everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 13-16 #นิยายวาย
บทที่ 14
ลงใต้
คาดว่าคงเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันล้วนเป็นเสี่ยวเถาจัดการทั้งหมด หรือไม่ก็เพราะบาดแผลที่มือของเฉินเวยเฉินมีมากเกินไป หลังจากเวินหุยเปิดห่อสัมภาระ หยิบยารักษาแผลและผ้านุ่มออกมาแล้ว ชั่วขณะนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ
บาดแผลสั้นแต่ลึกกระจายทั่วมือขวา เหมือนถูกมีดเป็นร้อยเล่มสับใส่สะเปะสะปะ
เขากำลังคิดอยู่ว่าอย่างไรก็ต้องพันไว้ทั้งมือ ลู่หงเหยียนที่อยู่ข้างๆ พลันยื่นขวดหยกสีมรกตใบเล็กให้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ใช้นี่สิ”
เวินหุยรับไว้ เทลงบนหลังมือตนเองเล็กน้อย ไม่รู้สึกผิดปกติใดๆ กลับสัมผัสได้ถึงความอุ่นๆ เย็นๆ เล็กน้อย จึงค่อยวางใจทาให้คุณชายของตน
หลังทาแล้วเลือดหยุดแทบจะทันที เนื้อที่ปลิ้นออกเล็กน้อยเพราะบาดแผลก็คลับคล้ายกำลังจะสมานตัว
เฉินเวยเฉินกล่าว “ขอบคุณแม่นางลู่”
เวินหุยชำเลืองเยี่ยจิ่วหยาแวบหนึ่งด้วยท่าทีคิดเล็กคิดน้อย “คุณชาย ข้าว่าปกติท่านก็ไม่ต้องเอาใจเจ้ากระบี่เยี่ยถึงเพียงนั้น ยาวิเศษของเซียนเช่นพวกเขามีสรรพคุณดีเช่นนี้ ไม่เห็นเอามาให้ท่านเลย กลับเป็นแม่นางลู่ที่จิตใจดีงาม”
เสียดายที่คำพูดของคนรับใช้หัวไวคนนี้มิอาจโน้มน้าวคุณชายได้และยังคงไม่อาจเอาอกเอาใจนาง
ลู่หงเหยียนแลดูเขาปราดหนึ่ง “เยี่ยจิ่วหยาจะพกยารักษาบาดแผลออกมาข้างนอกด้วยได้อย่างไร”
เวินหุยข้องใจอยู่บ้าง
เฉินเวยเฉินกล่าว “แน่นอนว่าบาดแผลเล็กน้อยย่อมไม่เจ็บอะไร ส่วนแผลใหญ่ก็ย่อมช่วยไม่ได้ โอ๊ย มิสู้ข้าผู้เป็นคุณชายช่วยเตรียมให้เขาสักหน่อยดีกว่า”
สถานการณ์รีบด่วน แม้จะพูดพลางทายาไปด้วยและใช้เวลาเพียงครู่เดียว แต่แว่วเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงจากทางตะวันตก สะท้อนก้องอยู่ท่ามกลางหมู่ขุนเขาเนิ่นนาน เสียงยังไม่ทันจางหายดีฟ้าก็ผ่าซ้ำอีกครั้ง
จนกระทั่งทุกคนเร่งรุดไปถึง ฟ้าก็ผ่าครั้งที่เจ็ดแล้ว
สายฟ้าสีม่วงเข้มสะท้อนเงาหลังของนักพรตหนุ่มที่สวมชุดสีเทา ไม่รู้ในอ้อมอกของเซี่ยหลางอุ้มอะไรไว้ แส้จามรีขาวราวหิมะสะอาดสะอ้าน ดูเผินๆ เหมือนเซียนล่องลอยจริงๆ
เพียงครู่เดียวก็เสียสมาธิสิ้นท่า มือซ้ายที่มิได้ถือแส้จามรียกขึ้นเกาศีรษะ กลิ่นอายเซียนหายสิ้น น้ำเสียงข้องใจ “เหตุใดจึงไม่มีแล้ว หรือว่าสลายไปกับฟ้าผ่าของผู้ถือพรต นี่ไม่ถูกต้อง”
จากนั้นเซี่ยหลางก็วางแมวดำตัวอ้วนที่อยู่ในอ้อมอกลง “ชิงหยวน รีบช่วยผู้พี่หาเร็ว”
แมวดำร้องเมี้ยวคำหนึ่ง ตะกายสองสามครั้งก็กลับขึ้นไปบนตัวนักพรต เล็บแหลมคมของมันคงทำให้เนื้อหนังของเขาได้รับความลำบากไม่น้อย
เมื่อเห็นแมวดำไร้ท่าทีตอบสนองใดๆ เซี่ยหลางจึงยิ่งอึดอัด “ไม่มีจริงหรือ”
เขาได้ยินเสียงคนหลายคนกำลังมาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “เจ้ากระบี่เยี่ย ชันหลงจวิน มิใช่ข้าไม่ขวางนะ แต่ขวางไม่อยู่ต่างหาก สิ่งนั้นคล้ายจับต้องได้คล้ายจับต้องไม่ได้ ถูกฟ้าผ่าขาดไปชิ้นหนึ่งก็งอกใหม่อีกชิ้น ดับๆ เกิดๆ บัดนี้ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ดูท่าคงใช้วิธีพิสดารอะไรหนีไปเสียแล้ว”
ลู่หงเหยียนมุ่นคิ้ว “สิ่งนั้นคืออะไรกันแน่”
“ข้าคุ้นอยู่บ้าง” เซี่ยหลางลูบแมวในอ้อมกอด เดินไปมาอยู่กับที่ “เหมือน…เหมือนคนกระมัง”
“คน?” ลู่หงเหยียนกล่าว “คนรูปร่างเป็นเช่นนี้หรือ”
“มิใช่รูปร่าง เป็นกลิ่นอาย” ในที่สุดเซี่ยหลางคล้ายกับนึกขึ้นมาได้ “กลิ่นอายนั้นคล้ายคนที่ธาตุไฟแตก! ชันหลงจวิน ท่านเข้าสู่วิถีด้วยวิชายุทธ์ จิตบริสุทธิ์หนึ่งเดียว คนในสำนักเจี้ยนเก๋อเข้าสู่วิถีด้วยกระบี่ มรรคาไร้รักของเจ้ากระบี่เยี่ยยิ่งตัดขาดจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ย่อมไม่เคยเห็นคนธาตุไฟแตกเป็นธรรมดา” เซี่ยหลางอธิบายต่อพวกเขา “แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเต๋าของเรายามนั่งสมาธิตั้งจิต หากมิอาจข่มจิตมารธาตุไฟก็จะแตกซ่าน เข้าสู่วิถีมาร ขั้นบำเพ็ญดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ถึงเวลานั้นกลิ่นอายที่อยู่บนร่างจะคล้ายคลึงกับยามนี้อยู่บ้าง”
นักพรตหนุ่มผู้รอบรู้กลอกตา นึกขึ้นได้อีก
“ว่ากันว่าที่สำนักเจี้ยนไถแห่งทะเลทักษิณ มีคันฉ่องลี่ซิน (ส่องใจ) กว้างยาวสิบกว่าจั้ง ศิษย์ที่นั่นต้องไปยืนพินิจที่หน้าคันฉ่องทุกเช้า ส่องดูจิตมารของตน เมื่อได้เห็นจิตมารซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวี่วัน เท่ากับนำตัวไปอยู่ในความลุ่มหลง ในที่สุดก็เข้าใจอย่างหมดเปลือกและไม่รู้สึกอะไรอีกเลย พวกเขาจึงมีโอกาสชำระจิตใจให้ผ่องใสทีละเล็กทีละน้อย จิตมารจะจางลงเรื่อยๆ ดังนั้นสำนักเจี้ยนไถแห่งทะเลทักษิณจึงได้รับการขนานนามว่า ‘มีจิตพุทธะ’ เคียงคู่กับสำนักเจี้ยนเก๋อแห่งแดนเหนือ ผู้ถือพรตแม้จะยังไม่มีโอกาสเห็นภาพในคันฉ่องลี่ซินกับตา แต่เท่าที่รู้…จิตมารในคันฉ่องคล้ายกับสิ่งเมื่อครู่นี้ หรือจะเป็นจิตมารหนีหลุดออกจากคันฉ่องกัน?”
“สิ่งนั้นหวาดกลัวเจ้ากระบี่เยี่ยเป็นที่สุด” ลู่หงเหยียนผงกศีรษะ
พวกเขากลับไป มองดูเมืองผีจิ่นซิ่วจากที่ไกล ภายใต้แสงพุทธะเจิดจ้า กลิ่นอายภูตผีปีศาจสลายสิ้น ในเมืองกลับสู่ความเงียบสงบ
หลวงจีนชุดขาวเดินออกจากประตูเมือง น้ำเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณประสกทั้งหลาย”
เซี่ยหลางท่าทางสำรวม คารวะกลับอย่างเต็มพิธี “ขอบังอาจเรียนถาม ท่านอาจารย์คือผู้อาวุโสคงซานแห่งวัดจื่อเฉินใช่หรือไม่”
หลวงจีนมีสีหน้าและรอยยิ้มเปี่ยมการุณย์ ประนมมือให้เขา “ที่นี่ไม่มีเรื่องแล้ว อาตมาขอกลับวัดก่อน”
เงาร่างของหลวงจีนหายลับไปในหมอกยามราตรีท่ามกลางทิวเขา เหล่าขุนเขาเงียบสงัด มีเพียงเสียงม้าร้อง
เซี่ยหลางพึมพำกับตนเอง “ปีนี้ช่างเป็นปีที่มีเรื่องมากมายเสียจริง”
เวินหุยปากมากจึงถามว่า “หมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าดูสิ เจ้ากระบี่เยี่ยและชันหลงจวินเข้าสู่โลก บัดนี้ผู้อาวุโสคงซานเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนก็ปรากฏตัว แล้วเรื่องใดบ้างมิใช่เรื่องประหลาดหายาก”
เฉินเวยเฉินกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ยังมีหลางหรันโหวอุ้มแมวลงจากภูเขาอีก”
เซี่ยหลางทำหน้ามุ่ย “ข้าก็แค่คนตัวเล็กไร้ชื่อเสียง ต้องโทษอาจารย์ที่จะท่องเที่ยวไปทั้งสี่ทะเลจึงได้ผลักภาระนี้ให้ข้า ให้ผู้ถือพรตต้องมีลำดับอยู่ในสิบสี่โหว”
“ผู้อื่นเป็นจวินเป็นโหวล้วนสู้จนได้มาด้วยตนเอง พวกท่านกลับดียิ่งนัก ถึงกับสืบทอดกัน” ในที่สุดเฉินเวยเฉินก็จับจุดอ่อนของนักพรตได้
“คุณชายเฉิน เรื่องนี้มิใช่เฉพาะอารามของเรา” เซี่ยหลางรีบแก้ต่างให้ตนเอง “หลายปีนี้วิถีเซียนร่วงโรย ผู้มีชื่อเสียงหน้าใหม่ถือกำเนิดได้น้อยยิ่ง หากมีเซียนโหวท่านใดใกล้ครบอายุขัย ทั้งยังไม่มีผู้ท้าสู้ก็ล้วนต้องจำใจให้ศิษย์ของตนเองสืบทอดต่อ”
เฉินเวยเฉินถามเยี่ยจิ่วหยา “เจ้ากระบี่เยี่ย จิ่นซิ่วฮุยถึงมือแล้ว บัดนี้พวกท่านจะไปหนใด”
“บังเอิญจริง” กลับเป็นลู่หงเหยียนกอดอกตอบ “ที่จะไปคือสำนักเจี้ยนไถแห่งทะเลทักษิณที่เมื่อครู่หลางหรันโหวว่าไว้พอดี”
คุณชายเฉินท่าทางอ่อนล้าอย่างยิ่ง เขาพึมพำว่า “เพิ่งขึ้นเหนือจะไปทะเลใต้อีก พวกใช้กระบี่เหมือนกันทั้งนั้น มีอะไรน่าดู” เขายกมือขึ้นถูหน้าผาก “เจ้ากระบี่เยี่ย ข้าง่วงแล้ว”
ตะบึงเดินทางติดต่อกันหลายวัน ฝืนใจฝืนสังขารจนถึงขีดสุด ซ้ำยังต่อสู้ยกหนึ่ง เปลืองเรี่ยวแรงไม่น้อย
เพิ่งสิ้นเสียงเฉินเวยเฉินพลันรู้สึกเหมือนฟ้าดินหมุนคว้าง เบื้องหน้ามืดลง ทั้งตัวคว่ำคะมำลงโดยตรง
สำนึกสุดท้ายก่อนหมดสติก็คือยังดีที่ตนประจันหน้ากับเยี่ยจิ่วหยา น่าจะไม่ถึงกับฟาดพื้น
สลบต่อหน้าคนงาม ไม่น่าดูจริงดังคาด ไม่น่าดูเอาเสียเลย
แต่หากสลบบนตัวคนงามก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
Comments



