วก็ไม่เหมือน
หากจะว่ามิใช่…
เยี่ยจิ่วหยาเพียงกล่าวเรียบๆ “ไม่ฝึกก็ดี”
เฉินเวยเฉินดื่มสุราจนหมด ยิ้มหยีกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเราก็ไปกันเถิด”
แดนมายาพังทลายลงทีละชั้นเหมือนครั้งก่อนราวกับเปลี่ยนฟ้าดินใหม่
ในหอของซินแสเล่านิทาน คุณชายกับเด็กรับใช้นั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง เบื้องหน้ามีน้ำชาและของว่างวางเรียงราย ทั้งสองกำลังประคารมกันอย่างสนุกสนานไม่รู้เบื่อ ทันใดนั้นซินแสเล่านิทานพลันเคาะไม้ที่โต๊ะดังปัง “คราก่อนพูดถึงเจ้ากระบี่เยี่ย…”
ทั้งสองหยุดลงรอฟังพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
เฉินเวยเฉินร้องว่า “ไอ้หยา ผิดแล้ว ผิดแล้ว”
ความจอแจของโรงเตี๊ยมพลันถอยห่างไปไกลชั่วพริบตา ภาพรอบข้างเปลี่ยนอีกแล้ว
ครานี้ยังคงเกี่ยวข้องกับเยี่ยจิ่วหยา แสงจันทราสาดส่องเกล็ดหิมะเกลียวคลื่น บนฝั่งกำลังมีคนมา
น้ำเสียงเฉินเวยเฉินกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง “ไฉนจึงยังไม่ออกไป”
เยี่ยจิ่วหยาไม่พูด
เฉินเวยเฉินได้แต่กระเสือกกระสน “เจ้ากระบี่เยี่ย โปรดเชื่อข้าอีกครั้ง ครั้งนี้ครั้งเดียว”
เขาหลับตา ไม่มองจอมกระบี่ชุดขาวบนฝั่ง ไม่มองตัวจริงที่อยู่ข้างกาย
เสียงคลื่นครืนครั่นรุนแรงขึ้นทุกที น้ำทะเลกระเซ็นปะทะใบหน้า
เขาลืมตา เห็นทะเลกว้างไหลทะลักไปทั่ว ท่วมทั่วฟ้าดิน
คุณชายเฉินลองยื่นมือกุมข้อมือของเยี่ยจิ่วหยา มิได้ถูกพลังกระบี่ไร้รักตามตำนานเซียนดีดออกจึงลอบดีใจลึกๆ
“ไปเถิด” เพิ่งขาดคำเขาก็ดึงเยี่ยจิ่วหยากระโจนไปข้างหน้าจมสู่น้ำทะเลที่หนาวเย็น ทั้งตัวเหมือนเรือน้อยล่องลอยลำหนึ่ง กึ่งจมกึ่งลอยในมหรรณพ
เขาเงียบลง ยิ่งจมยิ่งดิ่ง ท่ามกลางความเงียบสงัดกลับสู่ความกระจ่างสดใส
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็กลับมาถึงคลังหลวงของนครหลวงเก่า ผนังทาสีดำประตูทองเหลืองสนิมเขรอะ
ลู่หงเหยียนใช้กระบี่ยันกับพื้นอยู่ข้างๆ เงยหน้ามองเขาปราดหนึ่ง ไม่รู้ว่าจำเรื่องในแดนมายาได้สักกี่ส่วน
หลวงจีนเห็นพวกเขาได้สติก็เปล่งพระนามพุทธองค์ด้วยจิตเมตตา
เยี่ยจิ่วหยากล่าว “ขอบพระคุณต้าซือที่ช่วยคุ้มครอง”
หลวงจีนยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรเลย
“เราต้องรีบออกไปโดยเร็ว” ลู่หงเหยียนกล่าว “บัดนี้ผีวิญญาณต่างพากันมาอุดอยู่ที่ประตู เพราะมีบารมีต้าซือคุ้มครองจึงเข้ามามิได้”
“ช้าก่อน อาตมาสังเกตเห็นว่าในคมกระบี่ของประสกเยี่ยนั้นไร้อารมณ์ความรู้สึก สามารถสยบจิตผีวิญญาณและความเคียดแค้นของอสูรได้ หากร่วมแรงกับอาตมาผู้เป็นหลวงจีนยากไร้ อาจสามารถสวดส่งผีวิญญาณในเมืองได้ทั้งหมด” หลวงจีนแลดูเยี่ยจิ่วหยา “ประสกเยี่ยยินดีช่วยอาตมาหรือไม่”
เยี่ยจิ่วหยาตอบ “ได้”
ทุกคนก้าวออกจากประตูคลังหลวง ฟ้าเป็นสีแดงคล้ำ ท่ามกลางลมปีศาจยะเยือกยังมีเสียงภูตผีคร่ำครวญ ห้องหอที่ทรุดโทรมทิ้งร้างมืดมิด เงาภูตผีพร่างพราย
หลวงจีนถาม “ข้างนอกมีคนเฝ้าประตูหรือไม่”
เยี่ยจิ่วหยาตอบว่า “มีทายาทรุ่นปัจจุบันของอารามชิงจิ้ง”
หลวงจีนพยักหน้า “เช่นนั้นก็ประเสริฐ”
เขานั่งลงกับพื้น เสียงบทสวดภาษาสันสกฤตที่ออกมาจากปากชัดเจนจนน่าเกรงขาม ท่ามกลางบรรยากาศทึมเทาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายภูตผีน่ากลัว มีดอกบัวพุทธะสีทองนับหมื่นดอกปรากฏวับแวมให้เห็น
กระบี่จิ่วหยาออกจากฝัก ปราณกระบี่ทะลุเมฆา แผ่ความเย็นยะเยียบออกมา
ปราณกระบี่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเกือบจะผนึกเป็นรูปร่างที่จับต้องได้ ความขาวโพลนราวหิมะน้ำแข็งนั้นมิใช่เย็นเยียบเสียดกระดูก หากแต่เป็นความเงียบสงัดไร้ขอบเขต เป็นดังธารหิมะที่ทอดตัวสุดขอบฟ้า ไร้มุทิตาจิตของพุทธะแลไร้ความพิสดารน่าพิศวงของเต๋า
ลองสัมผัสให้ละเอียด ที่แท้ว่างเปล่าไร้สิ่งใดๆ
มรรคาสวรรค์เหมือนฟ้าเบื้องบนก้มมองสรรพสัตว์
ไม่มีที่เรียกว่าไร้รัก ไม่มีที่เรียกว่าฟ้าเบื้องบนลืมรัก เหตุที่ขั้นบำเพ็ญสูงส่งไกลโพ้น ล้วนเพราะใกล้กับมรรคาสวรรค์
สมดังที่เซี่ยหลางกล่าว ‘ฟ้าดินเดิมไร้รัก’
พลังกระบี่ไร้รักขวางฟ้าสูง ความยึดติดจิตมารทั้งปวงถูกขังไว้ ถึงกับเล็กน้อยมิคู่ควรปานนั้น แม้แต่เสียงวิญญาณคร่ำครวญยังถูกปิดกั้นไป
หากเซี่ยหลางที่อยู่นอกประตูเมืองได้เห็นภาพนี้คงกู่ร้องด้วยความสำราญใจ รู้สึกว่าได้สมดังปรารถนาที่ได้มีหวังที่จะสอดส่องความลับของฟ้า
สองคนนี้คนหนึ่งสวดส่งวิญญาณ อีกคนตั้งพยุหะกระบี่ ต่างมิอาจเสียสมาธิ ตอนแรกลู่หงเหยียนยังถือกระบี่คอยช่วยคุ้มครอง…ภายหลังเห็นทั้งสองไม่เพียงมีกำลังเหลือเฟือและยังมีมากด้วย จึงมิได้เคลื่อนไหวอีก
เฉินเวยเฉินไม่อาจช่วยอะไรได้ จึงถือพัดไหวโยวของตน ยืนอยู่ใต้ชายคาข้างๆ ชมดูความครึกครื้น
ลู่หงเหยียนเดินถึงข้างตัวเขา กระบิดกระบวนอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็หลุดคำว่า ‘ขอบคุณ’ ออกมาจนได้
คุณชายเฉินหัวร่อกล่าวว่า “แม่นางลู่ มิต้องขอบคุณ ไม่สิ ยังต้องขอบคุณบ้าง หากมิมีข้าผู้เป็นคุณชาย อาศัยตัวเจ้าเองตามลำพังน่าจะร้ายมากกว่าดี”
ลู่หงเหยียนถลึงตาใส่ “หากมิใช่เพราะเจ้า ข้าหรือจะตกสู่แดนมายา!”
ท่าทางของเฉินเวยเฉินเหมือนผู้ไร้ความผิดถูกปรักปรำ “ข้าเพียงพูดความจริง ผู้ใดจะนึกว่าเจ้าไม่ยอมฟังเลยสักนิด”
นางไม่พูดด้วยอีก ทั้งมิได้ซักถามเรื่องในแดนมายา ดูท่าคงจมลึกเกินไปจนจำต้นสายปลายเหตุมิได้แล้ว
เฉินเวยเฉินรู้สึกว่าสองคนนี้สภาพการณ์เย็นชามากจึงออกปากว่า “ไม่ไปใคร่ครวญหาทางตื่นรู้กับมรรคาไร้รักของเจ้ากระบี่เยี่ยของเจ้าหรือ”
“เคยศึกษาแล้ว ไม่เอาแล้ว” น้ำเสียงของนางแข็งมาก
“ถ้าเช่นนั้นแม่นางลู่ศึกษาวิถีใด”
“เข้าสู่วิถีด้วยยุทธ์” ลู่หงเหยียนเห็นเขาฝืนเข้าสู่ขั้นฟ้าระดับหนึ่งอย่างเต็มกลืน จึงมิได้ปิดปากไม่ตอบ “เทียบกับพวกที่ไม่ยอมเคลื่อนไหวออกแรง เพียงคิดอยากตื่นรู้จากการหลอมยา ข้าทนลำบากได้มากกว่าจึงพอจะประสบความสำเร็จเล็กน้อย”
“แม่นางลู่เป็นหนึ่งในสามจวินแล้ว จะว่าประสบความสำเร็จเล็กน้อยหาได้ไม่”
“เทียบกับสิบสี่โหวอาจต่อยตีเก่งหน่อย แต่อยู่ในสามจวินชื่อก็ยังนับว่ารั้งท้าย” นางกล่าว “ข้าไม่เคยเห็นวั่นฉีจวินจึงไม่ทราบ แต่ข้าเคยพบหลันซานจวินครั้งหนึ่งที่ทะเลทักษิณ ขั้นบำเพ็ญของข้ายังไม่ถึง และสู้เขาไม่ได้”
“เยี่ยจิ่วหยามีมรรคากระบี่ไร้รัก นี่เป็นวิถีที่ไม่เคยมีใครมีมาก่อน จึงเห็นได้ว่าสภาพเช่นนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องได้บรรลุขั้นฟ้าระดับสามแน่ อยู่ในวิถีเซียนมานานถึงเพียงนี้ ขั้นฟ้าระดับสามก็เพียงมี…”
ลู่หงเหยียนพลันหยุดลงกะทันหัน เบือนหน้าไปไม่พูดอีก อากัปกิริยาชะงักค้าง
นางตวาดคำหนึ่ง “ระวัง!” แล้วโถมไปข้างหน้า
เสียงกระบี่อึงอลออกจากฝักขวางไว้
ที่หน้าต่างของเรือนที่อยู่ใกล้ๆ พลันมีเงาร่างหนึ่งกระโจนออกมาจากความมืด พริบตาเดียวก็ถึงเบื้องหน้าพวกเขา
พลังกระบี่ถักทอเป็นแหขนาดมหึมาที่แน่นทึบลมผ่านมิได้ แต่เงาดำนั่นพลันลากยาว หักไปในมุมหนึ่งอย่างพิสดาร แล้วข้ามแหนั้นตรงเข้าหาเฉินเวยเฉิน
ลู่หงเหยียนถอยหลังปานเหินบิน แต่สุดท้ายก็ยังช้ากว่าสิ่งที่เหมือนมิใช่คนอยู่ก้าวหนึ่ง กลิ่นอายชั่วร้ายขุ่นข้นปะทะใส่หน้าเฉินเวยเฉิน
ยามคับขันสุดขีดนี้นางได้แต่ร้องคำหนึ่ง “คุ้มครองจิ่นซิ่วฮุย”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments



