everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 13-16 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1
ผู้เขียน : อีสือซื่อโจว (一十四洲)
แปลโดย : เซี่ยงฉี
ผลงานเรื่อง : 一剑九琊 (Yi Jian Jiu Ya)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 13
คำพูดผี
พัดจีบคลี่ออกจนเกิดเสียงดัง พลังปราณมหาศาลถูกปล่อยออกมา ของสิ่งนั้นถูกขวางไว้ชั่วขณะ
การหยุดลงชั่วขณะนี้ทำให้ทุกคนมองเห็นรูปร่างของสิ่งนั้นได้ถนัดตา
ในนครหลวงเก่ามีภูตผีปีศาจนับมิถ้วน วิญญาณเร่ร่อนเหมือนคนมีชีวิต ผีคั่งแค้นคับข้องร้องคำรามด้วยหน้าตาน่าสะพรึง ทว่าก็ยังมีเค้าของมนุษย์ แต่เจ้าสิ่งนี้กลับเป็นไอดำกลุ่มหนึ่ง ตรงกลางตะปุ่มตะป่ำเป็นรูปใบหน้าคน สองข้างมีไอดำยืดออกเหมือนใช้เป็นแขน ภายใต้จันทร์สีซีดดูแล้วน่าสยอง
ลู่หงเหยียนย่อมไม่ปล่อยโอกาสอันดีนี้ผ่านไป ซุ่ยคุนหลุนในมือฟาดใส่ด้วยพลังหมื่นจวิน
สตรีผู้นี้เข้าสู่วิถีโดยอาศัยพละกำลังและวิชายุทธ์ ทั้งยังใช้กระบี่ใหญ่ทั้งกว้างทั้งหนักที่ไม่สมกับความอ้อนแอ้นของร่าง พอโจมตีเข้าใส่ก็เหมือนภูเขาไท่ซานโถมทับ หนักหน่วงยากจะต้านทาน
เฉินเวยเฉินเบี่ยงตัวหลบ กระบี่หนักฟันลงตรงๆ กลุ่มไอดำถูกฟันตรงกลางพอดี รูปใบหน้าคนแตกเป็นสองเสี่ยง
ลู่หงเหยียนถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง
เฉินเวยเฉินบอก “ทำต่อไป”
แววตาของนางเย็นชา กระบี่กวาดไปทางขวางอีกครา พอเห็นว่าไอดำกำลังจะรวมตัวกันอีกนางก็ลงมือฟันมันออกเป็นสี่ซีกทันที
นางลงมือไปพลางถามด้วยความเร่งร้อนไปพลาง “นี่อะไร!”
เฉินเวยเฉินไม่ตอบ สิ่งนั้นส่งเสียง “โฮะ โฮะ” ทุ้มหนักเหมือนหัวร่อเสียงประหลาด
เศษชิ้นส่วนนับร้อยยื่นออกมาเหมือนหนวดสัมผัสสีดำสนิทนับพันเส้น ทันใดนั้นพวกมันก็รวมตัวกันโจมตีใส่เฉินเวยเฉิน ด้านหลังเฉินเวยเฉินเป็นประตูที่ขึ้นสนิมผุพังบานหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว ทันใดนั้นก็กระแทกประตูเปิด รอจนสิ่งนั้นผ่านประตูเข้าไปในห้อง ตัวเขาเองกลับหมุนตัวอย่างคล่องแคล่วตามเข้าไปและปิดประตูดังปัง
“อย่าเข้ามา” เขาสั่ง
ลู่หงเหยียนถูกกันอยู่นอกประตู ได้ยินเสียงโครมครามจากข้าวของด้านใน เสียงของตกแตกและเสียงประหลาดคำรามหนักๆ คาดว่าคงทำบรรดาแจกันเคลือบที่ยังไม่ถูกไฟไหม้พลิกคว่ำ
ผนังและประตูขวางนางไม่อยู่ กระบี่ในมือนางสามารถพังเปิดได้ตลอดเวลา แต่นางกลับเกิดความลังเล ไม่ต้องการขัดคำสั่งคนผู้นั้น
เป็นคุณชายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าบังเอิญพานพบการตื่นรู้วิถีนอกรีตอันใดมา แม้แต่ลมปราณฟ้าดินที่ผู้เข้าสู่วิถีล้วนเค้นออกมาได้ก็ยังเค้นแทบไม่ออก นางพยายามระงับความลังเลในใจ ขณะจะพังประตูเข้าไปช่วยคนก็พลันหยุดการเคลื่อนไหว ได้ยินเสียงหยาบใหญ่ของตัวประหลาดดังพร้อมกับเสียงหอบหนักเหมือนวัว
“ที่แท้คลุมด้วยหนังมนุษย์…”
…ถึงกับพูดได้ด้วย คลุมหนังมนุษย์อันใดกัน
เมื่อฟังต่อกลับมีเพียงเสียงไอหอบเหมือนถูกบีบคอ จากนั้นก็ไม่มีต่อแล้ว
นางยกเท้าจะถีบประตู กลับมีประกายกระบี่สีขาวชิงตัดหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง
ลู่หงเหยียนหันกลับไปก็เห็นเยี่ยจิ่วหยาลงมาจากกลางอากาศ ใบหน้าซีดขาวอยู่บ้าง นี่เพราะฝืนโคจรพลังปราณหยุดพยุหะกระบี่กลางคันเพื่อมาช่วยทางนี้
นางตามเยี่ยจิ่วหยาเข้าไปในห้อง อาศัยแสงริบหรี่จากดวงจันทร์ก็เห็นเฉินเวยเฉินกำลังกดทับตัวประหลาดที่มุมห้อง มือซ้ายถือพัด มือขวาทั้งมือจมหายไปในไอดำ ตรงนั้นเป็นตำแหน่งใบหน้าคน แต่ยามนี้กลับเป็นความยุ่งเหยิงอันมืดมิด
ตอนเยี่ยจิ่วหยาย่างเข้าห้อง ไอดำพลันกรีดร้อง เฉินเวยเฉินชักมือออกทันควัน ลากสิ่งนั้นไปทางเยี่ยจิ่วหยา ทั่วทั้งมือโชกไปด้วยเลือด หยดติ๋งลงบนพื้น
เพียงพริบตาประกายกระบี่ก็ผ่ามันออกเป็นสองซีกเหมือนที่ลู่หงเหยียนเคยทำ รอยขาดนั้นราบเรียบ ชิ้นที่ใหญ่กว่าหดตัวตกลงพื้น กลายเป็นควันดำก่อนจะสลายหายไป ส่วนอีกชิ้นกลับพุ่งออกไปราวเหินบิน ทะลุผ่านผนังราวกับไม่มีสิ่งใดขวางกั้น
เยี่ยจิ่วหยากลับก้าวไปหลายก้าว จนถึงเบื้องหน้าเฉินเวยเฉิน
เฉินเวยเฉินหลังพิงผนัง หอบหายใจหมดเรี่ยวแรง
ลู่หงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ถามอีกครั้ง “นั่นมันอะไร”
“ไม่เคยเห็นมาก่อน” เยี่ยจิ่วหยายกมือที่บาดเจ็บสาหัสของเฉินเวยเฉินขึ้น เลือดนั้นมิใช่สีแดงหากแต่ดำสนิท “มีไอมาร”
น้ำเสียงของเฉินเวยเฉินระโหยโรยแรง ทว่ายังเหมือนคุณชายเสเพลเช่นเดิม “เห็นปราณกระบี่ขจัดมารทำลายอสูรของท่าน เจ้าสิ่งนั้นก็กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ เห็นได้ว่ามิใช่สิ่งที่ดีอันใด”
เขาพูดพลางร่างกายสั่นสะท้านเหมือนเจ็บปวดสาหัส
“เจ้ากระบี่เยี่ย ลงมือเบาหน่อย” เขากล่าว “หลายวันนี้ท่านช่วยข้าเปลี่ยนกระดูก เจ็บจริงๆ แม่นางลู่ ขอเพียงเขาสัมผัสข้า ข้าก็กลัวจนไม่รู้จะกลัวอย่างไรแล้ว คนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมจริง…โอ๊ย!”
ลู่หงเหยียนกอดอก ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ใครไม่รู้ยังคิดว่าเขาเกรงกลัวปราณกระบี่ทำลายอสูรชั่วร้ายนั้นเสียอีก
“ไม่ต้องพูดมาก” เยี่ยจิ่วหยากล่าวเรียบๆ “ข้าจะช่วยขจัดไอมารเอง”
รอกระทั่งโลหิตสีดำไหลออกหมด เปลี่ยนเป็นโลหิตสีแดงกลิ่นคาวโลหิตจางๆ กระจายออกจึงถือว่าขจัดไอมารจนหมดสิ้น
เฉินเวยเฉินเอนอิงกับร่างของเยี่ยจิ่วหยาเหมือนกำลังจะตาย “ลุกไม่ไหว เจ้ากระบี่เยี่ย ขอพิงหน่อยเถิด”
ด้านหลังเป็นผนังแต่กลับเอนตัวมาซบคนข้างหน้า ลู่หงเหยียนไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน
ที่ประหลาดคือเยี่ยจิ่วหยามิได้สะบัดคุณชายผู้สูงส่งที่เกาะแน่นเป็นปลิงออก จนกระทั่งอีกฝ่าย ‘ยืนได้มั่น’ แล้วจึงค่อยหมุนตัวออกจากประตูไป
เฉินเวยเฉินตามติดเป็นธรรมดา ลู่หงเหยียนก็ออกจากที่นี่ด้วย
“สิ่งนั้นหนีไปแล้ว จะทำอย่างไร” เขาถาม
“ย่อมต้องติดตามเจ้ากระบี่เยี่ยไม่ยอมห่างแน่” เฉินเวยเฉินตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ไม่ได้ถามถึงเจ้า!” ลู่หงเหยียนถลึงตาใส่ ถามเยี่ยจิ่วหยาว่า “นั่นเป็นอสูรมาร มีอสูรมารข้ามธารสวรรค์มาได้หรือ แล้วมันจะเอาจิ่นซิ่วฮุยไปทำอะไร”
“มิใช่อสูรมารฝั่งโน้น” เยี่ยจิ่วหยาตอบ
“ก็จริง” ลู่หงเหยียนกล่าว “สองโลกต่างสงบไม่มีเรื่องกัน ผู้บำเพ็ญมารอยู่ตามสบายที่อีกฝั่ง ไม่มีเหตุผลที่อยู่ดีๆ จะเข้ามาหาเรื่อง” กล่าวถึงตรงนี้นางก็บ่นอย่างอารมณ์เสียว่า “คนแซ่เฉิน เจ้าบำเพ็ญวิถีอะไรกันแน่ ไยจึงสามารถทำร้ายสิ่งประหลาดนั่นได้”
“เพียงโชคดีลงมือได้เท่านั้น” เฉินเวยเฉินเปลี่ยนมาถือพัดมือขวา กำลังคิดจะโบกพัดไปมาเหมือนยามปกติ กลับลืมไปว่ามือเต็มไปด้วยผ้าพันแผล เจ็บจนร้องโอดโอยออกมาก่อนจะพูดจาเหลวไหลพูดต่อ “ตะกุยหน้ามัน เป็นอันใด แม่นางลู่มิกล้าหรือ”
ลู่หงเหยียนโกรธจนกระทืบเท้าเร่าๆ แทบจะเข้าไปถามเยี่ยจิ่วหยาว่าเหตุใดจึงไม่ควบคุมเขา
เฉินเวยเฉินเห็นนางโมโห กำลังจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมด้วยมธุรสวาจา พลันเหมือนนึกขึ้นได้ สีหน้าแปรเปลี่ยน ร้องว่า “แย่แล้ว อาหุยบ้านข้ายังอยู่ข้างนอก!”
สิ่งนั้นถูกเยี่ยจิ่วหยาทำร้ายบาดเจ็บย่อมต้องหนีไปให้ไกล ซึ่งทั้งสี่ด้านของเมืองผีนี่ล้วนมีกำแพงปลุกเสกที่ต้าซือทำไว้ครานั้น มีเพียงประตูเมืองที่ถูกเปิดเป็นช่องโหว่และเป็นช่องทางที่ต้องผ่าน
เยี่ยจิ่วหยาพาเฉินเวยเฉินเหินบินไปทางประตูเมือง ตามติดมาด้วยลู่หงเหยียนที่สวมชุดแดง เมื่อออกจากประตูเมืองผุพังก็เพียงเห็นเงาร่างเดียวดายถือกระบี่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง ปากสั่นพึมพำว่า “ซ้าย…ซ้ายอัญเชิญลิ่วจย่า ขวาคุ้ม…คุ้ม…” พอเห็นทั้งสามออกมาเวินหุยก็ถลาเข้าหาทันที “คุณชาย เจ้ากระบี่เยี่ย พวกท่านกลับมาแล้ว ข้าถูกสถานที่ผีสางนี่ทำเอากลัวแทบตาย!”
เฉินเวยเฉินเห็นเขาไม่เป็นอะไรจึงค่อยวางใจ “เมื่อครู่เจ้าทำอะไร นักพรตเล่า?”
เวินหุยหน้ามุ่ยจะร่ำไห้ “ท่องคาถา เมื่อครู่นักพรตเซี่ยไล่ตามของสีดำไปแล้ว ทิ้งข้าเฝ้าประตูเมืองอยู่ที่นี่ ข้าทำเป็นเสียที่ใดเล่า” เด็กรับใช้ฟ้องอย่างน้อยใจ ทว่าเมื่อเห็นมือของเจ้านายตนได้รับบาดเจ็บก็รีบถามว่า “คุณชาย เป็นอย่างไรบ้าง เกิดฮูหยินรู้เข้าข้าโดนตีตายแน่”
“บาดเจ็บเล็กน้อย กลับไปค่อยพันแผลอีกที” คุณชายเองกลับไม่สนใจ “ผู้ถือพรตไปทางใด”
“ตะวันตก” เวินหุยชี้ภูเขาซึ่งทะมึนไปด้วยกลิ่นอายผีไกลโพ้น ดึงมือข้างซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของคุณชาย ลากไปยังรถม้าซึ่งทุกอย่างเตรียมพร้อม “ไม่ได้ ต้องพันแผลก่อน”
Comments



