Don't Do That! คุณครับ อย่าเปิดไมค์ง่ายๆ
ทดลองอ่าน Don’t Do That! คุณครับ อย่าเปิดไมค์ง่ายๆ เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย
บทที่ 10
ตอนได้รับข้อความวีแชตนั้นที่ลู่เหยาจือส่งมา หลินเหว่ยกำลังตกปลาเป็นเพื่อนพ่อของเขา
คุณแม่หลินพารุ่นน้องไปงานแถลงข่าว แล้วส่งพวกเขาสองพ่อลูกมาฉลองวันหยุดสุดสัปดาห์ที่บ้านคุณยายแถบชานเมือง เรื่องราวต่างๆ ในช่วงก่อนหน้าทำให้หลินเหว่ยจิตใจฟุ้งซ่าน การได้มาชานเมืองที่เงียบสงบมองท้องฟ้าตกปลาก็ถือว่าไม่เลว
จู่ๆ ที่ข้างสระน้ำขนาดเล็กก็มีเสียงแจ้งเตือนของวีแชตดังขึ้นกะทันหัน คุณพ่อหลินหันหน้ามามองทันที ทำท่าทางสื่อว่า ‘ทิวทัศน์แบบนี้ทำไมถึงถูกรบกวนด้วยงานได้’ หลินเหว่ยทำปากพูดว่าขอโทษ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปลดล็อก เห็นสองข้อความนั่นที่แฝงความหลงตัวเองไว้เต็มเปี่ยมก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
หัวเราะเสร็จก็รู้สึกเสียใจ…เพราะตัวเองไม่ได้ไปในงาน
ความหมายในตัวอักษรของลู่เหยาจือเหมือนกับรอคอยให้ตัวเขาไปงาน นี่ทำให้หลินเหว่ยรู้สึกแปลกใจ เดิมทีเขานึกว่าที่ลู่เหยาจือส่งบัตรงานแถลงข่าวให้เป็นเพียงการแสดงออกอย่างหนึ่งว่า ‘เรื่องนี้จบลงตรงนี้’ แอ็กเคานต์แมรี่นั่นก็ไม่เคยออนไลน์อีก ถือได้ว่าเป็นการยืนยันความคิดด้านหนึ่งของเขาที่ว่าไม่ว่าจะเป็นความต้องการของตัวอีกฝ่ายเองก็ตาม หรือว่าเป็นความคิดของบริษัทก็ช่าง ลู่เหยาจือน่าจะไม่ปรากฏตัวด้วยฐานะของแมรี่อีก
หลินเหว่ยพบว่าหลังจากตัวเองสำนึกได้ถึงจุดนี้ก็รู้สึกเศร้าซึมไปบ้าง ผิดปกติไปทั้งตัว แต่เวลานั้นเขาไม่มีกะจิตกะใจไปคิดอย่างละเอียดว่าความเศร้าใจนี้มาจากไหน
เขาก็เลยส่งบัตรไปให้คุณแม่หลินทั้งที่งุนงงแบบนี้
หลังฟังคุณแม่หลินพูดว่า ‘โรงเรียนของเรายังมีครูอีกคนหนึ่งชอบเหยาเหยาเหมือนกัน แม่ให้เธอไปเป็นเพื่อนแม่ได้ไหม’ ปฏิกิริยาตอบสนองของหลินเหว่ยก็คือพยักหน้า รับปากด้วยความมึนงง
ตัวหลินเหว่ยเองอารมณ์ไม่ดี ย่อมไม่ได้สนใจความผิดปกติของคุณแม่หลิน ปกติเธอชอบลากหลินเหว่ยไปตามดาราด้วยกัน แต่ครั้งนี้กลับเสนอไม่ให้หลินเหว่ยไป แถมยังกระตือรือร้นแนะนำให้พวกเขาสองคนพ่อลูกไปผ่อนคลายจิตใจช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่บ้านแถบชานเมืองของคุณยาย ความจริงแล้วเพื่ออะไรก็เห็นได้ชัดเจนมาก เพียงแต่หลินเหว่ยยังว้าวุ่นกับเรื่องของแมรี่ เลยไม่ได้สนใจว่าทำไมแม่ถึงมีความคิดแบบนี้
หลินเหว่ยตามพ่อไปช่วยถอนหญ้ารดน้ำต้นไม้ในสวนผักของคุณยาย นอนกลางวันเสร็จก็ยกม้านั่งไปตกปลา จิตใจของเขาสงบขึ้นไม่น้อย แต่ข้อความสองข้อความนี้เหมือนโยนก้อนหินลงบ่อน้ำในใจเขา จนเกิดเป็นระลอกคลื่นแผ่กระจายออกไป
จะตอบอะไรล่ะ
เขากำโทรศัพท์มือถือไว้แล้วครุ่นคิด
ขอโทษด้วย ผมไม่ได้ไป?
ขอโทษนะ วันนี้มีธุระนิดหน่อย?
ผมกำลังดูอยู่ สู้ๆ?
การพูดคุยกับลู่เหยาจือโดยตรงทำให้หลินเหว่ยรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
คุณพ่อหลินตกปลาได้แล้ว เขาร้อง “เฮ้ย” ออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ยืนขึ้น เก็บสายเบ็ดอย่างเป็นระเบียบ
หลินเหว่ยที่อยู่ทางนี้คิดอยู่นานมากแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ เขาส่งอีโมจิกระต่ายพนมมือขอโทษไปก่อน จากนั้นก็อธิบายตามความจริงว่าตัวเองมอบบัตรให้เพื่อนของแม่ แต่อีกเดี๋ยวเขาจะไปดูไลฟ์
หลังจากส่งเสร็จเขาก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก ถึงแม้ลู่เหยาจือไม่ได้ตอบกลับ เป็นไปได้มากว่าขึ้นเวทีแล้วไม่ทันได้ดู แต่หลินเหว่ยรู้สึกว่ามีอะไรบางสิ่งที่เขาวางลงแล้ว ไม่ว่าต่อไปลู่เหยาจือจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร เขาก็จะยอมรับโดยไม่หวาดหวั่น
มัวแต่วุ่นวายอยู่กับ ‘แมรี่’ หรือ ‘ลู่เหยาจือ’ อะไรนั่น สับสนกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของสองชื่อนี้ ซึ่งไม่มีประโยชน์อย่างสิ้นเชิงเลย อารมณ์เปราะบางจนกลายเป็นแบบนี้ไม่สมกับเป็นหลินเหว่ยเลย หลังจากเกิดเรื่องคำค้นหายอดนิยมขึ้นจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยแสดงอารมณ์ด้านลบออกมาให้เห็น แม้แต่ตัวเขาเองยังนึกว่าตัวเองไม่ใส่ใจ แต่มันไม่ใช่ เขาใส่ใจมาก ถึงขนาดพาลโกรธ ‘ลู่เหยาจือ’ ด้วย แต่ลู่เหยาจือก็คือแมรี่ นี่คือเรื่องเกินความคาดหมายที่ทำให้ไม่สบายใจ จะตัดสินว่าถูกหรือผิดก็หาคนคุยด้วยไม่ได้ หลินเหว่ยไม่อยากแสดงความอ่อนแอกับคนอื่น ไม่อยากให้คนในครอบครัวเพื่อนสนิทต้องเป็นห่วง แต่กลับทำให้ตัวเองทุกข์ใจ
แต่ตอนนี้เขาคิดตกอย่างถ่องแท้แล้ว
หลินเหว่ยวางปมปัญหาในใจลง แล้วเก็บโทรศัพท์มือถือขึ้นมา พอเขาเงยหน้าก็เห็นคุณพ่อหลินหิ้วปลาจี้ตัวโตเอาไว้ ยิ้มแฉ่งจนเห็นฟัน
“ตอนเย็นต้มน้ำแกงดื่ม” คุณพ่อหลินพูด “ดื่มเสร็จก็กลับเถอะ”
หลินเหว่ย “ครับ”
ถ้าอย่างนั้นก็ได้เวลากลับแล้ว
หลังจากนั้นหลินเหว่ยก็ทำงานสตรีมของเขาต่อ ใช้ชีวิตประจำวันตามปกติโดยไม่มีอะไรพิเศษ วันนั้นหลังลู่เหยาจือเสร็จกิจกรรม ผ่านไปครู่หนึ่งก็ส่งมาว่า
‘ไม่เป็นไร’
จากนั้นก็มีคุยเล่นกับเขาบ้างบางครั้งในวีแชต แต่ก็หยุดอยู่ที่การทักทายธรรมดาทั่วไป ถ้าโยนฐานะดาราดังของอีกฝ่ายทิ้งไป ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกับเพื่อนมหา’ลัยคนอื่นของหลินเหว่ย
หากจะบอกว่ามีอะไรไม่เหมือน นั่นก็คือหลินเหว่ยเริ่มสนใจตารางงานของลู่เหยาจือขึ้นมาแล้ว เมื่อก่อนต่อให้คุณแม่หลินมาพูดอยู่ข้างหู อย่างมากสุดตอนได้รับสินค้าที่อีกฝ่ายเป็นพรีเซ็นเตอร์ หลินเหว่ยก็จะชำเลืองไปมองสักแวบ ส่วนตอนนี้บางครั้งก็จะคุยด้วยบ้าง เขามีจิตใจที่อยากรู้อยากเห็นต่อลู่เหยาจือนิดหน่อย…ลู่เหยาจือโพสต์โมเมนต์วีแชตน้อยมาก และจากตัวอักษรก็บอกให้รู้ได้ว่าช่วงนี้อีกฝ่ายกำลังยุ่ง
แต่ผลจากการที่หลินเหว่ยเปิดแอ็กเคานต์รองแอบติดตามกลุ่มแฟนคลับ พวกสาวๆ ตำหนักเหยาฉือต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าลู่เหยาจือกำลังเที่ยวพักผ่อน ไม่แน่คงกำลังดีอกดีใจที่ได้เล่นเกมทุกวัน
เล่นเกมที่ไหนกันล่ะ หลินเหว่ยมองรายชื่อเพื่อนสนิทที่นอนนิ่งอยู่ในตารางซึ่งออฟไลน์มาสิบสามวันแล้วคิดว่าไม่ได้ออนไลน์เลย!
ลู่เหยาจือกำลังยุ่งอะไร
เขาอยากรู้ แต่ก็คิดว่าต่อให้เป็นเพื่อน อยู่ดีๆ จะไปถามเรื่องงานคงไม่มีมารยาท พอลองคิดดูแล้วเลยถามแบบอ้อมๆ ด้วยการส่งไปว่า
‘ใกล้จบซีซั่นแล้ว คุณยังเตรียมขึ้นแรงก์ชาเลนเจอร์อยู่ไหม’
ปรากฏว่าผ่านไปหลายชั่วโมง รอจนผ่านมื้อเย็นไปแล้วถึงได้รับข้อความตอบกลับ
เหยา ผมคิดว่าซีซั่นนี้ผมหมดหวังแล้ว กำลังจะต้องเข้ากองถ่าย
เหยา ซีซั่นหน้าคงต้องรบกวนผืนป่าโตแล้ว
เหยา [น้ำตาคลอ.gif]
หลินเหว่ยขำพรืด คิดในใจว่าลู่เหยาจือน่ารักมากจริงๆ ก่อนจะตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า
‘OJBK’*
แต่ว่ากำลังจะเข้ากองถ่ายนี่ ไม่ว่างขนาดนี้เลย? มีละครใหม่หรือว่าหนังใหม่? หลินเหว่ยกรองข่าวที่เห็นมาเป็นกองอยู่ในหัว แล้วรู้สึกรอคอยขึ้นมานิดหน่อย
ลู่เหยาจือกำลังตั้งใจทำงาน ทางหลินเหว่ยเองก็เหมือนกัน เรื่องคำค้นหายอดนิยมไม่เพียงส่งผลกระทบด้านลบให้เขาเท่านั้น หลังจากผ่านกระแสที่โถมเข้ามาในตอนแรกแล้ว กระแสที่เหลืออยู่ก็ไม่เลว อีกไม่นานสัญญาของเขากับโต้วหลงก็พร้อมที่จะต้องต่อสัญญาแล้ว ช่วงนี้เสี่ยวหลี่โทรมาหาเขาทุกวัน พูดถึงความตั้งใจในการต่อสัญญาและแผนการในอนาคต
หลินเหว่ยพอใจมากที่ได้อยู่กับโต้วหลง ไอ้เลวเมาอวี่ที่เมื่อก่อนชอบมาวุ่นวายกับเขาหนีไปแล้ว เป็นเพราะจำนวนคนดูเพิ่มพรวดขึ้นมาก หากต่อสัญญาก็มีโอกาสที่เงินเดือนพื้นฐานและส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นการอยู่ที่โต้วหลงจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว แต่หลังจากนั้นเสี่ยวหลี่ก็เสนอคำแนะนำอย่างหนึ่ง ทำให้เขาลังเลอยู่บ้าง “หลินจื่อ คุณจะลองคิดเรื่องการเปิดกล้องไหม”
ความจริงหลินจื่อจำได้ไม่ชัดว่าทำไมตอนแรกตัวเองถึงไม่เปิดกล้อง หน้าตาเขาไม่ได้น่าเกลียด ใช้คำของเตี๋ยอิ่งที่เคยเห็นเขามาพูดก็คือ ‘เป็นสตรีมเมอร์ที่หน้าตาเหมือนไอดอล’ ซึ่งห่างชั้นกับคำว่า ‘ไม่ได้น่าเกลียด’ ไปไกลมาก
ตอนแรกเตี๋ยอิ่งก็เคยถาม ‘อ้วนอย่างฉันยังกล้าเปิดกล้อง ยังไงนายก็อยู่ถึงระดับเด็กหนุ่มรูปงาม แล้วทำไมถึงไม่เปิดเผยหน้า’
ตอนนั้นหลินจื่อพูดว่า ‘ฉันชินแล้ว โดยเฉพาะ…’
โดยเฉพาะใบหน้าเด็กกว่าอายุของหลินจื่อ เดิมทีชาวด้อมนกก็ชอบเรียกเขาว่าลูกชายลูกรักอยู่แล้ว ถ้าเปิดกล้องอีก คงได้ถูกล้อไปจนเกษียณเลยจริงๆ
หลินเหว่ยมีดวงตาโตสองชั้นเหมือนคุณแม่หลิน แถมยังมีจมูกที่เชิดเล็กน้อยและลักยิ้มข้างเดียว ตอนอยู่มัธยมปลายถูกคนคิดว่าเป็นนักเรียนมัธยมต้น ตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็ถูกคนคิดว่าเป็นเด็กมัธยมปลาย ผู้ชายน่ะ พอถึงวัยต่างก็หวังว่าตัวเองจะเป็นผู้ใหญ่หน่อย ใครจะชอบถูกคนเรียกว่าน้องชายกันล่ะ (พวกด้อมนกยิ่งเกินไปหน่อยถึงขนาดเรียกว่าลูกชายเลย)
แต่เขาคิดอยู่ตลอดไม่ว่าหน้าตาเป็นยังไงก็ถือว่าเป็นของขวัญจากพ่อแม่ทั้งนั้น หลินเหว่ยไม่ได้รังเกียจตัวเอง เพียงแค่ไม่ได้เปิดมาตลอดและไม่มีสถานการณ์ที่ทำให้ต้องเปิด เพราะถึงยังไงอาศัยแค่น้ำเสียงก็มีแฟนคลับได้ ก็เลยไม่ได้คิดเรื่องที่จะเปิดกล้อง แต่เขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่หวงสุดชีวิตไม่ยอมให้คนเห็นหน้า รูปในอัลบั้มของแอ็กเคานต์เวยป๋อก็มีรูปเซลฟี่หลายรูปที่ไม่เปิดเผยหน้าตรง อีกอย่างตอนเขาเพิ่งเข้าวงการไม่นานมากเท่าไหร่ ก็มีคนขุดรูปและคลิปตอนที่เขาเข้าร่วมการคัดเลือกค่ายฝึกเยาวชนของสโมสรท้องถิ่นของเกม MOBA อีกเกมหนึ่ง คนที่รู้ว่าเขาหน้าตาประมาณไหนมีเยอะมาก เพียงแค่ช่วงเวลายาวนาน เลยไม่ค่อยชัดเจนเท่านั้น เขาไม่ได้ตั้งใจหลบเลี่ยง แต่ก็ไม่ได้สมัครใจจะเปิดเผย ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
เสี่ยวหลี่บอกว่าหวังว่าเขาจะเปิดกล้อง หลินเหว่ยเองก็เข้าใจ หากสตรีมเมอร์ชื่อดังของแพลตฟอร์มสามารถเปิดเผยใบหน้าได้ แถมบุคลิกยังไม่เลว ถ้าอย่างนั้นก็จะยิ่งมีโฆษณาและอีเวนต์มากขึ้น เป็นผลดีกับทั้งแพลตฟอร์มและตัวหลินจื่อเอง
หลินเหว่ยเองก็ไม่ได้คิดนานมาก เขาพูดตรงๆ “ได้ งั้นเย็นนี้ให้ผมเปิดเลยไหม ในบ้านมีกล้องตัวหนึ่งเอามาใช้ได้เลย”
เสี่ยวหลี่เปลี่ยนหัวข้อทันที “เฮ้ๆๆ อย่ารีบร้อน ต่อไปคุณคือตัวแทนที่เป็นหน้าเป็นตาของโต้วหลง คุณจะเปิดตัวตามสบายแบบนี้ได้ยังไงกัน ความจริงที่จะพูดต่อไปสิถึงเป็นจุดสำคัญ ถ้าหากคุณยินดีต่อสัญญา ยินดีเปิดเผยใบหน้า งั้น…คุณยินดีร่วมรายการวาไรตี้โชว์ไหม”
หลินเหว่ย “???”
หลินเหว่ย “อะไรนะ”
เสียงที่ถูกรบกวนด้วยคลื่นไฟฟ้าของเสี่ยวหลี่ขาดความสมจริงอยู่บ้าง “แฮมเมอร์กำลังจัดรายการวาไรตี้ออนไลน์เพื่ออุ่นเครื่องการแข่งขัน RPL* ระดับประเทศของ Summon Spirits โดยจะฉายผ่านเว็บไซต์สามเว็บไซต์ แผนการทั้งหมดจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังอยู่ในขั้นตอนเชิญแขกรับเชิญ แขกรับเชิญมีดาราที่กำลังดังแล้วก็มีนักกีฬาอาชีพ ส่วนสตรีมเมอร์น่ะ ฟังจากความหมายของพวกเขาแล้ว เชิญแค่คนเดียว ก็คือคุณ”
หลินเหว่ยตะลึงงัน ที่จริงเขารู้จักรายการวาไรตี้ออนไลน์นี้ ช่วงนี้ตัวเขาเองไปอ่านข่าวในเว็บบอร์ดที่ไม่เผยชื่อและกลุ่มซุบซิบต่างๆ ก็เลยได้เคยเห็นข่าวรายการเกมวาไรตี้ออนไลน์นี้หลายครั้ง แฮมเมอร์อินเตอร์แอ็กทีฟเอ็นเตอร์เทนเมนต์เป็นบริษัทใหญ่ การทำเกมเป็นแค่หนึ่งในธุรกิจ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ทำแอนิเมชั่นทำสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ด้วย ระยะนี้ได้ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของแฮมเมอร์อินเตอร์แอ็กทีฟเอ็นเตอร์เทนเมนต์มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่มาก บอกว่าเป็นผู้นำของอินเตอร์เน็ตอุตสาหกรรมภายในประเทศก็ไม่เกินไปนัก รายการ ‘ใครคือซัมมอนสปิริตมาสเตอร์ตัวจริง’ ต้องมีการลงทุนสูงมากแน่นอน ถึงแม้เป็นเพียงแค่รายการวาไรตี้ออนไลน์ แต่ Summon Spirits เป็นที่นิยมในประเทศขนาดนั้น แพลตฟอร์มที่ออกอากาศก็ศักยภาพดี ถึงไม่โด่งดังเป็นพลุแตกแต่ก็ต้องมีชื่อเสียงบ้าง ได้ยินว่ามีดาราไม่น้อยที่กำลังช่วงชิงเพื่อให้ได้เป็นแขกรับเชิญ
ถึงแม้ว่าตามที่สาวๆ ตำหนักเหยาฉือพูด สำหรับลู่เหยาจือแล้วนี่เป็นข่าวลือที่โคตรแย่ ลู่เหยาจือเป็นแขกรับเชิญประจำของรายการวาไรตี้ทีวีที่ดังมาก แล้วจะยอมลดเกียรติมาถ่ายวาไรตี้ออนไลน์นี้ที่มีเพียงแค่เจ็ดตอน ซึ่งเห็นกันอยู่ชัดเจนว่ามีไว้เพื่ออวยนักกีฬาอาชีพ RPL ได้ยังไงกัน
เป็นเพราะเรื่องคำค้นหายอดนิยม ตอนที่ทุกคนกำลังพูดถึงรายการ ‘ใครคือซัมมอนสปิริตมาสเตอร์ตัวจริง’ จึงมีไม่น้อยที่เอ่ยถึงลู่เหยาจือ แต่ทั้งหมดก็ถูกสาวๆ ตำหนักเหยาฉือบอกว่าเป็นการปั้นข่าวเพื่อหลอกแฟนคลับ
หลินเหว่ยเองก็คิดว่าลู่เหยาจือไม่รับรายการนี้ เพราะเป็นการลดระดับของเขาจริง แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญคือทำไมรายการนี้ถึงเชิญตัวเองล่ะ
ต่อให้เคยขึ้นคำค้นหายอดนิยมคู่กับลู่เหยาจือครั้งหนึ่ง แต่ก็คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง? เขาไม่เหมือนนักกีฬาอาชีพที่มีความสามารถและฐานแฟนคลับ ถึงขนาดไม่เคยเปิดเผยใบหน้าด้วยซ้ำ! ทำไมทีมงานรายการถึงติดต่อโต้วหลงเพื่อหาเขากันล่ะ อีกอย่างฟังจากความหมายของเสี่ยวหลี่ เป็นเพราะโต้วหลงเองก็รู้สึกได้ว่าแฮมเมอร์อินเตอร์แอ็กทีฟเอ็นเตอร์เทนเมนต์และทีมงานรายการให้ความสนใจเขา ถึงได้เสนอเงื่อนไขในการต่อสัญญาที่ดีมากขนาดนั้น
เรื่องนี้ประหลาดนิดหน่อย แต่หลินจื่อไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะดีเลว เขาจึงพูดกับเสี่ยวหลี่ว่า “ผมขอคิดหน่อย แล้วพรุ่งนี้จะให้คำตอบคุณ” ก่อนจะถามอีกว่ามีข้อมูลพื้นฐานของรายการให้ดูหน่อยไหม
เสี่ยวหลี่เดาได้ว่าเขาจะต้องรอบคอบ จึงไม่ได้แปลกใจ “โอเค ผมจะรอข่าวจากคุณ ส่วนข้อมูล ผมเอาที่พวกเขาให้มาทั้งหมดส่งเข้าอีเมลคุณแล้ว คุณค่อยๆ ดูแล้วกัน”
หลินเหว่ยตอบ “อืม” แล้วเตรียมวางสาย
จากนั้นเสี่ยวหลี่ก็ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ “อ้อ จริงสิ ทางแฮมเมอร์บอกว่าแขกรับเชิญคนอื่นยังไม่แน่นอน แต่เพียงคนเดียวที่ยืนยันมาเข้าร่วมยังมีบุพเพกับคุณนิดหน่อยด้วยนะ…ก็คือลู่เหยาจือ”
…ฮะ?
* OJBK มาจากคำว่า O几把K (O Ji Ba K) แปลว่าโอเคก็ได้
* RPL (ROS Pro League) คือชื่อย่อของการแข่งขันลีกอาชีพของ Summon Spirits หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Roar of the soul
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Don’t do that! คุณครับ อย่าเปิดไมค์ง่ายๆ เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN