everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2 บทที่ 47-49 #นิยายวาย
บทที่ 48
กู้หยวนไป๋ไม่ได้สมบูรณ์โดยกำเนิด ร่างกายของเขาอ่อนแอตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
หลังจากพักฟื้นมาหลายปีความอ่อนแอนี้ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้น เพียงแต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังเคยถูกลอบทำร้ายหลายครั้งระหว่างการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง หลูเฟิงกลัวว่าเขาจะมีร่างกายที่แข็งแรง ดังนั้นเพื่อให้เขาตายเร็วขึ้นจึงวางยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าให้เขาดื่มมาเป็นเวลาหลายปี
ทีละนิดทีละน้อย สุดท้ายร่างกายก็แย่ลงจนยากจะรักษา
กู้หยวนไป๋ผล็อยหลับไป เนื่องจากกฎเกณฑ์ของเรื่องต่างๆ ได้ถูกจัดวางไว้แล้วดังนั้นจึงวางใจเป็นพิเศษ ความสบายใจนี้ทำให้เขาหลับสนิทจนถึงตอนกลางคืน ครั้นกู้หยวนไป๋ลืมตาตื่นก็ยังรู้สึกง่วงซึมเล็กน้อย ไม่รู้ว่าบัดนี้เป็นยามใดแล้ว
เขาพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรู้สึกว่าใต้มือมีสัมผัสที่ผิดปกติ ครั้นก้มหน้าลงมองก็พบว่าที่แท้ตัวเองนอนอยู่บนร่างของเซวียหย่วน
ไม่รู้ว่าเซวียหย่วนหลับไปตั้งแต่เมื่อไร สองตานั้นปิดสนิท คิ้วที่คมกริบยังคงขมวดอยู่ กู้หยวนไป๋ชักมือกลับมา จากนั้นก็ลุกขึ้นทว่าเอวกลับรู้สึกถูกเหนี่ยวรั้ง ครั้นก้มลงมองก็พบว่ามือของเซวียหย่วนกำลังโอบเอวเขา และทันทีที่เขาเคลื่อนไหวก็ทำให้เซวียหย่วนตื่นจากความฝันทันที
“ใคร?!” เสียงถามที่ทุ้มต่ำนั้นเต็มไปด้วยโหดเหี้ยม
ผ่านไปไม่กี่อึดใจเซวียหย่วนจึงได้สติคืนกลับมา เขามองกู้หยวนไป๋ที่ตื่นแล้ว มุมปากอดที่จะยกขึ้นยิ้มเองมิได้ “ฝ่าบาทตื่นบรรทมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงแหบแห้งเจือด้วยความแจ่มใสหลังนอนหลับเต็มอิ่ม
ใต้ผ้าห่มยังคงอุ่นอยู่ กู้หยวนไป๋รู้สึกเกียจคร้านไปทั่วร่างกาย เขาเอ่ยว่า “ไปยกชาอุ่นๆ มาให้เจิ้นถ้วยหนึ่ง”
เซวียหย่วนลงจากเตียงอย่างเชื่อฟังด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย เสื้อคลุมไม่กระชับ กู้หยวนไป๋เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแผ่นหลังกว้างและมีพลังของเขา จนอดที่จะมองใต้บั้นท้ายหนั่นแน่นที่มีขาสองข้างที่แข็งแรงและตรงยาวมิได้
หลังจากถอดเสื้อคลุมออกแล้ว ร่างกายหนุ่มแน่นที่เคยผ่านสมรภูมิรบมานับครั้งไม่ถ้วนนั้นก็ทำให้ผู้คนมองแล้วยากที่จะวางตา
แม้หมาบ้าจะยังเป็นหมาบ้า ทว่าก็มิได้สูญเสียเสน่ห์ของชายฉกรรจ์เลย
กู้หยวนไป๋นั่งตัวตรง เอนหลังพิงโครงเตียงอย่างเกียจคร้าน เซวียหย่วนรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง เพราะกู้หยวนไป๋บอกว่าต้องการน้ำชาอุ่นๆ เขาจึงใช้นิ้วแตะขอบถ้วยทั้งยังเทน้ำชาลงบนมือเพื่อทดสอบอุณหภูมิ เมื่อรู้สึกว่าไม่ร้อนแล้วจึงถือถ้วยชานี้เดินไปหากู้หยวนไป๋อย่างมั่นคง และเนื่องจากเกรงว่าถ้วยเดียวจะไม่พอจึงยกกาน้ำชามาด้วย
ฮ่องเต้รับถ้วยชามา แตะริมฝีปากจิบคำหนึ่ง ทันใดนั้นก็ถูกน้ำร้อนลวกจนตัวสั่น น้ำร้อนอยู่ในปากจะกลืนก็กลืนไม่ลง มันร้อนจนริมฝีปากแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ท่าทางดูทรมานยิ่ง
เซวียหย่วนชะงักงัน เขาบีบแก้มของกู้หยวนไป๋เพื่อให้อีกฝ่ายบ้วนชาออกมาด้วยอารมณ์โมโหสุดขีด “ลวกปากแล้วยังไม่บ้วนออกมาอีก?”
ผลสุดท้ายกู้หยวนไป๋ก็กลืนน้ำอึกนี้เข้าไปทันที
สีหน้าเซวียหย่วนมืดมน โยนกาน้ำชาและถ้วยทิ้งไปด้านข้าง ใช้มือง้างปากของฮ่องเต้ มองเข้าไปใกล้เพื่อดูว่ามีแผลพุพองหรือไม่
กู้หยวนไป๋สูดอากาศดังเฮือก เอ่ยว่า “ร้อนจะตายอยู่แล้ว!”
บอบบางเกินไป อ่อนแอเกินไป มือของเซวียหย่วนยังไม่รู้สึกถึงความร้อนเลยด้วยซ้ำ ทว่ามันกลับลวกปากของฮ่องเต้น้อยเสียแล้ว
ครั้นเซวียหย่วนนึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกทรมานกว่าใช้มีดกรีดตัวเองเสียอีก เขาร้อนใจ มือหยาบกระด้างที่สัมผัสปากนั้นทำให้กู้หยวนไป๋เจ็บไปหมด จนทนไม่ไหวถีบเขาทีหนึ่ง
เซวียหย่วนยื่นมือไปกดเท้าของฮ่องเต้และตรวจสอบริมฝีปากต่อไป “อย่าดิ้น ให้กระหม่อมดูหน่อย”
กู้หยวนไป๋สงบลงแล้ว เขาเบือนหน้าหนีพร้อมส่งเสียง “จิ๊” ออกมาคำหนึ่ง “องครักษ์เซวีย เจ้าเบามือหน่อยได้หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะๆ กระหม่อมจดจำไว้แล้ว กระหม่อมจะเบามือ” เซวียหย่วนสงสัย “ฝ่าบาท เหตุใดฝ่าบาทถึงได้นุ่มนิ่มเพียงนี้”
กู้หยวนไป๋ “…”
เขาเตะเข้าไปอีกครั้งทำให้เซวียหย่วนตกจากเตียงมังกรไปพร้อมกับผ้าห่ม เซวียหย่วนล้มคะมำแต่เขาไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น เมื่อลุกขึ้นยืนก็รีบกดเข่าลงข้างเตียง ครั้งนี้สีหน้าของเขาดูมืดครึ้ม “ให้กระหม่อมได้ดูหน่อย”
จะดิ้นด้วยเหตุใด ไว้ปากของตัวเองไม่เป็นอะไรแล้วค่อยดิ้นไม่ได้หรือ
ครั้งนี้เซวียหย่วนออกแรงมหาศาลทว่าก็ระมัดระวังเป็นที่สุดเช่นกัน กู้หยวนไป๋บอกว่ามือของเขาหยาบกร้านเขาจึงไม่กล้าไปสัมผัสอีก ทำได้เพียงบีบปากไว้อย่างเบามือที่สุด นี่มันเปลืองแรงว่าการสังหารศัตรูเสียอีก เซวียหย่วนพยายามจนเหงื่อชุ่มศีรษะ กระทั่งมั่นใจว่ากู้หยวนไป๋ไม่เป็นอะไรจึงพบว่าแผ่นหลังของตนโชกเหงื่อไปหมดแล้ว
กู้หยวนไป๋ฟื้นตัวกลับเป็นปกตินานแล้ว ทว่าร่างกายยังไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังปวดศีรษะและกระหายน้ำอยู่ “องครักษ์เซวีย สิ่งที่เจิ้นต้องการคือน้ำอุ่น”
เซวียหย่วนเหงื่อท่วมกาย จากนั้นก็ไปรินน้ำอุ่นถวายฮ่องเต้น้อยผู้ละเอียดอ่อนอีกครั้ง ครั้งนี้เขาทดสอบอุณหภูมิในปากด้วยความชำนาญ หลังจากมั่นใจแล้วว่ามันไม่ร้อนจึงยื่นให้กับกู้หยวนไป๋
หลังจากกู้หยวนไป๋ดื่มน้ำไปครึ่งกาความแห้งผากในปากจึงดีขึ้นเล็กน้อย ภายในตำหนักมืดสลัว มีเพียงเทียนไขไม่กี่เล่มที่ถูกจุดสว่างไสว กู้หยวนไป๋หลับตาลงเพื่อปล่อยให้สมองได้พักผ่อนต่อไป ก่อนเอ่ยถามว่า “ยามใดแล้ว”
เซวียหย่วนรับน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งกามาดื่ม “ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋พูดอะไรไม่ออกแล้ว
เซวียหย่วนดับความกระหายได้แล้ว จึงถอนหายใจอย่างสบายตัว แล้วลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า “กระหม่อมจะไปดูเวลา”
ผ่านไปไม่นานเหล่าข้ารับใช้ก็ต่างย่องเข้ามาในตำหนัก เถียนฝูเซิงเข้ามาเอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท บัดนี้ได้เวลาเสวยพระกระยาหารค่ำแล้ว กระหม่อมป้อนฝ่าบาทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋รู้สึกถึงอาการปวดที่ศีรษะเล็กน้อย ก่อนฝืนลุกขึ้น “เช่นนั้นก็ไปกินเถิด”
หลังจากฮ่องเต้เสวยเสร็จแล้วก็ได้เวลาเลิกงาน ทว่าเซวียหย่วนยังคงยืนอยู่ข้างๆ ไม่ขยับเขยื้อนพลางมองดูคนจากสำนักหมอหลวงมาตรวจชีพจรของฮ่องเต้
เถียนฝูเซิงเตือนสติด้วยความหวังดี “ใต้เท้าเซวีย ได้เวลาเลิกงานของท่านแล้ว”
เซวียหย่วนกล่าวเสียงทุ้ม “ข้ารู้”
ทว่าเขาอาลัยอาวรณ์ที่จะต้องจากไป
กู้หยวนไป๋ได้ยินประโยคนี้ก็เงยหน้าขึ้นมองเซวียหย่วน ซึ่งเป็นจังหวะที่สบตากับอีกฝ่ายเข้าพอดี
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงความรู้สึกอบอุ่นและความสบายของการนอนในช่วงกลางวัน
เซวียหย่วนเหมาะแก่การอุ่นเตียงเหลือเกิน
น้ำเสียงที่ผ่อนคลายของกู้หยวนไป๋ระคนความแหบแห้ง “ก่อนที่จะหายป่วย องครักษ์เซวียก็อยู่ข้างกายเจิ้นให้มากหน่อยเถิด องครักษ์เซวียอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายจะได้ทำให้เจิ้นทุกข์น้อยลง”
เซวียหย่วนอดยกยิ้มมุมปากมิได้ ครั้นได้ยินคำว่า ‘ทำให้ทุกข์น้อยลง’ แล้ว เขาก็ฉุกขึ้นมาว่าเขาจะทำให้กู้หยวนไป๋เป็นทุกข์ได้อย่างไรกัน
ในเมื่อวันนี้ไม่ต้องออกจากวัง หลังจากฮ่องเต้เสวยพระกระยาหารค่ำและทหารองครักษ์หน้าตำหนักผลัดเปลี่ยนเวรยามแล้ว เซวียหย่วนก็ไปกินข้าวกับสหายร่วมงาน โดยจะมีคนไปรายงานจวนสกุลเซวียและนำเสื้อผ้าเครื่องใช้บางส่วนออกมาให้เซวียหย่วน ครั้นเซวียหย่วนกลับมาจากกินข้าวของเหล่านั้นก็ถูกส่งมาให้เขาแล้ว
บัดนี้กู้หยวนไป๋กำลังนอนอยู่บนเตียง มีผ้าห่มปักลายมังกรสีเหลืองอร่ามคลุมอยู่บนขา เขาถือฎีกาฉบับหนึ่งอยู่ในมือพร้อมกับอ่านมันอย่างช้าๆ
กู้หยวนไป๋อ่านมันอย่างละเอียดถี่ถ้วนและตั้งใจ ข่งอี้หลินกับฉินเซิง รวมถึงพรรคพวกของเขาได้ส่งเงินและธัญพืชไปให้ลี่โจวแล้ว ทรัพย์สินที่ส่งไปคราวนี้คือเหยื่อล่อ ทั้งยังเป็นเหยื่อล่อที่จะตกปลาตัวใหญ่ที่สุดในการต่อต้านการทุจริตนับตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ขึ้นมา
ปลาตัวใหญ่นี้คือเจ้าเมืองลี่โจว มองผิวเผินการทุจริตในท้องที่ของเขามีไม่มากนัก ทว่าราษฎรที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขากลับใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น คนในหน่วยควบคุมดูแลยิ่งตรวจสอบลึกเข้าไปก็ยิ่งตกใจ ในที่สุดก็พบค่ายโจรรอบๆ ลี่โจว รวมถึงสาเหตุแท้จริงว่าเหตุใดคนส่วนใหญ่ในหมู่พวกเขาถึงเข้าป่าไปเป็นโจร ซึ่งก็เพราะเจ้าเมืองลี่โจวลอบบังคับอย่างลับๆ อยู่นั่นเอง
ขุนนางบีบให้ราษฎรกลายเป็นโจร ทั้งยังสมคบคิดกับโจร
เรื่องนี้น่าสะพรึงยิ่งและไม่สามารถเปิดเผยต่อราษฎรได้โดยเด็ดขาด
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่งพรายออกไปมีแต่จะสร้างความไม่วางใจที่ราษฎรมีต่อราชสำนัก ทำให้โจรจากทั่วทุกพื้นที่มีท่าทีที่ยิ่งใหญ่ ก่อการจลาจล และสร้างความวุ่นวาย
กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจอย่างขุ่นเคือง จะต้องทำให้ปลาตัวนี้กินเหยื่อให้ได้
จะไม่สนใจอย่างอื่นก็ได้ ทว่าเจ้าเมืองลี่โจวจะต้องตาย
ครั้นมือของกู้หยวนไป๋ออกแรง ฎีกาก็ถูกบีบจนเป็นรอยยับย่น
เซวียหย่วนเห็นว่าเขากำลังจัดการกับราชกิจก็ยืนหลบไปด้านข้าง แล้วจู่ๆ ก็ถามขันทีที่อยู่ถัดจากตนขึ้นมาว่า “มือหยาบสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่”
ขันทีผู้นั้นสะดุ้งโหยง เอ่ยอย่างสั่นกลัว “เรียนใต้เท้า ใช้เครื่องประทินผิวบำรุงมือในวันปกติก็พอแล้วขอรับ”
เซวียหย่วนปวดศีรษะ “พูดให้มันชัดเจนหน่อย”
ขันทีเอ่ยว่า “พวกน้ำมันหอมระเหย ผงไข่มุก หรือน้ำมันปลา ใช้สิ่งเหล่านี้ทามือและเท้าก็จะทำให้มือและเท้านุ่มลื่น”
เซวียหย่วนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาอย่างยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดสั้นๆ ได้ “ไปนำสิ่งของเหล่านั้นมาให้ข้า”
กู้หยวนไป๋เพิ่งจะวางฎีกาลง หางตาก็เหลือบไปเห็นเงาดำที่กำลังเข้ามาใกล้
เขาหันมองและพบว่าเป็นเซวียหย่วน กู้หยวนไป๋มองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “องครักษ์เซวีย หากมีวันหนึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเริ่มฉ้อโกงเงินที่ไม่ได้เป็นของตนเอง เจ้าจะทำอย่างไร”
เซวียหย่วนเอ่ย “ควรสังหารก็สังหาร”
กู้หยวนไป๋หัวเราะ “ทว่าขุนนางทุจริตสังหารได้ไม่หมด”
“สังหารไม่หมด แต่เมื่อแสดงเจตคติออกมาพวกเขาก็กลัวแล้ว” เซวียหย่วนแสยะยิ้ม “ตามหลักการปกครองทหารมักจะมีคนกล้าทำในสิ่งที่ขัดกับวินัยทหารอยู่เสมอ เหตุใดพวกเขาถึงกล้าทำเล่า ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่เกรงกลัวแม่ทัพแล้วหรอกหรือ เมื่อเบื้องบนมีบารมีไม่พอคนที่อยู่ด้านล่างก็เริ่มก่อความวุ่นวาย”
กู้หยวนไป๋เอ่ย “พูดต่อ”
เซวียหย่วนกล่าวอย่างผ่อนคลาย “กระหม่อมพูดจบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ “…”
เซวียหย่วนกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นคนหยาบ ไม่สามารถจัดการราชกิจได้”
กู้หยวนไป๋คิดในใจ เช่นนั้นเจ้ากลายมาเป็นผู้สำเร็จราชการได้อย่างไร
อย่างไรก็ดี ประโยคของเซวียหย่วนนี้กล่าวได้ถูกต้อง
จวนว่าการท้องถิ่นยิ่งอยู่ห่างจากนครหลวงมากเท่าใด บารมีของฮ่องเต้ก็ยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไร้ความหวาดกลัว บางทีอาจเป็นเพราะบารมีของกู้หยวนไป๋ไม่สูงถึงขั้นที่สามารถทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวนและอยู่กับที่ไม่กล้าขยับไปที่ใดได้ พวกเขาถึงได้กำเริบเสิบสานเพียงนี้
หลังจากการต่อต้านการทุจริตครั้งนี้ เชื่อว่าความน่าเกรงขามของกู้หยวนไป๋ในหัวใจของขุนนางท้องถิ่นจะสูงขึ้นไปอีกขั้น
ทว่าเท่านี้ยังไม่เพียงพอ
ราชวงศ์ต้าเหิงอ่อนแอมาเป็นเวลากว่าสิบปี ชนเผ่าเร่ร่อนกล้ารุกราน ขุนนางกล้าทุจริต ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นและขุนนางสมรู้ร่วมคิดกัน พวกเขากลายเป็นงูท้องถิ่นที่ตัวใหญ่กว่าจักรพรรดิเสียอีก
กู้หยวนไป๋ต้องการสู้ศึกที่ตัวเองจะสามารถเอาชนะได้ สู้ในศึกที่ไม่เคยชนะมาก่อนในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมา ซึ่งศึกครั้งนี้ก็คือศึกกับชนเผ่าเร่ร่อน
นอกจากนี้มันยังจะเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจระดับแผ่นดินครั้งแรก นับตั้งแต่กู้หยวนไป๋เข้ายึดอำนาจ
ต้องพากองทัพออกไปเดินเล่นเสียบ้าง คนเหล่านี้จะได้รู้เสียบ้างว่าตนตัวเล็กเพียงใด
หลังจากบรรเทาอารมณ์ของตัวเองกู้หยวนไป๋ก็เห็นว่าสีหน้าของเซวียหย่วนดีขึ้นมากแล้ว จึงกล่าววาจากับเครื่องอุ่นเตียงมนุษย์ด้วยความนุ่มนวลยิ่ง “องครักษ์เซวีย บัดนี้ฟ้ามืดแล้วขึ้นเตียงเถิด”
เสียงเรียกอันนุ่มนวลของกู้หยวนไป๋นี้ทำให้ศีรษะของเซวียหย่วนชาขึ้นมา สองมือวางบนเข็มขัดที่เอว เพียงพริบตาเดียวก็ถอดชุดจนเหลือแต่เสื้อตัวใน
นางกำนัลรับเสื้อผ้ามาจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นก็จุดกำยานช่วยนอนหลับแล้วถอยออกไปเงียบๆ ทีละคน
เซวียหย่วนเป็นเหมือนเตาขนาดใหญ่อย่างแท้จริง หลังจากที่เขาขึ้นเตียงกู้หยวนไป๋ก็ทอดถอนใจด้วยความผ่อนคลาย มันช่างสบายเกินไปแล้ว
ด้วยความสามารถนี้ ตำแหน่งของเซวียหย่วนในใจของกู้หยวนไป๋ก็เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันในหลายจุดและกู้หยวนไป๋ก็เป็นมิตรกับเขามากขึ้น
อย่างไรก็ดี หลังจากผ่านไปไม่นานกู้หยวนไป๋ก็ได้กลิ่นสมุนไพร เขาดมอยู่ชั่วครู่ก็พบว่ากลิ่นสมุนไพรนี้มาจากตัวของเซวียหย่วน
“เจ้าใช้อะไรน่ะ” เขาถามทันที
เซวียหย่วนเนื้อตัวแข็งทื่อ
สวรรค์! ลอบใช้เครื่องประทินผิวทามือครั้งแรกก็โดนจับได้เสียแล้ว เขากล่าวเสียงอู้อี้ “ไม่ได้ใช้อะไรพ่ะย่ะค่ะ”
กลิ่นนี้ไม่นับว่าเหม็นนัก เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมพูดกู้หยวนไป๋ก็ขี้คร้านที่จะถามต่อ
ฮ่องเต้น้อยทั้งนุ่มทั้งหอม เตียงมังกรก็ทั้งนุ่มทั้งหอมเช่นกัน ทว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวเซวียหย่วนก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อชุ่มศีรษะ เขาเอ่ยว่า “ฝ่าบาทร้อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เปิดบันทึกการเดินทางเพื่อผ่อนคลายจิตใจอย่างสบายๆ “เจิ้นไม่ร้อน องครักษ์เซวียร้อนหรือ”
เซวียหย่วนจ้องบันทึกเล่มนั้นในมือของกู้หยวนไป๋ น้ำเสียงล้ำลึก “ฝ่าบาท โปรดทอดพระเนตรกระหม่อม”
ในที่สุดกู้หยวนไป๋ก็ละสายตาจากบันทึกเล่มนั้น เมื่อหันหน้ามองก็มุ่นหัวคิ้วในทันใด “เหตุใดองครักษ์เซวียถึงได้มีเหงื่อออกมากมายเช่นนี้”
หน้าผากของเซวียหย่วนเต็มไปด้วยเหงื่อ ผมสีดำเปียกโชก โครงหน้าเผยให้เห็นมุมที่คมชัดในสายหมอก “ฝ่าบาท ผ้าห่มหนาเกินไป บนเตียงก็ร้อนนัก”
บัดนี้ก็ปลายเดือนห้าแล้วคนอย่างเซวียหย่วนไม่สามารถทนความร้อนได้อย่างแท้จริง กู้หยวนไป๋ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นควรทำอย่างไร”
“ฝ่าบาทยังคงหนาวอยู่ พระหัตถ์เย็น พระบาทก็เย็น” ราวกับหยกเนื้อเย็น น้ำเสียงของเซวียหย่วนลดต่ำลง “ฝ่าบาททำให้อุณหภูมิของกระหม่อมต่ำลง ส่วนกระหม่อมก็อุ่นพระหัตถ์กับพระบาทให้พระองค์ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนก้มหน้าลงช้าๆ เอ่ยว่า “ได้”
เซวียหย่วนคล้ายหมาป่าโหดเหี้ยมที่ได้รับอนุญาตให้กินเนื้อ เขาพลิกตัวฉับพลัน จากนั้นกู้หยวนไป๋ก็ยื่นมือเย็นเฉียบมาให้เขา หรี่ตาด้วยความพึงพอใจยิ่ง
มือของฮ่องเต้มิได้ใหญ่เหมือนเซวียหย่วน ทั้งยังอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ เซวียหย่วนเกี่ยวฝ่ามือสีขาวของเขาไว้ กู้หยวนไป๋รู้สึกจักจี้แล้วชักมือกลับโดยไม่รู้ตัว แต่กลับถูกเซวียหย่วนดึงแรงขึ้นกว่าเดิม
“ฝ่าบาทกำลังอ่านอะไรอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เซวียหย่วนแสร้งยิ้มพร้อมกับจับจ้องไปบนบันทึกเล่มนั้น
กู้หยวนไป๋เอ่ยขึ้นเรื่อยเปื่อย “ก็แค่บันทึกการเดินทางเล่มหนึ่งเท่านั้น เอาไว้ฆ่าเวลา”
เซวียหย่วนมองไปยังบันทึกเล่มนั้นด้วยแววตาไม่ประสงค์ดี คิดพร้อมกับยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ แล้วข้าไม่สามารถฆ่าเวลาได้หรือ
เขาเหมือนเตาไฟจริงๆ ผ่านไปเพียงครู่เดียวมือของกู้หยวนไป๋ที่ถูกเขากุมก็มีเหงื่อซึมเล็กน้อยแล้ว กู้หยวนไป๋ประหลาดใจเป็นที่สุด เซวียหย่วนวางมือของฮ่องเต้ลง “ฝ่าบาท กระหม่อมอุ่นพระบาทให้ฝ่าบาทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋กล่าวไปตามจิตใต้สำนึก “เอาสิ”
เซวียหย่วนย้ายไปฝั่งตรงข้ามในชั่วพริบตา เขาคว้าข้อเท้าของกู้หยวนไป๋จากใต้ผ้าห่ม จากนั้นก็ยกขึ้น ยัดมันเข้าไปในเสื้อผ้าของตัวเองแล้ววางลงบนท้องเพื่อให้อุ่น
ท้องน้อยของเขาอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อ เท้าที่เย็นเฉียบของกู้หยวนไป๋จึงราวกับพบไฟอันอบอุ่น มันสบายจนคิ้วของกู้หยวนไป๋คลายตัว อดที่จะพูดไม่ได้ว่า “องครักษ์เซวีย ลำบากแล้ว”
เท้าของฮ่องเต้น้อยนั้นราวกับหยก ทั้งยังสบายเหมือนน้ำแข็ง เซวียหย่วนคิดในใจ นี่เรียกว่าลำบากได้อย่างไรกัน
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “นี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมควรทำพ่ะย่ะค่ะ”
คราวก่อนที่อุ่นเท้าให้กู้หยวนไป๋ เซวียหย่วนถูกด่าว่าบังอาจ แต่ครั้งนี้อุ่นเท้าให้ กู้หยวนไป๋กลับเกิดความไว้วางใจเสียแล้ว
เซวียหย่วนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจ เมื่อขาของกู้หยวนไป๋อุ่นขึ้นหลังจากผ่านไปสักพักเซวียหย่วนก็คลายมือออก “ฝ่าบาท กระหม่อมกอดฝ่าบาทอ่านบันทึกดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “เจิ้นไม่ชิน”
สุดท้ายกู้หยวนไป๋ที่ปากบอกว่าไม่ชินนั้น กลับซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของเซวียหย่วนเพราะไออุ่นหลังจากที่หลับไปแล้ว
เซวียหย่วนกอดกู้หยวนไป๋ ทอดถอนใจยืดยาว ก่อนที่จะได้กอดกู้หยวนไป๋นั้นเขายังไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไป จนกระทั่งได้กอดกู้หยวนไป๋แล้วจึงตระหนักได้ถึงความว่างเปล่าในอ้อมแขน
เขาหลับตาลงพร้อมกับหัวใจแห่งความจงรักภักดีที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ทอดถอนใจยืดยาวอีกครั้งและผล็อยหลับไปเช่นกัน
ครั้นตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นกู้หยวนไป๋ก็ยังรู้สึกปวดศีรษะตุบๆ
แต่หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มมาหนึ่งวัน อย่างน้อยก็พอที่จะทำให้เขามีกำลังลุกขึ้นจากเตียง การประชุมราชสำนักเช้าวันนี้ล่าช้า ผู้ที่มีเรื่องต้องรายงานในราชสำนักล้วนมาถึงห้องโถงเล็กของตำหนักเซวียนเจิ้งแล้ว
เป็นไปไม่ได้ที่ราชสำนักจะทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับการต่อต้านการทุจริต ผู้ที่รับผิดชอบกระบวนการต่อต้านการทุจริตคือผู้ที่มาจากสำนักตรวจการ หน่วยควบคุมดูแล และองครักษ์ตงหลิง ในขณะเดียวกันก็ยังมีศาลสถิตยุติธรรมและเสนาบดีกรมปกครองที่รับผิดชอบเรื่องของเจ้าเมืองลี่โจว ส่วนคนที่เหลือยังคงยุ่งกับภารกิจของตัวเอง
คนจากหกกรมและสองหน่วยงานต่างมารวมตัวกันในห้องโถงเล็กของตำหนักเซวียนเจิ้งและกำลังหารือกันถึงสามประเด็น ประเด็นแรกคือการสร้างถนน ประเด็นที่สองคือการส่งทหารไปชายแดน และประเด็นสุดท้ายคือเรื่องการค้า
กู้หยวนไป๋พูดไปสักพักหนึ่งก็ต้องสงบสติอารมณ์อีกพักหนึ่ง คล้ายตกอยู่ในภวังค์ สุดท้ายเป็นเพราะบรรดาขุนนางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงกล่าวว่าไว้รอหลังจากที่พวกเขาได้เจรจาเรื่องข้อบังคับร่วมกันแล้ว พวกเขาจะยื่นฎีกาต่อฮ่องเต้เพื่อตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
กู้หยวนไป๋พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ให้พวกเขาถอยออกไป
หลังจากบรรดาขุนนางออกไปแล้วกู้หยวนไป๋จึงหลับตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาคิดในใจว่าในที่สุดก็รู้ว่าเหตุใดจักรพรรดิโบราณถึงต้องการมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวโดยไม่แก่เฒ่า
บางทีอาจไม่ใช่เพราะโลภในอำนาจหรือปรารถนาที่จะคงความเยาว์วัย แต่เป็นเพราะมีเจตนาที่จะทำสิ่งต่างๆ มากมายทว่าไม่สามารถทำให้สำเร็จได้
คิดว่าหากตนมีชีวิตที่ยาวนานกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงดี เขาจะได้ทำภารกิจได้มากกว่านี้ และสามารถบรรลุความทะเยอทะยานของตัวเองได้มากขึ้นอีกเล็กน้อย
เดิมทีหลังจากเป็นฮ่องเต้แล้ว เขายังมีความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักห้าร้อยปีด้วยซ้ำ นั่นคือสิ่งที่กู้หยวนไป๋หยอกล้อกับตัวเอง แต่ใครกันจะสามารถอยู่ถึงห้าร้อยปีได้เล่า
จักรพรรดิผู้ทะเยอทะยานในใต้หล้า พวกเขาก็ล้วนมีชีวิตอยู่ไม่ถึงห้าร้อยปี
การไร้ความสามารถ… ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากเช่นกัน
ทว่านี่ก็เป็นเรื่องที่จนปัญญา
กู้หยวนไป๋จมอยู่ในความหดหู่ครู่หนึ่งโดยที่ยังลืมตา เขาเรียกเถียนฝูเซิงเข้ามาเอ่ยว่า “ให้คนทางจิงหูหนานเร่งมือ”
ทั่วทั้งใต้หล้า กู้หยวนไป๋สามารถทิ้งเรื่องอื่นให้อนุชนรุ่นหลังจัดการได้ทว่าสำหรับเรื่องนี้ไม่ได้
นอกเหนือจากกู้หยวนไป๋แล้ว ใครก็ตามที่ต่อต้านเรื่องนี้มีแนวโน้มที่จะยึดทรัพย์สินไปเป็นของตน
ดังนั้นกู้หยวนไป๋จำเป็นต้องเร่งมือ เขามักจะรู้สึกว่าความเจ็บป่วยนี้ก็เหมือนกับสวรรค์กำลังเตือนสติเขาอีกครั้งว่าชีวิตของเขาจะไม่ยืนยาว
ความคิดเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมกินเวลาจนถึงขณะที่เขาแช่ตัวอยู่ในอ่างสมุนไพรตอนเที่ยง
อาบน้ำผสมยาเพื่อขับความเย็น หมอหลวงต้องการจับชีพจรให้กู้หยวนไป๋ก่อน ทว่าหลังจากจับชีพจรเสร็จแล้วกลับทอดถอนใจเอ่ยว่า “อาการประชวรของฝ่าบาทในตอนนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ตกตะลึง เขาขมวดคิ้ว คิดว่าหมอหลวงคงจับชีพจรผิดไป “เจิ้นยังคงปวดหัวอยู่”
หมอหลวงยิ้มเอ่ยว่า “แช่น้ำผสมยาสองวันก็น่าจะไม่เป็นไรแล้ว เมื่อคืนฝ่าบาทจุดเตาหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าเมื่อคืนฝ่าบาทคงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ตราบใดที่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ อาการประชวรก็จะหายไปสามส่วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ราวกับกำลังอยู่ในห้วงความคิด ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้นี่เอง เจิ้นรู้แล้ว”
น่าจะเป็นเพราะเซวียหย่วนช่วยเขาอุ่นเตียงทั้งคืน ทำให้เขาอบอุ่นตลอดทั้งราตรี วันนี้อาการจึงดีขึ้นบ้าง
ครั้นรู้ว่าอาการป่วยของตัวเองใกล้หายแล้ว กู้หยวนไป๋ก็ถามหมอหลวงอย่างละเอียดอีกครั้งว่าอาการป่วยครั้งนี้หนักหนาเข้ากระดูกหรือไม่ หมอหลวงพยายามเลือกใช้คำอย่างระมัดระวังจึงเห็นได้ชัดว่ามันได้ผ่อนคลายหัวใจของกู้หยวนไป๋ลง
กู้หยวนไป๋ปลอบประโลมตัวเอง อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสองสามปี ผู้สำเร็จราชการกับว่าที่ขุนนางผู้มีอำนาจยังไม่มีสัญญาณที่จะเริ่มความสัมพันธ์ใดๆ ต่อให้ต้องเป็นฉากหลังก็ควรจะเป็นฉากหลังที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ครั้นคิดเช่นนี้อารมณ์ก็สงบลงอย่างสมบูรณ์
ฮ่องเต้ซ่อนความคิดนี้ไว้อย่างล้ำลึกยิ่ง คนข้างกายล้วนไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งใดเขาก็โน้มน้าวใจตัวเองเรียบร้อยแล้ว
เซวียหย่วนยืนตัวตรงอยู่หน้าประตูตำหนักทว่ากลับเหม่อลอยเล็กน้อย เหล่าสหายร่วมงานโดยรอบต้องการให้เขาเล่าเรื่องที่ชายแดนและเรื่องศึกการต่อสู้อีกครั้ง เซวียหย่วนขี้คร้านจะเล่าจึงใช้ปลายลิ้นดุ้นกระพุ้งแก้มด้านบนอย่างเหลืออด พ่นออกมาสองคำว่า “ไม่รู้”
เขาคลุ้มคลั่งจนเหล่าทหารองครักษ์ไม่กี่คนนั้นต่างเป็นใบ้
กลิ่นยาเล็ดลอดมาทางรอยแยกของประตูและหน้าต่าง หลังจากดมกลิ่นเหล่านี้จนชินแล้วก็รู้สึกว่ามันช่างหอมยิ่งนัก เซวียหย่วนสูดกลิ่นยาเข้าไปลึกๆ สองสามที คิ้วผูกกันเป็นปม ใบหน้าหมองคล้ำยิ่ง
มีหมอเทวดาที่ใดบ้าง
เส้นประสาทของเขาตึงเครียด ครั้นคิดถึงท่าทางของฮ่องเต้น้อยที่ป่วยหนักเขาก็หงุดหงิดจนแทบจะระเบิด
มีคนเดินออกมาจากในตำหนักเพื่อเชิญเซวียหย่วนเข้าไป เซวียหย่วนเม้มปากจนกลายเป็นเส้นตรง ยกชายเสื้อคลุมขึ้น ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในตำหนัก
ข้ารับใช้พาเซวียหย่วนมายังด้านหลังฉากกั้น หลังจากกู้หยวนไป๋รู้ว่าตัวเองไม่ได้ป่วยหนักในตอนนี้ไฟแห่งความกระตือรือร้นที่จะทำงานก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาเจือไปกับไอน้ำจากอ่างยาจนขมุกขมัวและคลุมเครือ “เซวียจิ่วเหยา เจิ้นอยากจะฟังเจ้าเล่าเรื่องที่ชายแดนอีกครั้ง”
เซวียหย่วนตะลึงงัน มองดูเหล่าบุปผาและวิหคบนฉากกั้น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา “พ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องราวที่ชายแดนส่วนใหญ่เป็นพายุ อันตราย ความอับอาย และความด้านชา
เขากล่าวถึงสถานที่เลวร้ายแห่งนั้นคร่าวๆ แต่หลังจากที่เล่าไปแล้ว เซวียหย่วนก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตนไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถเล่าให้กู้หยวนไป๋ฟังได้อีกแล้ว
คนที่อยู่มานานย่อมไม่คิดว่าทิวทัศน์ทางชายแดนเหนือเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม คนแถบชายแดนเหนือก็ไม่คิดว่ากองทัพเป็นมนุษย์
ท่ามกลางความเลวร้ายนั้น เซวียหย่วนเล่าด้านที่ไม่เลวร้ายนักให้กู้หยวนไป๋ฟัง
เขาเล่าอย่างไม่ช้าไม่เร็ว กู้หยวนไป๋ฟังด้วยความตั้งใจ หลังจากเซวียหย่วนเล่าจบแล้ว น้ำที่กู้หยวนแช่ก็อุ่นขึ้นเช่นกัน
คนที่อยู่ด้านในปรนนิบัติฮ่องเต้ทั้งเช็ดตัวและแต่งกาย เซวียหย่วนก้มหน้าลง เขาสามารถมองเห็นด้านหน้ารองเท้าของตัวเองที่ตรงขอบใต้ฉากกั้นอยู่ตลอดเวลา
ครั้นเห็นฉากกั้นนี้ก็สามารถรู้ถึงความโปรดปรานของฮ่องเต้น้อยได้ทันที เขาจะต้องเป็นผู้สง่างามและพิถีพิถัน น่าจะชอบคุณชายที่มีความสามารถในด้านกวีและการประพันธ์เพลง ทว่าเซวียหย่วนมิใช่คุณชาย
ฮ่องเต้น้อยทรงโปรดฉู่เว่ยมาก
ฉู่เว่ยเข้าเฝ้าฮ่องเต้น้อยไม่บ่อยเท่าเขา ทว่าฮ่องเต้น้อยมักจะพูดคุยกับฉู่เว่ยอย่างสนิทสนมทุกครั้งไป
เซวียหย่วนคิดเงียบๆ มารดามันเถอะ
น่าน้อยใจนัก
กู้หยวนไป๋สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แดดในยามเที่ยงร้อนแรงเป็นที่สุด เนื่องจากอาบน้ำผสมยาเพื่อป้องกันความหนาวเย็นจึงไม่รู้ว่าบนใบหน้าของเขาคือเหงื่อหรือว่าไอน้ำ
ขณะที่เดินออกมาเห็นสีหน้าของเซวียหย่วนก็เอ่ยปากถามไปเรื่อยเปื่อย “องครักษ์เซวียกำลังคิดอะไรอยู่รึ”
เซวียหย่วนมองกู้หยวนไป๋ไปตามจิตใต้สำนึก ร่างกายของฮ่องเต้ที่แช่อยู่ในน้ำแปรเปลี่ยนจากสีขาวเป็นแดงระเรื่อ ทั้งตัวของเซวียหย่วนราวกับถูกหลอมละลาย “กระหม่อมกำลังคิดถึงฉากกั้นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ถามขึ้น “ในเมื่อองครักษ์เซวียชอบฉากกั้นนี้ เช่นนั้นก็ยกให้เจ้า”
เซวียหย่วนตื่นตกใจ บัดนี้กู้หยวนไป๋ได้พาคนเดินออกไปจากตำหนักแล้ว และได้พัดพากลิ่นหอมไปตลอดทาง
กู้หยวนไป๋รีบฉวยโอกาสที่ยังกระปรี้กระเปร่าอยู่จัดการราชกิจ หลังจากกินอาหารค่ำแล้วก็ขึ้นเตียงด้วยความเหนื่อยล้าและทรมาน
ด้านหลังมีคนตามติดมา กู้หยวนไป๋ที่กำลังจะผล็อยหลับจากไออุ่นกลับได้ยินเสียงคนเอ่ยคำยั่วยวนแผ่วเบาที่ข้างหู “ฝ่าบาท พระองค์ทรงโปรดใต้เท้าฉู่หรือไม่”
กู้หยวนไป๋หันไปขมวดคิ้ว
เซวียหย่วนไม่ยอมลดละ “ฝ่าบาท พระองค์ทรงโปรดใบหน้าของใต้เท้าฉู่ หรือว่ามือของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
ในใจเซวียหย่วนเต็มไปด้วยความมืดมน
หากชอบหน้าก็จะกรีดหน้าให้เสียโฉม หากชอบมือก็จะตัดมือทิ้งเสีย
เซวียหย่วนเป็นผู้มีอารยะ ไม่กระทำเรื่องสังหารคนฝังศพเช่นนั้นหรอก