everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2 บทที่ 47-49 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 47
เหตุใดถึงได้ยิ้มให้เขาอย่างงดงามเพียงนี้
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน
ครั้นออกมาจากร้านขายตำราสกุลจางแล้วเซวียหย่วนยังงุนงงจนแทบแยกทิศทางไม่ออก ทว่าทันทีที่เขาเห็นฉู่เว่ยซึ่งเป็นดังต้นหยกเล่นลม* หน้าร้านขายตำราสกุลจางก็ได้สติขึ้นมาฉับพลัน
มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งติดตามฉู่เว่ยอย่างใกล้ชิด น่าจะมาหาซื้อตำรา เมื่อเขาเห็นคนกลุ่มนี้ก็ประหลาดใจเล็กน้อย ขณะที่กู้หยวนไป๋เดินออกมาจากร้านขายตำราฉู่เว่ยก็รีบเดินเข้าไปหา กำลังจะโค้งคำนับแต่สองแขนนั้นกลับถูกกู้หยวนไป๋ประคองไว้ได้ทันท่วงที
“ไม่ต้องทำเช่นนี้” กู้หยวนไป๋ยิ้มเอ่ย “วันนี้ใส่ชุดธรรมดา พิธีการเหล่านี้ก็ให้งดเว้นเถิด”
ฉู่เว่ยจึงยืดตัวตรง เอ่ยว่า “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
กู้หยวนไป๋ยิ้มน้อยๆ เดินไปบนถนนกับเขา “วันนี้ฉู่ชิงมาซื้อตำราหรือ”
“กระหม่อมต้องการซื้อ ‘ข่าวสารต้าเหิง’ สักฉบับพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่เว่ยยิ้มอย่างขมขื่น “คิดไม่ถึงว่าจะขายดีเช่นนี้ ได้ยินว่าทุกวันที่เปิดร้านไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ขายจนหมดเสียแล้ว”
นับตั้งแต่ ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ได้ถือกำเนิดขึ้น ทุกจวนว่าการรวมถึงจวนขุนนางต่างๆ ล้วนมีคนส่งสาส์นข่าวไปให้ถึงหน้าประตู แม้ฉบับเดียวจะดูน้อยแต่ก็เพียงพอแล้วที่เหล่าสหายผู้ร่วมงานจะหมุนเวียนกันอ่านภายในหนึ่งวัน ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่เข้างานฉู่เว่ยจึงไม่เคยรู้เลยว่าการซื้อ ‘ข่าวสารต้าเหิง’ หนึ่งฉบับนั้นจะยากเย็นเพียงนี้
วันนี้เป็นวันหยุด เนื่องจากสองพ่อลูกสกุลฉู่คุ้นชินกับการอ่าน ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ในทุกวัน เมื่อบัดนี้ไม่ได้อ่านก็รู้สึกราวกับว่าขาดบางอย่างไปทำให้กระสับกระส่ายยิ่งนัก แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ‘ข่าวสารต้าเหิง’ จะหาซื้อยากเพียงนี้ ร้านขายตำราทั่วทั้งนครหลวงก็มีแค่ร้านขายตำราของสกุลจางที่มีเพียงร้อยฉบับเท่านั้น
กู้หยวนไป๋เลิกคิ้วเรียก “เถียนฝูเซิง”
เถียนฝูเซิงก้าวไปข้างหน้ายื่น ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ฉบับหนึ่งให้แก่ฉู่เว่ย ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ใต้เท้าฉู่ รับไว้เถิด”
ฉู่เว่ยแสดงสีหน้าตกตะลึง จากนั้นมุมปากก็โค้งขึ้น ยิ้มสดชื่นราวกับต้นหลิวต้องสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เขากล่าวคำขอบคุณกับฮ่องเต้และเถียนฝูเซิง ยื่นสาส์นข่าวให้กับบ่าวรับใช้ของตนที่ยืนตัวแข็งทื่อ แล้วเดินทอดน่องไปเป็นเพื่อนฝ่าบาท
เซวียหย่วนที่อยู่อีกฟากหนึ่งยิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าวกับหัวหน้าทหารองครักษ์จางที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความสนิทสนมว่า “ใต้เท้าจาง ท่านเห็นว่าใต้เท้าฉู่เป็นอย่างไร”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางกล่าวจริงจัง “ใต้เท้าฉู่มากความสามารถ มารยาทงาม เป็นเสาหลักของบ้านเมือง”
รอยยิ้มของเซวียหย่วนล้ำลึกขึ้น พยักหน้าเห็นด้วย “ใต้เท้าฉู่มีความสามารถเช่นนี้ มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงได้เอ็นดูเขานัก”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางเอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ฝ่าบาทก็โปรดผู้มีความสามารถ”
“ก็ต้องดูว่าความสามารถนั้นคู่ควรแก่ความโปรดปรานของฝ่าบาทหรือไม่” เซวียหย่วนหรี่ตา พเยิดหน้าให้เขาดู “ท่านดูสิ”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางมองตามไปก็เห็นแววตาที่ใต้เท้าฉู่มองฮ่องเต้ แววตานั้นเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าเย็นเยียบนั้นราวกับผุดระลอกคลื่น แน่นอนว่าท่วงท่าของบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในนครหลวงนั้นไม่อาจหาผู้ใดเทียบได้ ดวงตาดำขลับที่เจือไปด้วยรอยยิ้มของเขาเวลามองฮ่องเต้นั้นราวกับกำลังมองคนรักก็มิปาน
หัวหน้าทหารองครักษ์จางรู้สึกฉงนสนเท่ห์
เสียงของเซวียหย่วนดังขึ้นเรียบๆ “ข้าบังเอิญได้ยินมาว่าใต้เท้าฉู่เหมือนจะชอบบุรุษเพศ”
สีหน้าของหัวหน้าทหารองครักษ์จางแปรเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ก่อนแรงผลักมหาศาลจะถูกส่งมาจากด้านหลัง เซวียหย่วนผลักหัวหน้าทหารองครักษ์จางไปยังเบื้องหน้าของกู้หยวนไป๋ทันที กู้หยวนไป๋หยุดการสนทนากับฉู่เว่ย แล้วหันมาถาม “มีอะไรรึ”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางอ้ำอึ้งอยู่นาน ก่อนเอ่ยว่า “อีกสิบกว่าวันในนครหลวงจะมีเทศกาลโคมไฟ ช่วงนี้มีหลายครอบครัวเริ่มทำโคมไฟกันแล้ว ฝ่าบาทต้องการไปทอดพระเนตรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ ตรงข้ามกลับรู้สึกสนใจในคำชักชวนนี้
หลังจากที่ทะลุมิติมาก่อนที่เขาจะมีอำนาจกู้หยวนไป๋ไม่เคยออกจากวัง พอมีอำนาจแล้วเนื่องจากงานยุ่งจึงไม่เคยสัมผัสกับฉากเทศกาลโบราณที่มีชีวิตชีวาเลย ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกตั้งหน้าตั้งตาคอยอยู่บ้าง “เป็นวันเสี่ยวหม่าน ใช่หรือไม่”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เว่ยกล่าวเสริมอย่างเป็นธรรมชาติ “หลายวันมานี้มารดาของกระหม่อมเพิ่งเตรียมวัสดุทำโคมไฟไว้ หากฝ่าบาทสนพระทัย สามารถกลับไปที่จวนพร้อมกระหม่อมเพื่อลองทำด้วยพระองค์เองได้พ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางมองฉู่เว่ยด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ความระแวดระวังปรากฏขึ้นในแววตา
กู้หยวนไป๋เกิดความสนใจเป็นอย่างมาก เขาพยักหน้าแล้วเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจิ้นจะตามฉู่ชิงไปดูสักหน่อยแล้วกัน”
ความตึงเครียดที่ฉู่เว่ยกล่าวถึงหายไปโดยไม่รู้ตัว เขายิ้มแล้วรับคำ จากนั้นก็นำทางฮ่องเต้อยู่ข้างๆ
เซวียหย่วนก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มเย็นชา จู่ๆ ก็เอ่ยแทรกว่า “ฝ่าบาท หลายวันก่อนใต้เท้าฉู่บาดเจ็บไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้ว่าบัดนี้หายดีขึ้นแล้วหรือไม่”
ฉู่เว่ยหลุบตาลง หมอกในดวงตานั้นหายวับไป ขณะกำลังจะเอ่ยบางอย่างนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ฮ่องเต้จะเผยยิ้มแล้วมองเขากับเซวียหย่วนอย่างมีนัยแอบแฝง เอ่ยเย้าว่า “เจิ้นไม่รู้เลยสักนิดว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าทั้งสองจะสนิทสนมกันเพียงนี้”
คำพูดเพียงประโยคเดียวกลับทำให้สีหน้าของทั้งสองคนดูน่าเกลียด
ไม่รู้ว่ากู้หยวนไป๋กำลังคิดอะไรอยู่ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ยิ้มแต่ไม่พูดจาแล้วหันหน้าไป
ครั้นเห็นสีหน้าของฮ่องเต้เช่นนี้หัวใจของเซวียหย่วนก็เต้นเร็วขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้สนิทกับใต้เท้าฉู่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เอ่ยด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “เจิ้นรู้แล้ว ไม่ต้องพูดมากหรอก”
ท่านรู้อะไร
เซวียหย่วนรู้สึกปวดศีรษะ
ท่ามกลางบรรยากาศที่ยากจะเข้าใจคนทั้งกลุ่มก็เดินมาถึงนอกจวนสกุลฉู่แล้ว ในที่สุดบ่าวรับใช้ของฉู่เว่ยก็ฟื้นคืนสติกลับมาเล็กน้อย เนื้อตัวสั่นเทา วิ่งไปข้างหน้าเพื่อเคาะประตู หลังจากผู้ดูแลจวนเปิดประตูเขาก็กระซิบด้วยความร้อนรน “ฝ่าบาทเสด็จ รีบไปบอกนายท่านกับฮูหยินเร็วเข้า!”
ผู้ดูแลจวนตะลึงงัน “หา?”
บ่าวรับใช้ผลักเขาด้วยความกระวนกระวายใจ “ไปเร็วเข้าสิ!”
ประตูจวนเปิดกว้าง กู้หยวนไป๋เพิ่งจะก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าไปในจวนก็เห็นใต้เท้าฉู่สวินในชุดลำลองรีบเดินเข้ามาพร้อมสวมหมวกอย่างไม่ใคร่เป็นระเบียบนัก หลังเห็นว่ากู้หยวนไป๋มาถึงแล้วจริงๆ ดวงตาก็เบิกกว้าง จากนั้นก็ค้อมคำนับอีกฝ่าย
“ไม่ต้องมากพิธี” กู้หยวนไป๋ยิ้มเอ่ย “เจิ้นได้ยินว่าหลายวันนี้ฮูหยินฉู่กำลังเตรียมทำโคมไฟ เจิ้นรู้สึกอยากรู้อยากเห็นจึงมาโดยมิได้รับเชิญ”
ใต้เท้าฉู่กล่าวเป็นพัลวันว่ามิกล้า จากนั้นก็ส่งคนไปเชิญฮูหยินฉู่มาเพื่อจัดเตรียมข้าวของ
หลังจากนั้นฮูหยินฉู่อยู่ภายในห้องพลางอธิบายให้กู้หยวนไป๋ฟังทีละขั้นตอนด้วยน้ำเสียงจริงจัง กู้หยวนไป๋นั่งอยู่หน้าโต๊ะด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขาลงมือตามคำบอกของฮูหยินฉู่อย่างช้าๆ ผ่านไปเช่นนี้ครู่หนึ่งฮูหยินฉู่ก็รู้สึกสงบลงไม่น้อย
วัสดุทำโคมไฟเหล่านี้ได้รับการตรวจสอบจากคนรอบข้างแล้ว ยามที่กู้หยวนไป๋ใช้มันจึงไม่ได้ระวังมากนัก ครั้นเขาหยิบไม้ไผ่เรียวยาวก้านหนึ่งมาลูบผ่านฝ่ามือก็อดที่จะรู้สึกเจ็บแปลบมิได้ เขาขมวดคิ้วมอง ที่แท้บนไม้ไผ่นี้มีเสี้ยนเล็กๆ และเสี้ยนนี้ก็ได้ตำเข้าไปในฝ่ามือของเขาแล้ว
มือของบรรดาทหารองครักษ์เต็มไปด้วยไตแข็งๆ และแม้ว่ามือของข้ารับใช้ในวังจะอ่อนนุ่มทว่าก็ทำงานจนเคยชิน พวกเขาตรวจสอบด้วยความจริงจังยิ่ง ทว่าเสี้ยนนี้อาจจะเล็กมากจนมองไม่เห็น หรือบางทีอาจเป็นเสี้ยนที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ภายใต้การตรวจสอบของมือคู่นี้ก็เป็นได้
ทันทีที่เซวียหย่วนสังเกตเห็นความผิดปกติของกู้หยวนไป๋เขาก็ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไป ชายเสื้อคลุมข้างเท้าพลิ้วไหว ก้มหน้ากุมมือของกู้หยวนไป๋ หลังจากโน้มตัวเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็เอ่ยเสียงต่ำ “เอาเข็มมา”
มีคนนำเข็มเข้ามา แต่ไม่มีใครกล้าเอาเข็มไปสะกิดเสี้ยนเล็กๆ นั้นออก จึงได้แต่มองเซวียหย่วนและคอยเอาใจช่วย
เซวียหย่วนคิดในใจ เหล่าจื่อสังหารมาตั้งเท่าไร ยังจะกลัวการเอาเข็มไปสะกิดออกมาเช่นนั้นหรือ
ทว่ามือของเขากลับหยุดชะงักไม่อาจลงมือได้ ท้ายที่สุดเซวียหย่วนก็เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ “ฝ่าบาท กลัวเจ็บหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นกู้หยวนไป๋กำลังจะบอกว่าไม่เจ็บฝ่ามือก็ถูกแทงครั้งหนึ่ง เสี้ยนเล็กๆ ชิ้นนี้ถูกเซวียหย่วนสะกิดออกมาแล้ว
เซวียหย่วนมองดูเสี้ยนแหลมแล้วหัวเราะเย็นชา บดขยี้มันบนนิ้วของตน จากนั้นก็ยิ้มให้กู้หยวนไป๋ กล่าวด้วยความโหดเหี้ยมว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมแก้แค้นให้ฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ผิวหยาบเนื้อหนา ทั้งยังมีความเป็นเด็ก กู้หยวนไป๋รู้สึกขบขันนัก “เสี้ยนเล็กๆ นี้ หนีไม่พ้นเงื้อมมือขององครักษ์เซวียจริงๆ”
ในใจของเซวียหย่วนสั่นไหว ยกมือที่ยังคงกุมมือของฮ่องเต้ขึ้น ก่อนก้มหน้าลงเป่าที่ฝ่ามือนั้นแล้วเอ่ย “พระหัตถ์ของฝ่าบาทก็มีประโยชน์มากมายพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ถาม “หมายความว่าอย่างไร”
“มี…” มีไว้สัมผัส มีไว้ชม อะไรก็ดีไปหมด
เซวียหย่วนนึกถึงขาที่เตะแท่งผลิตลูกหลานของเขาก่อนหน้านี้สีหน้าก็พลันบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ฮ่องเต้เตะเขาอีกครา เขาก็คงจะพอทนไหว
ฉะนั้นเขาจึงกล่าวด้วยความซื่อสัตย์ว่า “มีความอ่อนนุ่ม น่าสัมผัสดุจหยกพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท!” จู่ๆ ฉู่เว่ยก็โพล่งออกมา ความดังของเสียงที่เพิ่มสูงขึ้นนี้กลบสิ่งที่เซวียหย่วนกล่าวจนหมด คิ้วและตาของเขาเปื้อนยิ้ม เอ่ยด้วยความอ่อนโยนว่า “ให้กระหม่อมตรวจสอบไม้ไผ่ที่เหลืออีกรอบดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่กล่าวฉู่เว่ยก็ยื่นมือออกไปแล้ว อันที่จริงมือของบัณฑิตคู่นี้มิได้บอบบางนัก แต่ไหนแต่ไรมาฉู่เว่ยก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีแรงมัดไก่ กู้หยวนไป๋เหลือบมองมือที่งดงามดุจหยกนี้แล้วส่ายหน้า “ไม่จำเป็นหรอก เจิ้นทำมาได้ครึ่งทางแล้ว ระวังให้มากหน่อยเป็นใช้ได้”
นี่เป็นการทำโคมครั้งแรกในชีวิตที่สองของเขา ครั้งนี้กู้หยวนไป๋มีความตื่นเต้นเช่นคนหนุ่มสาวเขาจึงระงับความเจ็บปวดเอาไว้ พยายามทำตามคำสอนของฮูหยินฉู่อย่างสงบและใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อพับโครงร่างให้ดี จากนั้นก็ติดกระดาษโคมลงไป
ฮ่องเต้ดูน่าเกรงขามและน่ากลัวยิ่งเมื่ออยู่ในราชสำนัก ท่าทางของเขาในเวลานี้แม้จริงจังไร้ที่เปรียบ แต่ก็ดูเหมือนคนที่เข้าถึงได้ง่าย นิ้วมือที่คล้ายร่ายรำอยู่บนโคมไฟนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ชดช้อยราวกับภาพวาด
ฉู่เว่ยมองจนใจลอยไปชั่วขณะ ครั้นโคมไฟถูกทำเสร็จเรียบร้อยเขาก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ต้องการให้กระหม่อมวาดดอกเหมยสีแดงบนโคมไฟหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ดี” กู้หยวนไป๋ปีติยินดี
พวกเขาทั้งสองมีความกลมเกลียว มองตายิ้มให้กันเป็นบางครั้ง เซวียหย่วนมองไปมองมาสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นไร้อารมณ์ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา พ่นคำว่า “ฮ่า” ขึ้นไปบนท้องฟ้าเงียบๆ
มือที่ถือดาบเล่มใหญ่อยู่นั้นสั่นเทาเพราะความโกรธ
หลังจากแยกย้ายเซวียหย่วนก็กลับมายังจวนสกุลเซวียด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทั้งร่างกายของเขาเปี่ยมไปด้วยไอโหดเหี้ยมอันมืดมิด จนทุกคนในจวนล้วนไม่กล้าเข้าใกล้
เพราะแรงกระตุ้นจากฮูหยินเซวียทำให้แม่ทัพเซวียต้องเดินเข้ามา สองมือไพล่หลัง เอ่ยด้วยสีหน้าขึงขังว่า “เจ้าทำสีหน้าถมึงทึงในจวนให้ใครดูกัน”
เซวียหย่วนตัดชั้นวางของไม้เป็นสองท่อนด้วยการวาดดาบเพียงครั้งเดียว เขาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและยังคงเล่นกับดาบด้วยสีหน้าเฉยเมย
สุดท้ายเขาก็โยนดาบทิ้งไป ถีบชั้นวางอาวุธด้านข้างอย่างดุดัน อาวุธเหล่านั้นเทกระจาดลงพื้นอย่างแรงส่งเสียงดังโครมคราม
บ่าวรับใช้ที่ได้ยินเสียงนี้ยื่นศีรษะออกมาดูก็เห็นใบหน้าดำคล้ำของเซวียหย่วน แล้วจู่ๆ เขาก็ก้มหัวและวิ่งแจ้นไปอย่างรวดเร็ว
แม่ทัพเซวียคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “เซวียหย่วน!”
“คราวก่อนท่านบอกข้าว่าหัวใจที่ข้ามีให้ฝ่าบาทนั้นคือความจงรักภักดี” เซวียหย่วนโพล่งออกมาโดยที่ไม่ได้มองบิดา ราวกับกำลังใจลอย ทั้งยังมีสีหน้าน่าเกลียด “ท่านแน่ใจแล้วหรือว่านั่นคือหัวใจแห่งความจงรักภักดี”
แม่ทัพเซวียตอบกลับ “ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นอะไรได้”
แผ่นหลังของเซวียหย่วนเกร็งตึง ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นทุกที คำตอบติดอยู่ที่ปากแต่ไม่ว่าอย่างไรก็พูดไม่ออก สุดท้ายจึงคลายคอเสื้อแล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ฝ่าบาทต้องการกำราบพวกเผ่าเร่ร่อน”
แม่ทัพเซวียตกตะลึง
เซวียหย่วนหันกายกลับมาหาเขา เสื้อผ้ายุ่งเหยิง ทั้งดวงตายังเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานแล้ว “ข้าจะร่วมศึกด้วย”
ภายในวังหลวง
กู้หยวนไป๋กำลังอ่านรายงานลับที่หน่วยควบคุมดูแลส่งเข้ามา
นี่เป็นจดหมายที่ส่งมาจากเจ้าหน้าที่ในหน่วยควบคุมดูแลที่มีนามว่าซุนซาน ด้านบนมีรายงานสถานการณ์ของลี่โจว การทุจริตของเจ้าเมืองลี่โจวผู้นี้มีการทุจริตซ้อนทับไปอีกขั้นทว่ามีจำนวนไม่มาก ทั้งยังมีกลยุทธ์ซ่อนเอาไว้ เดิมทีกู้หยวนไป๋นึกว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทในหมู่พรรคพวกเท่านั้น แต่หลังจากหน่วยควบคุมดูแลตรวจสอบอยู่หลายวันกลับพบเบาะแสบางอย่างที่เขาซุกซ่อนอยู่
คลำเถาหาแตง สิ่งที่สืบเจอในตอนท้ายนั้นน่าขยะแขยงเป็นที่สุด
ว่ากันตามภาษาชาวบ้านก็คือเจ้าเมืองลี่โจวมีวงสหาย
ผู้ที่สามารถเข้าร่วมวงสหายนี้ล้วนเป็นผู้นำที่มีอำนาจในกลุ่มโจร
เดิมทีเงินที่เจ้าเมืองลี่โจวฉ้อโกงไปนั้นมีไม่มาก สิ่งที่เขาชอบทำมากที่สุดคือการใช้ประโยชน์จากความสะดวกของตำแหน่งหน้าที่ เพื่อสอบถามเส้นทางการส่งเงินและเสบียงของราชสำนักตามสถานที่ต่างๆ หรือไม่ก็เส้นทางที่ท้องถิ่นขนส่งเงินและเสบียงแต่ละคันรถให้แก่ราชสำนัก จากนั้นก็รายงานข้อมูลเฉพาะขบวนรถที่จะผ่านบริเวณรอบลี่โจว เวลาเดินทาง เส้นทางการเดินทาง และจำนวนคนให้วงสหายนี้ จากนั้นกลุ่มโจรเหล่านี้ก็จะจับตาดูความเคลื่อนไหวของขบวนรถขนส่ง เลือกพันธมิตรโจรสองสามกลุ่มและสกัดกั้นขบวนเหล่านี้พร้อมกัน
สิ่งที่ปล้นมาได้นอกจากการแบ่งสันปันส่วนในบรรดาหัวหน้าโจรแล้ว ยังมีเพียงเจ้าเมืองลี่โจวคนเดียวที่ได้ส่วนแบ่งหนึ่งในสามไป
หนึ่งในสามส่วนเชียวนะ เขาจะได้สามสิบตำลึงจากหนึ่งร้อยตำลึงและเขาจะได้ถึงสามแสนตำลึงจากหนึ่งล้านตำลึง!
ไม่เพียงเท่านั้นเจ้าเมืองลี่โจวยังเคยบอกเส้นทางขบวนรถส่งเงินภาษีของลี่โจวให้วงสหายอีกด้วย ชักนำให้โจรเหล่านี้ไปปล้นเงินและเสบียงที่ทางลี่โจวรวบรวมมาได้ หากอาหารมีเยอะเกินไปก็จะนำไปขายต่อให้กับท้องถิ่นและสถานที่อื่นๆ นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าการยักยอกเงินของทางการเสียอีก!
เจ้าเมืองลี่โจวรู้ดีว่าควรจัดวางสหายกลุ่มนี้ไว้มิให้คนนอกเจอเบาะแสหรือค้นหาได้ และกำหนดให้วงสหายเหล่านี้ไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ รู้จักที่จะบันทึกและรักษาพวกเขาไว้เพียงภายในกลุ่ม ห้ามมิให้แพร่งพราย จะต้องรักษาวงสหายกลุ่มนี้อย่างสมบูรณ์ดังเช่นถังเหล็กใบหนึ่ง
เหตุผลที่คนในหน่วยควบคุมดูแลสามารถรู้การมีอยู่ของ ‘วงสหาย’ นี้ได้เป็นเพราะว่าหนึ่งในหัวหน้ากลุ่มโจรฉุดหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเป็นภรรยา หญิงสาวผู้นั้นเคียดแค้นแสนสาหัสและมองหาโอกาสที่จะคลี่คลายคดีนี้กับทางการอยู่ตลอดเวลา ปรากฏว่าคืนหนึ่งในขณะที่แบ่งของที่ปล้นมาได้นั้นนางเห็นว่าเงินที่ส่งกลับมาในค่ายไม่ถูกต้อง จึงเกิดแผนการขึ้นในใจและรู้เรื่องเจ้าเมืองจากปากของหัวหน้าโจร
ท้องฟ้าของหญิงสาวผู้นั้นพังทลาย ไม่มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ ครั้นถูกสมุนโจรส่งตัวไปที่ตีนเขาเพื่อรับการรักษาก็ได้พบกับคนจากหน่วยควบคุมดูแล
คนในหน่วยควบคุมดูแลได้วางหญิงสาวผู้นั้นไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทว่าเมื่อนางพบว่าครอบครัวของตัวเองถูกโจรชั่วสังหารยกครัวก็ไร้ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกครั้ง จึงเกรงว่านางจะปลิดชีพตัวเองหลังจากที่พวกเขาจากไป
ในเวลานี้กู้หยวนไป๋ที่อ่านจดหมายลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลากลับขมวดคิ้ว ถอนหายใจยืดยาว
สตรีไม่ว่าอยู่ในโลกใดก็มักจะลำบากกว่าบุรุษเสมอ
ขุนนางทุจริต หากคิดที่จะทุจริตย่อมหาหนทางได้เสมอ กู้หยวนไป๋ไม่มีความปรารถนาที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าเมืองลี่โจว แต่เขากลับรู้สึกสงสารหญิงสาวคนนี้
แม้จะถูกจับขึ้นไปบนภูเขาแต่ก็ไม่จมอยู่กับความทุกข์ ไม่ละทิ้งความหวังที่จะกลับออกไป ทั้งยังคิดหาวิธีติดต่อกับทางการ ลำพังเพียงความกล้าหาญเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นหญิงที่ไม่ด้อยกว่าชายใดเลย แน่นอนว่านางมิได้มีเพียงความกล้าหาญเท่านั้น การที่นางสังเกตเห็นว่าสิ่งของที่แบ่งสันปันส่วนไม่ถูกต้อง และสามารถรู้เรื่องการสมรู้ร่วมคิดของเจ้าเมืองจากปากของหัวหน้าโจรได้นั้นนับว่าฉลาดยิ่ง
สตรีเช่นนี้หากถูกคนชั่วบีบให้ตายก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว
กู้หยวนไป๋ตอบจดหมายลับกลับไปว่าหากเป็นไปได้ ก็ให้พานางกลับมายังหน่วยควบคุมดูแล
หลังจากเขียนจดหมายตอบ ก็มีคนส่งจดหมายออกไป
กู้หยวนไป๋ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในตำหนักชั้นใน เหล่าข้ารับใช้ถอดเสื้อผ้าให้เขาและเตรียมน้ำให้อาบ กู้หยวนไป๋มองขึ้นไปยังลวดลายแกะสลักอันวิจิตรงดงามบนเสากลางตำหนักพลางนึกในใจเงียบๆ หากจับกุมเพียงเจ้าเมืองลี่โจวคนเดียวก็เหมือนจะดูถูกเขาเกินไป จะต้องใช้ประโยชน์จากวงสหายของอีกฝ่ายนี้เพื่อรวบตัวขุนนางทุจริตกับโจรในคราเดียวถึงจะถูกต้อง
เขาทอดถอนใจยืดยาว โบกมือให้ทุกคนถอยออกไปแล้วยืนอยู่ข้างหน้าต่าง
โคมไฟที่เขาประดิษฐ์ในตอนกลางวันวางอยู่บนโต๊ะ กู้หยวนไป๋เหลือบมองมันด้วยหางตา ก่อนเดินเข้าไปจุดโคมไฟนั้น
แสงไฟสีเหลืองนวลส่องสว่างขึ้น เงาดอกเหมยที่วาดอยู่นอกโคมไฟนั้นเรียบง่ายแต่ราวกับมีชีวิตสะท้อนอยู่บนโต๊ะ ครั้นกู้หยวนไป๋จุดโคมไฟ แสงไฟบนใบหน้าก็พลันมืดพลันสว่างไสว อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาบ้างแล้ว
ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองเอ๋ย
เมื่อใดที่ผู้คนกินอิ่มและมีเสื้อผ้าอุ่นๆ สวมใส่ มีความซื่อสัตย์รู้จักจรรยาบรรณ เมื่อมีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอก็จะรู้จักละอาย เมื่อนั้นต่างหากจึงจะเป็นความสงบสุขและความรุ่งเรืองอย่างแท้จริง
เซวียหย่วนนั่งอยู่ข้างเตียงทั้งคืน
เขานั่งอย่างสง่างาม กล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างแน่นตึง ดวงตาหนักอึ้งราวกับมีพายุฝน
เขาเก็บงำความบ้าคลั่งไว้เฉพาะต่อหน้ากู้หยวนไป๋เท่านั้น แล้วเหตุใดต้องเก็บงำด้วย ก็เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะรับความบ้าคลั่งของตนไม่ได้ กลัวว่าตนจะพลั้งทำร้ายเขา
อย่างไรก็ดี เขาที่อยู่ในอารมณ์เศร้าซึมหดหู่แทบระเบิดเช่นนี้ ก็ไม่เหมาะที่จะรั้งอยู่ข้างกายกู้หยวนไป๋
แต่เพียงแค่คิดว่าจะต้องจากกู้หยวนไป๋ไปไกล…
เซวียหย่วนก็กำหมัดแน่น จนเห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน
เขาลุกขึ้นพรวด ก้าวเท้ายาวๆ ไปยังลานหมาป่า หัวใจแห่งความจงรักภักดี…หัวใจแห่งความจงรักภักดี…หัวใจแห่งความจงรักภักดี มารดาเจ้าเป็นเช่นนี้หรือ!
เมื่อคิดว่าฮ่องเต้น้อยยิ้มให้กับชายอีกคนที่คิดไม่ซื่อต่อเขา ก็บันดาลโทสะเช่นนี้น่ะหรือ
รอยยิ้มของฮ่องเต้น้อย มือของฮ่องเต้น้อย
ฮ่องเต้น้อยต้องการลูกหมาป่า
วันต่อมาขณะที่เซวียหย่วนอุ้มลูกหมาป่าสองตัวเข้ามาทำงานกลับได้ยินว่าฮ่องเต้ประชวรเสียแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้น้อยประชวรนับจากวันที่อาเจียนเป็นเลือด มันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ถึงได้ประชวรกะทันหันเช่นนี้
เนื่องจากอยู่เหนือความคาดหมายทุกคนในตำหนักจึงต่างยุ่งขึ้นมาทันใด คนในสำนักหมอหลวงต่างรีบเร่ง เมื่อเซวียหย่วนมาถึงตำหนักบรรทมก็ได้กลิ่นยาอย่างรุนแรง กู้หยวนไป๋ดื่มยาแล้วและกำลังพักผ่อน
เซวียหย่วนส่งลูกหมาป่าในอ้อมอกสองตัวให้กับขันทีที่เชี่ยวชาญในการดูแลสัตว์แล้วเข้าประตูตำหนักไป กู้หยวนไป๋ซุกตัวอยู่บนเตียงพร้อมกับไอเสียงต่ำไม่หยุด
ปวดศีรษะ ไอ และหนาวสั่นไปทั้งตัว
เถียนฝูเซิงยืนอยู่ด้านข้าง เซวียหย่วนต้องเดินเข้าไปใกล้จึงจะได้ยินกู้หยวนไป๋ที่ยังคงกระซิบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “…การต่อต้านการทุจริตในครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้เจิ้นคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลาแล้ว เจ้าให้คนในสภาการปกครองกับสภาองคมนตรีดูแลให้ดี เรื่องเจ้าเมืองลี่โจวก็ให้จัดการตามที่เจิ้นเพิ่งบอกไป”
เถียนฝูเซิงตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ” ไม่ขาดปาก ก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาท พักผ่อนให้สบายพระทัยเถิด”
ในยามีสิ่งที่ช่วยให้นอนหลับ กู้หยวนไป๋ไม่รู้ว่าตนกำลังหลับตาหรือลืมตาอยู่อย่างแน่ชัด เขารู้สึกมึนงงเล็กน้อย ตลอดเวลาสองเดือนที่ไร้ความเจ็บป่วยนี้ทำให้กู้หยวนไป๋เกือบลืมไปแล้วว่าเขามีร่างกายที่อ่อนแอมากเพียงใด
บนเตียงนั้นหนาวเย็นมาก ทั้งๆ ที่ทำทุกวิถีทางแล้วทว่าไอร้อนกลับยังจางหายไปเพราะมือและเท้าอันเย็นเฉียบของกู้หยวนไป๋อยู่เสมอ
เขาเหนื่อยล้าเป็นที่สุด เหนื่อยจนกระทั่งไม่ต้องการพูดว่าบนเตียงนั้นหนาวเย็นมากเพียงใด คิดในใจว่าประเดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ร้อนขึ้นมาเอง
บนเตียงมังกรไร้ความเคลื่อนไหว ฮ่องเต้ไม่ชอบถูกรบกวนขณะนอนหลับ เถียนฝูเซิงพาคนถอยออกไป เซวียหย่วนปักหลักอยู่ข้างเตียงมังกรราวกับเทพเฝ้าประตู เถียนฝูเซิงเรียกเขาเบาๆ อยู่นาน เขาถึงค่อยตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่”
เสียงของเถียนฝูเซิงเบาเหมือนยุง “องครักษ์เซวีย ฝ่าบาทไม่โปรดให้…”
“หัวหน้าเถียน” เซวียหย่วนขัดจังหวะขึ้นด้วยเสียงที่เบา “ตัวข้าร้อนราวกับกระถางไฟ หากสามารถกุมพระหัตถ์ของฝ่าบาทไว้ได้ก็ยังดี”
เถียนฝูเซิงไม่พูดอะไรอีก เขาเหลือบมองฝ่าบาทบนเตียง เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทไม่มีท่าทีตอบสนองก็พาคนอื่นๆ ออกไป
แต่ในความเป็นจริงแล้ว กู้หยวนไป๋ทรมานมากจนไม่ได้ยินการสนทนาของพวกเขาต่างหาก
ประตูตำหนักถูกปิดลง กลิ่นกำยานหนักหน่วง เซวียหย่วนสูดหายใจเข้าลึกมองไปยังคานเหนือศีรษะพลางคิดในใจว่า เหตุใดถึงได้ป่วยง่ายเช่นนี้นะ
เขาข่มมือที่สั่นเทาของตัวเอง ระงับหัวใจที่เร่าร้อน คุกเข่าข้างหนึ่งลงบริเวณข้างเตียง สอดมือเข้าไปในผ้าห่มจนสัมผัสได้ถึงมือเย็นเฉียบ
กู้หยวนไป๋ไอเบาๆ ด้วยเสียงหนึ่ง เพียงพริบตาต่อมาผ้าห่มก็ถูกยกขึ้น ด้านหลังของเขาแนบติดกับร่างกายหนึ่งที่กำลังแผดเผา
เซวียหย่วนถอดเสื้อคลุมกับรองเท้าออก แล้วก้าวขึ้นเตียงมังกรไปกอดกู้หยวนไป๋ไว้จากด้านหลัง กู้หยวนไป๋ยังไม่ทันจะมุ่นหัวคิ้วก็ได้ยินเสียงกระซิบของเซวียหย่วนดังขึ้นข้างหู “เพียงให้ความอบอุ่นแก่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเป็นเหมือนเตาไฟขนาดใหญ่ที่แนบสนิทกับร่างเย็นเฉียบของกู้หยวนไป๋ คำที่เอ่ยออกมานั้นทุ้มต่ำ ทั้งลมหายใจก็ยังร้อนผ่าว “ฝ่าบาท เพียงครั้งนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ จากนั้นพระองค์จะตีกระหม่อม จะโบยกระหม่อม จะให้กระหม่อมคุกเข่าลงบนเศษกระเบื้อง หรือจะกดกระหม่อมลงน้ำ อะไรก็ได้ทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียหย่วนพูดพลางยื่นมือออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาพร้อมโอบกู้หยวนไป๋จากด้านหลังและกุมมือที่เย็นจนน่าตกใจของอีกฝ่าย
อุณหภูมิเช่นนี้ช่างสบายเหลือเกิน สมองของกู้หยวนไป๋สะลึมสะลือ ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเซวียหย่วนเป็นพระเอกในนิยายชายรักชาย ไม่ช้าก็เร็วชายผู้นี้จะต้องตกหลุมรักบุรุษด้วยกัน
ดังนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไปให้พ้น”
ทว่าเซวียหย่วนกลับแทบจะโอบกู้หยวนไป๋ไว้ในอ้อมแขนของเขา
นอกจากคำว่ากำเริบเสิบสานสี่พยางค์นี้ ก็ไม่มีคำอื่นใดที่สามารถบรรยายการกระทำของเซวียหย่วนได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุนี้เซวียหย่วนจึงสามารถมีโอกาสกอดฮ่องเต้น้อยไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ได้
เขากอดกู้หยวนไป๋แน่น “ฝ่าบาท กระหม่อมพูดแล้ว รอฝ่าบาทหายดีแล้วคิดจะลงโทษกระหม่อมอย่างไรก็ย่อมได้”
“เพียงแต่หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นแก่หัวใจที่จงรักภักดีของกระหม่อม ละเว้นชีวิตของกระหม่อมสักคราว” เซวียหย่วนหัวเราะเสียงเบา แล้วทอดถอนใจเอ่ย “หรือจะหักขาของกระหม่อมก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ความร้อนแผ่ซ่านมาจากด้านหลัง เซวียหย่วนขึ้นมาเพียงครู่เดียวก็อุ่นเตียงมังกรได้ทั้งหลัง กู้หยวนไป๋ยิ่งวิงเวียนศีรษะขึ้นทุกที ก่อนที่เขาจะจมสู่ห้วงนิทราก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะอนุญาตให้เจ้าขึ้นเตียงมังกรสักครา”
อะไรก็สู้ความสบายของตัวเองไม่ได้
เพราะเคยถูกเอาอกเอาใจจนเคยชิน นิสัยก็สุดแสนจะดื้อรั้น กู้หยวนไป๋พินิจเพียงไม่นาน เขาจะชอบชายหรือหญิงก็ช่างปะไร อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าความสบายของเจิ้นอีกแล้ว
สามารถอุ่นเตียงให้เขาได้ ควรตกรางวัล
เซวียหย่วนตกตะลึง
เขารู้สึกอึดอัดในอกอยู่ครู่ใหญ่ “…มารดามันเถอะ”
ก่อนคว้ามือของกู้หยวนไป๋ไว้ เพราะประโยคนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนทรมาน ทั้งร่างกายยังเกร็งแน่น ด้วยกลัวว่าจะถูกฮ่องเต้น้อยจับได้จึงลอบถอยห่างอย่างลับๆ
กู้หยวนไป๋รู้สึกได้ว่าความอบอุ่นค่อยๆ ห่างออกไปก็ขมวดคิ้ว ก่อนขยับตัวไปข้างหลังเพื่อยับยั้งมันไว้
ฮ่องเต้เข้ามาสู่อ้อมแขนของเขาครั้งนี้ยิ่งทำให้หัวใจแห่งความจงรักภักดีของเซวียหย่วนเต้นรัวเร็วกว่าเดิม ทั้งตำหนักเงียบสนิท มีเพียงเสียงนี้เท่านั้นที่หนวกหู เซวียหย่วนเหลือบมองศีรษะของกู้หยวนไป๋แล้วชำเลืองมองหน้าอกของตัวเองอีกครั้ง ก่อนวางมือใต้ศีรษะของกู้หยวนไป๋เพราะกลัวว่าเสียงที่น่ารำคาญนี้จะทำให้อีกฝ่ายตื่น
ร่างกายของกู้หยวนไป๋ค่อยๆ อุ่นขึ้น นิ้วที่อยู่ในมือของเซวียหย่วนก็เริ่มร้อนขึ้นแล้วเช่นกัน เนื่องจากกู้หยวนไป๋หนุนอยู่บนตัวเขาจึงขยับตัวมากไม่ได้ ทำได้เพียงยกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูอาการของกู้หยวนไป๋ในตอนนี้เท่านั้น
แค่มองก็เห็นใบหน้าที่เข้าสู่ห้วงนิทราของกู้หยวนไป๋แล้ว
ลำพังเพียงใบหน้าที่หลับใหลนี้ก็ทำให้เซวียหย่วนลุ่มหลงจนถลำลึก เขามองอยู่นาน ครั้นร่างกายรู้สึกชาจึงดึงสติกลับมา ดวงตาจับจ้องอยู่บนริมฝีปากของฮ่องเต้น้อยอยู่เสมอ ริมฝีปากสีอ่อนถูกอุณหภูมิจากร่างกายของเขาทำให้มันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ดูอ่อนนุ่มและน่าทะนุถนอม
น่าแปลก เหตุใดความงดงามของชายอื่น กลับเป็นเหมือนเหล่าสตรีบอบบางในสายตาของเซวียหย่วน ทว่ากู้หยวนไป๋กลับมิได้เป็นเช่นนั้น
ไม่สิ ครั้งแรกที่เซวียหย่วนเห็นกู้หยวนไป๋เขาก็รู้สึกว่ากู้หยวนไป๋นั้นงามกว่าสตรีเสียอีก ทั้งยังไร้ซึ่งความเป็นชายชาตรีโดยสิ้นเชิง
เขากอดกู้หยวนไป๋ราวกับกอดของล้ำค่า ความโหดเหี้ยมรุนแรงของเมื่อวานหายไปในพริบตา แม้จะถูกลงโทษเขาก็เต็มใจน้อมรับด้วยความยินดี เซวียหย่วนรู้สึกว่าตัวเองป่วยเข้าขั้นสาหัสแล้ว
หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นทุกที เซวียหย่วนคิดในใจ หรือข้าอ่อนแอถึงขั้นที่เขาแพร่ความเจ็บป่วยมาให้แล้ว
ท้ายที่สุดคอและปากก็แห้งผากจนทนไม่ไหวจึงผละออกจากกู้หยวนไป๋อย่างเสียมิได้ ก่อนลงจากเตียงไปหาน้ำดื่ม
ทันทีที่ความอบอุ่นหายไปกู้หยวนไป๋ก็พยายามตื่นจากห้วงนิทราอย่างไม่สบายตัวนัก ครั้นเขาลืมตาขึ้นก็เห็นเซวียหย่วนถือน้ำถ้วยหนึ่งพร้อมกับเดินเข้ามาที่เตียงอย่างช้าๆ ในหัวมีเสียงดังวิ้งๆ อย่างทรมาน กู้หยวนไป๋พยุงตัวขึ้นกึ่งนั่ง แย่งถ้วยน้ำในมือของเซวียหย่วนแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่ ดื่มเสร็จแล้วก็ล้มตัวลงนอน
เซวียหย่วนมองดูถ้วยน้ำที่บัดนี้เหลือเพียงว่างเปล่า ก่อนจะมองคราบน้ำที่ไหลออกมาจากมุมปากลงมาตามคางของกู้หยวนไป๋
ลูกกระเดือกของเขาขยับเล็กน้อย ยกมือดึงๆ คอเสื้ออย่างอึดอัด
เขาต้องการเลียน้ำใต้คางกู้หยวนไป๋?!