everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 13-16 #นิยายวาย
บทที่ 16
หวังลมๆ แล้งๆ
เมื่อรถม้าผนวกเข้ากับวิชาเซียนจึงแล่นเร็วตลอดทาง ทุกแห่งหนที่ไปถึงล้วนเป็นทุ่งร้าง เนิ่นนานจึงค่อยพบเมืองที่พอเป็นสัดเป็นส่วน
เพียงแต่ยามนี้เวินหุยจึงค่อยรู้สึกว่าคุณชายของตนเป็นประโยชน์อย่างมาก เรื่องมนุษย์ปุถุชน คุณชายถึงกับรู้มากมาย
“ครานั้นรัฐบริวารทางชายแดนเหนือทั้งหลายที่มีกองทัพกล้าแข็งรวมหัวกันย่ำนครหลวงเก่าจนราบ ฮ่องเต้องค์ก่อนหนีลงใต้อย่างฉุกละหุก ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักสูญไปกว่าครึ่ง ในจำนวนนี้เป็นแม่ทัพใหญ่ก่อกบฏ นำกองทัพตั้งตัวเป็นใหญ่ยึดเขตแดนตั้งตัวเป็นอ๋อง ขนานนามแคว้นว่า ‘เยี่ยน’ ที่ชาวแคว้นหนานพากันเรียกกันว่า ‘เหล่าโจรกบฏฝ่ายเยี่ยน’ ชนเถื่อนชายแดนเหนือปกครองไม่เป็น หลายสิบปีระหว่างนั้นแผ่นดินอันงดงามวุ่นวายปั่นป่วนไปหมด อีกทั้งละโมบในทรัพย์สินฟุ้งเฟ้อ กองทัพหย่อนยานจึงถูกรัฐบริวารทั้งหลายบุกเข้าโจมตี สุดท้ายแตกเป็นหลายส่วน สะบั้นความฝันของการตั้งตัวเป็นใหญ่ครองบัลลังก์มังกร” คุณชายเล่าต่อ “แต่หลายปีนี้เยียนอ๋องกลับค่อยๆ กล้าแข็ง แม้จะตั้งตัวจากโจรกบฏ แต่ก็มีรากฐานอยู่บ้าง พอจะจัดการบ้านเมืองที่อยู่ภายใต้ปกครองเป็นเรื่องเป็นราวได้ ดูจากธงทิวหัวกำแพงเมืองที่นี่น่าจะเป็นเมืองของฝ่ายเยี่ยน”
ในเมืองมีทหารรักษาการณ์อยู่ ชุดเกราะที่สวมใส่ดูแวววาวสดใส แต่สภาพความเป็นอยู่กลับยากแค้นซบเซา โรงเตี๊ยมร้านรวงเงียบเหงา ถนนทั้งสายส่วนมากเป็นร้านปิดตาย เห็นได้ว่าผู้ปกครองฝ่ายเยี่ยนสร้างแต่กองทัพ ยังไม่อาจลงแรงไปถึงการดูแลราษฎร
รอนแรมตลอดทาง ถึงที่นี่จึงค่อยพบโรงเตี๊ยมเป็นกิจจะลักษณะ
คุณชายเฉินอาบน้ำชำระกายเสร็จก็เดินเข้าห้องทั้งที่ผมเปียกโชกคลุมไหล่ “เจ้ากระบี่เยี่ย เส้นผม”
เยี่ยจิ่วหยาไม่ขยับ
เฉินเวยเฉินจ้องเขม็ง “เส้นผม”
ในที่สุดขนตาของคนผู้นั้นก็ขยับไหวเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชา “เจ้ากับข้าสนิทกันนักหรือ”
“ย่อมสนิทกันมาก” เฉินเวยเฉินกะพริบตาปริบๆ “เจ้ากระบี่เยี่ยรู้อยู่แก่ใจ”
คุณชายผู้นี้เหมือนแน่ใจอยู่แล้วว่าตนจะไม่เป็นอะไร จึงทรุดนั่งลงที่ริมเตียงเสียเลย ท่าทางเหมือนจะดื้อด้านอยู่ตรงนี้ไม่ไปที่ใด
ในที่สุดเยี่ยจิ่วหยาก็ยื่นมือออกมา ลอดผ่านเส้นผมนุ่มที่เปียกโชก พลังปราณค่อยๆ ถูกส่งออกมา ไม่นานไอน้ำก็หมดสิ้น เส้นผมยุ่งเหยิงร่วงหล่นตามปลายนิ้วทิ้งกลิ่นหอมจางๆ ของสมุนไพรเจ้าเจี่ยว[5]*
เฉินเวยเฉินยิ้มตาหยี “ขอบคุณเจ้ากระบี่เยี่ย”
เขาสมประสงค์แล้วยังโอ้เอ้ในห้องครู่หนึ่งจึงค่อยบอกลากลับไปนอนในห้องตนเอง ก่อนไปดวงตายังฉายแววตัดพ้ออาวรณ์ราวกับถูกขับออกจากประตูอย่างน่าคับข้องใจ
เยี่ยจิ่วหยากอดอกมองดูอย่างเย็นชา
เฉินเวยเฉินอิงกับกรอบประตูมองตอบ
ยังคงเป็นเวินหุยที่ชิงชังคุณชายบ้านตนเองที่ไร้ความสามารถจึงลากตัวไป
“คุณชาย ข้าว่าท่าน…” เวินหุยถอนใจเฮือก “ท่านบำเพ็ญเซียนก็แล้วกันไปเถิด แต่นี่…ท่าน…นี่ไม่ไหวเลย!”
“ไม่ไหวอะไรกัน” เฉินเวยเฉินเถียง “เจ้ากระบี่เยี่ยยังไม่พูดเลยว่าห้ามติดตาม”
เวินหุยยังอยากพูดอะไร แต่เมื่อคิดอีกทีก็ดูเหมือนเจ้ากระบี่เยี่ยใจกว้างกับคุณชายของตนเป็นพิเศษจริงๆ นึกถึงตรงนี้ก็อดที่จะพินิจพิเคราะห์คุณชายอย่างละเอียดมิได้ รูปร่างหน้าตาของคุณชายไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว นิสัยการกระทำยิ่งมีเสน่ห์สง่างาม มีคนในเมืองจำนวนไม่น้อยที่รักและเลื่อมใส หากเป็นเช่นนี้…หากเป็นเช่นนี้เจ้ากระบี่เยี่ยก็มิใช่ผู้สูงส่งบริสุทธิ์สักเท่าใด
เวินหุยหลุดปากว่า “ข้าว่า…ควรรีบออกจากที่ที่ไม่ควรอยู่นี้ดีกว่ากระมัง”
เฉินเวยเฉินกระเถิบเข้าใกล้อย่างมีเลศนัย “เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดเจ้ากระบี่เยี่ยจึงดีเป็นพิเศษเยี่ยงนี้”
“เพราะเหตุใดหรือ”
“เพราะเคยมีคนคนหนึ่งช่วยเขาไว้ ทั้งยังสอนกระบี่เขา ภายหลังคนผู้นั้นตายไป” เฉินเวยเฉินยิ้มเศร้า เสียงเบามากเหมือนกำลังเล่าเรื่องผีสางยามดึก “คนผู้นั้นมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเซียน ทั่วโลกามิอาจหาคนที่สองได้ เจ้าลองเดาดูว่าเป็นอย่างไร บังเอิญบนตัวข้าผู้เป็นคุณชายก็เป็นเช่นนั้นทุกประการ” เวินหุยตกใจจนสะดุ้ง กลับถูกคุณชายของตนกดบ่าไว้แล้วกระซิบต่อ “ยังเล่าไม่จบ เรื่องเก่านานมาแล้ว ฟ้ารู้ดินรู้ เขาสองคนรู้ ข้าผู้เป็นคุณชายก็ดันรู้ เจ้าว่าบังเอิญหรือไม่เล่า”
“คะ…คุณชาย…อย่าทำข้ากลัวสิ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าผู้เป็นคุณชายวางแผนเล็กน้อยเพื่อให้เขารู้สึกว่าในตัวข้ามีขวัญวิญญาณเล็กๆ ของผู้ล่วงลับ หากเจ้าเป็นเจ้ากระบี่เยี่ย เจ้าคงอยากสืบให้รู้แน่ชัดเหมือนกันจริงหรือไม่ หากใช้เล่ห์เหลี่ยมอีกเล็กน้อย ให้เขารู้สึกว่าข้าคือคนผู้นั้นที่กลับชาติมาเกิด เจ้าเดาซิว่าจะยิ่งคืบอีกก้าวใช่หรือไม่”
เวินหุยเสียงสั่น “ถ้าเช่นนั้นคุณชายท่าน…ใช่หรือไม่เล่า”
เฉินเวยเฉินปล่อยมือ คลี่พัดดังพึ่บ ยกขึ้นบังรอยยิ้มลี้ลับ “ลิขิตฟ้ามิอาจแพร่งพราย”
เปลวเทียนเผาไหม้จนสุดปลาย ลุกไหม้ไม่กี่คราก็มีเสียงชี่ดังขึ้นเบาๆ สุดท้ายเชื้อไฟก็ดับลงท่ามกลางน้ำตาเทียนร้อนจัดและใสแวววาว
แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดเพียงครึ่งในเมืองที่เงียบสงัด ตกอยู่บนร่างของท่านเซียน
ผู้ที่ฝึกกระบี่ตั้งแต่เล็กท่าร่างต้องยืนอย่างไรนั่งอย่างไร ล้วนซึมซับเข้ากระดูกจนเป็นความเคยชิน แม้แต่เงาร่างใต้แสงจันทร์ยังสูงเพรียวตั้งตรง
นิ้วมือของเขาไล้ผ่านด้ามดำสนิทของกระบี่จิ่วหยา กระบี่เรืองนามมีวิญญาณส่งเสียงคำรามสดใสสั้นๆ คราหนึ่ง
“เจ้าเคยเชื่อมโยงกับแก่นขวัญของราชันเทพ” เขากล่าวกับกระบี่ “หากพบเขาจริงเหตุใดจึงไม่ส่งเสียง”
กระบี่คำรามอีก เสียงครานี้อ่อนลงอยู่บ้าง
“เช่นนี้ก็มิใช่แล้ว” เยี่ยจิ่วหยากล่าว “หรือว่าเจ้าก็จำไม่ได้”
ลมราตรีพัดผ่านหน้าต่าง เขาไม่พูดอีก
ในห้องเงียบสงัด
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นพวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง
ระหว่างทางผ่านหมู่บ้าน เห็นเรือนชาวนาจึงไปขอน้ำ บนคันนาที่รกไปด้วยหญ้ามีแม่นางน้อยสวมใส่ชุดผ้าหยาบคนหนึ่งยืนอยู่ มือที่ยันจอบไว้เสียดสีจนเป็นหนังด้าน อีกมือกำลังเช็ดน้ำตา
“ฮูหยิน” เวินหุยเดินเข้าไป “พวกเราผ่านทางมา ไม่ทราบที่นี่มีน้ำหรือไม่”
แม่นางน้อยพิเคราะห์เขาอย่างลังเล ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คล้ายคนไม่ดีจึงผงกศีรษะ “มี”
เรือนหลังนั้นเป็นกระท่อมต่ำเตี้ยและซอมซ่อ บางครั้งยังมีเสียงไอของคนชราดังมา
แม่นางน้อยรินน้ำให้พวกเขาและกรอกน้ำจนเต็มถุง กล่าวเสียงเบาว่า “คุณชาย ข้าได้ยินคนในหมู่บ้านบอกว่าไปต่อทางใต้ภูเขาสายน้ำอันตราย มีปีศาจปรากฏตัว หลายวันยังไม่พบคน”
“ไม่เป็นไร” เฉินเวยเฉินรู้ว่านี่เป็นการเตือนด้วยกุศลเจตนาจึงบอกนางว่า “พวกเรามีวิธี”
ได้ยินเสียงแม่เฒ่าข้างในสะอื้นไห้โศกเศร้า “ลูก…ลูกข้า…”
แม่นางน้อยรีบเข้าไปปลอบโยน แม่เฒ่ากลับสะอื้นไห้ดังกว่าเดิม “อาชิง เจ้า…เจ้ายังไม่ไปหรือ…ไปหาครอบครัวดีๆ สักแห่ง ไม่ต้องสนใจข้า…”
“ท่านแม่ ท่านเลอะเลือนแล้ว” น้ำเสียงแม่นางน้อยเจือด้วยเสียงร่ำไห้ “ในหมู่บ้านยังมีบุรุษอีกหรือ”
ตอนออกมาขอบตานางยังแดงอยู่ ยิ้มให้แขกเป็นเชิงขออภัย “แม่สามีข้าเอง นางไม่ค่อยมีสติ”
ไม่ต้องบอกมากกว่านี้ก็รู้ว่าสามีของนางถูกเกณฑ์เข้ากองทัพและไม่มีข่าวคราว อีกทั้งไม่มีบุตรธิดาแม้แต่ครึ่งคนให้คิดถึง เพียงเหลือแม่เฒ่าที่ป่วยจนเลอะเลือนกับสตรีอายุน้อยที่ทำงานเลี้ยงชีพ ดูแลที่ดินรกร้างผืนนี้
หวนคิดถึงยุครุ่งเรืองก่อนหน้านี้ มีกฎบัญญัติว่าผู้ที่เพิ่งแต่งงานหรือผู้ที่จัดงานศพจะไม่ถูกเกณฑ์เป็นทหาร แต่บัดนี้ไม่มีระเบียบเหล่านี้หลงเหลือ ตั้งแต่เด็กชายไปจนถึงชายชราไม่มีผู้ใดได้รับการละเว้น
ลู่หงเหยียนแตะปลายเท้าออกจากประตูไป ชุดสีแดงบนตัวพลิ้วไหว พลังปราณจากกระบี่ซุ่ยคุนหลุนแผ่กระจาย นางใช้วิชาเซียนอย่างเต็มที่ ควบคุมพลังได้อย่างแม่นยำพอเหมาะ เพียงฟาดลงไปไม่กี่คราดินในที่นาก็ถูกขุดพลิกร่วนซุยไปเกือบครึ่ง เพื่อให้แม่นางน้อยไม่ต้องลำบากเปลืองเรี่ยวแรง
เมื่อแม่นางน้อยทราบถึงฐานะของคนกลุ่มนี้ก็ส่งเสียงอืออาคราหนึ่ง ไม่รู้ว่าคารวะหรือเกรงกลัว นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านเซียน…”
ขณะที่ออกจากที่นี่ บนรถม้าเวินหุยถามคุณชายอย่างระมัดระวังว่า “คุณชาย เหตุใดจึงไม่ให้เงินนางบ้าง เมื่อก่อนในเมืองเยวี่ยเฉิงท่านยังให้…”
“นางจะเอาเงินไปใช้ที่ใด” คุณชายถอนใจ “หมู่บ้านนี้เหลือแต่คนเฒ่าชรา สตรี และเด็ก เลี้ยงตนเองให้รอดยังยาก ตลาดไม่เปิด คิดจะซื้ออาหารยังไม่มีที่ไป ยิ่งไปกว่านั้นอีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาเก็บภาษีฤดูสารท หากพวกไพร่พลที่มารื้อค้นข้าวของพบเศษเงิน คราวหน้ามีหวังถูกเพิ่มภาษีเท่าตัว ที่แม่นางลู่ทำต่างหากจึงจะเป็นการช่วยแม่นางน้อยได้อย่างแท้จริง”
ลู่หงเหยียนโอบกระบี่มองดูฝูงอีกาในทุ่งร้าง “ข้าเองก็เคยเป็นคนในกลียุค”
เซี่ยหลางท่าทางครุ่นคิด “ช่วยโลกมิได้จึงต้องออกจากโลก ออกจากโลกกลับลืมโลกไม่ลง แดนมนุษย์เสื่อมโทรมเช่นนี้ บัดนี้ข้าพอจะเข้าใจคำพูดของเฉินซูโหวแล้ว” เขามุ่นคิ้ว “แต่โชคชะตาของแดนมนุษย์ มีหรือจะเป็นเพียงเท่านี้”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments



