everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 13-16 #นิยายวาย
บทที่ 15
เฉินซู
ยามราตรี ถนนหนทางในเมืองเยวี่ยเฉิงมีผู้คนจอแจ ประดับโคมไฟนับร้อย สองฟากทางปลูกต้นกุ้ย กลิ่นหอมของดอกกุ้ยล่องลอยสู่เมฆา กลีบดอกร่วงหล่นลงใต้ต้นและบนเสื้อปุปะเก่าขาดของเฒ่าขาเป๋ที่เป็นหมอดู
เฒ่าขาเป๋ถือถ่านแท่งหนึ่งเขียนโน่นเขียนนี่ลงบนผ้าขาวเก่าสกปรก บางครั้งก็หลับตาโคลงศีรษะ ไม่รู้ทำอะไรอยู่
มีพวกคุณชายเสเพลที่ชอบหาเรื่องสวมเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด บ้างถือพัดโบกไปมา บ้างพกกระบี่ พวกเขาดูอยู่ข้างๆ ซุบซิบกันครู่หนึ่ง แล้วผลักเด็กหนุ่มซึ่งสวมชุดแพรหรูหราคนหนึ่งออกไปข้างหน้า ให้เขายกเท้าถีบไปทีหนึ่ง พร้อมเอ่ย “เฒ่าขาเป๋ เจ้าทำอะไรอยู่”
ตาเฒ่าท่าทางไม่สะดุดตาผู้นี้ไม่โกรธเลย กลับหัวร่ออารมณ์ดีพร้อมตอบว่า “เสี่ยงทาย”
เด็กหนุ่มชุดแพรแสยะยิ้มว่า “เฒ่าขาเป๋ ข้าดูแล้วหลังคุณชายเฉินจากไปแล้วก็ไม่มีผู้ใดแวะเวียนมาแผงผุพังของเจ้าอีก มิสู้ลองทำนายชะตาให้ข้าผู้เป็นคุณชายหน่อย หากดูแม่นคุณชายจะให้เงินเจ้ากำใหญ่ดีหรือไม่”
เฒ่าขาเป๋มองดูเขา หลับตาช้าๆ “คุณชายจะดูอะไร”
“ดูซิว่าปีนี้บิดาข้ามีหวังได้เลื่อนตำแหน่ง ชีวิตพลิกผันก้าวสู่ความรุ่งโรจน์หรือไม่”
เฒ่าขาเป๋พลิกผ้าขาวสกปรกผืนนั้น ด้านหลังก็มีรอยถ่านขีดเขียนเช่นกัน คดไปเคี้ยวมาเหมือนไส้เดือน
เด็กหนุ่มชุดแพรยังไม่เคยเห็นยันต์ประหลาดเช่นนี้มาก่อนจึงถามว่า “นี่อะไร”
เฒ่าขาเป๋หยิบแท่งถ่านขึ้นมาพร้อมเอ่ย “ดวงชะตา”
เหล่าคุณชายเสเพลพากันยืดคอมุงดู อยากรู้ว่าตาเฒ่าจะต้มตุ๋นอย่างไร
เห็นเฒ่าขาเป๋ถามไถ่วันเดือนปีเกิดของเด็กหนุ่มชุดแพรก่อน แล้วถามต่อว่าเกิดที่ใด อาศัยที่ใด ในบ้านมีผู้ใดบ้างที่เป็นญาติสายเลือดเดียวกัน กระทั่งลมฟ้าอากาศวันที่เกิดก็ถามด้วย
เด็กหนุ่มชุดแพรเริ่มรู้สึกรำคาญ แต่เห็นวิธีทำนายชะตาของตาเฒ่าแปลกดีจึงตอบจนครบ
ทุกครั้งที่ตอบเฒ่าขาเป๋ก็เติมขีดลงในภาพหนึ่งขีด จนกระทั่งเกือบเต็มผืนผ้าแล้ว เฒ่าขาเป๋จึงกล่าวว่า “สำเร็จ”
เด็กหนุ่มถาม “เมื่อใด กำลังจะได้เวลาแล้วใช่หรือไม่”
เฒ่าขาเป๋ลูบเคราที่มีอยู่หร็อมแหร็ม “ชีวิตพลิกผันก้าวสู่ความรุ่งโรจน์นั้นยังไม่ได้ แต่ไม่เกินสามร้อยวันจะบ้านแตกคนตาย”
เด็กหนุ่มชุดแพรหน้าเปลี่ยนสี ด่าลั่น “เจ้าหมอดูเฒ่าวอนตาย!”
ครานี้ไม่ต้องให้เด็กหนุ่มชุดแพรลงมือเอง บ่าวไพร่ร่างกำยำหลายคนที่ตามมาด้านหลังโถมเข้าใส่อย่างดุร้าย ทั้งทุบตีเตะถีบเฒ่าขาเป๋
เฒ่าขาเป๋ถูกเตะจนขดตัวกับพื้น เกือบหมดลมหายใจ
สุดท้ายยังเป็นพวกคุณชายเสเพลสองสามคนที่มากับเขาช่วยเล่าเรื่องตลกเมื่อครั้งที่เฒ่าขาเป๋ถูกคนฆ่าสัตว์แซ่หวังคว้ามีดไล่ฟันจนล้มลุกคลุกคลานเอาชีวิตรอดให้ฟัง เพื่อยืนยันว่าคำทำนายของเฒ่าขาเป๋นั้นไม่แม่น เด็กหนุ่มชุดแพรจึงค่อยหายโมโห หลังได้ลงมือทุบตีชุดใหญ่จึงค่อยเลิกรา
“ไร้สาระ พวกเราไปที่ชุมนุมกวีดีกว่า ได้ยินว่าฝ่าบาททรงรวบรวมผู้ทรงภูมิที่ร่ายบทกวีได้ เผื่อฤดูวสันต์คราวหน้าจะได้ร่ายบทชมดอกท้อและชมหญิงงาม ไม่รู้ในเมืองเยวี่ยเฉิงเรามีผู้ทรงภูมิสักกี่คนที่ได้รับเลือก”
หลังจากเหล่าคุณชายและบ่าวไพร่จากไป เฒ่าขาเป๋กึ่งเป็นกึ่งตายคลานขึ้นจากพื้น คนที่มุงดูความครึกครื้นข้างทางก็ค่อยๆ สลายตัว
ใบหน้าเฒ่าขาเป๋เปื้อนดินไม่น้อย ฟกช้ำหลายจุด เขาพลิกผ้าขาวสกปรกขึ้นมาใหม่ สะบัดตัวยืดเส้นยืดสาย ไร้ซึ่งสีหน้าเจ็บปวด ไม่เหมือนคนที่โดนทุบตีมาหยกๆ
เขาพึมพำกับตนเอง “ตั้งแต่เจ้าเด็กแซ่เฉินไปแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย”
เขาหยิบแท่งถ่านมาเติมจุดบนผ้าหลายจุดแล้วพิเคราะห์ดู กล่าวช้าๆ ว่า “ผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง ทางใต้จะมีฉากครึกครื้น…ช่างเถิด แก่แล้ว รุดไปไกลเพียงนั้นไม่ไหวหรอก ไม่ไปก็แล้วกัน แก่แล้ว เดินไม่ไหว” เขาหัวเราะหึๆ เอ่ยต่อ “ครึกครื้น หึ ครึกครื้น คนเราเกิดมาชาติหนึ่งก็แค่เพื่อดูความครึกครื้นไม่กี่ฉาก น่าเสียดายที่นางไม่เข้าใจ คนอื่นก็ไม่เข้าใจ แต่เจ้าคนแซ่เฉินเข้าใจ เพียงแต่ไม่รู้รุดไปทันความครึกครื้นแล้วหรือไม่”
ตาเฒ่าพูดจบจู่ๆ ก็ทอดถอนใจอย่างไร้สาเหตุ พิงกับต้นกุ้ยงีบหลับ ไม่สนใจเสียงเครื่องเป่าเครื่องสายในเมืองและแสงโคมไฟตระการตา
‘ผู้แซ่เฉิน’ ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงขลุ่ยอ้อยอิ่งสายหนึ่ง
ท่วงทำนองแฝงไว้ด้วยความนุ่มนวลจางๆ ทำให้ผู้คนนึกถึงจันทราที่หอริมแม่น้ำ นึกถึงดอกซิ่งที่ฝนพรำ แต่ถึงแม้เสียงขลุ่ยจะไพเราะ แต่รบกวนการนอนของผู้คน ยังคงไม่ดี
เขาลืมตาอย่างเกียจคร้าน พบว่าตนหลับอยู่ในรถม้า บนตัวมีเสื้อขนสัตว์ตัวอุ่นที่เวินหุยคลุมให้ เทียนบนโต๊ะเล็กตรงกลางที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเล่มมีเปลวไฟวูบไหว ที่อยู่ตรงหน้าคือเยี่ยจิ่วหยาที่มีดวงตาดำเหมือนหมึกลึกล้ำและเย็นชาจืดจางว่างเปล่าไร้สิ่งอื่นใด
เนื่องจากเดิมยังไม่ถึงเวลา แต่เขาฝืนดึงดันจนตื่นรู้ถึงขั้นฟ้าระดับหนึ่ง ผนวกกับถูกกดทับด้วยมรรคาสวรรค์ ปราณทั่วร่างยุ่งเหยิงกลับตาลปัตร แต่บัดนี้ราบรื่นมากแล้ว คิดว่าน่าจะมีคนช่วยรักษา
เฉินเวยเฉินถอดเสื้อคลุมออกก่อนลุกขึ้นมานั่ง หลังพิงกับหมอนนุ่มยิ้มตาหยี “เยี่ยจิ่วหยา เพียงไม่กี่วันท่านก็ช่วยชีวิตน้อยๆ ของข้าไว้หลายครา ไม่รู้จะทดแทนอย่างไรจริงๆ ร่างนี้มอบให้ดีหรือไม่”
เยี่ยจิ่วหยาเติบโตมาบนยอดเขาหิมะ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมีเพียงธรรมอันลึกล้ำของวิถีเซียน สิ่งที่ฝึกมีแต่เพลงกระบี่ชั้นเลิศ ไม่เคยพบกับคนที่อยู่ดีไม่ว่าดีจะ ‘มอบร่างให้’ อยู่ร่ำไปมาก่อน และไม่เคยได้ยินการหยอกเย้าที่ยากจะแยกแยะจริงเท็จเช่นนี้
เยี่ยจิ่วหยามุ่นคิ้ว น้ำเสียงชืดชาแฝงแววไม่สบอารมณ์ “เฉินเวยเฉิน เจ้าจะล้อเล่นถึงเมื่อใด”
เฉินเวยเฉินบิดตัวผ่อนคลายความเมื่อยขบจากการสลบไสล เขาเปิดม่านมองดูจันทราที่ขอบฟ้า “ทุกคำพูดของข้าผู้เป็นคุณชายล้วนออกจากใจจริง ล้อเล่นที่ใดกัน หากเจ้ากระบี่เยี่ยไม่เชื่อจะต้องให้ข้าพูดอีกหลายครั้งจึงจะเชื่อหรือ”
อีกหลายครั้งนั้นไม่ต้องพูดก็ได้ เพราะเยี่ยจิ่วหยาไม่ฟังที่พูดแล้ว
เสียงขลุ่ยยังคงไม่จางหาย ในรถม้าเงียบสนิท สตรีชุดแดงที่ฝึกซ้อมกระบี่บนพื้นราบนอกรถม้าหยุดลงแล้ว ยันกระบี่กับพื้นมองมาทางนี้
ม่านรถเปิดออกเผยใบหน้าสะอาดสะอ้านของเด็กรับใช้ “คุณชาย ท่านฟื้นแล้วหรือ”
“เสียงขลุ่ยเข้าในฝัน ไม่รู้คนงามที่ใดมาเยือน ข้าผู้เป็นคุณชายมิอาจตัดใจหลับใหล” เฉินเวยเฉินเร่งเยี่ยจิ่วหยา “เจ้ากระบี่เยี่ย ไม่ไปพบสักครู่หรือ”
ระหว่างพูดคุยกันนั้น ใต้แสงจันทร์มีเงาร่างผู้เป่าขลุ่ยเดินออกมาช้าๆ เหมือนเซียนที่ล่องลอย เป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาอ่อนโยน
เสียงขลุ่ยแผ่วเบาดุจลมวสันต์ คละเคล้าเสียงคลื่นจากทะเลมรกต แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งเต๋า
เยี่ยจิ่วหยาชักกระบี่จิ่วหยาออกมา ใช้ข้อนิ้วเคาะตัวกระบี่สามคราติดต่อกัน
กระบี่สะท้านเล็กน้อย ส่งเสียงสดใสติดต่อกันดุจไข่มุกร่วงลงประสานกับเสียงขลุ่ย
เสียงขลุ่ยอ่อนลง ในที่สุดก็หยุดบรรเลง
คนผู้นั้นวางขลุ่ยหันไปทางรถม้าแล้วคารวะ “ขอบคุณเจ้ากระบี่ที่ชี้แนะ”
“ที่แท้เป็นเฉินซูโหว เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน” เซี่ยหลางที่อยู่ข้างนอกยิ้มตาหยีถือแส้จามรีน้อมคารวะ
เฉินเวยเฉินในรถม้าได้ยินพวกเขาแจ้งชื่อเสียงเรียงนามกันก็พลันหัวร่อ “ที่แท้ก็เป็นเขา”
“ได้ยินว่าฝ่าบาทองค์ปัจจุบันรักอัจฉริยะผู้ทรงภูมิ ไม่รักบัณฑิต ทำเอาบัณฑิตคนหนึ่งที่ศึกษาอยู่ดีๆ ถูกบีบจนต้องละทิ้งหรู เข้าสู่เต๋า สะบัดหน้าออกจากนครหลวง สิบปีให้หลังถึงกับสำเร็จเป็นจวินโหวในวิถีเซียน คิดว่าคงเป็นท่านผู้นี้” เฉินเวยเฉินพูดพลางแฝงรอยยิ้ม เยี่ยจิ่วหยาเพียงเก็บกระบี่เข้าฝัก มิเอ่ยวาจา
เสียงจากนอกรถม้าล่องลอยเข้ามาอีก
“ตามความเห็นของผู้ถือพรตแล้ว การประมือเมื่อครู่เจ้ากระบี่เยี่ยบำเพ็ญมรรคาไร้รัก จิตเต๋าบริสุทธิ์ แต่ท่านกลับเหมือนยังมีธุลีของความยึดติดจึงได้แพ้พ่าย”
“ราษฎรถูกย่ำยีพินาศสิ้น ข้ามิอาจทนดู แม้ตัวจะอยู่ในวิถีเซียน แต่ใจยังอยู่กับโลกปุถุชน อาจเป็นเพราะเหตุนี้กระมังจึงทำให้จิตเต๋ายังมีตำหนิ” เฉินซูโหวน้ำเสียงนุ่มนวล “ทว่าในใจมีคนบางคนเป็นความยึดมั่นถือมั่นอย่างหนึ่ง มนุษย์เกิดมามีรัก แต่กลับมุ่งแสวงหาฟ้าดินที่ไร้รัก นั่นมิใช่ความยึดติดประเภทหนึ่งหรอกหรือ”
เซี่ยหลางมิเอ่ยวาจา เขากำลังครุ่นคิด เฉินซูโหวคารวะอย่างอ่อนน้อมแล้วพลิ้วกายจากไป
ยามเช้าตรู่ ลู่หงเหยียนพบลำธารเล็กๆ สายหนึ่งจึงปลดหน้ากากทองออก วักน้ำฤดูสารทในลำธารขึ้นมาล้างหน้า
น้ำในลำธารสะท้อนเงาของนาง สองแก้มมีรอยเผาไหม้น่ากลัว
“แม่นางลู่ ในแดนมายาเจ้ามีรอยไหม้เพียงครึ่งเดียว” เฉินเวยเฉินเอ่ยอย่างมีเจตนา “โลหิตหงส์กำเนิดใหม่ได้มาไม่ง่ายกระมัง”
“ไม่ง่าย บังเอิญพบกับเยี่ยจิ่วหยาจึงถูกช่วยไว้” ลู่หงเหยียนยอมรับ
“แม่นางลู่ ข้าเห็นพวกท่านตลอดทางพูดถึงแต่โลหิตเอย กลิ่นหอมเอย จะทำการใหญ่อันใดกัน” เวินหุยที่กำลังสางผมล้างหน้าให้คุณชายได้ยินเข้าจึงสอดปากถาม
“ข้ามีแค้นล้างตระกูล มีบุญคุณที่ช่วยชีวิต” น้ำเสียงของนางแฝงแววดื้อรั้นดึงดัน ตอบไม่ตรงคำถาม “วันใดที่แค้นล้างตระกูลยังสืบไม่กระจ่าง บุญคุณช่วยชีวิตยังไม่ทดแทน ข้าจะไม่มีวันลบรอยแผลเป็นนี้”
เฉินเวยเฉินวักน้ำอย่างไม่ใส่ใจ “แม่นางลู่ ไยต้องลำบากเช่นนี้”
เด็กรับใช้ช่วยพูดต่อ “นั่นน่ะสิ แม่นางลู่ บุญคุณอะไร ความแค้นอะไร จดจำไว้ในใจก็พอ เหตุใดต้องระรานใบหน้าตนเองด้วยเล่า ไม่คุ้มเลย”
ลู่หงเหยียนแค่นหัวร่อ “เจ้าจะรู้อะไร” นางหยิบหน้ากากสวมกลับคืน “ข้ามาบำเพ็ญเซียน ใบหน้านี้ไม่สำคัญ ทำสิ่งที่ข้าอยากทำต่างหากที่สำคัญ เขาจะตายไปอย่างคลุมเครือเช่นนี้ไม่ได้! ต่อให้วิญญาณบินหายขวัญสลายเป็นพันหมื่นชิ้น รอข้ากับเยี่ยจิ่วหยาได้ของหลายสิ่งแล้วจะเปิดแท่นสร้างชีวิตก็จะสามารถหาของกลับมาครบไม่ขาดสักชิ้น ข้าต้องสืบให้กระจ่าง”
นางพูดจบก็หมุนตัวจากไป เด็กรับใช้งงงัน “เอ๋? พูดถึงผู้ใดหรือ”
“ย่อมเป็นคนที่ก่อเวรก่อกรรมน่ะสิ” คุณชายกล่าวเนิบๆ “ไปกันเถอะ ได้ยินว่าทิวทัศน์แถบทะเลทักษิณงามยิ่ง เราก็ตามพวกเซียนไปเปิดหูเปิดตาด้วยเถอะ”
Comments



