everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2 บทที่ 45-46 #นิยายวาย
บทที่ 46
ผู้ที่มีเงินเหลือเฟือต่างมารวมตัวกันในโรงน้ำชาเพื่อสั่งอาหารราคาถูกและฟังผู้เล่าเล่าเรื่องราวอย่างเพลิดเพลิน ส่วนชายที่ไม่มีเงินด้านนอกได้แต่ยืนผึ่งหูฟัง เห็นอย่างชัดเจนว่าทุกคนไม่สามารถทำอะไรเพื่อต่อต้านการทุจริตได้ ทว่าพวกเขากลับให้ความสนใจกับการต่อต้านการทุจริตอย่างใกล้ชิดกว่าปกติ
เซวียหย่วนเองก็คิดไม่ถึงว่ากู้หยวนไป๋จะอนุญาตให้ราษฎรรับรู้ถึงกระบวนการต่อต้านการทุจริตด้วย ซ้ำยังนำบันทึกเงินทองที่ปล้นมาได้เขียนลงกระดาษเพื่อวางขายอีกด้วย
‘ข่าวสารต้าเหิง’ เป็นฝีมือของกู้หยวนไป๋ จดหมายที่ถูกส่งมาจากสำนักตรวจการและหน่วยควบคุมดูแลจะถูกส่งไปที่สกุลจางทุกวันเพื่อให้พวกเขาจัดการคัดลอก
ผู้คนในนครหลวงต่างกระตือรือร้นไปกับความตื่นเต้นของราษฎรในท้องที่ต่างๆ และรู้สึกขุ่นเคืองกับการกระทำของขุนนางทุจริตเหล่านั้น
หลังจากที่รู้ว่าบ้านเมืองนี้กำลังทำสิ่งใดอยู่และรู้ถึงสถานการณ์ของราษฎรในท้องที่แล้ว ราษฎรที่ยุ่งอยู่กับการหาเลี้ยงชีพเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาทันที ไม่เหมือนศพเดินได้ที่เคยไถดิน กินข้าว และนอนเหมือนอย่างในอดีตอีกต่อไป
ชาวนาวัยชราและชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์จำนวนมากจับมือกันไปยังประตูเมืองเพื่ออ่าน ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ที่หน้าประตูจวนว่าการด้วยใบหน้าแดงก่ำ ผึ่งหูตั้งใจฟังเนื้อหาที่ถูกอ่านอย่างรวดเร็ว
พวกเขาอ่านตัวอักษรไม่ออก ไร้อารยธรรม ยังไม่รู้แจ้ง และสติปัญญายังไม่เกิด บางคราวไม่เข้าใจเนื้อหาในรายงานด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับสถานการณ์ทุจริตในท้องที่ต่างๆ เล่า
แต่มันก็เป็นคำขอของกู้หยวนไป๋ ทุกวันเขาจะให้สกุลจางนำ ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ไปส่งที่ประตูจวนว่าการ ให้ผู้ว่าการนครหลวงจัดคนอ่านให้เหล่าราษฎรฟังโดยใช้ภาษาพูดไม่เป็นทางการในยามที่กำหนดทุกวัน หากเพิ่มความธรรมดาสามัญได้ก็ให้เพิ่มเข้าไปเพื่ออ่านให้พวกเขาฟัง
ผู้ว่าการนครหลวงกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยไม่คิดว่านี่มีประโยชน์อันใด เหล่าราษฎรที่ประเดี๋ยวเกรี้ยวกราดประเดี๋ยวยินดีไปตามเนื้อหาในสาส์นข่าวก็ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อันใด
แต่กู้หยวนไป๋กลับยืนกราน ทั้งยังเชื่อว่ามันมีประโยชน์มหาศาล
ในฐานะจักรพรรดิย่อมมีหน้าที่ให้การศึกษาแก่ราษฎร
ทุกอย่างล้วนมีพลังอำนาจที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หากไม่ทำตั้งแต่แรกก็ไม่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เลย
ครั้นเซวียหย่วนมองดูฉากนี้ก็พลันรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในอดีต และบางอย่างนี้คล้ายจะเรียกว่าความสงบ
บางอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสขณะที่อยู่ชายแดน และสิ่งนี้ก็มาจากกู้หยวนไป๋
หัวใจที่จงรักภักดีต่อกู้หยวนไป๋เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลงมองกู้หยวนไป๋ แล้วก็เห็นว่ากู้หยวนไป๋กำลังดื่มชาที่บัดนี้เย็นชืดด้วยรอยยิ้ม หนังตาเซวียหย่วนกระตุก หยิบถ้วยชาอีกใบจรดใต้ปากของกู้หยวนไป๋ เอ่ยว่า “บ้วนออกมา”
น้ำชาอึกนั้นติดอยู่ในลำคอ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กู้หยวนไป๋มองเขาด้วยความแปลกใจ เซวียหย่วนทนสายตาเช่นนี้ของอีกฝ่ายมิได้ ทันทีที่ถูกมองทั้งตัวก็รู้สึกชาวาบเพียงครู่เดียวน้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงไปมาก “ฝ่าบาท น้ำชาเย็นแล้ว บ้วนออกมาพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋บ้วนน้ำชาออกมาแล้วกล่าวชี้แจงข้อเท็จจริง “เจิ้นก็ดื่มชาน้ำแข็งในฤดูร้อนเหมือนกัน”
ชาน้ำแข็งคือชาที่ต้มจากน้ำแข็ง เซวียหย่วนสงสัย “พระองค์ดื่มได้หรือ”
กู้หยวนไป๋วางถ้วยชาลง เถียนฝูเซิงที่ยกน้ำชากาใหม่มาให้ได้ยินดังนี้ก็ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเอ่ย “นานๆ ฝ่าบาทจะดื่มสักคราไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่ทุกครั้งก็ไม่กล้าให้ฝ่าบาทดื่มมากจนเกินไป เกรงว่าจะทำให้พระวรกายเย็น”
เซวียหย่วนมองกู้หยวนไป๋ครั้งแล้วครั้งเล่า มองดูใบหน้าเรียวยาวและมือที่อ่อมนุ่มของเขาก็พยักหน้าอย่างยากที่จะเห็นด้วย
กู้หยวนไป๋อดที่จะหัวเราะไม่ได้ เซวียหย่วนอยู่ข้างกายเขานานแล้ว ทหารองครักษ์ผู้นี้ที่เป็นคนหยาบคายก็ถูกผู้คนโดยรอบหล่อหลอมได้เช่นกัน เขาปฏิบัติต่อกู้หยวนไป๋ราวกับเครื่องลายครามที่เปราะบาง คล้ายเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายใดๆ กับกู้หยวนไป๋
เพียงแต่เขาเกิดมาพร้อมกับความกล้าหาญ คนอื่นไม่กล้าเข้ามาโน้มน้าวทว่าเขากลับกล้าลงมือโดยตรง
ผู้เล่าเรื่องด้านล่างได้เปลี่ยนเรื่องเป็นกระบวนการต่อต้านการทุจริตในท้องที่อื่นแล้ว เหล่าราษฎรยังคงเบียดเสียดกันที่ประตูเมืองเช่นเคย คนทั้งนครต่างปิดกั้นหน้าประตูจวนว่าการท้องถิ่น บรรดาบุรุษซุกตัวนอนอยู่ในผ้าห่มหน้าประตูจวนว่าการในยามกลางคืน ส่วนยามกลางวันก็รอภรรยามาส่งข้าวส่งน้ำจากบ้านที่ตรงหน้าประตูจวนว่าการ รออยู่เช่นนี้จนกว่าเจ้าหน้าที่หน่วยควบคุมดูแลจะมาถึง
ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากราษฎรและเจ้าหน้าที่เหล่านี้ที่ทำให้การจับกุมขุนนางทุจริตกลายเป็นเรื่องที่ราบรื่นขึ้นมาก
กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจด้วยอารมณ์ “บัดนี้ได้จัดการขุนนางทุจริตกลุ่มหนึ่งแล้ว ก็ประจวบเหมาะกับที่ขุนนางผู้ประพฤติดีมีคุณธรรมอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพอดี”
เซวียหย่วนกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ “กระหม่อมเองก็มีความดีความชอบพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เหลือบมองเขา หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามีความดีความชอบอันใด”
เซวียหย่วนกล่าวถึงหลักเหตุผลของโจรอย่างเป็นธรรมชาติ “กระหม่อมปกป้องฝ่าบาท คุ้มกันฝ่าบาท ตราบใดที่พระวรกายของฝ่าบาทแข็งแรง การต่อต้านการทุจริตย่อมเป็นไปอย่างราบรื่น”
กู้หยวนไป๋ชอบใจ “เดี๋ยวนี้องครักษ์เซวียรู้จักพูดจามีเล่ห์เหลี่ยมแล้ว”
เซวียหย่วนคิดในใจว่า หยุดหัวเราะได้แล้ว ท่านหัวเราะจนหัวใจของข้าเต้นเร็วขึ้นทุกที
เซวียหย่วนกอดอกซ่อนหัวใจที่เต้นแรงไว้แล้วทอดถอนใจ ทว่าปากกลับไม่ตรงกับใจ สายตาเขาจับจ้องอยู่บนใบหน้าของกู้หยวนไป๋ สุดท้ายมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มตาม
หลังจากดื่มชาในโรงน้ำชาเสร็จ กู้หยวนไป๋ก็พาคนมาถึงร้านขายตำราของสกุลจาง การสร้างเส้นทางการค้านั้นต้องเตรียมการเป็นอย่างมาก ซึ่งบัดนี้แผนที่สกุลจางจะสร้างเส้นทางการค้าสำหรับฮ่องเต้นั้นได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว จดหมายสอบถามที่พ่อค้าต่างถิ่นส่งมาให้สกุลจางได้กองสุมจนกลายเป็นภูเขาขนาดย่อม คนในสกุลจางต่างยุ่งกับงานจนหน้ามืดตาลาย ทั้งยังต้องเข้มงวดกับลูกหลานทุกคนในตระกูลอีกว่าห้ามมิให้เกิดข้อผิดพลาดโดยเด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้ ลำพังเพียงการเตรียมเส้นทางการค้าที่เขตชายแดนก็กินเวลาไปเดือนกว่าเสียแล้ว
สกุลจางทูลรายงานความคืบหน้าในปัจจุบันแก่กู้หยวนไป๋ด้วยความลำบากใจ ทว่ากู้หยวนไป๋กลับกล่าวว่า “เจิ้นได้คิดถึงขั้นนี้แล้ว แม้ช่วงนี้พวกเจ้าจะยังขยับตัวไม่ได้มาก เจิ้นก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำก่อนที่เส้นทางการค้าจะถูกสร้างขึ้น”
แววตาของฮ่องเต้ล้ำลึก เอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “เจิ้นต้องการส่งทหารไปกำราบเผ่าเร่ร่อนกลุ่มนั้น”
หนังตาของเซวียหย่วนกระตุกมองไปที่อีกฝ่ายทันใด ดวงตาของเขาทอเป็นประกายด้วยแสงนับหมื่นพัน
เผ่าเร่ร่อนจะต้องถูกกำราบก่อนการก่อสร้างจะเริ่มขึ้น
ไม่กำราบไม่ได้!
สถานการณ์อันน่าสลดของทหารชายแดนและเหล่าราษฎรที่เซวียหย่วนกล่าวถึงก่อนหน้านี้ เป็นหนามทิ่มแทงหัวใจของกู้หยวนไป๋ เวลานั้นเขาทะลุมิติมายังต้าเหิงและได้กลายเป็นฮ่องเต้แล้ว ทว่าอำนาจในราชสำนักกลับถูกหลูเฟิงยึด ทั้งราชสำนักปกคลุมไปด้วยบรรยากาศเลวร้าย เป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดที่กู้หยวนไป๋ประสบมา
เขาใช้เวลาสามปีในการล้มหลูเฟิง ปกครองราชสำนักด้วยตัวเองจนป่านนี้ยังไม่ครบครึ่งปีดี เขาทำงานอย่างหนักเพื่อระดมกำลังและฝึกหน่วยควบคุมดูแล ก็เพราะกู้หยวนไป๋ไม่ต้องการประสบกับช่วงเวลาอันมืดมนเช่นนั้นอีก
เขารู้ดีว่าผู้คนในต้าเหิงต่างเผชิญกับความยากลำบากมากมายเพียงใด และต้องสูญเสียชีวิตในขณะที่เขาอยู่บนบัลลังก์มากมายเท่าไร ระบบรากฐานของราชวงศ์ต้าเหิงเน่าเฟะ กู้หยวนไป๋เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เขารู้ดีว่าความขี้ขลาดของฮ่องเต้จะนำไปสู่หายนะอย่างไรบ้าง ทว่าในตอนนั้นเขากลับทำอะไรไม่ได้เลย
บัดนี้กำลังทหารของเขาเข้มแข็งแล้ว เส้นทางไปชายแดนก็พร้อมก่อสร้าง ทันทีที่สร้างถนนเสร็จการสัญจรสะดวก เขาก็สามารถดูแลพื้นที่ชนเผ่าเร่ร่อนได้
หากต้องการวัว ม้า และแกะจากเผ่าเร่ร่อนก่อนที่เส้นทางจะสร้างเสร็จ ก็ต้องทำให้พวกเขารู้ว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎของต้าเหิง
หลังกู้หยวนไป๋กล่าวคำว่า ‘กำราบเผ่าเร่ร่อน’ แล้ว ดวงตาของเซวียหย่วนก็เปล่งประกายตลอดเวลา เขากุมดาบใหญ่ที่เอวแน่น เหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่รอบกายต่างรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในตัวเขา
ทหารองครักษ์เหล่านี้ยังคงจดจำเรื่อง ‘แกะสองขา’ ที่เขาเล่าระหว่างล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิได้ หนึ่งในนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “เซวียหย่วน เผ่าเร่ร่อนกำราบง่ายหรือไม่”
เซวียหย่วนกล่าวเสียงดัง “ยาก”
เหล่าทหารองครักษ์ “…”
สีหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย มองดูเซวียหย่วนที่เดือดพล่านจนราวกับว่ามันจะปะทุออกมา ไม่เข้าใจว่าหากมันยากนักแล้วเหตุใดเขาจึงอยู่ในสภาพที่กระตือรือร้นเช่นนี้
กู้หยวนไป๋ก็ได้ยินว่าคำว่ายากนี้เช่นกัน เขาให้เซวียหย่วนก้าวมาข้างหน้าแล้วจ้องมองอีกฝ่าย “ว่ามาซิ”
หากแต่สกุลจางกล่าวขึ้นมาเสียก่อน “ฝ่าบาท บัดนี้ลูกหลานของกระหม่อมต่างรวมตัวกันในนครหลวงแล้ว ฝ่าบาทยังต้องการจะพบพวกเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ยิ้มเล็กน้อย “เจิ้นได้ยินมาว่าลูกหลานของสกุลจางแห่งจิงซีล้วนโดดเด่นทุกคน นานๆ ทีเจิ้นจะออกมาสักครา แน่นอนว่าอยากพบเสียหน่อย”
คนของสกุลจางถอยออกไป ข้ารับใช้ปิดงับประตู แสงในห้องพลันมืดสลัว สามารถมองเห็นฝุ่นผงที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศได้อย่างชัดเจน
กู้หยวนไป๋พูดขึ้น “นั่งเถิด”
คนในห้องที่ควรนั่งต่างนั่งลงแล้ว เซวียหย่วนนั่งด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผยและห้าวหาญยิ่ง กู้หยวนไป๋สั่งให้คนยกน้ำชามาให้พวกเขา หลังจากกลั้วปากกลั้วคอแล้วก็กล่าวว่า “เซวียหย่วน กำราบเผ่าเร่ร่อนยากมากหรือ”
เซวียหย่วนที่กำลังจะพูดเผลอเหม่อมองสีปากของฮ่องเต้น้อยอย่างน่าประหลาดใจ ก่อนจะดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยว่า “เผ่าเร่ร่อนมีความกล้าหาญ ขี่ม้ายิงธนูไม่เป็นสองรองใคร ต้าเหิงได้รับการก่อกวนอยู่เสมอและไม่เคยโต้กลับได้เลย พวกเขาจึงยิ่งได้ใจพ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้นรู้เรื่องพวกนี้” กู้หยวนไป๋พยักหน้าน้อยๆ “ทว่าเมื่อกำราบยากเช่นนี้ พวกเจ้าก็ยังสามารถแย่งม้าชั้นดีมาจากมือของพวกเขาได้อย่างมากมาย”
มุมปากของเซวียหย่วนยกขึ้น ลอบยิ้มเยาะเล็กน้อย “แม้เผ่าเร่ร่อนมีความกล้าหาญ แต่การล่าถอยอย่างต่อเนื่องของต้าเหิงได้ช่วยทำให้พวกเขามั่นใจในตัวเอง พวกเขาคิดเสมอว่าตนไม่มีวันพ่ายศึก ทว่าทันทีที่ต้าเหิงแสดงแสนยานุภาพ พวกเขาก็จะพ่ายในทันทีและเป็นความพ่ายแพ้อย่างราบคาบพ่ะย่ะค่ะ”
“ตราบใดที่มีแนวโน้มว่าจะพ่ายแพ้ พวกเขาจะหลบหนีด้วยความตื่นตระหนก กลายเป็นพวกไร้ประโยชน์ ในบรรดาเผ่าเร่ร่อนถูกแบ่งออกเป็นแปดกลุ่ม พวกเขาจะไม่รวมตัวกันง่ายๆ บัดนี้ผู้นำหลักของชาวชี่ตัน รุ่นก่อนอายุมากแล้ว อีกทั้งผู้นำทั้งแปดกลุ่มขยายอำนาจไปอย่างก้าวกระโดด พวกเขากระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ โดยจะไม่สร้างพันธมิตร ถ้าต้องการจะสู้รบก็ง่ายมากพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋พยักหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
สถานการณ์บ้านเมืองของราชวงศ์ต้าเหิงค่อนข้างปั่นป่วน
ครั้นตอนที่กู้หยวนไป๋เพิ่งมาถึงก็รู้สึกหัวหมุนกับสถานการณ์ที่วุ่นวายเหล่านี้ ถือโคมอ่านตำราข้ามคืนอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ตัวเองเข้าใจเงื่อนไขและความคิดระดับแผ่นดิน และความเข้าใจครั้งนี้ก็ทำลายประวัติศาสตร์หลังราชวงศ์ถังที่อยู่ในความทรงจำอย่างสิ้นเชิง
ต้าเหิงมีประวัติศาสตร์ของตัวเองที่ปะปนกับแคว้นใกล้เคียงในแต่ละยุคสมัย การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ในสมัยแรกนั้นไม่ใหญ่นัก หลังจากที่กู้หยวนไป๋ผ่านช่วงเวลาถือโคมไฟอ่านตำราข้ามคืนจบก็หล่อหลอมเข้ากับราชวงศ์นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เหมือนกับเรื่องราวของชี่ตันและกลุ่มทั้งแปด เขาก็สามารถปรับตัวให้เข้าใจได้เป็นอย่างดี
เซวียหย่วนเอ่ยต่อ “ตอนที่กระหม่อมเฝ้าชายแดนอยู่กับแม่ทัพเซวีย ทางราชสำนักก็ได้ส่งผู้บัญชาการชายแดนมา ทว่าล้วนเป็นปัญญาชนที่ไม่เคยนำทัพทั้งสิ้น”
กู้หยวนไป๋ตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองเซวียหย่วน นี่น่าจะเป็นเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะทะลุมิติมา
“ปัญญาชนเหล่านั้นไม่เข้าใจการทหาร อ่านตำราพิชัยยุทธไม่กี่เล่มก็นึกว่าการเป็นแม่ทัพนั้นง่าย พวกนั้นดูถูกนักรบ ไม่ฟังคำแนะนำของพวกเขา ทะนงตัวอวดดี ใจสูงกว่าท้องฟ้า เสียอีก” น้ำเสียงของเซวียหย่วนเรียบง่าย “แต่เมื่อแพ้ก็เร็วกว่าภูผาถล่ม”
กู้หยวนไป๋ได้ยินดังนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่ให้ปัญญาชนเป็นผู้นำทัพ คือความคิดอัจฉริยะของผู้ใดกันหรือ
หากเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริงก็ช่างเถิด อย่างไรก็ดีผู้ช่ำชองในตำราพิชัยยุทธทว่าอ่อนประสบการณ์เช่นนี้ทำให้เขาอดนึกถึงหม่าซู่ ผู้สืบทอดที่จูเก๋อเลี่ยง ชื่นชมนักหนามิได้ หม่าซู่เป็นผู้ที่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับการทหารได้อย่างดีเยี่ยม แต่สุดท้ายแล้วประสบการณ์น้อยเกินไป ทำร้ายตัวเองจนต้องพบกับจุดจบที่ถูกจูเก๋อเลี่ยงตัดศีรษะทั้งน้ำตา ในทางกลับกันหวังผิง ที่ทั้งชีวิตรู้อักษรเพียงสิบตัว แม้จะกล่าวได้ว่าอ่านตำราไม่ออก ทว่ากลับเป็นมีพรสวรรค์ในการนำทัพยิ่ง
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันเป็นการกดดันจากหลูเฟิงที่มีต่อสกุลเซวียแน่ สกุลเซวียจงรักภักดีมาสามชั่วอายุคน ในฐานะขุนนางชั่วหลูเฟิงย่อมเกรงกลัวความจงรักภักดีเช่นนี้
กู้หยวนไป๋ไตร่ตรองครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาก็ให้องครักษ์เซวียนำทัพ จากที่เจ้าพูด การกำราบเผ่าเร่ร่อนคงไม่ใช่เรื่องยาก?”
เซวียหย่วนได้ยินดังนี้ก็อดที่จะพูดไม่ได้ว่า “จะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋พยักหน้า นอกประตูมีคนรายงานการมาถึงของคนในสกุลจางพอดี กู้หยวนไป๋จึงสั่งให้คนพาพวกเขาเข้าพบ
หนึ่งในเหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่โดยรอบกระทุ้งๆ เซวียหย่วน แล้วถาม “ใต้เท้าเซวีย พอรู้ว่าจะได้ไปสู้กับพวกเร่ร่อนที่ชายแดนก็มีความสุขเพียงนี้เชียวหรือ”
เซวียหย่วนงุนงง “อย่างไรรึ”
ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งกล่าวอย่างประหลาดใจ “ต่อให้ท่านมีความสุข ก็ไม่จำเป็นต้องฉีกยิ้มเพียงนี้กระมัง”
เซวียหย่วนอึ้งไป ยกมือขึ้นสัมผัสมุมปาก ที่ไม่คาดคิดเลยก็คือมุมปากของเขากำลังยกขึ้นจริงๆ
เขามีความสุขเพราะจะได้ไปกำราบเผ่าเร่ร่อนจริงหรือ
เช่นนั้นก็ดีใจจนออกนอกหน้าเกินไปแล้ว
เซวียหย่วนขมวดคิ้ว พยายามข่มมุมปากที่ยกขึ้นไม่หยุด แต่เพียงเขานึกถึงคำพูดของกู้หยวนไป๋ที่เชื่อมั่นในความสามารถของตนเมื่อครู่ ก็อดที่จะอยากหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้
เขาเหลือบมองกู้หยวนไป๋โดยไม่รู้ตัว
กู้หยวนไป๋ราวกับรับรู้ได้จึงหันมามองเขาเช่นกัน เมื่อเห็นหน้าตาเหยเกของเซวียหย่วนที่อยากจะยิ้มแต่ข่มไม่ให้ยิ้มแล้วก็อดที่จะรู้สึกขบขันมิได้
ความขบขันของเขาในครั้งนี้ทำให้ริมฝีปากสีจางโค้งขึ้น และคล้ายจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู
สีชมพู
เซวียหย่วนข่มไว้ไม่ไหว เขาไม่สามารถข่มมุมปากไม่ให้ยกขึ้นได้อีก
มารดามันสิ เหตุใดกู้หยวนไป๋ถึงได้…เหตุใดถึงได้ยิ้มให้เขาอย่างงดงามเพียงนี้
หมายความว่าอย่างไรกัน!
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 20 ก.ค. 65