everY
ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1
ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7 มือกระบี่พเนจร
เมื่อจิ้นเยวี่ยตื่นก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเบาะหนังกวางอ่อนนุ่ม เหนือศีรษะคือหน้าผาโค้ง คล้ายชายคาทรงโค้งซึ่งกำบังพายุหิมะได้พอดิบพอดี
นี่คือพื้นที่ซึ่งยุบตัวลงตามธรรมชาติแห่งหนึ่งในหุบเขา หร่วนปู้ฉีนอนอยู่อีกด้าน ระหว่างทั้งสองมีกองไฟอบอุ่นลุกไหม้อยู่หนึ่งกอง
คนผู้หนึ่งนั่งหันหลังให้จิ้นเยวี่ยอยู่ข้างกองไฟ เส้นผมยาวดำขลับดุจขนกาเกล้าด้วยกิ่งไม้อยู่ตรงท้ายทอย ตลอดร่างสวมชุดกระโปรงสีแดงเพลิงซึ่งไม่คล้ายกับเสื้อผ้าชาวเป่ยหรง เผยลำคอระหงงดงามกับไหล่ครึ่งหนึ่ง
จิ้นเยวี่ยหรี่ตามอง นึกว่าตนเองกำลังอยู่ในความฝัน เพียงไม่กี่ก้าวออกไปด้านนอกนั้นปกคลุมไปด้วยแสงสะท้อนจากหิมะ ลมพายุหนาวเหน็บคำรามหวีดหวิวทว่าที่แห่งนี้กลับแสนอบอุ่น อีกทั้งเขายังคลับคล้ายได้ยินเสียงคนด้านหน้าร้องเพลงแผ่วเบา ท่วงทำนองเพลงไพเราะอ่อนหวาน ขับขานอย่างเพราะพริ้งมีชั้นเชิง กล่าวถึงเรื่องราวเก่าๆ ในราชสำนักของรัชสมัยก่อน อาทิ ข้อมือขาวผ่องสวมกำไลทอง พิงรั้วชมกิ่งดอกไม้ แสงจันทร์เย็นชาซึ่งสว่างดุจทิวากาล ส่องสะท้อนบนร่างบุรุษทัดดอกไม้
เมื่อได้ยินเนื้อร้องนี้ ระหว่างมึนงงจิ้นเยวี่ยก็ประหนึ่งหวนกลับไปยังเหลียงจิง นี่คือ ‘วันคืนในตำหนัก’ ที่พวกหลี่เอ้อร์เจียวสองพ่อลูกแห่งหอพานโหลวเมื่อสมัยก่อนร้องได้ดีที่สุด
เหล่าองค์ชายในวังมักพาเขาไปฟังงิ้วที่หอพานโหลวด้วยกันเป็นประจำ เนื่องจากเขาฟังเนื้อร้องอือๆ อาๆ นี้ไม่เข้าใจ เลยกินอาหารแล้วก็นอนหลับไปอย่างอิ่มหนำบนที่นั่ง เรื่องราวในเนื้อเพลงล้วนกลายมาเป็นภาพในความฝันของเขา องค์หญิงเม่าซีในบทร้องงิ้วเกิดรักแรกพบกับหัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มในค่ำคืนที่แสงจันทร์สาดส่องของฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ ทั้งสองผ่านอุปสรรคยากลำบากนานัปการ ในที่สุดก็จูงมือกันหลบหนีออกจากวังหลวง เป็นสามีภรรยาที่ได้ท่องยุทธภพอย่างอิสระ
จิ้นเยวี่ยหลับตา หวังว่าความฝันฉากนี้จะยาวขึ้นอีกนิด
หลี่เอ้อร์เจียวร้องจบก็ควรเป็นซูกุ่นเอ๋อร์ขึ้นเวที หลังจากซูกุ่นเอ๋อร์คือสามีภรรยาหลู่หยวน รอ ‘เจ็ดสุดยอดการแสดงแห่งหอพานโหลว’ แสดงจบลงทั้งหมด เขาก็จะติดตามรถลากของเหล่าองค์ชายกลับชิงซูหลี่ จิ้นเยวี่ยจะทำให้สุนัขเฝ้ายามสองตัวตกใจ มารดาจะโมโหที่เขาเล่นสนุกไม่มีขอบเขตไปพร้อมกับเร่งให้เขากินน้ำแกงแพะให้ร่างกายอบอุ่น…
เสียงขับร้องหยุดลงกะทันหัน จิ้นเยวี่ยถอนหายใจยาวแล้วลืมตาขึ้น ทันใดนั้นเขาก็สบเข้ากับดวงตาสีดำอ่อนโยนคู่หนึ่ง
กวางตัวหนึ่งงอกีบเท้าทั้งสี่หมอบอยู่ข้างตัวจิ้นเยวี่ย เขากวางชูกิ่งหนาแน่น ดุจดังพฤกษาเก่าแก่ที่กิ่งก้านคดเคี้ยว
จิ้นเยวี่ยร้องลั่น แทบจะกระเด้งลุกขึ้น คนที่นั่งอยู่ข้างกองไฟผู้นั้นยื่นมือรวบตัวเขาเข้าไป
เด็กหนุ่มถูกกลิ่นแป้งหอมซึ่งโชยเข้าปะทะใบหน้ารมจนมุ่นคิ้ว เขาเงยหน้ามองคนผู้นั้นแวบหนึ่งแล้วก็พลันตกตะลึง
สตรีเบื้องหน้ารูปโฉมงดงามเฉิดฉาย แววตาทอยิ้มคู่หนึ่งคล้ายเต็มไปด้วยความรักใคร่ชั่วนิรันดร์ หางตามีเส้นสีทองบางๆ สามสี่เส้นลากยาวจรดกลางจอนผม นิ้วมืออ่อนนุ่มปัดผ่านคางจิ้นเยวี่ย เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ จึงยิ่งอยู่ใกล้กับดวงหน้าพิลาสล้ำดวงนั้น
บนตัวหญิงสาวปราศจากเครื่องประดับใดๆ ทว่ารูปโฉมงามแฉล้มจนไม่อาจมองตรงๆ ได้ จิ้นเยวี่ยเขินอายจนหน้าร้อนผ่าว ดวงตาไม่กล้าสบมองโดยตรง ยามหลุบตาก็มองเห็นห่วงทองบนลำคอของนาง ตรงกลางมีห่วงกลมๆ ห้อยหยกสีชาดขนาดเท่าเล็บนิ้วมือเป็นมันวาว
“เด็กน้อยผู้น่าสงสาร…”
จิ้นเยวี่ยถูกนางบังคับกอดไว้ในอ้อมอก ขยี้เส้นผมจนยุ่งเหยิง
“ถ้าไม่ใช่เพราะข้าหาเจ้าเจอพอดี เจ้ามิแข็งตายไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ในหิมะหรอกหรือ”
นอกจากมารดากับพี่สาว จิ้นเยวี่ยก็ไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดสนิทสนมกับสตรีคนใดเช่นนี้มาก่อน ระหว่างที่หน้าแดงหูแดงสายตาก็ตกอยู่ตรงหน้าอกของสตรีผู้นี้…สาบเสื้อสีแดงเพลิงหลวมคลายจนเปิดอ้า ด้านในไม่ได้สวมอะไรไว้จึงเผยให้เห็นผิวขาวกระจ่างดุจเครื่องเคลือบแบนราบทว่าแข็งแกร่ง
จิ้นเยวี่ย “…”
หนนี้เขาตกใจจริงๆ จนรีบผลักคนผู้นั้นออก
คนผู้นั้นหัวเราะเสียงเบา นิ้วเกี่ยวเชือกเส้นหนึ่งบนสาบเสื้อ ดึงคอเสื้อให้แหวกออกกว้างขึ้น ท่วงท่างดงามชดช้อย “ข้าน้อยเยวี่ยเหลียนโหลว เป็นเกียรติที่ได้พบแม่ทัพน้อย”
ใบหน้าจิ้นเยวี่ยกึ่งแดงกึ่งซีด จ้องมองใบหน้าดวงนั้นของเยวี่ยเหลียนโหลว แล้วก็มองดูหน้าอกเขา
เยวี่ยเหลียนโหลวแย้มยิ้มถาม “ข้างามหรือไม่”
ทันใดนั้นจิ้นเยวี่ยก็กระโดดลุกขึ้น มือยันพื้นวิ่งไปหลายก้าว ปกป้องอยู่ด้านหน้าหร่วนปู้ฉีผู้นอนหลับสนิท เวลานี้เองเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างกายปราศจากความเจ็บปวดใดๆ ล้วนคล่องแคล่วดุจเดิม
หร่วนปู้ฉีหันหลังให้เขา ร่างกายขยับขึ้นลงคล้ายกำลังหลับสนิท กวางตัวนั้นขยับตามเขามา ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาจับจ้องมองเขา จิ้นเยวี่ยหวาดหวั่นอยู่ในใจ เขาไม่เคยเห็นสัตว์ป่าที่ตัวใหญ่โตทว่ากลับเชื่องเช่นนี้มาก่อน
“เจ้าเป็นใคร!” เขาถามเสียงดัง
เยวี่ยเหลียนโหลว “ผู้มีพระคุณของเจ้า”
จิ้นเยวี่ย “เจ้ามาจากต้าอวี่?”
เยวี่ยเหลียนโหลว “เจ้าเดาสิ”
จิ้นเยวี่ยไหนเลยจะมีแก่ใจมาเล่นทายปริศนากับอีกฝ่าย คนผู้นี้ลึกลับซ้ำยังแปลกประหลาด เด็กหนุ่มอดสอดส่ายสายตาไม่ได้ แล้วก็มองเห็นกระบี่พกสองเล่มบนหลังกวางยักษ์ ฉับพลันในใจเขาก็ผ่อนคลาย
นี่เป็นกระบี่คู่ที่จอมยุทธ์ในต้าอวี่ใช้เป็นปกติ
ยามสายตากลับมาจับจ้องที่เยวี่ยเหลียนโหลวอีกครั้ง ชายหนุ่มก็นั่งตัวตรงแล้ว
“ข้าเดินทางมาตามหาเจ้าโดยเฉพาะ แม่ทัพน้อย” เยวี่ยเหลียนโหลวกล่าว “ก่อนที่องค์หญิงซุ่นอี๋* จะออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังด่านไป๋เชวี่ย นางมาพบข้า”
องค์หญิงซุ่นอี๋หรือเฉินจิ้งซูมารดาของจิ้นเยวี่ยเป็นน้องสาวของฮ่องเต้เหรินเจิ้งองค์ปัจจุบัน ความสัมพันธ์ห่างเหิน ไม่ได้สนิทชิดเชื้อ
เมื่อแรกที่นางแต่งกับจิ้นหมิงจ้าว เขายังหาใช่แม่ทัพจงเจาผู้เลื่องชื่อลือนามของต้าอวี่ ผู้คนต่างบอกว่าองค์หญิงซุ่นอี๋ลดตัวลงมา รอหลังจากจิ้นหมิงจ้าวสร้างความดีความชอบในการรบหลายครั้ง ได้รับมอบนามแม่ทัพจงเจา คำพูดพลันเปลี่ยนทิศ
เฉินจิ้งซูรู้จักกับจิ้นหมิงจ้าวตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งสองมีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งอย่างยิ่ง หลังจิ้นเยวี่ยได้รู้ว่าบิดาสู้รบเสียชีวิตที่ด่านไป๋เชวี่ย ผู้ที่เขาเป็นห่วงที่สุดก็คือมารดา
มารดาอุปนิสัยอ่อนโยนทว่าเข้มแข็ง แค่คิดว่าตนเองอยู่ไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน บิดากับทหารม้าคะนองเมฆาประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในใจจิ้นเยวี่ยก็อดว้าวุ่นไม่ได้ ช่วงเวลานี้เขาใช้ชีวิตผ่านไปอย่างทรมานแสนสาหัส ยามคิดถึงบิดาก็โศกเศร้า ยามคิดถึงมารดาก็ร้อนรน ในค่ำคืนอันยาวนานมักข่มตานอนไม่หลับเสมอ
“หลังองค์หญิงซุ่นอี๋ทราบข่าวการเสียชีวิตของแม่ทัพจิ้นหมิงจ้าวก็ออกจากเมืองไปทางทิศตะวันตกในคืนนั้น นางมุ่งหน้าไปที่ด่านไป๋เชวี่ย” เยวี่ยเหลียนโหลวกล่าว
จิ้นเยวี่ยร้องเสียงหลง “ท่านแม่ไปด่านไป๋เชวี่ย?! ตอนนี้นางยังสบายดีหรือไม่ นาง…”
เขาหุบปากตัดคำพูด จ้องมองเยวี่ยเหลียนโหลวนิ่งงัน
เยวี่ยเหลียนโหลวกล่าวเสียงเบา “หลังนางออกจากเมือง ข่าวคราวก็เงียบหาย”
พริบตานั้นเรี่ยวแรงทั่วร่างจิ้นเยวี่ยก็เหือดหาย เด็กหนุ่มคุกเข่าลงอย่างเศร้าสร้อย
จากต้าอวี่ไปทางตะวันตกตลอดทางเต็มไปด้วยภยันตราย บัดนี้จินเชียงกับต้าอวี่รบพุ่งปะทะกันอย่างดุเดือด มารดาจะปกป้องตนเองได้อย่างไร เขาตบหน้าตัวเองอย่างแรง ความเจ็บปวดทำให้ได้สติชั่วคราว ปัดอารมณ์ผสมปนเปทิ้งไป
“จอมยุทธ์เยวี่ยได้รับการไหว้วานจากมารดาข้า จึงเดินทางมาตามหาข้าโดยเฉพาะหรือ” เขาถาม
เยวี่ยเหลียนโหลวได้ยินคำเรียกขานนี้ของเขาก็ขำจนหัวเราะ “ข้าเป็นมือกระบี่พเนจร หาใช่จอมยุทธ์ไม่ แต่มิผิด ข้ามาตามหาเจ้า คุ้มครองเจ้า จนกระทั่งเจ้าส่งกลับถึงบ้าน”
จิ้นเยวี่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาจึงไปหาเยวี่ยเหลียนโหลว “เจ้าไม่ใช่คนในวัง?”
เยวี่ยเหลียนโหลวหัวเราะเสียงเบา หนนี้ไม่ได้เล่นทายปริศนาอีก “แน่นอน”
จิ้นเยวี่ย “ขอบังอาจถาม เอ่อ…คุณชายเยวี่ยเป็นมือกระบี่ของพรรคใดหรือ”
แต่ไหนแต่ไรมาจิ้นหมิงจ้าวก็ไปมาหาสู่กับสำนักในยุทธภพมากมาย ชาวยุทธ์นับถือผู้มีสัจจะและกล้าหาญชาญชัย แม้จิ้นหมิงจ้าวไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน ทว่าก็ได้รับความเคารพเป็นพิเศษ
ช่วงเทศกาลปีใหม่จวนสกุลจิ้นมักได้รับของกำนัลจากทั่วสารทิศ ชาวยุทธ์ไม่ได้ขอพบจิ้นหมิงจ้าว เพียงวางข้าวของหาบเล็กหาบใหญ่ไว้นอกประตูจวนสกุลจิ้น ‘มาอย่างเงียบเชียบ จากไปอย่างเงียบงัน’ นี่กลายเป็นภาพมหัศจรรย์หนึ่งของชิงซูหลี่ไปแล้ว
จิ้นเยวี่ยกับพี่สาวมักจะหมอบแอบดูอยู่บนกำแพงเป็นประจำ ทุกครั้งล้วนถูกชาวยุทธ์สังเกตเห็น พวกเขารู้ว่าจิ้นหมิงจ้าวมีบุตรชายบุตรสาวหนึ่งคู่ จึงมักจะถือโอกาสโยนข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ให้เด็กทั้งสอง บ้างก็เป็นผลไม้เชื่อมซึ่งมัดไว้ด้วยเชือกสีแดง บ้างก็เป็นไข่มุก ทองกับหินหยกซึ่งมีที่มาไม่ชัดเจนก้อนสองก้อน
จิ้นเยวี่ยไม่เคยเห็นคนซึ่งโดดเด่นเช่นชายหนุ่มตรงหน้ามาก่อน เยวี่ยเหลียนโหลวเองก็ไม่ยอมบอกประวัติความเป็นมาของตนเอง “เจ้าเดาสิ”
จิ้นเยวี่ย “…”
เขาไม่เซ้าซี้กับเรื่องนี้อีก ตัดสินใจเด็ดขาดทันที “เป่ยหรงเทียนจวินให้ข้าเป็นทาสที่เยี่ยไถ นี่คือสัญญาณว่าเขาต้องการทำลายสัญญาพันธมิตรผิงโจว ไร้สัญญาพันธมิตรผิงโจวข้าก็หาใช่องค์ประกันอีก คุณชายเยวี่ย ขอร้องท่านโปรดช่วยพาข้ากลับเหลียงจิง ข้าจำเป็นต้องกลับบ้าน”
เยวี่ยเหลียนโหลวกุมมือจิ้นเยวี่ย ปัดเศษหิมะบนเส้นผมเขาออกอย่างใส่ใจ ฝ่ามือชายหนุ่มอบอุ่นยิ่ง พริบตานั้นจิ้นเยวี่ยพลันรู้สึกได้ว่าความร้อนส่งเข้ามาสู่กลางฝ่ามือ พาให้อบอุ่นไปทั้งร่าง ไม่สั่นสะท้านอีก ทว่าการกระทำของเยวี่ยเหลียนโหลวก็ทำให้เขาหวาดกลัว เขารอคอยนิ่งงัน
“เหลียงจิงหาใช่บ้านแล้ว แม่ทัพน้อย” เยวี่ยเหลียนโหลวจ้องมองเขา เอ่ยทีละคำ “สกุลจิ้นถูกเนรเทศทั้งตระกูล เป็นเรื่องเมื่อครึ่งเดือนก่อน”
สีเลือดบนใบหน้าจิ้นเยวี่ยเผือดหาย
แม่ทัพจงเจาจิ้นหมิงจ้าวกับทหารม้าคะนองเมฆาแปดพันนายใต้บังคับบัญชาสู้รบเสียชีวิตที่ด่านไป๋เชวี่ย กองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือสูญเสียไปครึ่งหนึ่ง แตกพ่ายหลบหนีไปยังเมืองเฟิงหูซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการทหาร หากเสียเมืองเฟิงหู ด่านไป๋เชวี่ยก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือจินเชียงทันที เท่ากับว่าเส้นชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือเปิดประตูด่านต้อนรับโจรด้วยมือเปล่า
วันที่ข่าวแพร่กลับไปถึงต้าอวี่ก็สั่นสะเทือนทั้งราชสำนัก ทหารสอดแนมของกองทหารม้าคะนองเมฆาผู้ส่งข่าวคุกเข่าอยู่นอกตำหนัก ทั่วร่างเปรอะเปื้อนคราบเลือดจนดำคล้ำ ซบหน้าลงพื้นร่ำไห้เสียงดัง กระทั่งทหารองครักษ์ที่เฝ้าดูอยู่ก็ยังอดมีสีหน้าหวั่นไหวไม่ได้
แท้จริงการส่งข่าวนี้แบ่งเป็นสองทาง ตอนทหารสอดแนมเจี่ยยังคงร้องห่มร้องไห้อยู่นอกตำหนัก ทหารสอดแนมอี่* ก็ยืนอยู่ตรงหน้าเฉินจิ้งซู
คืนนั้นจวนสกุลจิ้นปิดประตู ช่วงยามสามองค์หญิงซุ่นอี๋กับผู้ติดตามสองคนก็เดินทางออกจากประตูหลังจวนอย่างลับๆ ประจวบเหมาะกับช่วงเปิดประตูใหญ่ของเมืองชั้นในพอดี พวกนางจึงออกจากเมืองชั้นในผ่านทางประตูเจี้ยงหู่ หลังจัดการเรื่องราวทุกอย่างเหมาะสมเรียบร้อยก็ออกจากเมืองชั้นนอกของเหลียงจิง มุ่งหน้าไปทางตะวันตก
ธุระที่เฉินจิ้งซูจัดการในเมืองชั้นนอกมีเพียงเรื่องเดียวคือไปพบเยวี่ยเหลียนโหลว
หลังองค์หญิงซุ่นอี๋ออกจากเมืองเหลียงจิงไม่ถึงสามวัน ฮ่องเต้เหรินเจิ้งก็ประกาศราชโองการ จิ้นหมิงจ้าวไร้ซึ่งความสามารถในการคุมกองทัพ เลินเล่อในการต่อต้านอริราชศัตรู หวาดกลัวการศึกละทิ้งการป้องกัน พ่ายแพ้ย่อยยับในการรบที่ด่านไป๋เชวี่ย จำเป็นต้องลงโทษอย่างร้ายแรง
“ยึดทรัพย์สกุลจิ้น เนรเทศคนทั้งตระกูลไปยังพื้นที่ตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิง” เยวี่ยเหลียนโหลวกล่าว “ทว่าตอนผ่านแม่น้ำเลี่ยซิง เรืออับปาง ผู้คนบนเรือทั้งหมดต่าง…”
เขายิ่งพูดก็ยิ่งช้าลง สุดท้ายก็หยุดพูดไป
จิ้นเยวี่ยเพียงรับฟัง นิ่งไม่ขยับไหว แทบจะหยุดแม้แต่การหายใจ
เขาไม่มีบ้านแล้ว
เยวี่ยเหลียนโหลวตบหน้าเขาเบาๆ “แม่ทัพน้อย?”
“…ข้าต้องกลับเหลียงจิง” จิ้นเยวี่ยขอบตาแดงเรื่อ “เรื่องที่ข้าต้องทำมีมากมาย ขอเพียงกลับถึงเหลียงจิงก็ต้องมีหนทาง เรืออับปางต้องมีผู้โชคดีรอดชีวิต ข้ายังต้องชำระล้างความไม่เป็นธรรมให้บิดาข้า ตามหามารดา…”
“มารดาเจ้าย่อมมีคนไปค้นหา เรื่องของแม่ทัพจงเจาแพร่ไปทั่วยุทธภพ ชาวยุทธ์ผู้เลือดร้อนต่างกำลังตามหาที่อยู่ขององค์หญิงซุ่นอี๋ พวกเขาจะหานางพบและปกป้องนาง”
“แต่…”
เยวี่ยเหลียนโหลวกดบ่าจิ้นเยวี่ยไว้มั่น “เรื่องที่แม่ทัพจงเจากับทหารม้าคะนองเมฆาพ่ายแพ้ย่อยยับมีลับลมคมในเกินไป หากเจ้าอยากตามหาความจริงก็ควรหาไป๋หนีให้พบก่อน นางเข้าใจทหารม้าคะนองเมฆากับด่านไป๋เชวี่ยลึกซึ้งกว่าเจ้ามากนัก หากมีคนชั่วช้าก่อเรื่องชั่วร้ายในนั้นจริง…”
จิ้นเยวี่ยตกใจ “แต่ไป๋หนี…”
“ข้ารู้ ไป๋หนีหายตัวไป แต่ก็ไม่มีผู้ใดเห็นศพไป๋หนี” เยวี่ยเหลียนโหลวลดเสียงพูดให้เบาลง “นางจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ อยู่ที่ใดสักแห่งในเป่ยหรง”
ในป่าเงียบสงัด บางครั้งบางคราวจะมีเสียงกิ่งไม้ถูกชั้นหิมะหนักอึ้งกดทับจนหักเผาะแผ่วเบาไม่กี่ที กลุ่มล่าหมีซึ่งออกเดินทางจากเยี่ยไถเดินทางลึกเข้ามาในป่าทึบ นายพรานมากประสบการณ์ชี้รอยกรงเล็บซึ่งหมีดำทิ้งไว้บนลำต้นไม้หนา พวกเขาจำเป็นต้องจบศึกโดยไว เสียงพายุคำรามหวีดหวิวใกล้เข้ามาทุกที
หุนต๋าเอ๋อร์ที่เดินอยู่ด้านหลังสุดมองธนูบนแผ่นหลังเฮ่อหลันเฟิงหลายครั้ง ทันใดนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้เอ่ยถามเสียงเบา “เจ้ายังจำแม่ทัพหญิงชาวต้าอวี่ที่ยิงธนูผู้นั้นได้หรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงตอบ “อืม”
หุนต๋าเอ๋อร์ถามต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่านางไปที่ใด”
กองพลต้าอวี่หายไปภายในคืนเดียวหาใช่เรื่องเล็กๆ ในเยี่ยไถ ทว่าเรื่องแปลกคือไม่มีผู้ใดแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทั่งเฮ่อหลันเฟิงอยากสืบข่าวจากเฮ่อหลันจินอิงก็มักถูกสายตาคมกริบของเขาปิดปากกลับมา
เฮ่อหลันเฟิงถาม “เจ้ารู้?”
หุนต๋าเอ๋อร์ลังเล
“เกี่ยวข้องกับแม่ทัพหู่?”
หุนต๋าเอ๋อร์ยิ้มเย็น “อย่ามายั่วยุข้า เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังพี่ใหญ่เจ้ากลับมาเยี่ยไถ”
เฮ่อหลันเฟิงหยุดฝีเท้า “เลิกอ้ำๆ อึ้งๆ”
หุนต๋าเอ๋อร์กดเสียงให้เบาลง “คืนนั้นที่แม่ทัพหญิงหายตัวไป ข้าเห็นพี่ชายเจ้าไปพูดจากับนาง ไม่รู้ทั้งสองคนพูดสิ่งใดกันบ้าง เดินลับๆ ล่อๆ ไปทางที่ราบฉือวั่งหยวน”
หุนต๋าเอ๋อร์ในยามนั้นพะวงถึงม้าตัวน้อยที่บาดเจ็บในบ้านจึงไม่ได้มองมากนัก เขาฆ่าเวลาอยู่ในคอกม้าช่วงหนึ่ง ครั้นออกมาก็เห็นเฮ่อหลันจินอิงอีกครั้ง
ชายหนุ่มเดินกลับมาจากที่ราบฉือวั่งหยวนเพียงลำพัง ไร้เงาไป๋หนี
เฮ่อหลันเฟิงยังอยากถามให้ละเอียดอีก ทันใดนั้นด้านหน้าก็มีเสียงสับสนอลหม่าน มีคนแผดเสียงตะโกนลั่น “หมีตื่นแล้ว!”
เสียงคำรามเกรี้ยวกราดสะเทือนฟ้าดิน หมีดำตัวใหญ่ยักษ์สองตัวทะยานออกมาจากในป่า หุนต๋าเอ๋อร์หน้าซีดเผือด “สองตัว?!”
เฮ่อหลันเฟิงถีบบั้นท้ายเขาหนึ่งที หุนต๋าเอ๋อร์ได้สติกลับมาแล้วเริ่มปีนต้นไม้ทันที ทั้งสองเคลื่อนไหวรวดเร็ว พริบตาเดียวก็พุ่งหนีขึ้นไปบนต้นไม้ ชั้นหิมะที่ทับถมร่วงหล่นดังผลุบ เฮ่อหลันเฟิงกวาดตามองหนึ่งรอบ พบว่าคนในกลุ่มล่าหมีเกือบทุกคนล้วนอยู่บนต้นไม้ นอกจากตูเจ๋อผู้สะดุดล้มตอนวิ่งหนี
“ตูเจ๋อ!” หุนต๋าเอ๋อร์รีบตะโกนเสียงดังจากบนต้นไม้ “วิ่งสิ!”
รองเท้าตูเจ๋อติดอยู่ในหิมะไม่สามารถดึงออก หมีดำสองตัวพ่นไอร้อนวิ่งทะยานเข้าหา ตัวที่นำหน้าเงื้ออุ้งเท้าหน้าขึ้นหมายจะตะปบศีรษะตูเจ๋อ
เสียงธนูหวีดแหลมกรีดผ่านอากาศ หัวลูกธนูแทงทะลุอุ้งมือหมีดำตัวนั้นดังสวบ
หมีดำเจ็บปวดจนล้มกลิ้งลงพื้น ตูเจ๋อหมอบอยู่ข้างจมูกอุ่นร้อนของมัน ฉวยช่องว่างนี้ดีดตัวจากหิมะโดยพลัน ออกวิ่งโดยไม่เลือกทิศทาง
หมีดำตัวที่ล้มลงพื้นไม่คิดสู้อีก มันร้องโฮกด้วยความเจ็บปวด วิ่งกะโผลกกะเผลกไปในส่วนลึกของป่า อาขู่ล่ายิงธนูโดนในดอกเดียว รีบตวาดหยุดตูเจ๋อ “อย่าลนลาน! มองให้ดี!”
ตูเจ๋อเวียนศีรษะหลงทิศทาง โผไปทางต้นไม้ที่อาขู่ล่าอยู่ ใช้ทั้งมือและเท้าปีนขึ้นไป ทว่าในขณะนั้นหมีดำอีกตัวทะยานมาถึง มันพบตูเจ๋อแล้วจึงวิ่งบึ่งไปทางเขาทันใด
อาขู่ล่าพาดธนูไม่ทัน เปลี่ยนไปชักดาบโค้งออกจากหลังเอว หางตาเห็นเด็กหนุ่มสองคนกระโดดลงจากต้นไม้ด้านข้าง เป็นเฮ่อหลันเฟิงกับหุนต๋าเอ๋อร์
หุนต๋าเอ๋อร์ร้องคำรามลั่นดึงดูดความสนใจหมีดำ เฮ่อหลันเฟิงเล็งธนู น้าวสายแล้วปล่อย เคลื่อนไหวต่อเนื่องในหนึ่งลมหายใจ พริบตาเดียวหัวลูกธนูก็ปักเข้าไปในอกหมีดำ
หมีดำเจ็บจนร้องคำรามโกรธแค้นทว่ากลับไม่ล้มลง มันกระโจนสองก้าวไปทางเฮ่อหลันเฟิง ตูเจ๋อปีนขึ้นต้นไม้ไปได้ครึ่งทางแล้ว เขาร้องไห้ตะโกนบอก “หุนต๋าเอ๋อร์! เฮ่อหลันเฟิง! วิ่งสิ!”
หุนต๋าเอ๋อร์รู้ว่าตัวเองไร้กำลังเมื่อเผชิญหน้ากับหมีดำจึงบ่ายหน้าวิ่งหนี ทว่าเขากลับประจันหน้ากับเฮ่อหลันเฟิง
เฮ่อหลันเฟิงคำราม “อย่าหันหลังให้มัน!” เขาถือโอกาสชักดาบใหญ่จากหลังหุนต๋าเอ๋อร์ ย่อตัวแล้วเร่งฝีเท้า ยกดาบกรีดเป็นแนวราบไปทางท้องหมีดำ
หมีดำที่ถูกยั่วโมโหอย่างถึงที่สุดไม่หลบเลี่ยง อุ้งมือซึ่งใหญ่กว่าศีรษะเฮ่อหลันเฟิงจู่โจมมาทางเด็กหนุ่มพร้อมกับเสียงลม
ปลายดาบยังห่างจากท้องหมีดำหนึ่งชุ่นกว่า เฮ่อหลันเฟิงมองเห็นประกายเย็นเยียบจากกรงเล็บแหลมคมของหมีดำ เขาไม่กล้าหลับตา สะบัดนิ้วคลายมือ ดาบใหญ่ก็ออกจากมือพุ่งตรงใส่ท้องหมีดำ!
แทบจะในเวลาเดียวกัน อาขู่ล่าก็เงื้อดาบกระโดดลงจากต้นไม้
ดาบใหญ่กรีดเปิดหนังเหนียวตรงหน้าท้อง ดาบโค้งฟันตรงเข้าใส่กระหม่อมหมีดำ
เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังสนั่นจนหูแทบหนวก ชั้นหิมะที่ค้างบนต้นไม้ใหญ่รอบด้านพากันร่วงลงพื้น
หมีดำล้มทับเฮ่อหลันเฟิง กลิ่นเหม็นคาวกับเลือดอุ่นร้อนกระเซ็นเปรอะศีรษะกับใบหน้า เด็กหนุ่มยังไม่ทันคืนสติก็ถูกอาขู่ล่าหิ้วคอเสื้อลากออกจากใต้ร่างหมีดำซึ่งกะโหลกแบะขาดใจตาย
อาขู่ล่าจัดการให้คนสองคนขนศพหมีดำกลับค่ายเยี่ยไถ คนที่เหลือมุ่งหน้าไปต่อ
เส้นผมเฮ่อหลันเฟิงถูกเลือดย้อมจนเปลี่ยนสี แข็งตัวเป็นแท่งน้ำแข็งสีน้ำตาลแดง หนาวจนเขาตัวสั่นงันงก
ตูเจ๋อยื่นหมวกมาให้ หุนต๋าเอ๋อร์ตัดเสื้อคลุมครึ่งผืนให้เฮ่อหลันเฟิงใช้เป็นผ้าเช็ดเลือด สายตาที่ทั้งสองมองเฮ่อหลันเฟิงต่างไปจากเดิม เจือด้วยความเลื่อมใสอยู่รางๆ
เฮ่อหลันเฟิงทนรับความกระตือรือร้นของพวกเขาไม่ไหว คว้าผ้าจากมือหุนต๋าเอ๋อร์ เร่งเดินหลายก้าวตามให้ทันอาขู่ล่า
อาขู่ล่าหันมามองเขา “กล้าไม่เบา”
เฮ่อหลันเฟิงนับถืออาขู่ล่ายิ่ง ยามตอบกลับจึงยืดอกโดยไม่รู้ตัว “ท่านปู่ ที่ท่านฟันหมีเมื่อครู่นี้สอนข้าได้หรือไม่”
“มีอะไรน่าสอน” อาขู่ล่าก้าวข้ามลำต้นไม้หนาซึ่งล้มอยู่กับพื้น ทุกคนกำลังตามร่องรอยหลบหนีของหมีดำอีกตัวลึกเข้าไปในป่า “เล็งหาจังหวะเหมาะ และตัดสินใจให้เด็ดขาดทันที”
เห็นเฮ่อหลันเฟิงผิดหวัง อาขู่ล่าจึงเอ่ยอีกว่า “ข้าไม่ต้องสอน เจ้าก็เรียนเป็นแล้ว”
เฮ่อหลันเฟิงไม่เข้าใจ
“เจ้ามีความกล้าหาญช่วยเหลือสหายจากอันตราย นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในกระบวนท่านั้น” อาขู่ล่าขยี้ผมเขา จึงถูกแท่งน้ำแข็งที่จับตัวบนเส้นผมของเขาทิ่มจนเย็นมือ “ตูเจ๋อ! หมวก!”
อาขู่ล่ารับหมวกมาจากมือตูเจ๋อ มือใหญ่หยิบผ้ามาเช็ดลวกๆ ไม่กี่ทีบนศีรษะเฮ่อหลันเฟิง
เฮ่อหลันเฟิงกับหุนต๋าเอ๋อร์ต่างตกใจ เส้นผมจับตัวเป็นแท่งน้ำแข็ง หากเช็ดเช่นนี้ไม่เพียงเส้นผมจะขาด ศีรษะครึ่งหนึ่งยังจะถูกแท่งน้ำแข็งบาดเอาด้วย
แต่เฮ่อหลันเฟิงก็รู้สึกเพียงว่าฝ่ามืออาขู่ล่ามีไออุ่นสายหนึ่งหลั่งไหลไม่ขาดสาย ไออุ่นนั้นละลายแท่งน้ำแข็งจากเลือดที่แข็งตัว เลือดเหล่านั้นถูกผ้าดูดซับไปทันที เพียงครู่เดียวกระหม่อมเขาก็แห้งสะอาดและอบอุ่นไม่ต่างจากปกติ
อาขู่ล่าสวมหมวกบนศีรษะเขา ก่อนเดินไปข้างหน้าต่อ ตูเจ๋อไล่ตามอาขู่ล่าทัน ก็กล่าวขออภัยเสียงเบา ชายชราเริ่มตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
ผู้ที่อยู่รั้งท้ายคือเฮ่อหลันเฟิงกับหุนต๋าเอ๋อร์อีกครั้ง เฮ่อหลันเฟิงรีบคว้าตัวหุนต๋าเอ๋อร์พลางถาม “คืนนั้นที่ไป๋หนีหายตัวไป เจ้าเห็นนางไปที่ราบฉือวั่งหยวนกับพี่ใหญ่ข้าจริงๆ?”
“จริงแท้แน่นอน” หุนต๋าเอ๋อร์รีบตอบ “คืนนั้นหนาวมาก ข้าขดตัวอยู่ในคอกม้าเป็นเพื่อนอาหลู่ของข้า เลยไม่มีใครเห็นข้า”
เฮ่อหลันเฟิงคิดครู่หนึ่ง ก็ถามอีก “เจ้าเห็นขบวนรถต้าอวี่หรือไม่”
หุนต๋าเอ๋อร์นึกทบทวน “เวลานั้นขบวนรถต้าอวี่ยังอยู่ ข้าจำได้ว่าพวกเขามีม้ากีบเท้าเคล็ดสองตัว พักผ่อนอยู่ข้างอาหลู่”
เฮ่อหลันเฟิงถาม “ม้านั่นเล่า”
หุนต๋าเอ๋อร์ตอบเขา “ย่อมหายไปแล้ว วันที่สองขบวนรถต้าอวี่รวมทั้งแม่ทัพหญิงผู้นั้นต่างหายตัวไปพร้อมกัน”
เขากล่าวถึงตรงนี้ ก็รู้สึกว่าเรื่องราวมีส่วนแปลกประหลาดมากมาย เลยคลี่ยิ้มพลางถามอีกว่า “หรือพี่ใหญ่เจ้าฆ่าไพร่พลมากมายรวดเดียวจริงๆ”
กองไฟลุกโชนโชติช่วง เยวี่ยเหลียนโหลวสวมเพียงเสื้อตัวนอกทว่ากลับดูไม่หนาวแม้แต่น้อย เขายกมือโบกเหนือกองไฟ กองไฟก็พลันเผาไหม้ร้อนแรงยิ่งขึ้น
“…หลังเฮ่อหลันจินอิงกลับถึงเยี่ยไถ เรื่องราวทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจากปกติ ฐานะของข้า การหายตัวไปของไป๋หนีกับขบวนรถ ข้าคิดว่าทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเขา” จิ้นเยวี่ยนั่งกล่าวอยู่ข้างกองไฟ
“มีเหตุผล” เยวี่ยเหลียนโหลวบอก “แต่อาศัยแค่เฮ่อหลันจินอิงไม่สามารถทำให้ไป๋หนียอมจำนน”
จิ้นเยวี่ยเห็นด้วยกับคำพูดเยวี่ยเหลียนโหลว
ไป๋หนีเป็นแม่ทัพหญิงคนแรกของแคว้นต้าอวี่ นางไม่เพียงเชี่ยวชาญการจัดวางโยกย้ายทหาร การต่อสู้เพียงลำพังก็ฝีมือเก่งกาจเช่นกัน บนกระดานจัดอันดับในยุทธภพมีจอมยุทธ์หญิงเลื่องชื่อ ไป๋หนีเองก็เคยถูกจัดอันดับอยู่ในนั้น ทว่าเนื่องจากนางเป็นคนของราชสำนักสุดท้ายเลยต้องตัดชื่อออก นายกองตัวเล็กๆ ผู้ที่ชื่อเสียงหาได้เป็นที่รู้จักคนหนึ่งของแคว้นเป่ยหรงไม่มีทางทำอะไรไป๋หนีได้
ทว่าไป๋หนีกลับหายตัวไปอย่างไร้ข่าวคราว จิ้นเยวี่ยจ้องเยวี่ยเหลียนโหลวเขม็ง เขาไม่กล้าคิดถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด
“ไป๋หนีซื่อสัตย์ภักดีกับแม่ทัพจงเจาและเจ้ามาตลอด” เยวี่ยเหลียนโหลวกล่าวเสียงเบา “แม่ทัพน้อย เจ้าต้องหัดแยกแยะคนให้เป็น”
จิ้นเยวี่ยพลันระบายลมหายใจโล่งอก “…ขออภัย จอมยุทธ์เยวี่ย ข้ายังไม่อาจเชื่อท่านได้ทั้งหมด”
ลมแรงเกินไป พัดจนกองไฟส่ายไหวจวนจะดับ เยวี่ยเหลียนโหลวจำต้องใช้มือพัดเปลวไฟซ้ำไปซ้ำมาเพื่อช่วยให้มันลุกไหม้ จิ้นเยวี่ยมองออกว่าบนตัวชายหนุ่มมีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม แต่เขากลับอายุน้อยถึงเพียงนี้ เด็กหนุ่มไม่เคยได้ยินว่าในยุทธภพมีผู้เลิศล้ำทั้งวรยุทธ์และรูปโฉมเช่นนี้มาก่อน
“เอาล่ะ อย่าเรียกข้าว่าจอมยุทธ์ เรียกชื่อตรงๆ ก็พอ อีกอย่างหากเจ้าไม่เชื่อข้า ก็ไม่มีทางนั่งใกล้ข้าหรอก” เยวี่ยเหลียนโหลวคลี่ยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง
จิ้นเยวี่ยรู้สึกว่าการแต่งกายกับการกระทำของเขาค่อนข้างพิเศษไม่เหมือนใคร จึงอดมองเขาบ่อยๆ ไม่ได้ มองเสร็จก็หน้าแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่
เห็นเด็กหนุ่มเขินอาย เยวี่ยเหลียนโหลวก็ยิ่งเบิกบานใจ “แม่ทัพน้อย ต่อให้เจ้าไม่เชื่อข้า ก็ต้องเชื่อมารดาเจ้า ถูกหรือไม่”
เขาเป็นคนที่มารดาฝากฝัง
จิ้นเยวี่ยหลับตา รู้ว่าตนเองในยามนี้ ที่นี่ นอกจากเชื่อเยวี่ยเหลียนโหลวแล้วก็ไม่มีทางอื่นอีก
“…ได้ ข้าจะอยู่ที่นี่” เขาพูดเสียงเบา “ข้าจะพยายามคิดทุกวิถีทางหาไป๋หนีให้พบ ไม่ว่านางจะเป็นหรือตาย เป็นคนหรือผี”
กล่าวถึงตอนสุดท้าย น้ำเสียงเขาก็มีแววโหดเหี้ยมดุร้าย
เยวี่ยเหลียนโหลวกางแขนจะกอดเขาอีกรอบ จิ้นเยวี่ยรีบหลบหลีก ชายหนุ่มจึงเกี่ยวเส้นผมเขาขึ้นมา ถือโอกาสถักเปียไปพลางกล่าวไปพลาง “ทุกอย่างล้วนต้องเริ่มตรวจสอบจากเยี่ยไถกับเฮ่อหลันจินอิง แม้ข้าจะพักระยะยาวอยู่ที่เป่ยตู แต่บางครั้งบางคราวก็จะมาเยี่ยไถ ข้าจะมาหาเจ้า ไม่ต้องกังวล”
ความคิดจิ้นเยวี่ยล้วนถูกเยวี่ยเหลียนโหลวชักนำ หายนะใหญ่หลวงที่มารดากับตระกูลประสบถูกเขาฝืนสะกดไว้ในใจ กระนั้นตลอดมาเขาไม่อาจปัดความหวาดกลัวโศกเศร้าจากการไร้ที่พึ่งพิงทิ้งไปได้เลย “เฮ่อหลันจินอิงกับแม่ทัพหู่ออกจากเยี่ยไถมุ่งหน้าไปทางใต้แล้ว ข้าไร้ญาติมิตรในเยี่ยไถซ้ำยังเป็นทาส ไม่มีผู้ใดพูดคุยกับข้า หากต้องการสืบร่องรอยไป๋หนี เกรงว่าจะไม่ง่าย”
เยวี่ยเหลียนโหลวแกะเปียซึ่งเพิ่งถักให้จิ้นเยวี่ย เด็กหนุ่มนั่งนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้เขาก่อกวน
“ไม่รู้จักสหายสักสองสามคนเลยหรือ” เยวี่ยเหลียนโหลวกล่าวไปเรื่อยเปื่อย “เด็กที่รุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าในเยี่ยไถก็มีไม่น้อย”
จิ้นเยวี่ยเพิ่งคิดจะปฏิเสธ ในสมองกลับมีดวงหน้าหนึ่งผุดขึ้นมา เป็นภาพเฮ่อหลันเฟิงกำลังขี่ม้า ก้มศีรษะลงเล็กน้อย หิมะบนที่ราบฉือวั่งหยวนขับสีผิวดั่งน้ำผึ้งของเขาให้เด่นขึ้น สองตาทอประกายสว่างไสวราวกับแฝงด้วยแอ่งน้ำมรกต
“…มีผู้หนึ่ง” จิ้นเยวี่ยบอก “เขาเป็นเด็กชาวเกาซินกับต้าอวี่ ใช้ชีวิตอยู่ที่เยี่ยไถมาตลอด เขาปฏิบัติต่อข้าไม่เลว”
เยวี่ยเหลียนโหลว “เช่นนั้นก็ใช้ประโยชน์จากเขา”
จิ้นเยวี่ย “…”
เยวี่ยเหลียนโหลวตบหน้าเขาเบาๆ “ภารกิจสำคัญอันดับหนึ่งในเวลานี้ของเจ้าคือตามหาไป๋หนีให้เจอแล้วกลับไปยังต้าอวี่มิใช่ผูกมิตร ถูกหรือไม่”
จิ้นเยวี่ย “…ข้าไม่ยินดีทำร้ายเขา”
เยวี่ยเหลียนโหลว “นี่เป็นการทำร้ายเขาที่ใดกัน เจ้าคบหากับเขา เป็นสหายกัน เจ้าได้รับความช่วยเหลือ ในใจเขาเองก็มีความสุข ยามแยกจากก็โบกมือลาอย่างผ่าเผย ขอเพียงเขาไม่รู้ว่าเจ้ามีความคิดเช่นไร จะนับว่าทำร้ายเขาได้อย่างไร”
ในใจจิ้นเยวี่ยยังคงไม่สบายใจ เวลานี้เองเขาก็นึกขึ้นได้ ตอนเฮ่อหลันเฟิงบอกลาเคยยัดมีดสั้นให้เขาไว้ เขาใส่ไว้ในอกเสื้อ ทว่าเวลานี้ในอกเสื้อกลับว่างเปล่า มีดสั้นบินหายไปโดยไม่มีปีกเสียแล้ว
เขาผุดลุกขึ้นยืน “ท่านเห็นมีดสั้นบนตัวข้าหรือไม่”
เยวี่ยเหลียนโหลวสั่นศีรษะ จิ้นเยวี่ยก็เริ่มลนลาน เขาจะทำมีดสั้นที่เฮ่อหลันเฟิงให้หายไปไม่ได้ นั่นเป็นของของเฮ่อหลันเฟิง รอตอนได้พบเฮ่อหลันเฟิงอีกครั้ง เขายังต้องนำไปคืน
จิ้นเยวี่ยร่วงหล่นลงกลางหุบเขาซึ่งมีหิมะทับถมจนหนา เขาจำไม่ได้แล้วว่าตอนร่วงตกมาเมื่อครู่คือตำแหน่งใด ได้แต่ค้นหาสะเปะสะปะในหิมะ
“ทำสิ่งใดหายไปเล่า” เยวี่ยเหลียนโหลวเดินเข้ามาในพื้นหิมะ คลี่ยิ้มบอก “ข้าจะช่วยเจ้า”
ขณะนี้พายุหิมะกำลังโหมกระหน่ำ ทว่าเกล็ดหิมะทั่วฟ้ากลับไม่ตกต้องบนร่างชายหนุ่มแม้แต่เกล็ดเดียว พวกมันมักจะละลายกลายเป็นหมอกควันเลือนรางตรงตำแหน่งห่างจากร่างเขาหนึ่งชุ่นกว่า ชั่วขณะหนึ่งเยวี่ยเหลียนโหลวประหนึ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกบางๆ ราวกับเซียนผู้ล่องลอยอยู่ท่ามกลางละอองหิมะ
จิ้นเยวี่ยตะลึงมองสองเท้าของเขา
เยวี่ยเหลียนโหลวย่ำลงบนพื้นหิมะด้วยเท้าเปล่า กระนั้นทั่วทุกที่ที่สองเท้าของเขาเหยียบย่างผ่าน หิมะที่ทับถมก็จะละลายเผยให้เห็นหญ้าแห้งเหี่ยวเฉาสีเหลืองข้างใต้
“…แปลงวสันต์หกแปรเปลี่ยน” จิ้นเยวี่ยกล่าวเสียงเบา “ท่านเป็นคนของพรรคหมิงเยี่ย”
“ดังนั้นเวลานี้เจ้าเชื่อข้าแล้วหรือยัง” เยวี่ยเหลียนโหลวนั่งยองลงตรงหน้าเขา แย้มยิ้มถาม
ความระแวดระวังและกังขาในใจจิ้นเยวี่ยซึ่งคราแรกมีอยู่เจ็ดแปดส่วนมลายสิ้นในพริบตา
พรรคหมิงเยี่ยกับบิดาของเขามีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นเป็นที่สุด เวลานี้เขาเข้าใจโดยสมบูรณ์แล้วว่าเหตุใดมารดาต้องรีบไปพบเยวี่ยเหลียนโหลวก่อนออกจากเหลียงจิง
เขาเป็นคนของพรรคหมิงเยี่ย และพรรคหมิงเยี่ยก็คือสำนักในยุทธภพที่ไม่มีวันทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลจิ้นที่สุดในใต้หล้า
เยวี่ยเหลียนโหลวสังเกตสีหน้าเด็กหนุ่ม กางสองแขนออกเล็กน้อย เฝ้าคอยอ้อมกอดแห่งความประหลาดใจระคนดีใจที่ตนเองคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ทว่าจิ้นเยวี่ยกลับผลักเขา แหวกหิมะที่สะสมตรงข้างเท้าเขาออก และเก็บมีดสั้นขึ้นมา
มีดสั้นเล่มนั้นยาวเพียงเจ็ดแปดชุ่น หุ้มด้วยฝักหนังหยาบๆ เรียบง่ายไม่โดดเด่น บนด้ามมีดฝังไข่มุกสีทองไว้สองสามเม็ด เยวี่ยเหลียนโหลวมองผ่านๆ ก็นึกประวัติความเป็นมาไม่ออก
จิ้นเยวี่ยเก็บมันไว้ในอกเสื้ออย่างทะนุถนอมและให้ความสำคัญกับมันโดยกำแน่นไม่ปล่อยมือ
“ตกลงจิ้นเยวี่ยเป็นทาสของเจ้า หรือเป็นสหายกันแน่” หุนต๋าเอ๋อร์หันไปถามเฮ่อหลันเฟิงหนึ่งคำถามอย่างกะทันหัน “เจ้าสนใจแม่ทัพหญิงกับขบวนรถถึงเพียงนี้ หรือต้องการช่วยเขาตามหา”
เฮ่อหลันเฟิงไม่คิดจะตอบ ยกเท้ากระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนก้อนหินก้อนหนึ่ง พวกเขาอยู่รั้งท้าย บริเวณไม่ไกลนักกลุ่มล่าหมีก็หาถ้ำจำศีลของหมีดำเจอแล้ว
ในถ้ำมีร่องรอยหมีดำสองตัวหลงเหลืออยู่ อีกทั้งยังมีเสื้อผ้ากับกระดูกมนุษย์จำนวนหนึ่ง
“หมีเคยกินคน ก็จะกลายเป็นวิญญาณร้าย” อาขู่ล่าเก็บรวบรวมกระดูกเหล่านี้ ชายชราคุกเข่าอยู่ตรงปากถ้ำ ใช้สุราวาดคาถาซับซ้อนบนพื้น ปากก็ท่องคาถาพึมพำไม่หยุด
ที่แห่งนี้เคยมีหมีดำสองตัวอาศัยอยู่ พวกมันเคยกินนายพรานที่ทำให้พวกมันตกใจตื่น และยังคงเตร็ดเตร่อยู่ในป่าลึกจนถึงตอนนี้ อาขู่ล่าฆ่าไปแล้วหนึ่งตัว ยังเหลืออีกหนึ่งตัว
“หลังเก็บกวาดก็กลับกันก่อน” อาขู่ล่าออกคำสั่ง “หมีได้รับบาดเจ็บจะไม่กลับมาที่นี่ชั่วคราว”
เฮ่อหลันเฟิงกับหุนต๋าเอ๋อร์เองก็ช่วยเก็บกวาด ทั้งสองค้นพบอาวุธอย่างขวานกับคันธนูในถ้ำ ล้วนเป็นของนายพรานเยี่ยไถ หุนต๋าเอ๋อร์สบถด่าเบาๆ เฮ่อหลันเฟิงกลับพบลูกธนูหักซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือดหนึ่งท่อนตรงมุมก้อนหิน
เขาดึงลูกธนูหักออกมา แล้วพบว่าด้านหลังลูกธนูหักมีผ้าพันไว้
หุนต๋าเอ๋อร์มองเห็นลูกธนูหักท่อนนั้นแล้ว ก็ขยับเข้ามายกขึ้น ขมวดคิ้วบอก “ตอนล่าหมีจะพกมาแค่คันธนูกับลูกธนูได้ที่ใด…”
ฉับพลันเขาก็เงียบไป ก่อนส่งดาบให้เฮ่อหลันเฟิงอย่างรวดเร็ว
เฮ่อหลันเฟิงซ่อนผ้าเปื้อนเลือดไว้ในอกเสื้อ
“ลูกธนูดอกนี้เป็นของแม่ทัพหญิงคนนั้น ข้าจำได้” หุนต๋าเอ๋อร์มีภาพประทับล้ำลึกต่อลูกธนูไม้ซึ่งเคยเอาชนะตนเองมาก่อน เขาขยับมุมให้เฮ่อหลันเฟิงดูลายเมฆบนหัวลูกธนู “ท่านพ่อบอกว่านี่คือลูกธนูที่จัดสรรให้ทหารม้าคะนองเมฆาของต้าอวี่”
เฮ่อหลันเฟิงแย่งลูกธนูหักไป กระซิบบอก “กลับไปแล้วห้ามบอกผู้อื่น”
หุนต๋าเอ๋อร์หันหน้ามองพวกอาขู่ล่า ไม่มีผู้ใดสนใจความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของเขาสองคน “เจ้าจะทำอะไร”
เฮ่อหลันเฟิงเก็บลูกธนูหักกับผ้าเปื้อนเลือด ลูกธนูหักเป็นของไป๋หนี ผ้าเปื้อนเลือดเป็นของทหารต้าอวี่ เขาจำได้ทั้งหมด
เขาต้องนำของเหล่านี้กลับไปมอบให้จิ้นเยวี่ย