ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 8 อดีต

เรื่องแรกที่เฮ่อหลันเฟิงทำหลังกลับถึงค่ายเยี่ยไถคือไปหาจิ้นเยวี่ย

จิ้นเยวี่ยกับหร่วนปู้ฉีต่างอยู่ในกระโจมสักหลาดของเขา จั๋วจั๋วกอดเด็กสาวพูดเจื้อยแจ้ว หร่วนปู้ฉีหนาวจนใบหน้าซีดเซียว เฮ่อหลันเฟิงมองนางแวบหนึ่งก็รีบมองจิ้นเยวี่ย

จิ้นเยวี่ยนั่งอยู่ตรงมุมกระโจมสักหลาดในมือถือกระบี่สำรองของเฮ่อหลันจินอิงไว้ สภาพดูอเนจอนาถยิ่งกว่าหร่วนปู้ฉี ทั้งตัวเปียกชื้น เพราะนั่งอยู่ข้างกระถางไฟ บนเส้นผมยาวจึงมีหยดน้ำเย็นเฉียบไหลหยดลงมาไม่หยุด เฮ่อหลันเฟิงถอดหมวกบนศีรษะ คิดครู่หนึ่งก็หยิบผ้าเช็ดหน้าโยนให้จิ้นเยวี่ย ทว่าเพิ่งจะขยับเข้าใกล้เด็กหนุ่ม เขาก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง อุณหภูมิบนตัวจิ้นเยวี่ยผิดปกติ

“เจ้าป่วยหรือ” เฮ่อหลันเฟิงนั่งยองลงตรงหน้าเขา พบว่าเสื้อและรองเท้าจิ้นเยวี่ยล้วนมีหิมะกับน้ำแข็งเกาะอยู่ “…เจ้าหนีอีกแล้ว?”

จิ้นเยวี่ยไม่ตอบ เฮ่อหลันเฟิงทำใจกล้าเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเขา ความร้อนผ่าวซึมเข้าฝ่ามือดังคาด

เฮ่อหลันเฟิงเก็บกวาดเตียงหลังเล็กให้จิ้นเยวี่ยนอนลง จั๋วจั๋วกับหร่วนปู้ฉีตักน้ำร้อนมาเช็ดหน้าให้เขา เด็กหนุ่มหลับตา ได้ยินเฮ่อหลันเฟิงลดเสียงพูดให้เบาลงคุยกับจั๋วจั๋วและหร่วนปู้ฉีอย่างเลือนราง

จิ้นเยวี่ยคิดถึงบทสนทนาตอนกล่าวลาเยวี่ยเหลียนโหลว

ก่อนจากกันจิ้นเยวี่ยบอกเยวี่ยเหลียนโหลวว่าเฮ่อหลันจินอิงวางแผนจะได้แผนที่เมืองเหลียงจิงจากตัวเขาผ่านทางเฮ่อหลันเฟิง พริบตาที่เฮ่อหลันเฟิงถาม เขาก็รู้แล้วว่าเรื่องราวไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุนั้นคืนนั้นเขาจึงวาดแผนที่ปลอมให้ไป

แผนที่แผ่นนั้นแทบจะเหมือนของจริง เขาย้ายถนนส่วนหนึ่งทางตะวันออกของเมืองไปที่ทางตะวันตกของเมือง ประตูเมืองเหนือใต้วาดให้ไม่ทะลุถึงกัน ประตูแปดบานของเมืองชั้นในวาดถูกต้อง แต่ทิศทางของถนนหนทางกลับผิดทั้งหมด ด้านในวังหลวงก็ยิ่งเคลื่อนย้ายฟ้าดิน เปลี่ยนตำแหน่งกับชื่อของตำหนักใหญ่ที่สำคัญหลายแห่ง

เว้นแต่จะเข้าใจแผนที่เมืองเหลียงจิงแจ่มแจ้ง หาไม่แล้วเฮ่อหลันจินอิงก็ยากจะแยกแยะจริงเท็จ

เยวี่ยเหลียนโหลว “ข้าเคยเห็นเฮ่อหลันจินอิงที่เป่ยตู คนผู้นี้มิอาจรับมือได้ง่าย เจ้าแน่ใจนะว่าเขาไม่รู้ว่าแผนที่เป็นของจริงหรือของปลอม”

จิ้นเยวี่ยตะลึงงัน เขาไม่แน่ใจ

ถ้าเยวี่ยเหลียนโหลวถามเช่นนี้ เขาย่อมรู้สึกว่าแผนที่ปลอมมีช่องโหว่หลายจุด จิ้นเยวี่ยจึงตึงเครียดขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“สิ่งสำคัญที่สุดคือในเมื่อต้องการได้แผนที่จากมือเจ้า เหตุใดยังปฏิบัติต่อเจ้าดีถึงเพียงนี้” เยวี่ยเหลียนโหลวสงสัยในจุดนี้

เวลานี้จิ้นเยวี่ยรู้สึกว่าการที่ตนเองเป็นทาสคือการไม่ได้รับความเป็นธรรม คือการได้รับความอัปยศอดสู ทว่าแคว้นเป่ยหรงทำลายสัญญาพันธมิตรผิงโจว เขากลับยังรักษาชีวิตไว้ได้ นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อยิ่ง

ม้าหนีไปแล้ว เยวี่ยเหลียนโหลวให้เขาสองคนขี่กวางยักษ์กลับค่ายเยี่ยไถ ส่วนตนเองเดินเปิดทางอยู่หน้ากวาง จิ้นเยวี่ยถามว่ากวางตัวนี้เป็นมาอย่างไร เยวี่ยเหลียนโหลวแย้มยิ้มอ้างว่าเป็นสัตว์พาหนะของสหาย เทพกวางคือจิตวิญญาณเทพของชาวเกาซิน จิ้นเยวี่ยพลันสงสัยเล็กน้อย “ท่านมีมิตรภาพเช่นไรกับเฮ่อหลันจินอิง”

“มิตรภาพอย่างต่างฝ่ายต่างรู้สึกขัดตากัน เจ้าวางใจเถอะ นี่หาใช่กวางของเขา ชาวเกาซินที่เป่ยตูมีไม่น้อย” เยวี่ยเหลียนโหลวคลี่ยิ้ม “ไว้มีโอกาสข้าจะแนะนำเจ้าของกวางตัวนี้ให้เจ้ารู้จัก”

เฮ่อหลันจินอิงคือผู้ไม่อาจคาดเดาได้มากที่สุดที่จิ้นเยวี่ยได้พบในค่ายเยี่ยไถ การได้พบกับเยวี่ยเหลียนโหลวไม่อาจทำให้คุณชายสกุลจิ้นสบายใจ เรื่องราวมากมายเขาไม่กล้าคิด จึงฝืนบังคับให้ตนเองรักษาความด้านชาเอาไว้

ช่วงเวลากลางคืนจิ้นเยวี่ยมีไข้ขึ้นสูง เฮ่อหลันเฟิงให้เด็กสาวและเด็กหญิงสองคนไปพักผ่อน ส่วนตนเองอยู่เป็นเพื่อนเด็กหนุ่ม คอยลูบหน้าผากเขาเป็นครั้งคราว ถอนใจอย่างแผ่วเบา

จิ้นเยวี่ยนอนมึนศีรษะอยู่บนเตียงหลังเล็ก เรื่องราวมากมายซึ่งก่อนหน้านี้กดไว้ในใจต่างพลิกกลับขึ้นมาทั้งหมด เขาไม่สามารถเข้าสู่ห้วงนิทราและไม่กล้าร้องไห้ เมื่อเฮ่อหลันเฟิงจากไปจิ้นเยวี่ยได้แต่นำผ้าห่มคลุมศีรษะ กัดนิ้วหลั่งน้ำตาเงียบๆ

เมืองเหลียงจิงนั้นจำเป็นต้องกลับไป ไป๋หนีกับมารดาก็จำเป็นต้องตามหา พี่เขยเป็นแม่ทัพของกองทหารม้าคะนองเมฆา พี่สาวติดตามเขาออกรบ อาศัยอยู่ที่เมืองเฟิงหูมาตลอด ขอเพียงเมืองเฟิงหูไม่แตก ย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องกับพี่สาว เยวี่ยเหลียนโหลวบอกว่าคนในตระกูลล้วนถูกเนรเทศไปตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิง ทั้งยังบอกว่าเรืออับปาง แต่ก็ไม่แน่ว่าทุกคนจะเสียชีวิตกันหมด เขายังต้องไปตามหาที่แม่น้ำเลี่ยซิง

เรื่องสำคัญที่สุดคือเขาไม่สามารถหลบหนีออกจากเยี่ยไถด้วยตนเองเพียงลำพังได้ เขาต้องตามหาไป๋หนี และคนเพียงผู้เดียวที่ช่วยเหลือเขาได้ก็คือเฮ่อหลันเฟิง

 

ยามตื่นมาสีท้องฟ้าก็สว่างไปครึ่งหนึ่ง หิมะซึ่งตกหนักหยุดลงแล้ว จิ้นเยวี่ยรู้เพียงว่ากลางดึกเฮ่อหลันเฟิงกรอกยาให้เขาหนึ่งชาม เขาร้อนจนเหงื่อแตกพลั่ก แต่ตอนนี้อาการป่วยของเขาดีขึ้นมากแล้ว ภายในกระโจมสักหลาดค่อนข้างกว้าง ใช้ฉากกันลมกั้นเป็นพื้นที่ว่างหลายแห่ง บนฉากกันลมวาดทิวทัศน์ของแคว้นต้าอวี่ไว้ โครงไม้เก่าไม่ใช่ของใหม่

จิ้นเยวี่ยจ้องมองฉากกันลมอย่างเงียบงัน บนภาพวาดขุนเขาสูงใหญ่แม่น้ำทอดยาว วิหคโบยบินหลายตัวไม่เข้ากับที่นี่ยามนี้สักนิด นี่น่าจะเป็นสิ่งที่บิดาเฮ่อหลันเฟิงเตรียมไว้เพื่อนักดนตรีหญิงตาบอด แต่นักดนตรีหญิงตาบอดกลับไม่อาจมองเห็นสิ่งเหล่านี้

จิ้นเยวี่ยเพียงรู้สึกว่าในใจบังเกิดอารมณ์ปั่นป่วนซับซ้อน พาให้ดวงตาเขาแสบร้อน

เด็กหนุ่มลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก ทันใดนั้นหร่วนปู้ฉีก็ตื่น เขารีบโบกมือบอกให้นางนอนต่อ ถึงค่อยเดินออกจากกระโจมสักหลาด แล้วก็เห็นเฮ่อหลันเฟิงขี่ม้าเดินเข้ามา

“เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ” เมื่อเห็นจิ้นเยวี่ย เขาก็รีบกระโดดลงจากม้า

“ดีขึ้นแล้ว” จิ้นเยวี่ยเสียงแหบพร่า กลัวอยู่บ้างว่าเฮ่อหลันเฟิงจะถามว่าตนเองกับหร่วนปู้ฉีไปที่ใดมา

เฮ่อหลันเฟิงยื่นมือไปแตะหน้าผากเด็กหนุ่ม พอแตะโดนก็หดกลับอย่างรวดเร็ว เมื่อแน่ใจว่าจิ้นเยวี่ยไข้ลดแล้วเขาก็ถอดหมวกหนังหมาป่าใบใหม่เอี่ยมบนศีรษะให้อีกฝ่ายสวม แล้วพลิกกายขึ้นม้าทันทีก่อนจะยื่นมือออกมาให้จิ้นเยวี่ย “ขึ้นม้า”

จิ้นเยวี่ยรีบแกล้งทำท่าทางลังเล “ข้าไม่รู้จะขี่…”

“อย่ามาหลอกข้า” เฮ่อหลันเฟิงจ้องเขา “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ นอกจากนี้ยังขี่ได้ดีมากด้วย”

จิ้นเยวี่ย “…”

เขาไม่ได้จับมือเฮ่อหลันเฟิงแต่กดหลังม้ากระโดดขึ้นไปโดยตรง เฮ่อหลันเฟิงจับสองมือเขามาโอบรอบเอวตนเอง ขาสองข้างหนีบท้องม้า ม้าก็โผนทะยานออกไปทันใด

ดวงอาทิตย์แรกขึ้นยามเช้าอยู่ด้านหลังพวกเขา เทือกเขากับขอบทุ่งหิมะอันห่างไกลเผยโฉมเพียงครึ่งเดียว ผืนนภาถูกอาบไล้ด้วยแสงเงินแสงทอง ยอดเขาซึ่งปกคลุมด้วยหิมะทอประกายเรืองรอง เงาของทั้งสองกับเงาของม้าซ้อนทับเข้าด้วยกัน ดุจดังกระบี่ยาวชี้ไปทางที่ราบฉือวั่งหยวน

จิ้นเยวี่ยสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก อีกทั้งร่างของเฮ่อหลันเฟิงยังบังลมไว้เขาจึงไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด เด็กหนุ่มขยับอิงแอบเฮ่อหลันเฟิง ได้กลิ่นดินประสิวจางๆ จนแทบไม่ทันสังเกต

ด้านหน้าคือป่าผืนหนึ่ง จิ้นเยวี่ยทนความเงียบของเฮ่อหลันเฟิงไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปาก “ม้าตัวนี้ของเจ้ามีชื่อหรือไม่”

“ไม่มี” เฮ่อหลันเฟิงบอก “เจ้าตั้งสักชื่อสิ”

จิ้นเยวี่ยตกใจ “ข้าตั้ง?”

“อืม” เฮ่อหลันเฟิงตบคอม้าเบาๆ “ให้มันรู้จักเจ้าไว้ วันหลังหากอยากหนี เจ้าก็ขี่มัน มันไม่มีวันทิ้งเจ้าไว้กลางทางเหมือนม้าของหุนต๋าเอ๋อร์”

จิ้นเยวี่ย “…”

ชั่วขณะหนึ่งเขาหน้าร้อนผ่าว ฝืนไอเสียงเบาหลายทีข่มความอับอายเล็กๆ นี้ไว้ เฮ่อหลันเฟิงผ่อนฝีเท้าม้า ม้าแบกทั้งสองคนเดินเนิบช้าเข้าไปในป่า

บนต้นสนซึ่งสูงที่สุดในป่ามีกระโจมหลังน้อยประณีตแข็งแรงหนึ่งหลัง เฮ่อหลันเฟิงให้เขาปีนขึ้นไป เขาก็ปีนขึ้นไปอย่างเชื่อฟัง ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในใจ ประเดี๋ยวก็คิดว่าเผชิญหน้ากับคนผู้นี้ควรจะว่าง่ายอ่อนโยนถึงจะสนิทกันมากขึ้น ประเดี๋ยวก็บังเกิดความไม่สบายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ขึ้นมา

ในกระโจมนอกจากผ้าสักหลาดนุ่มนิ่มกับกองหญ้าแห้งแล้ว ยังวางผลไม้ตากแห้งกับเนื้อตากแห้งเอาไว้ด้วย ไม่คล้ายเป็นสถานการณ์อันตราย จิ้นเยวี่ยนั่งคุกเข่าลงอย่างว่านอนสอนง่าย ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่คำเดียว เฮ่อหลันเฟิงมองเขา “ตอนพาหร่วนปู้ฉีแอบหนีไปล่ะไม่กลัว พออยู่ด้วยกันกับข้ากลับกลัวขึ้นมาเสียแล้ว?”

จิ้นเยวี่ยจำต้องเอ่ยถาม “พวกเรามาทำอะไรที่นี่”

ครึ่งตัวเฮ่อหลันเฟิงยังห้อยอยู่บนบันได ดวงตาถูกตะเกียงน้ำมันดวงน้อยในกระโจมส่องจนแวววาว

“ฉลองปีใหม่” เขากล่าวจบก็ปล่อยมือกระโดดลงพื้น

จิ้นเยวี่ยตระหนกตกใจ รีบชะโงกหน้ามองลงไป

เฮ่อหลันเฟิงปลดสัมภาระห่อน้อยลงจากบนตัวม้า หิ้วประทัดสีแดงสดพวงหนึ่งออกมา

เขาลากกิ่งไม้สองสามกิ่งออกมาจากในกองหิมะ สร้างเป็นป้อมกำแพงปีกกาขนาดเล็กบนที่โล่งกว้างนอกป่า กิ่งไม้ยาวที่สุดพาดอยู่บนโครงอย่างมั่นคง เขานำประทัดผูกไว้ตรงจุดสูงสุด แล้วจุดสายชนวน

เสียงดังสนั่นอันคึกคักระเบิดออกฉับพลันบนที่ราบฉือวั่งหยวนอันเงียบสงัด ดังปังๆ ติดกันเป็นชุด

เฮ่อหลันเฟิงวิ่งกลับมาใต้ต้นไม้ กระโดดขึ้นบันไดอย่างคล่องแคล่วว่องไว ทั้งตัวห้อยอยู่บนบันได หันหน้ามองประทัดลุกไหม้ เสียงดังสะเทือนจนเกล็ดหิมะร่วงลงมาบางส่วน เขายื่นมือปัด เงยหน้ามองจิ้นเยวี่ย

จิ้นเยวี่ยกำลังนิ่งอึ้งมองประทัดระเบิดไม่หยุด เสียงระเบิดถูกขวางกั้นด้วยพุ่มไม้ จึงกลายเป็นห่างไกลเล็กน้อย แสงจากการปะทุของดินประสิวลอดผ่านพุ่มไม้ ดวงตาเขาเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด

“…วันนี้คือวันส่งท้ายปีเก่าหรือ” เขาถามอย่างงงๆ “ข้าลืมไปแล้ว”

ชาวเป่ยหรงเรียกวันส่งท้ายปีเก่าว่า ‘ซุ่ยฉู’ วันซุ่ยฉูนี้เป่ยหรงเทียนจวินจะจัดพิธีบูชาไฟที่วังหลวง โดยมีหัวหน้าหมอผีของแคว้นเป่ยหรงควบคุมดำเนินการ หมอผีของเผ่าต่างๆ ก็จะจัดพิธีบูชาไฟในค่ายของเผ่าเช่นกัน ชาวเป่ยหรงบูชาเทพอัคคี นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่วันที่สำคัญที่สุดในรอบปี

เนื่องจากปฏิทินที่ยึดถือของแคว้นเป่ยหรงไม่เหมือนกับแคว้นต้าอวี่ ในความเป็นจริงวันซุ่ยฉูกับวันส่งท้ายปีเก่าจึงหาใช่วันเดียวกัน วันซุ่ยฉูของแคว้นเป่ยหรงอยู่ก่อนวันลี่ชุน* เมื่อประกาศว่าปีใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว ทุ่งเลี้ยงสัตว์กับคนเลี้ยงสัตว์สามารถเลือกวันอพยพ หญ้าเขียวชอุ่มสัตว์อ้วนพี เป็นฤดูใบไม้ผลิที่ดีหนึ่งปี

จิ้นเยวี่ยยุ่งอยู่กับเรื่องการเตรียมตัวหลบหนีกับหร่วนปู้ฉี จึงไม่ได้นึกถึงวันส่งท้ายปีเก่าเลยสักนิด

เฮ่อหลันเฟิงปีนบันไดขึ้นมาถึงในกระโจม แล้วก็ไปนั่งขัดสมาธิ หยิบเนื้อตากแห้งพลางมองบริเวณที่แสงไฟแวบวับด้วยกันกับจิ้นเยวี่ย

“สมัยท่านแม่ยังอยู่ ทุกครั้งที่ฉลองปีใหม่ท่านพ่อจะซื้อประทัดจากพ่อค้าต้าอวี่” เฮ่อหลันเฟิงบอก “หลังท่านแม่จากไปพวกเราก็ไม่เคยจุดประทัดอีก เมื่อวานข้าไปหาคนผู้นั้น นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังจำได้ว่าในชนเผ่าเยี่ยไถมีครอบครัวหนึ่งคอยซื้อประทัดทุกปี แต่ในบ้านเขาไม่มีสินค้าเก็บไว้ เลยให้ข้าได้แค่ประทัดพวงเล็กนี้”

ประทัดไหม้หมดแล้ว เศษกระดาษสีแดงโปรยปรายอยู่บนพื้นหิมะ แสงอรุณส่องทิวเขากับที่ราบฉือวั่งหยวนสว่างไสว ควันไฟจากการหุงหาอาหารล่องลอยจากในค่าย สรรพสำเนียงเงียบสงัด

จิ้นเยวี่ยขอบตาร้อนผ่าว ตะลึงงันจนน้ำตาไหลริน ครั้นตระหนักได้ว่าเฮ่อหลันเฟิงมองตนเองอยู่ เขาก็รีบก้มศีรษะเช็ดน้ำตา “ขอบคุณมาก”

เฮ่อหลันเฟิงเคี้ยวเนื้อตากแห้งทีละคำ ท่าทางผ่อนคลาย “ไม่จำเป็น”

“ขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้าตอนพวกหุนต๋าเอ๋อร์หาข้าเจอ” จิ้นเยวี่ยกล่าวถ้อยคำที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกและยากจะเอ่ยปากทั้งหมดออกมารวดเดียว “วันนั้นข้าไม่ควรพูดถ้อยคำเหล่านั้นทำร้ายเจ้า เป็นข้าไม่ดีเอง ขออภัยด้วย”

เฮ่อหลันเฟิงสบตากับเขาชั่วครู่ “ข้าลืมไปแล้ว” ว่าพลางวางเนื้อตากแห้งใส่มืออีกฝ่าย “อีกอย่างเจ้าก็กล่าวได้ถูกต้อง ข้าไม่ใช่ชาวเป่ยหรงจริงๆ”

จิ้นเยวี่ยร้อนใจอยากแก้ต่าง เฮ่อหลันเฟิงโบกมือ หยุดคำพูดเขา

“แผนที่ที่เจ้าวาดแผ่นนั้นถูกพี่ชายข้าเผาไปแล้ว” เฮ่อหลันเฟิงบอก “เขาบอกว่านั่นเป็นแผนที่ปลอม ไม่มีประโยชน์”

จิ้นเยวี่ยพลันหัวใจหนักอึ้ง หลุดปากออกไปว่า “เขารู้ได้อย่างไร”

เฮ่อหลันเฟิงหวนนึกถึงถ้อยคำพี่ชายคนโต “ตำแหน่งหอพานโหลวไม่ถูกต้อง ระหว่างหอพานโหลวกับวังหลวงไม่ได้แยกห่างจากกัน สามารถทอดตามองวังหลวงของแคว้นต้าอวี่ได้โดยตรง ด้านนอกประตูจูเชวี่ยควรจะมีสะพานหมินโจว แต่เจ้าไม่ได้วาด”

จิ้นเยวี่ย “…”

เฮ่อหลันเฟิงเลียริมฝีปาก ในดวงตาทอแววยิ้มเริงร่า เขาคล้ายรู้ว่าคำพูดต่อไปของตัวเองต้องทำให้จิ้นเยวี่ยตกใจแน่นอน

“จิ้นหมิงจ้าวแม่ทัพจงเจาของต้าอวี่เป็นผู้บอกเขา”

 

ณ ชายแดนทางเหนือของแคว้นต้าอวี่ ที่ตั้งของกองทัพเป่ยหรงเมื่อประมาณหกปีก่อน เวลานั้นเจ๋อเวิงเทียนจวินองค์ปัจจุบันยังไม่ได้สืบทอดตำแหน่ง เทียนจวินชราผู้เจ็บป่วยอ่อนแอสาบานว่าจะผลักดันกองทัพเข้าไปในแม่น้ำเลี่ยซิงซึ่งเป็นดินแดนของแคว้นต้าอวี่ นี่คือความหวังสุดท้ายที่ยังไม่สำเร็จลุล่วงในชีวิตเขา

กองทัพเป่ยหรงอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรมีเจ๋อเวิงเป็นผู้นำ ยามผ่านเยี่ยไถ เฮ่อหลันจินอิงผู้ไม่อาจเข้าร่วมกองทัพเนื่องจากไม่มีม้าได้ตอบรับการจัดการของแม่ทัพหู่ เป็นแรงงานรับหน้าที่ขนย้ายศพในกองทัพ

การศึกครั้งนี้นับตั้งแต่เริ่มเปิดฉากก็ไม่ราบรื่น ตั้งแต่ต้นจนจบกองทัพเป่ยหรงถูกกดดันหนักหน่วงอยู่ด้านนอกชายแดนทางเหนือ ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้สักก้าวเป็นเวลาครึ่งเดือนเต็ม

เมืองผิงโจวซึ่งอยู่ทางตอนเหนือสุดของแคว้นต้าอวี่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเหยียบย่ำทำลายการป้องกันของกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือได้

นับแต่นั้นมาตำนานของ ‘จิ้นหมิงจ้าว’ กับ ‘แม่ทัพจงเจา’ ก็เริ่มเล่าสืบต่อกันมาในกองทัพเป่ยหรงเงียบๆ ตำนานเล่าขานว่าเขาขี่ม้ายักษ์สองเศียร ร่างกายมีหกกร ช่ำชองการใช้ศาสตราวุธ สามารถเรียกลมเรียกฝน เรียกสัตว์จตุบาททวิบาทมาช่วยเหลือได้

‘หาไม่แล้วเหตุใดกองทัพเป่ยหรงซึ่งได้รับความคุ้มครองช่วยเหลือจากสวรรค์จึงไม่อาจบุกเข้าต้าอวี่ได้เล่า!’ …คำกล่าวเช่นนี้แฝงด้วยความไม่ยินยอมและเจือด้วยความจองหองอวดดี

เฮ่อหลันจินอิงรูปโฉมแตกต่างจากชาวเป่ยหรงอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นธรรมดาที่ต้องถูกกีดกันโดยเฉพาะยามเขาเผยนัยน์ตาทั้งคู่ ก็มักจะเรียกเสียงร้องอุทานกับเสียงด่าทอด้วยความชิงชังได้อย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างรู้ว่าแม่ทัพหู่ของเยี่ยไถพาชาวเกาซินนัยน์ตาหมาป่ามาหนึ่งคน เขาเพียงทำงานเงียบๆ ไม่คิดจะสร้างปัญหาเพิ่มให้แม่ทัพหู่

การรบครั้งสุดท้ายปะทุขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง เข่นฆ่าสังหารต่อเนื่องตั้งแต่ทิวากาลจรดราตรีกาล พระจันทร์เต็มดวงดวงใหญ่แขวนอยู่บนฟากฟ้าเหนือเมืองผิงโจวกับที่ราบฉือวั่งหยวน นอกจากกองทัพซึ่งสู้รบกันโดยตรง ทหารต้าอวี่กลุ่มย่อยๆ ต่างผลุดออกมาจากเมืองผิงโจวกับชายแดนไม่หยุด ไม่อาจคาดเดาประหนึ่งภูตผี ทำลายกำลังกับความมุ่งมั่นของกองทัพเป่ยหรงทีละนิด

ยามกองทัพเป่ยหรงย่อหย่อนในการสู้รบ ทหารเหนื่อยล้าถึงที่สุด ลูกธนูซึ่งยิงมาจากกองทัพต้าอวี่ดอกหนึ่งก็ยุติศึกที่ยาวนานถึงสามเดือนนี้ มันปักทะลุหน้าอกเจ๋อเวิงผู้ไล่เข่นฆ่าสุดชีวิตอยู่แนวหน้า

กองทัพเป่ยหรงล่าถอยราวกับกระแสน้ำ พวกเขาสูญเสียไพร่พลจำนวนมาก คุ้มกันเจ๋อเวิงกลับเมืองหลวงทางเหนืออย่างตัวสั่นงันงก การถอนทัพรวดเร็วเกินไป ถึงกับทิ้งแรงงานที่จัดการศพไว้ในสนามรบสิบกว่าคน

เฮ่อหลันจินอิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขานอนอยู่ในคูเมือง ฟังเสียงกองทัพต้าอวี่ซึ่งเก็บกวาดทำความสะอาดสนามรบค่อยๆ ใกล้เข้ามา เขาหลับตาแกล้งตาย ทว่ากลับถูกคนตบไหล่เบาๆ และดึงตัวขึ้น

‘ชาวเกาซิน?’ ผู้ค้นพบว่าเขายังไม่ตายคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ชุดเกราะเหล็กทั่วร่างอาบด้วยแสงสีเงินบาดตาภายใต้แสงจันทร์ บนไหล่แบกเกราะไหล่ซึ่งมีหนามงอก แม้ใบหน้าจะเปื้อนฝุ่นก็ยังปิดความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นเองของเขาไม่มิด ‘ข้าเพิ่งเคยเห็นชาวเกาซินเป็นครั้งแรก เจ้าบาดเจ็บหรือ’

นั่นเป็นครั้งแรกที่เฮ่อหลันจินอิงได้พบกับจิ้นหมิงจ้าว

 

จิ้นหมิงจ้าวพาเฮ่อหลันจินอิงกลับเมืองผิงโจวซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการทหารทางเหนือ

เฮ่อหลันจินอิงนึกว่าตนเองจะประสบเหตุร้ายไม่คาดฝัน จึงจ้องหาโอกาสหลบหนีไม่หยุดหย่อน ก่อความวุ่นวายจนกองบัญชาการทหารเมืองผิงโจวเต็มไปด้วยเสียงโกรธแค้นไม่พอใจ กระนั้นเขาไม่คิดเลยว่าผู้ที่ปรากฏตรงหน้าเขาจะเป็นแพทย์ทหารของต้าอวี่

เท้าข้างหนึ่งของเขาเคล็ดอย่างรุนแรง จึงต้องนอนอยู่ในกองบัญชาการทหารเมืองผิงโจวครึ่งเดือนถึงฝืนลงจากเตียงได้

ในครึ่งเดือนนี้จิ้นหมิงจ้าวจะมาดูเขาทุกสองสามวัน บางครั้งก็ถามเขาเรื่องอาการฟื้นตัว บางครั้งก็หิ้วสุราไหเล็กกับอาหารแกล้ม ท่าทางเหมือนอยากคุยเล่นกับเขา

เฮ่อหลันจินอิงไม่เข้าใจว่าในขวดน้ำเต้าของจิ้นหมิงจ้าวใส่ยาอะไรไว้ คิดไปคิดมาก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คนผู้นี้คิดจะหลอกถามความลับของแคว้นเป่ยหรงจากปากตนเอง ในใจเขารู้สึกซาบซึ้งกับความช่วยเหลือของจิ้นหมิงจ้าวจึงบอกฐานะอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาเป็นแรงงานขนย้ายศพในกองทัพเป่ยหรง เป็นคนไม่สลักสำคัญซึ่งจะถูกทิ้งไว้ตอนถอยทัพ

ทว่ากลับผิดไปจากที่เขาคาดไว้ เรื่องที่จิ้นหมิงจ้าวอยากคุยกับเขา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องของชาวเกาซิน

ชาวเกาซินเป็นชนเผ่าซึ่งใช้ชีวิตอยู่บริเวณพรมแดนแคว้นจินเชียงกับแคว้นเป่ยหรง ห่างไกลจากแคว้นต้าอวี่มาก ตอนแคว้นต้าอวี่ก่อตั้งราชวงศ์ อ๋องเกาซินเคยมาเยือนเมืองเหลียงจิงและให้ของอวยพรไว้ นั่นเป็นเรื่องเมื่อแปดสิบกว่าปีก่อน กลุ่มของอ๋องเกาซินมีคนยี่สิบกว่าคน บุคลิกไม่ธรรมดา นับแต่นั้นทั่วทุกหนแห่งในเมืองเหลียงจิงก็มีตำนานของชาวเกาซินเล่าขานสืบต่อกันมาว่าบนร่างพวกเขาสวมเสื้อคลุมหนังซึ่งผสมกันสองสีระหว่างสีแดงเพลิงกับสีดำดุจขนกา พูดภาษาแปลกประหลาด แต่ละคนต่างขี่ม้าตัวใหญ่สีดำกำยำ บนร่างของม้ามีปีกสามารถบินอยู่กลางอากาศได้ อ๋องเกาซินกับชายารูปลักษณ์ดุจเทพเซียน เหยียบย่างมากลางอากาศ พู่ยาวในมือชายาดุจโลหิตดุจเปลวเพลิง นั่นเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทำให้ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ตื่นตกใจ ทุกคนในเผ่าเกาซินจะไว้ผมยาว มีเส้นผมสีเหมือนทองคำบริสุทธิ์ ผิวดุจน้ำผึ้ง นัยน์ตาทั้งคู่เจิดจ้าดุจหยกเขียวในแสงตะวันสว่างไสว

จิ้นหมิงจ้าวย่อมรู้ว่าในตำนานเหล่านี้มีจุดที่เสกสรรปั้นแต่งมากมาย แท้จริงแล้วสิ่งที่เขาสนใจคือของอวยพรที่อ๋องเกาซินมอบแด่ฮ่องเต้ต้าอวี่ ของสิ่งนั้นคือเกราะเลื่อมกิเลนซึ่งสร้างขึ้นจากเหล็กเนื้อดีสิบชุดเตรียมไว้ให้กับม้าในเทียนซื่อเจียน* ของเหลียงจิงโดยเฉพาะ ศาสตราวุธเหล็กเนื้อดีซึ่งมีรูปลักษณ์เก้าแบบและคุณสมบัติแตกต่างกันไป อย่างดาบใหญ่ซึ่งสูงเท่ามนุษย์ หอกยาวซึ่งปลายแหลมของหอกรูปร่างเหมือนกิ่งไม้ รวมทั้งศรเกาซินอันประณีตงดงามยิ่ง

ตอนที่จิ้นหมิงจ้าวได้รับนามแม่ทัพจงเจา เกราะเลื่อมกิเลนก็ถูกทิ้งให้ฝุ่นจับอยู่ในท้องพระคลังของวังหลวง ศาสตราวุธเก้าชนิดเองก็กระจัดกระจายอยู่ในจวนขุนนางทหารแต่ละคน สุดท้ายก็เหลือเพียงศรเกาซินดอกเดียวซึ่งฮ่องเต้ต้าอวี่มอบแก่เขา

ด้ามของศรเกาซินกลวงเปล่า แกะสลักเป็นลายนกน้อยนับไม่ถ้วนโบยบิน บริเวณหัวศรสลักลายก้อนเมฆไว้หลายก้อน ปลายแหลมของลูกศรคมกริบ เป็นทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนอันงดงามไร้ที่ติ

แคว้นต้าอวี่มีเหมืองแร่เหล็กน้อยมาก ฝีมือการหลอมเหล็กธรรมดา เครื่องเหล็กอาศัยนำเข้ามาจากชื่อเยี่ยนแคว้นบรรณาการทางใต้ ลูกธนูของเผ่าเกาซินทำให้จิ้นหมิงจ้าวเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เรื่องที่เขาอยากรู้จากเฮ่อหลันจินอิงก็คือความลับของศรเหล็กเหล่านี้นั่นเอง

กระนั้นสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือเฮ่อหลันจินอิงเป็นชาวเกาซินผู้เติบโตในแคว้นเป่ยหรง เมื่อหลายสิบปีก่อนเผ่าเกาซินประสบกับภัยพิบัติใหญ่ ทั้งเผ่าล่มสลาย ผู้ที่โชคดีรอดชีวิตต่างพากันเร่ร่อนพเนจรไปทั่วสารทิศ ยากจะหาพบ ความทรงจำทั้งหมดที่เฮ่อหลันจินอิงมีต่อชนเผ่าเกาซินรวมทั้งดินแดนเกาซิน ล้วนมาจากคำบอกเล่าของบิดา

แม้จะเป็นเช่นนี้ จิ้นหมิงจ้าวก็ยังคงฟังด้วยความเพลิดเพลิน

จิ้นหมิงจ้าวต่างไปจากชายวัยกลางคนซึ่งอายุเท่ากันในเผ่าเยี่ยไถมากนัก บนร่างเขาเสมือนยังคงหลงเหลือกลิ่นอายความเป็นเด็กส่วนหนึ่ง เปี่ยมล้นไปด้วยความสนอกสนใจที่มีต่อตำนานของคนต่างเผ่า พอฟังถึงจุดที่น่าตื่นเต้น เขาจะหยิบพู่กันกับน้ำหมึกออกมาจดบันทึกอย่างตั้งใจ

‘ในบ้านข้ามีลูกสองคนต่างก็ชอบฟังเรื่องเล่า โดยเฉพาะเจ้าลูกชายคนเล็ก ทุกครั้งที่กลับเหลียงจิงข้าล้วนถูกเขาตามตื๊อ เล่าเรื่องราวแถบชายแดนไม่ถึงยี่สิบสามสิบเรื่องก็ไม่มีทางหลุดพ้นเด็ดขาด’ จิ้นหมิงจ้าวอธิบายกับเฮ่อหลันจินอิง ‘เจ้าบอกข้า ข้ากลับไปบอกเขา ก็เท่ากับว่าเขาได้รู้เรื่องราวในอดีตของชนเผ่าเกาซินเช่นกัน’

เฮ่อหลันจินอิงนึกว่าบุตรชายคนเล็กของเขาเป็นเด็กหนุ่มร่างกายแข็งแรงบึกบึน

‘เขาสุภาพ สงบเสงี่ยมเรียบร้อย และรอบคอบ นอกจากนี้ยังร่างกายอ่อนแอขี้โรค ฝึกวรยุทธ์ได้ช้ามาก’ จิ้นหมิงจ้าวหัวเราะบอก ‘เทียบกับสนามรบ ม้าศึกกับกลยุทธ์การสู้รบแล้ว เขาชอบเล่นสนุกไปทั่ว ไร้ซึ่งข้อผูกมัด’

ยามเอ่ยถึงบุตรคนนี้ จิ้นหมิงจ้าวก็เศร้าใจเล็กน้อย ‘เขาถูกขังอยู่ที่เหลียงจิงออกมาข้างนอกไม่ได้ ข้าต้องเสาะหาเรื่องราวมากมายไปให้เขา ตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเขา’

เฮ่อหลันจินอิงเค้นสมองคิดเรื่องตำนานของเผ่าเกาซินอันแปลกประหลาดหลายเรื่อง

เพื่อเป็นการตอบแทนจิ้นหมิงจ้าวจึงเล่าถึงทิวทัศน์ของเมืองเหลียงจิงกับเมืองเฟิงหูให้เขาฟัง จิ้นหมิงจ้าวระมัดระวังยิ่ง เพียงเล่าเรื่องอาหารกับอากาศของดินแดนสองแห่งนี้ บางครั้งบางคราวจิ้นหมิงจ้าวก็จะเอ่ยถึงหอพานโหลวอันมีชื่อเสียงของเมืองเหลียงจิง รวมถึงสะพานหมินโจวซึ่งธารเยี่ยนจื่อไหลผ่าน

หลังจากนั้นครึ่งเดือน หนึ่งวันก่อนที่จิ้นหมิงจ้าวจะออกเดินทางกลับกองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือก็ได้ปล่อยตัวเชลยสงครามชาวเป่ยหรงสิบกว่าคนซึ่งถูกคุมขัง เฮ่อหลันจินอิงถามเขาว่าเหตุใดไม่ฆ่าทิ้งเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว จิ้นหมิงจ้าวหัวเราะ

‘วันนี้ข้าปล่อยพวกเจ้ากลับเป่ยหรง เพราะหวังว่าวันหน้าเป่ยหรงเองก็จะรักษาคำมั่นระหว่างสองแคว้น ไม่เข่นฆ่าเชลยศึกต้าอวี่ของพวกเรา’

‘ต้าอวี่มีท่านอยู่ จะถูกเป่ยหรงตีแตกได้อย่างไร’ เฮ่อหลันจินอิงรู้สึกว่าคำพูดนี้ของเขาเพียงกล่าวให้ดูดีแต่เปลือกนอก ไม่น่าเชื่อถือ

‘ข้าเองก็ตายได้’ จิ้นหมิงจ้าวตอบ ‘ตัวข้าไม่ได้อยู่ในราชสำนัก แต่คนในราชสำนักกลับหวาดกลัวข้า แม่ทัพกล้าก็ประหนึ่งเสือร้าย หากกักขังไม่ได้ เลี้ยงให้เชื่อฟังยาก นั่นก็ไม่อาจทนใช้งานได้’

เขาพูดจาคารมคมคาย เฮ่อหลันจินอิงฟังไม่เข้าใจ

ตอนจากมาทหารคุ้มกันใต้บังคับบัญชาของจิ้นหมิงจ้าวมอบน้ำกับอาหารส่วนหนึ่งให้เฮ่อหลันจินอิง แม้เชลยศึกทุกคนต่างก็มีของเหล่านี้ แต่ข้าวของของเฮ่อหลันจินอิงกลับมากมายหรูหรากว่าคนอื่นเล็กน้อย จิ้นหมิงจ้าวยิ้มบอกว่านี่คือค่าตอบแทนที่เฮ่อหลันจินอิงเล่าเรื่องราวให้ตนเองฟังอยู่ครึ่งเดือน

‘มีโอกาสเจ้าก็ลองไปที่ดินแดนของเผ่าเกาซินดูสิ’ จิ้นหมิงจ้าวพูดตอนโบกมือบอกลาเขา ‘นั่นเป็นบ้านเกิดของเจ้าเชียวนะ’

‘…ข้าเป็นชาวเป่ยหรง’ เฮ่อหลันจินอิงอดพูดไม่ได้ ‘สำหรับข้า ดินแดนเกาซินก็เป็นเพียงสถานที่แปลกถิ่น’

‘เจ้าเป็นชาวเกาซิน และก็เป็นชาวเป่ยหรง’ จิ้นหมิงจ้าวยิ้มกว้าง ‘พวกเจ้าต่างก็นับถือเทพเจ้าไม่ใช่หรือ ที่แท้เทพเจ้าของที่ราบฉือวั่งหยวนก็เผด็จการถึงเพียงนี้ ถึงกับกำหนดให้ชั่วชีวิตของคนคนหนึ่งเป็นได้แค่ของดินแดนแห่งเดียว’

เฮ่อหลันจินอิงไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไรไปชั่วขณะ

‘เหตุใดต้องยึดติดกับฐานะทางสายเลือด หากเจ้ามีม้าสักตัว ไม่ว่าที่ใดในใต้หล้าล้วนสามารถไปถึงได้ เจ้าไม่อยากไปดูธารเยี่ยนจื่อกับสะพานหมินโจวของเหลียงจิงหรือ เหลียงจิงยินดีต้อนรับผู้มาเยือนทุกคนในใต้หล้า ขอเพียงเจ้าไม่มุ่งหน้าไปโดยมีเป้าหมายเหยียบย่ำ’ จิ้นหมิงจ้าวเอื้อนเอ่ย ‘เจ้าเคยไปชื่อเยี่ยนหรือไม่ ที่นั่นร้อนอบอ้าวนัก ไม่มีฤดูหนาว ชั่วชีวิตของชาวชื่อเยี่ยนไม่มีโอกาสได้เห็นหิมะ นอกจากนี้ยังมีฉยงโจวซึ่งคั่นต้าอวี่จากท้องทะเล เป็นทะเลรั่วไห่ทางใต้ของชื่อเยี่ยน ทะเลรั่วไห่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ทว่าอีกด้านของท้องทะเลจะยังมีดินแดนอื่นอยู่หรือไม่นะ’

เฮ่อหลันจินอิงขมวดคิ้วแน่น เขาไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้มาก่อน

จิ้นหมิงจ้าวหัวเราะบอก ‘ช่างเถิด เรื่องเล่านี้ล้วนเป็นการพูดคุยเรื่อยเปื่อยระหว่างข้ากับลูกชาย เจ้าฟังแล้วถือว่าเป็นเรื่องขบขันก็พอ ข้าเคยนึกว่าชาวเกาซินน่าจะมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยินดีเป็นม้าทึ่มทื่อตัวหนึ่งในเป่ยหรง ไปเถอะ เราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว’

‘พบสิ ต้องได้พบแน่’ เฮ่อหลันจินอิงพลันพูดขึ้น ‘ข้าคือคนที่จะกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพจิ้น วันนี้ท่านไม่ฆ่าข้าที่นี่ วันหน้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน’

จิ้นหมิงจ้าวคลี่ยิ้มกว้าง ‘เช่นนั้นวันหน้าก็พบกันอีกครั้งในสนามรบเถอะ’

เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เผยกลิ่นอายฆ่าฟันอันแข็งกร้าวเย็นชา ‘ชาวเกาซิน หากมีวันนั้น ข้าจะต้องนำศพเจ้าใส่โลงด้วยมือตนเองแน่นอน’

 

ในป่าเงียบสงัด มีเพียงเสียงสายลมหวีดหวิวพัดผ่าน ประตูกระโจมแขวนกระดิ่งลมซึ่งทำจากกระดูกไว้หนึ่งอัน เคาะเป็นเสียงดังทุ้มต่ำ เฮ่อหลันเฟิงเล่าจบ จิ้นเยวี่ยก็เพียงนิ่งอึ้งเหม่อลอย

ในช่วงหนึ่งปี ยากนักกว่าบิดาจะได้กลับบ้านสักหน เขากับพี่สาวต่างก็ชอบฟังบิดาเล่าเรื่องราวจริงๆ เขาในเวลานั้นยังเล็กไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดศึกใหญ่อะไร บิดาเคยสู้รบกับคนเช่นไร กระนั้นเขากลับจำได้ชัดเจน มีปีหนึ่งที่บิดากลับบ้าน ไม่รู้เพราะเหตุใด เรื่องราวที่เล่าล้วนเป็นเรื่องคนต่างเผ่าซึ่งชื่อว่าเกาซิน

เวลานั้นเขาได้รู้เป็นครั้งแรกว่าลูกธนูสีดำซึ่งถูกบิดายกย่องเป็นสมบัติล้ำค่าในบ้านที่แท้ก็คือศรเกาซิน เขายังได้รู้ว่าชาวเกาซินนับถือกวางเป็นเทพ พวกเขาเชื่อมั่นว่าสายลมคือสิ่งที่เป็นอิสระที่สุดบนแดนดิน ชาวเกาซินตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตะวันตกสุดของเทือกเขาคู่ตู๋หลิน มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์ชื่อว่าเขาเซวี่ยหลาง เป็นเทือกเขาสูงตระหง่านซึ่งมีสีแดงกับสีดำรวมเข้าด้วยกัน เขายังรู้อีกว่าชาวเกาซินสันทัดการหลอมเหล็ก สามารถสร้างอาวุธอันแข็งแกร่งและแหลมคมที่สุดได้

ที่แท้ทุกอย่างนี้ล้วนฟังมาจากปากของเฮ่อหลันจินอิง

จิ้นเยวี่ยจ้องมองดวงตาของเฮ่อหลันเฟิง ในนัยน์ตาเขาซุกซ่อนสีเขียวมรกตเอาไว้ พาให้เด็กหนุ่มชาวต้าอวี่คิดถึงแถบผ้าสีเขียวหยกซึ่งผูกอยู่ตรงเอวมารดาขึ้นมากะทันหัน

ความปวดร้าวจู่โจมเข้ามาในพริบตา จิ้นเยวี่ยเริ่มร้องไห้โฮ หลงลืมคำกำชับของไป๋หนีไปหมดสิ้นและลืมเลือนไปว่าตนอยู่ที่ใด

ฉับพลันนั้นโชคชะตาต่างๆ ซึ่งลิขิตไว้ให้เขาอยู่ในดินแดนอันอ้างว้างหนาวเหน็บแห่งนี้ก็พลันผ่อนคลาย จิ้นเยวี่ยคิดถึงเหลียงจิง คิดถึงบ้านของตัวเอง คิดถึงบิดามารดากับพี่สาวพี่เขย คิดถึงไป๋หนี คิดถึงทหารม้าคะนองเมฆา คิดถึงความสุขและความเศร้าทั้งหมดในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาของเขาอย่างรุนแรง

คุณชายสกุลจิ้นร้องไห้จนระงับตนเองไม่อยู่ เฮ่อหลันเฟิงทำอะไรไม่ถูก ทั้งยังค้นพบว่าตนเองไร้กำลังหยุดยั้งการร้องไห้ของจิ้นเยวี่ย เฮ่อหลันเฟิงจึงนั่งลงข้างเขาแทน และกินเนื้อตากแห้งต่อไปเงียบๆ พร้อมฉวยโอกาสตอนอีกฝ่ายไม่ได้ระวังตัว ยัดเนื้อตากแห้งใส่ปากเขาหนึ่งชิ้นอย่างรวดเร็ว

จิ้นเยวี่ย “…หืม?”

เฮ่อหลันเฟิงตอบเขา “กินอิ่มแล้วค่อยร้องต่อ เช่นนี้จะได้มีแรง”

จิ้นเยวี่ยเคี้ยวเนื้อตากแห้งไปสะอื้นไป อับอายที่เมื่อครู่ตนร้องไห้ฟูมฟาย ที่นี่คือเยี่ยไถ อยู่ในเขตแดนของผู้อื่น กระนั้นยามเงยหน้ามองเห็นเฮ่อหลันเฟิงกับเนื้อตากแห้งที่ยื่นมาอีกชิ้นผ่านทางดวงตาซึ่งคลอด้วยหยาดน้ำตา ในใจล้วนเต็มไปด้วยความผ่อนคลายสบายใจ

อย่างน้อย ณ ตอนนี้ เวลานี้ ที่นี่ก็ปลอดภัย

จิ้นเยวี่ยใช้เสื้อคลุมขนจิ้งจอกเช็ดน้ำตา พูดคลุมเครือ “…ของบ้านหุนต๋าเอ๋อร์อร่อยกว่า”

เฮ่อหลันเฟิง “…จริงหรือ”

จิ้นเยวี่ยนึกได้ทันใดว่าขณะนี้ตนเองควรจะพยายามทำตัวว่าง่าย เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจและความสงสารจากเฮ่อหลันเฟิง เขาอดลอบขุ่นเคืองตนเองไม่ได้ พอรู้สึกผ่อนคลายก็พูดผิดอีกครั้งแล้ว

เฮ่อหลันเฟิงพูดขึ้น “ถ้าเจ้าชอบ เดี๋ยวข้าจะไปขโมยจากบ้านเขามาให้เจ้านิดหน่อย”

จิ้นเยวี่ย “…”

เฮ่อหลันเฟิงทำท่าจะกระโดดลงไป “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

จิ้นเยวี่ยแตกตื่น กดเขาไว้ “ไม่ต้อง!”

กระโจมคับแคบ เฮ่อหลันเฟิงถูกผลักโดยแรงจึงล้มหงายไปบนกองหญ้าแห้ง จิ้นเยวี่ยนั่งขี่อยู่บนเอวกดไหล่เขาเอาไว้ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังหัวเราะ เฮ่อหลันเฟิงหัวเราะเสียงดังด้วยความเบิกบานที่ตนเองแหย่จิ้นเยวี่ยให้ลืมตัวเสียกิริยาได้ ทันใดนั้นเขาก็ยกมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าคุณชายสกุลจิ้น

ระยะนี้จิ้นเยวี่ยผอมลงมาก ทว่ายามลูบใบหน้าก็ยังคงนุ่มมาก ทั้งสองเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง เพียงแต่เมื่อครู่เกิดการสั่นสะเทือนรอบหนึ่ง กองหิมะบนยอดไม้จึงร่วงกระจัดกระจาย ตกลงมาจากช่องด้านบนกระโจม โปรยปรายเป็นเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยหล่นร่วงบนไหล่ทั้งสอง

“พี่ใหญ่จะขู่ให้เจ้ากลัวแต่เขาไม่มีทางทำร้ายเจ้า เทียนจวินมีพระราชประสงค์จะสังหารเจ้า เป็นพี่ใหญ่ทูลบอกว่าเจ้ามีความสามารถเห็นผ่านตาแล้วไม่ลืมเลือน สามารถหลอกถามแผนที่ของเหลียงจิงได้ อีกทั้งยังบอกว่าเจ้าร่างกายอ่อนแอกลัวหนาว ไม่อาจปีนเขาข้ามแม่น้ำ เทียนจวินจึงตกลงให้เจ้าอยู่ที่เยี่ยไถ ให้พี่ใหญ่เป็นผู้ดูแล” เฮ่อหลันเฟิงประคองใบหน้าเขา “จิ้นเยวี่ย เชื่อข้า อย่ากลัวข้าเลย”

ใบหน้าจิ้นเยวี่ยพลันร้อนผ่าว รีบดันมืออบอุ่นคู่นั้นออก และกลิ้งลงจากร่างเฮ่อหลันเฟิง

ม้าส่งเสียงร้องสองทีจากใต้ต้นไม้ จิ้นเยวี่ยเจอหัวข้อสนทนาใหม่ “…อะแฮ่ม ม้าเจ้าตัวนี้ เรียกว่าเฟยเซียวก็แล้วกัน”

เฮ่อหลันเฟิงขยี้เส้นผม ลุกขึ้นนั่ง “มีความหมายว่าอย่างไร”

จิ้นเยวี่ยบอกความหมาย “ยอดอาชาที่สามารถโบยบินอยู่บนผืนฟ้า เหมาะสมกับนักขี่ม้าที่เก่งที่สุดของเยี่ยไถ”

เฮ่อหลันเฟิงหัวเราะเสียงดังกังวาน ต้นไม้ใหญ่โดยรอบสั่นไหว เขาหยุดเสียงหัวเราะ ก่อนกล่าวจริงจัง “ข้าอยากเป็นนักธนูมือดีที่สุดของเยี่ยไถมากกว่า กระทั่งเป็นนักธนูมือดีที่สุดของเป่ยหรง ข้าอยากได้ศรหลางตี๋จากพระหัตถ์เป่ยหรงเทียนจวิน”

จิ้นเยวี่ยไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน “ศรหลางตี๋?”

 

 

* องค์หญิงซุ่นอี๋ หมายถึงองค์หญิงผู้นอบน้อม

* ‘เจี่ย’ หมายถึงอันดับที่ 1 ‘อี่’ หมายถึงอันดับที่ 2 มีความหมายเท่ากับ นาย ก. นาย ข.

*วันลี่ชุน หมายถึงวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ

* เทียนซื่อเจียน เป็นชื่อของสถานที่ทางการในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีหน้าที่เลี้ยงแกะดูแลม้า เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารและอื่นๆ

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com