everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2 บทที่ 45-46 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 45
เวลาที่เซวียหย่วนมองเขานั้นคล้ายกับสัตว์กินเนื้อตัวหนึ่งซึ่งจ้องมองเหยื่อที่กำลังจะมาถึง
ต่อให้เขาจะกล่าววาจาน่าฟังอีกสักเพียงใดกู้หยวนไป๋ก็ไม่รู้สึกสั่นสะท้าน ในทางตรงข้ามกลับรู้สึกว่าในคำพูดของเซวียหย่วนมีบางอย่างแฝงอยู่ เขากำลังเสแสร้ง ไม่ก็กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
ความประทับใจแรกนั้นสำคัญอย่างแท้จริง ซึ่งความประทับใจแรก ความประทับใจสอง และความประทับใจสามที่เซวียหย่วนมอบให้กู้หยวนไป๋นั้น…ล้วนไม่น่าประทับเท่าไร ถ้อยคำเช่นนี้ของเขาคล้ายห่วงใย แต่ผลที่ได้กลับไม่ดีเท่าเถียนฝูเซิงหรือหัวหน้าทหารองครักษ์จางเลย
ด้วยเหตุนี้บนใบหน้าของฮ่องเต้จึงมิได้ปรากฏรอยยิ้มหรือความอ่อนโยนที่เซวียหย่วนอยากเห็น แต่กลับพยักหน้าด้วยความเฉยเมย จากนั้นก็งับหน้าต่างรถม้าให้ปิดลงโดยไม่ลังเล
หน้าต่างรถม้าปิดลง ก่อให้เกิดกระแสลมปะทะขมับสองข้างของเซวียหย่วน
เซวียหย่วนแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยืดตัวขึ้นอย่างช้าๆ เขาหุบยิ้ม ยกมือขึ้นเช็ดมุมปากของตัวเองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คิดในใจว่า ข้ายิ้มน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ
นี่กู้หยวนไป๋หมายความว่าอย่างไรกัน
ในเวลานี้เองหัวหน้าทหารองครักษ์ที่อยู่อีกด้านของรถม้าก็ไสม้าเข้ามาใกล้ เสียงเกลี้ยกล่อมอ่อนโยนดังขึ้นโดยมีรถม้ากั้นกลาง “ฝ่าบาท ใต้เท้าทุกท่านต้องจัดการเรื่องนี้ได้ดีแน่พ่ะย่ะค่ะ อย่าได้ทรงเป็นกังวล ถนอมพระวรกายมังกรด้วย”
ฮ่องเต้ที่อยู่ภายในรถม้าถอนหายใจและตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นกัน “เจิ้นไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเป็นห่วง”
จางซวี่ยิ้มๆ ยืดตัวตรงไม่กล่าวอะไรอีก ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงสายตาที่ไม่ประสงค์ดีโดยสิ้นเชิงจากดวงตาคู่หนึ่ง เขาหันกลับไปมองตามสายตานั้น ก็เห็นเซวียหย่วนที่กำลังมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากฝั่งตรงข้าม
ฮ่องเต้เคยกล่าวไว้ว่าให้เรียนรู้จากเซวียหย่วนให้มาก หัวหน้าทหารองครักษ์จางจึงยิ้มๆ พยายามรักษาบุคลิกที่สงบและมั่นคงของหัวหน้าทหารองครักษ์แห่งตำหนักส่วนหน้าเอาไว้
เซวียหย่วนละสายตากลับมา มองดูมือของตัวเอง เขาค่อยๆ กุมบังเหียนแน่นขึ้น
ความเคลื่อนไหวของสำนักตรวจการกับหน่วยควบคุมดูแลยังคงดำเนินต่อไป
ก่อนการต่อต้านการทุจริตจะเริ่มต้นกู้หยวนไป๋ได้เผื่อเวลาไว้มากกว่าหนึ่งเดือน เพื่อให้ผู้มีความสามารถตรวจพบพระราชประสงค์เรื่องการต่อต้านการทุจริตของฮ่องเต้ และสามารถชดใช้เงินจำนวนมากที่ตนยักยอกไป รวมถึงมีเวลาหากองทุนสำรอง บัดนี้เขายังแตะต้องคนพวกนี้ไม่ได้ กู้หยวนไป๋เพียงแค่ขอให้พวกเขาคายเงินที่กินเข้าไปออกมาให้หมด แล้วเขาก็จะสามารถเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งได้
และเหลือไว้เพียงผู้ที่ไร้ความสามารถในการรับรู้สัญญาณซึ่งกู้หยวนไป๋ได้ให้ไว้ล่วงหน้า ทั้งยังไร้ความสามารถในการต่อต้านกู้หยวนไป๋
ภายนอกสำนักตรวจการอาจดูไร้ความเมตตา หลังจากการตรวจสอบก็จะไม่รับการเชิญสังสรรค์ ไม่รับสินน้ำใจและจะจับตัวคนไปในทันที ส่วนฝ่ายที่อยู่ในที่ลับนั้นโหดเหี้ยมยิ่งกว่า พวกเขาจู่โจมอย่างไม่คาดคิดหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน และขับไล่ขุนนางทุจริตที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้เหล่านั้นออกไปโดยสิ้นเชิง
ยิ่งสืบยิ่งใหญ่โต ยิ่งใหญ่โตยิ่งสืบ ผู้คดโกงในมณฑลจังหวัดและอำเภอต่างๆ ล้วนเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ ขุนนางบางคนยังคงพยายามเติมเต็มช่องว่าง และบางคนวางแผนที่จะหลบหนีไปพร้อมกับเงินทันที
ชิงโจว มณฑลซานตง
ผู้ว่าการอำเภอคนหนึ่งกำลังกระวีกระวาดเก็บข้าวของเตรียมพาครอบครัวหลบหนี ท้องฟ้าภายนอกมืดครึ้ม เป็นเวลาเหมาะสมในการออกจากเมือง รถม้าถูกเตรียมไว้นอกจวนแล้ว ทรัพย์สินเงินทองกองเต็มพื้นที่ครึ่งหนึ่งภายในคันรถ ผู้ว่าการอำเภอผู้นั้นนั่งอยู่บนรถม้าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เหงื่อชุ่มเต็มหน้าผาก
ฮูหยินของเขานั่งอยู่ด้านข้างด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยเช่นกัน “พวกเราจะหนีไปทั้งอย่างนี้หรือ”
ผู้ว่าการอำเภอดุขึ้น “ไม่หนีได้หรือ เจ้าอยากจะเอาเงินทองทั้งหมดในบ้านออกมาเติมช่องโหว่การทุจริตหรือ! ต่อให้เจ้าคิด พวกเราก็ไม่ได้มีเงินมากมายถึงเพียงนั้น!”
ผู้เป็นภรรยาไม่ได้กล่าวอันใดอีก สายตาที่มองเงินทองภายในรถนั้นเปี่ยมไปด้วยความโลภ
รถม้าสองคันแล่นมาถึงหน้าประตูเมือง ผู้ว่าการอำเภอผู้นั้นเลิกม่านรถขึ้น กล่าวกับทหารรักษาการณ์ของเมืองว่า “เปิดประตู ให้ข้าออกจากนคร!”
ครั้นเห็นว่าเป็นใต้เท้าในเมือง ทหารรักษาการณ์ของเมืองก็รีบร้อนไปเปิดประตูเมือง
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ผู้ว่าการอำเภอผู้นั้นยกแขนเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อบนใบหน้า ไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะออกมาได้ง่ายดายเพียงนี้
ภรรยาของเขายิ้มออกมาแล้ว เขามองรอยยิ้มของนาง ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง ทว่าบัดนี้ก็ออกมาจากเมืองแล้ว รถม้าแล่นไปตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นใครจะรู้ว่าเขามุ่งหน้าไปยังที่ใดเล่า
ผู้ว่าการอำเภอจึงยิ้มออกมาเช่นนั้น เพียงแต่รอยยิ้มในการหลบหนีเอาตัวรอดนี้คงอยู่ได้ไม่นาน รถม้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ภายในรถแกว่งไหวผู้ว่าการอำเภอกับฮูหยินของเขาถูกกระแทกจนเวียนศีรษะตาลาย
“เกิดอะไรขึ้น!” เขาพยายามทรงตัว ก่อนคำรามด้วยความโมโห “บังคับรถม้าไม่เป็นหรือ!”
ด้านนอกรถม้ากลับเงียบสงัด ไม่มีเสียงตอบรับ หัวใจของเขาเต้นแรง ลางสังหรณ์ร้ายๆ เข้าจู่โจมอีกครั้ง
เขายื่นมือสั่นเทาออกไปเลิกม่านรถม้าขึ้นดู ทันใดนั้นก็ตกตะลึงจนหัวใจพลันหยุดเต้น
เขาเห็นว่าด้านนอกมีคนกลุ่มหนึ่งถือคบไฟพร้อมล้อมรอบรถม้าสองคันของเขาไว้ ทุกคนพกดาบขนาดใหญ่อย่างเป็นระเบียบ สีหน้าที่สะท้อนอยู่ภายใต้คบไฟนั้นเคร่งขรึมน่ากลัว
ชายผู้หนึ่งในชุดขุนนางเดินนำเข้ามา เขามองดูผู้ว่าการอำเภอที่กำลังจะหลบหนีก็หัวเราะเสียงดังกังวาน “จ้าวหนิงเอ๋ยจ้าวหนิง นี่เจ้ากำลังเตรียมหลบหนีหรือ”
ผู้ว่าการอำเภออุทานเสียงหลง “เจ้า…”
รองผู้ว่าการอำเภอที่เดิมทีเป็นคนเงียบขรึมหัวเราะเย็นชาสองที กระดูกสันหลังที่โก่งงอในวันธรรมดาพลันยืดตรง ดวงตาของเขาเป็นประกาย มองดูจ้าวหนิงแล้วกล่าวเสียงดังทรงพลัง “มีข้าอยู่ เจ้าอย่าได้คิดที่จะหนีเลย! เจ้าขูดเลือดขูดเนื้อราษฎรมากมายเพียงนี้ คิดว่าจะหนีพ้นหรือ? อย่าแม้แต่จะคิด! ข้าจะจับเจ้าเดี๋ยวนี้ รอจนหน่วยควบคุมดูแลของฝ่าบาทมาถึงเมืองหวงผูแล้วก็จะส่งตัวเจ้าให้พวกเขาสอบสวน!”
ผู้ว่าการอำเภอเอ่ยเสียงเข้ม “ข้ากับเจ้ามีอันใดให้เคืองขุ่น!”
คบไฟส่องสว่างยังใบหน้าของทุกคนท่ามกลางความมืดมิดและช่วยคลายความเหน็บหนาว รองผู้ว่าการอำเภอเหลือบมองไปยังสายสืบทุกคนที่ถือคบไฟรอบตัว จากนั้นก็กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้านึกว่าพวกข้าอยากก่อกรรมแทนเจ้าเช่นนั้นหรือ! เจ้านึกว่าพวกข้าอยากถูกชาวบ้านสาปแช่งเช่นนั้นหรือ! ที่นี่คือเมืองหวงผู! ไม่ใช่รังเงินรังทองของเจ้า! มีสิ่งใดบ้างที่พวกข้าไม่กล้า ราชสำนักส่งคนมาสืบเรื่องการทุจริตแล้ว ยังมีสิ่งใดที่พวกข้าไม่กล้าทำบ้าง!”
ครั้นเขาพูดถึงตอนท้ายก็กำหมัดแน่น เส้นเลือดสีเขียวที่ปูดนูนเต้นตุบ ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาร้อนระอุ
บางคนในกลุ่มสายสืบที่อยู่ข้างหลังทนไม่ไหวจึงส่งเสียงก่นด่าอันขุ่นเคืองและเจ็บปวด เสียงเหล่านี้ดังขึ้นเป็นระลอก ทุกคนที่รู้สึกขัดกับหลักมโนธรรมของตนหลับตาจมดิ่งลงไป อดที่จะนึกถึงราษฎรในเมืองมิได้
จ้าวหนิง ขุนนางทุจริตมองดูคนกลุ่มนี้แล้วก้มหน้าลงอย่างสิ้นหวัง
เรื่องเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกท้องที่
ขุนนางดีที่เป็นห่วงราษฎรบางคนก้าวออกมาเป็นผู้นำในการจับกุมขุนนางทุจริตและยึดหลักฐานการทุจริตของพวกเขาไว้ รอเพียงราชสำนักส่งคนมาตรวจสอบ บางท้องที่ไม่มีขุนนางก้าวออกมาก็จะมีเหล่าบัณฑิตที่เป็นฝ่ายลงแรง หลังจากเหล่าบัณฑิตที่ติดต่อกับนครหลวงอยู่เป็นนิจรู้เรื่องความเคลื่อนไหวและระดับความรุนแรงในการต่อต้านการทุจริตแล้ว บางสิ่งก็จุดประกายขึ้นในใจ บางสิ่งที่ว่านี้เองที่มอบความกล้าหาญให้พวกเขามารวมตัวกัน แล้วเรียกร้องให้ราษฎรยับยั้งการกระทำรื้อกำแพงด้านตะวันออก เสริมกำแพงด้านตะวันตก ของขุนนางทุจริต ทำให้ขุนนางทุจริตเหล่านั้นไม่กล้าเคลื่อนไหวและไม่กล้าใช้เงินส่วนตัวชดเชยแทนส่วนที่ถูกยักยอกไป
“ทุกท่าน!” เหล่าบัณฑิตร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะ แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบอกผู้คนเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตของราชสำนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาพูดจนคอแห้งผากด้วยเสียงอันดังและหนักแน่น “ราชสำนักจะต้องจับขุนนางทุจริตได้อย่างแน่นอน! ฝ่าบาทจะต้องให้คนที่กลั่นแกล้งราษฎรตามอำเภอใจเหล่านี้ได้รับโทษ!”
ในสมัยราชวงศ์ต้าเหิงนั้นมีอิสระในการกล่าวคำวิจารณ์ต่อธารกำนัล ทว่าในระบบราชสำนักเช่นนี้ ผลจากการที่เหล่าบัณฑิตซึ่งยังมิได้เป็นขุนนางล่วงเกินเหล่าขุนนางจะเป็นอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจทราบได้ หากพวกเขาทำเช่นนี้แล้วราชสำนักมิได้สืบหาขุนนางทุจริต พวกเขาก็จะอยู่เหมือนตายทั้งเป็น
แต่เมื่อพวกเขามองดูชาวบ้านที่เปี่ยมไปด้วยการเฝ้าคอย มองดูราษฎรที่ตะโกนว่า “ฝ่าบาททรงพระเจริญ” และ “ขุนนางทุจริตสมควรตาย” ก็เกิดพลังเอ่อล้นอยู่ในอก อารมณ์เช่นนี้ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับขุนนางทุจริตเหล่านั้น
ขุนนางมือสะอาด ปัญญาชน และราษฎรเหล่านี้ได้ใช้ความพยายามอันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างสถานการณ์ซึ่งส่งผลดีแก่ราชสำนัก ราชสำนักก็จะไม่นิ่งดูดายโดยเด็ดขาด
ระยะนี้ในนครหลวงได้ปรากฏสิ่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ซึ่งมีขายอยู่ในร้านขายตำราของสกุลจางแห่งจิงซีและขายเพียงหนึ่งร้อยฉบับต่อวันเท่านั้น
บทความในนั้นมักจะติดตามกระบวนการต่อต้านการทุจริตอยู่เสมอ เป็นต้นว่าช่วงนี้มีขุนนางคนใดหลุดจากตำแหน่งในอำเภอใดบ้าง ฉ้อโกงเรื่องใดบ้าง กระทั่งเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องใดบ้างล้วนถูกบันทึกไว้อย่างชัดแจ้ง นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวน่าประทับใจ มุมมอง และประโยชน์ของการต่อต้านการทุจริตของผู้คนจากทุกพื้นที่เป็นต้น นับเป็นการนำความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตระดับแผ่นดินออกสู่สายตาราษฎรอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้ราษฎรในนครหลวงแย่งชิงกันต่อแถวหน้าร้านขายตำราของสกุลจางตั้งแต่ก่อนฟ้าสางเพื่อที่จะได้เห็นเนื้อหาใน ‘ข่าวสารต้าเหิง’ เป็นคนแรก
ราษฎรในนครหลวงไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งเหล่านี้ก็คล้ายกับเห็นของอันเป็นที่รักและไม่อยากที่จะพลาดมันไป ทุกครั้งที่พวกเขาเห็นราษฎรในแต่ละพื้นที่หลั่งน้ำตาดังสายฝนเวลาที่มีขุนนางหลุดออกจากตำแหน่ง ก็พลันน้ำตาคลอเบ้าโดยไม่รู้ตัว ลอบซับน้ำตาเงียบๆ และเมื่อได้ยินมณฑล จังหวัด หรืออำเภออื่นกล่าวสรรเสริญถึงพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้แล้วก็ยิ่งอดที่จะยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจมิได้
บทความและเนื้อหาเช่นนี้ง่ายต่อการรวมตัวราษฎร กระชับความรู้สึกเป็นเจ้าของแว่นแคว้นและความเป็นกลุ่มเป็นก้อนที่มีต่อผู้ปกครองอย่างยิ่ง
แน่นอนว่านี่คือฝีมือของกู้หยวนไป๋
ในโรงน้ำชา
ผู้เล่าเรื่องเคาะไม้ปลุกสติ โดยมี ‘ข่าวสารต้าเหิง’ วางอยู่ข้างมือ เขากล่าวด้วยเสียงอันดัง “…รองผู้ว่าการอำเภอในเมืองหวงผูกับสายสืบทุกคนนำตัวผู้ว่าการอำเภอละโมบกลับไปในเมือง! ได้ยินว่าเป็นเพราะเหล่าราษฎรถูกจำกัดเวลาจึงไม่อาจออกจากบ้านได้ พวกเขาจึงมองเหตุการณ์นี้จากรอยแยกของประตูและหน้าต่าง พวกเขาปีติยินดีและต้องการจะโห่ร้องแสดงความดีใจ แต่กลับต้องปิดปากของตนไว้เพราะเกรงว่าจะทำให้เหล่าเด็กชายเด็กหญิงที่หลับสนิทสะดุ้งตื่น”
“ก่อนที่เจ้าหน้าที่หน่วยควบคุมดูแลของราชสำนักพวกเราจะไปถึง ชาวเมืองหวงผูต่างเฝ้าอยู่ที่ประตูเมืองทุกวัน ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าออกเพื่อป้องกันมิให้ผู้ว่าการอำเภอหลบหนี หลังจากเจ้าหน้าที่หน่วยควบคุมดูแลของพวกเราไปถึงก็ได้ตรวจสอบจวนของผู้ว่าการอำเภอและยุ้งฉางท้องถิ่นโดยละเอียด จึงพบว่ามีการฉ้อโกงครั้งยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง! เจ้าหน้าที่หน่วยควบคุมดูแลใช้เวลาสามวันก็สามารถสรุปจำนวนที่ผู้ว่าการอำเภอเมืองหวงผูฉ้อโกงไปได้อย่างถี่ถ้วน” ผู้เล่าเรื่องพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา เคาะไม้ปลุกสติอีกครั้ง “รวมทั้งสิ้นสามแสนตำลึง! มันคือรายได้สิบปีของชาวหวงผูกว่าพันครัวเรือนเชียว! ไม่ต้องกล่าวถึงจำนวนการทุจริต หน่วยควบคุมดูแลของพวกเราก็ทนไม่ได้และฝ่าบาทก็คงทนไม่ได้อย่างแน่นอน! วันนั้น คนของหน่วยควบคุมดูแลได้ตัดสินโทษประหารชีวิตให้กับผู้ว่าการอำเภอหวงผู ครั้นการตัดสินถูกประกาศ ทั่วทั้งเมืองต่างโห่ร้องยินดี รวมถึงชาวนาที่ทำงานอย่างหนักทว่าโดนปล้นจนสิ้นเนื้อประดาตัวก็พากันน้ำตาไหลออกสองตา”
“ลูกเด็กเล็กแดงไม่เข้าใจความโศกเศร้าของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ทว่าก็กระโดดโลดเต้นยินดีตามไปด้วย พ่อแม่ปู่ย่าตายายเหล่านั้นเช็ดน้ำตาจนเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า ทั้งยังสิ้นกังวลกับสถานการณ์เรื่องผู้ว่าการอำเภอจ้าวหนิงในตอนนี้และยังซาบซึ้ง ในวันที่จ้าวหนิงถูกตัดศีรษะนั้นในทั่วตรอกคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงโห่ร้องว่า ‘ประเสริฐนัก!’ ดังไปไกลร้อยหลี่ เมื่อถึงเวลาคมดาบฟาดฟันลง ศีรษะของจ้าวหนิงผู้นั้นก็ถูกบั่นแล้ว!”
“ประเสริฐนัก!”
เสียงโห่ร้องดังทั่วด้านล่างเวที ทุกคนต่างอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นเร้าใจ “แล้วหลังจากนั้นเล่า ทรัพย์สินที่ค้นได้จากจวนขุนนางทุจริตเล่า!”
ผู้เล่าเรื่องยิ้มเอ่ย “ก่อนที่ฝ่าบาทจะส่งคนปราบปรามพวกทุจริตก็ได้กำหนดข้อบังคับไว้แล้ว ทรัพย์สินทุกอย่างที่ริบมาจากขุนนางทุจริต ส่วนหนึ่งแบ่งให้ท้องที่เพื่อใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง เงินที่มาจากราษฎรย่อมนำไปใช้เพื่อราษฎร อีกส่วนหนึ่งเก็บเข้าราชสำนักเพื่อเติมท้องพระคลัง”
“คำว่าก่อสร้างคำนี้ถูกเขียนไว้ในรายงาน เป้าประสงค์เพื่อใช้ในการสร้างและตกแต่ง ทรัพย์สินส่วนที่ฝ่าบาทแบ่งไว้ให้ท้องที่นั้น จะนำมาใช้ในการซ่อมแซมถนน!”
“ซ่อมแซมถนนรึ” คนที่อยู่ด้านล่างพึมพำ “จะเริ่มซ่อมแซมถนนแล้ว”
ภายในห้องส่วนตัวของโรงน้ำชากู้หยวนไป๋ยกถ้วยชาขึ้นทว่ากลับฟังคำอันเร่าร้อนน่าหลงใหลของผู้เล่าเรื่องชั้นล่างจนใจลอย ลืมจิบชาไปชั่วขณะ
หลังจากได้ยินผู้คนเบื้องล่างเริ่มเสวนาถึงเรื่องการซ่อมแซมถนนกันอย่างกระตือรือร้นแล้ว เขาก็ยิ้มเล็กน้อยและจิบน้ำชาอย่างแผ่วเบา
การที่ราชสำนักสามารถทำในสิ่งที่ราษฎรโหยหาได้ต่างหาก จึงจะเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการพิชิตและรวบรวมใจของผู้คน