ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2 บทที่ 47-49 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2 บทที่ 47-49 #นิยายวาย

3 of 3หน้าถัดไป

บทที่ 49

 

กู้หยวนไป๋หลับไปนานแล้ว ไม่ได้ยินคำพูดบ้าบิ่นของเขาแม้แต่น้อย

ครั้งนี้ฮ่องเต้ประชวรอยู่หลายวัน เมื่อหายประชวรแล้วกระบวนการขนย้ายก็ได้มาถึงลี่โจวพอดี

เขาเพียงชี้แนะเรื่องนี้คร่าวๆ เท่านั้น เนื่องจากเขาได้ยกอำนาจทั้งหมดให้แก่เหล่าขุนนางใต้บังคับบัญชา ในการใช้วิธีเฉพาะเจาะจงที่จะทำให้เจ้าเมืองลี่โจวเข้ามาติดกับ และกินเหยื่อล่อในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของกระบวนการต่อต้านการทุจริตในตอนนี้

ข่งอี้หลินมีวิธีแก้ปัญหาที่ไม่เหมือนใคร แผนรับมือยากที่จะคาดเดา เขาเชื่อว่าข่งอี้หลินจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยม

การล้มป่วยครั้งนี้ทำให้กู้หยวนไป๋รู้สึกถึงความเร่งร้อนของวิกฤตมากขึ้น หลังจากที่เขาหายจากอาการป่วยแล้ว เขาก็ได้มุ่งเน้นในการสร้างแผ่นดินทั้งๆ ที่ร่างกายยังอ่อนแออยู่ ไม่ว่าใครจะโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่สนใจ

จนกระทั่งวันนี้กู้หยวนไป๋ได้รับจดหมายจากหวั่นไท่เฟย

ถ้อยคำอ่อนโยนของหวั่นไท่เฟยแฝงไปด้วยความคิดถึง นางส่งคนมาเชิญกู้หยวนไป๋ให้ไปหานางสักเที่ยว นางคิดถึงฮ่องเต้แล้ว

ในเวลานี้กู้หยวนไป๋จึงวางพู่กันลง เมื่อเงยหน้าขึ้นจู่ๆ ก็มีความรู้สึกราวกับต้องพรากจากโลกใบนี้อย่างกะทันหัน เขาตะลึงงันไปชั่วครู่ก่อนที่จะหลุดหัวเราะพร้อมทั้งเอ่ยว่า “ใครลอบทูลรายงานไท่เฟยกัน”

เถียนฝูเซิงเอ่ย “ฝ่าบาท เป็นฝีมือของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระราชอาญา”

กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจ เขามองไปยังอากาศแจ่มใสด้านนอกตำหนักครู่หนึ่ง “จะลงโทษเจ้าไปไย เจ้าก็เพียงเป็นห่วงเจิ้นเท่านั้น”

เขาเหม่อลอยสักพักก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ทำตามดำรัสของไท่เฟย ไปเยี่ยมไท่เฟยกันเถิด”

 

จวนชานเมือง

หวั่นไท่เฟยยิ้มอย่างอบอุ่น นางพัดวีให้กู้หยวนไป๋แผ่วเบาพลางมองดูเขาดื่มชา

หวั่นไท่เฟยอยู่ในวัยสี่สิบต้นๆ เท่านั้น ในยุคนี้ก็นับว่าใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว ทว่าในเวลานี้ทุกการแสดงออกและอากัปกิริยาของหวั่นไท่เฟยกลับมีความเฉื่อยชาล้ำลึกเจือปนอยู่

หวั่นไท่เฟยปรนนิบัติอยู่ฝ่ายในมานานกว่าสิบปี กินยาคุมกำเนิดตั้งแต่ยังสาวจนส่งผลร้ายแก่ร่างกายอย่างฝังรากลึก ไม่มีหวังที่จะมีชีวิตที่ดีได้อีกแล้ว แม้ว่าใบหน้ายังไม่แก่ชราทว่ากลับเผยความร่วงโรยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

ขณะที่หวั่นไท่เฟยประชวรเมื่อหลายเดือนก่อน หมอหลวงก็ได้กล่าวว่าหวั่นไท่เฟยยากที่จะอยู่พ้นฤดูใบไม้ร่วง ไม่ใช่ว่ากู้หยวนไป๋ไม่ต้องการมาเยี่ยม แต่เป็นหวั่นไท่เฟยเองที่ไม่ยอมให้เขาเข้าเฝ้า

ตั้งแต่ฮ่องเต้น้อยเสด็จขึ้นครองราชย์ทั้งสองก็ได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ทว่าความห่วงใยที่มีต่อกันไม่เคยลดน้อยถอยลงเลย หวั่นไท่เฟยเป็นห่วงพลานามัยของกู้หยวนไป๋ ดังนั้นจึงพบหน้าน้อยลง พูดคุยน้อยลง อย่างน้อยเมื่อถึงเวลาที่นางจากไปแล้วเขาจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานมากนัก

ร่มเงาใต้ต้นไม้นั้นสบายยิ่ง หลังจากกู้หยวนไป๋รู้สึกอิ่มเล็กน้อยก็วางมือ หวั่นไท่เฟยให้คนส่งผ้าเย็นมาให้ ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “หลายวันนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว ในวังได้เตรียมของไว้ผ่านหน้าร้อนนี้แล้วหรือยัง”

กู้หยวนไป๋มองไปยังเถียนฝูเซิงโดยไม่รู้ตัว เถียนฝูเซิงรีบเอ่ยว่า “ทูลไท่เฟย เตรียมเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หวั่นไท่เฟยมองดูกู้หยวนไป๋แล้วหัวเราะ “ดูฝ่าบาทสิ ตอนที่เถียนฝูเซิงบอกข้าว่าช่วงนี้ฝ่าบาทยุ่งถึงขนาดที่ลืมกินข้าว ข้าเองยังไม่เชื่อ บัดนี้เมื่อดูแล้วเขาไม่ได้พูดเกินเลยอย่างแท้จริง ต่อให้ใต้หล้ายุ่งเหยิงเพียงใด ภารกิจทุกอย่างจะรีบเร่งในคราวเดียวกันเชียวหรือ”

กู้หยวนไป๋ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง”

“ต่อให้ข้าพูดถูกอีกสักเพียงใด” หวั่นไท่เฟยเอ่ย “ฝ่าบาทก็ต้องจำใส่ใจด้วยถึงจะถูก”

กู้หยวนไป๋อธิบายด้วยถ้อยคำที่มีเหตุผล “ช่วงนี้งานบ้านงานเมืองยุ่งเหลือเกิน เจิ้นทิ้งไปไม่ได้”

หวั่นไท่เฟยเงยหน้ามองเถียนฝูเซิงอีกครั้ง

เถียนฝูเซิงก้มหน้าทว่ากลับกล่าวอย่างบังอาจ “งานยุ่งอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ ทว่างานทุกอย่างต่างถูกมอบหมายออกไปแล้ว บรรดาใต้เท้าล้วนเป็นเสาหลักของบ้านเมือง อันที่จริงฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องลงมือทำทุกอย่างเองก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ยิ้มพลางก่นด่า “เถียนฝูเซิง…”

“ว่าอย่างไร ฝ่าบาทจะไม่ให้พูดแล้วหรือ” หวั่นไท่เฟยยิ้มอย่างโกรธเคือง “เห็นทีคำพูดของเถียนฝูเซิงต่างหากที่เป็นความจริง ฝ่าบาทไม่ถนอมแม้แต่พระวรกายของตัวเองแล้วจะให้คนข้างกายวางใจได้อย่างไร”

หวั่นไท่เฟยค่อนข้างเหนื่อยล้าขณะที่กล่าวประโยคเหล่านี้ นางสงบลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนทอดถอนใจเอ่ยว่า “หยวนไป๋ ห้ามล้อเล่นกับร่างกายของตัวเองเป็นอันขาด”

กู้หยวนไป๋เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรับคำเสียงเบา

หวั่นไท่เฟยมองดูเงาของต้นไม้ แสงที่เล็ดลอดผ่านมาส่องสว่างเป็นจุดกระดำกระด่าง น้ำเสียงเชื่องช้าของนางเจือด้วยความหนักอึ้งของประสบการณ์หลายสิบปี “ตอนที่ฝ่าบาทองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพ มักจะตรัสอยู่เสมอว่าอยากเป็นฮ่องเต้ที่ดี ทว่าเพียงแค่ตรัสแต่กลับทำไม่ได้ ภารกิจมีอยู่อย่างรัดตัว แต่ฝ่าบาทกลับนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเพื่อจัดการกับราชกิจ ทำเสมือนคนไร้ความอดทน เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ วันแล้ววันเล่า สุดท้ายคนที่เหนื่อยก็เป็นตัวเขาเอง”

“หลังจากที่ฝ่าบาทคลอดออกมาแล้วฮ่องเต้องค์ก่อนก็นับว่าขยันมาก ทว่าขยันอย่างไรก็ไม่เคยขาดการพักผ่อน ยามว่างฮ่องเต้องค์ก่อนยังไปไหว้พระ ไปหาความรื่นเริงใจ หยวนไป๋ ฮ่องเต้องค์ก่อนยังรู้จักพักผ่อน ไม่หักโหมตัวเองจนเกินไป ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงงานเช่นนี้ต้าเหิงก็ไม่เคยเกิดเรื่องร้ายใด ข้าคิดว่าฮ่องเต้ก็ควรทำเช่นนั้นด้วย ฝ่าบาทว่าใช่หรือไม่”

หวั่นไท่เฟยไม่รู้ถึงสถานการณ์ในต้าเหิงและไม่รู้ว่ากู้หยวนไป๋กำลังยุ่งเรื่องใด คำกล่าวของหวั่นไท่เฟยนี้ช่างไร้เดียงสายิ่ง ทว่ามันคือมุมมองของผู้เป็นมารดาที่หวังว่าบุตรของตนจะเหลือเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนบ้าง

กู้หยวนไป๋ไม่หักล้างคำพูดนี้ เพียงแต่เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หวั่นหมู่เฟย ตรัสได้ถูกต้อง”

 

หลังกินอาหารกลางวันเสร็จหวั่นไท่เฟยก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง กู้หยวนไป๋พาคนไปเดินทอดน่องอยู่ในสวน บุปผานานาพันธุ์บานสะพรั่ง ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม ครั้นได้เห็นอะไรที่เขียวขจีแล้วคนทั้งคนก็ราวกับว่าได้รับการชำระล้างให้สดชื่นอีกครั้ง

เสียงนกร้องดังไม่ขาดสาย กู้หยวนไป๋เยื้องย่างผ่อนคลายอยู่ริมธาร พูดคุยสัพเพเหระกับคนข้างกาย “หลายวันนี้เจิ้นยุ่งจนหัวหมุนจริงๆ ครั้นเงยหน้าขึ้นมาโดยบังเอิญก็พบว่าใกล้ถึงฤดูร้อนแล้ว”

เมื่อพูดจบจิตใจเขาก็ล่องลอย หวั่นไท่เฟยจะสามารถอยู่พ้นฤดูร้อนนี้หรือไม่

หลังจากที่กู้หยวนไป๋ทะลุมิติมาแล้วก็พบหน้าหวั่นไท่เฟยน้อยครั้งจนนับนิ้วได้ ถึงกระนั้นแล้วความรู้สึกในความทรงจำก็ทำให้เขากังวลเกี่ยวกับสุขภาพของหวั่นไท่เฟยอยู่เสมอ หมอหลวงประจำราชสำนักจะรายงานสภาพร่างกายของหวั่นไท่เฟยให้กู้หยวนไป๋ฟังทุกๆ สองวัน เมื่อคิดกลับกันหวั่นไท่เฟยก็คงจะเป็นห่วงสุขภาพของเขาเช่นกัน

กู้หยวนไป๋กำลังครุ่นคิดอย่างช้าๆ ทั้งร่างกายก็เคลื่อนไหวช้าลงตามไปด้วย เถียนฝูเซิงที่อยู่ข้างกายกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมโน้มน้าวฝ่าบาทก็ไร้ประโยชน์ ทว่าฝ่าบาทต้องฟังสิ่งที่หวั่นไท่เฟยตรัสนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ตอนนี้เจิ้นไม่อยากเห็นหน้าเจ้า” กู้หยวนไป๋พยักพเยิดหน้า “ไปรอตรงโน้น”

เถียนฝูเซิงถอยออกไปด้วยรอยยิ้ม เซวียหย่วนรีบก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าก่อนที่หัวหน้าทหารองครักษ์จางจะก้าวออกไป ทำทีเป็นว่าสนิทชิดเชื้อกับกู้หยวนไป๋มากที่สุด

ทันทีที่กู้หยวนไป๋ถูกแหล่งความร้อนเข้าใกล้ เขาก็หันไปชายตามอง “อยู่ให้ห่างเจิ้นหน่อย”

เซวียหย่วนหัวเราะ “ฝ่าบาท สองวันก่อนฝ่าบาทยังตรัสชมกระหม่อมอยู่เลยว่าตัวกระหม่อมอุ่นสบายนัก”

มุมปากของกู้หยวนไป๋ยกขึ้นด้วยความรังเกียจ ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เมื่อองครักษ์เซวียร้อนก็มีข้อดีในความร้อนนั้น เมื่อไม่ควรร้อนแต่ยังร้อนเพียงนี้ ก็น่ารำคาญอยู่บ้าง”

เซวียหย่วนขมวดคิ้ว ไม่ได้กล่าวอะไร

กู้หยวนไป๋หัวเราะพลางเดินไปอีกสองสามก้าว ทว่าเท้ากลับเหยียบลงบนพื้นเปียก ทันทีที่ลื่นคนทั้งคนก็แทบจะพุ่งลงไปในน้ำ

เซวียหย่วนตกใจรีบยื่นมือออกไปคว้าเข็มขัดของกู้หยวนไป๋เอาไว้และออกแรงดึงกลับมาท่ามกลางอันตรายซ้อนอันตรายนี้ ทว่าแรงเฉื่อยก็ยังทำให้เซวียหย่วนหงายหลัง เขาดึงกู้หยวนไป๋เข้ามาในอ้อมแขนก่อนที่จะล้มลง จากนั้นก็ม้วนหลายตลบเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง

เข็มขัดของกู้หยวนไป๋ถูกเซวียหย่วนคว้าไว้ หลังจากที่เซวียหย่วนตั้งสติได้แล้ว กู้หยวนไป๋ก็ถูกเขากดไว้ใต้ร่างด้วยสภาพที่กำลังวิงเวียนศีรษะและสติยังไม่กลับมาอย่างครบถ้วน มือข้างหนึ่งของเซวียหย่วนยังคงวางอยู่ที่เอวของกู้หยวนไป๋ และสามารถสัมผัสถึงขอบกางเกงที่ใต้ฝ่ามือ

ในสมองว่างเปล่า เซวียหย่วนจำได้เพียงคำว่า ‘เปลื้องกางเกง’ สามพยางค์นี้เท่านั้น เขาฉวยโอกาสนี้ปลดเปลื้องมันตามจิตใต้สำนึกและคนทั้งคนก็ตกอยู่ในสภาวะงุนงง

ครั้นก้มหน้าลงมอง เขาก็แข็งทื่ออยู่ที่เดิม

เห็นแล้ว

กู้หยวนไป๋รู้สึกเย็นวาบจึงได้สติคืนมาในที่สุด เขาพยุงตัวขึ้นมองก็เห็นว่าเซวียหย่วนกำลังเปลื้องกางเกงของตนพร้อมกับเหม่อมองอย่างตกตะลึง อีกฝ่ายดูสับสนราวกับได้ลิ้มรสยาวิเศษเข้าไป

สีหน้าของกู้หยวนไป๋มืดมน ครั้นได้ยินเสียงทหารองครักษ์วิ่งมาทางนี้พร้อมเปล่งเสียงอุทานก็พูดโพล่งออกมาอย่างขุ่นเคือง “ห้ามทุกคนเข้ามา!”

บรรดาทหารองครักษ์หยุดยืนอยู่ในพงหญ้าไม่ไกล มองดูเสื้อผ้าของฮ่องเต้และขององครักษ์เซวียที่กองยับย่นอยู่ด้วยกัน เอ่ยถามอย่างสับสนว่า “ฝ่าบาท?”

ฮ่องเต้สีหน้าบึ้งตึง ทั้งน้ำเสียงก็ยังน่ากลัวยิ่ง “ไปให้พ้น”

เซวียหย่วนต้องการจะหลุดจากสถานการณ์นี้จึงปล่อยมือจากกางเกงและถอยร่นออกไปด้วยอาการตื่นตกใจ การเคลื่อนไหวของเขาดูเป็นที่สังเกตมาก มันชัดเจนเสียจนทหารองครักษ์รอบๆ ที่กำลังจะถอยออกไปต่างสะดุ้งโหยง ทุกคนต่างมองเซวียหย่วนอย่างงุนงง ทว่าเซวียหย่วนกลับจำได้เพียงคำว่า ‘ไปให้พ้น’ เท่านั้น เขาผลักฝูงชนกำลังจะจากไป

เซวียหย่วนมีใบหน้าที่คมสันและสง่างาม บัดนี้ใบหน้าหล่อเหลาที่มีคิ้วดุจดาบยาวจรดขมับนั้นแดงระเรื่อโดยสมบูรณ์แล้ว

เหล่าทหารองครักษ์คนอื่นได้สติกลับมาก็รีบถอยตามไปด้วย เซวียหย่วนเดินจากไปไม่ถึงสองก้าวก็ถูกเรียกไว้อย่างกะทันหัน

กู้หยวนไป๋ยังคงนอนอยู่บนพื้นหญ้า ลุกขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอนมีเศษหญ้าเล็กๆ ติดอยู่ตามร่างกาย ใบหน้าของเขาดำคล้ำพอที่จะสกัดหมึกออกมาได้ “เซวียหย่วน…”

ร่างกายของเซวียหย่วนชาวาบ หันไปคุกเข่าลงทันใดไม่แม้แต่จะดิ้นรนด้วยซ้ำ “กระหม่อมขอพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”

ครั้นบรรดาทหารองครักษ์คนอื่นเห็นสีหน้าของฮ่องเต้เช่นนี้ก็เผ่นแน่บไปนานแล้ว

กู้หยวนไป๋ดึงหญ้าบนพื้น เผยให้เห็นรอยยิ้มอันตรายอันน่าสะพรึง เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและมองที่เซวียหย่วนด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์

เซวียหย่วนถูกมองจนรู้สึกอึดอัด ใบหน้าและลำคอหยาบกร้านที่แดงระเรื่อก่อนหน้านี้ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สามารถมองเห็นสีแดงบนใบหน้าหล่อเหลาและใบหูได้อย่างชัดเจน

นี่มันอาการอะไรกัน เห็นของลับของเขาแล้วยังจะหน้าแดงอีก?!

กู้หยวนไป๋ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเซวียหย่วนด้วยรอยยิ้มเย็นชา ยกเท้าขึ้นเตะแท่งเดรัจฉานของเขาอย่างแรงโดยไร้ซึ่งความเมตตา “เซวียจิ่วเหยา ก่อนหน้านี้เจิ้นนึกว่าที่เจ้าพูดว่าอยากเห็นแท่งผลิตลูกหลานของเจิ้นเป็นเพียงวาจาเหลวไหล คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะซ่อนความคิดนี้ไว้จริงๆ!”

“…” สีหน้าของเซวียหย่วนบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด เขาไม่กล้าขยับตัว บัดนี้เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ท่อนล่างเจ็บปวดจนในสมองว่างเปล่า ท่ามกลางหยาดเหงื่ออันหนาวเหน็บนี้เขากลับพูดออกมาเสียงดังอย่างไม่รู้ตัว “กระหม่อมมีหัวใจที่จงรักภักดีนะพ่ะย่ะค่ะ!”

ขาของกู้หยวนไป๋หยุดชะงัก

เซวียหย่วนเหงื่อชุ่มศีรษะ ในแววตาและการแสดงออกมีคำว่า ‘แน่วแน่’ ปรากฏอยู่เต็ม ประโยคของเขานี้ทรงพลังและชัดเจน ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ราวกับสิ่งที่พูดนั้นคือความจริง ราวกับว่าหัวใจของเขาก็คือหัวใจแห่งความจงรักภักดี

เดิมทีกู้หยวนไป๋นึกว่าเซวียหย่วนผู้ที่จะกลายเป็นพระเอกของนิยายชายรักชายในอนาคตนี้มีใจให้กับเขา เดิมทีการที่บดขยี้สิ่งนี้อยู่เขาก็ตั้งใจทำให้เซวียหย่วนไร้สมรรถภาพโดยตรง แต่เมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูดเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย มองเซวียหย่วนด้วยท่าทางคุกคามอย่างยิ่ง พร้อมกล่าวย้ำอย่างเชื่องช้าว่า “หัวใจแห่งความจงรักภักดี?”

เม็ดเหงื่อไหลลงมาจากศีรษะของเซวียหย่วน

ใต้ฝ่าเท้าของกู้หยวนไป๋คือของรักของหวง ท่าทางเช่นนี้ของกู้หยวนไป๋เห็นได้ชัดว่าเพียงวาจาไม่เข้าหูก็สามารถทำลายเขาได้ทันที ส่วนนั้นของเขาราวกับรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่น จึงเงียบงันไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

เซวียหย่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “หัวใจแห่งความจงรักภักดีพ่ะย่ะค่ะ”

เจ็บ… นอกจากความเจ็บปวดแล้ว ก็คล้ายจะมีความสบายเล็กๆ ที่ไม่อาจอธิบายได้

กู้หยวนไป๋มองลงมาจากด้านบน ขณะที่เซวียหย่วนเงยหน้ามองก็เห็นลำคอและกรามขาวของกู้หยวนไป๋ เสื้อคลุมไม่อาจกีดขวางขาของเขาได้ เมื่อเขายกเท้าขึ้นเหยียบเซวียหย่วนเบาๆ เท้านั้นก็ทิ้งร่องรอยไว้อย่างชัดเจน

สีหน้าของฮ่องเต้ที่โหดร้ายและเฉยเมยขึ้นเรื่อยๆ นั้นมีความอันตรายซ่อนอยู่ หัวใจของเซวียหย่วนจึงสั่นรุนแรงขึ้นทุกที

มันช่างน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการเข้าไปในสนามรบและสังหารศัตรูนับพันเสียอีก

ไม่รู้ว่ากู้หยวนไป๋เชื่อหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ก็พลันหัวเราะเยาะเย้ย “เจ้าเซวียจิ่วเหยายังมีหัวใจจงรักภักดีอีกหรือ”

หัวใจของเขาสั่นสะท้านอีกครั้ง

เซวียหย่วนคล้ายกำลังมึนเมาแต่ก็ยังต้องตื่นขึ้นมาดื่มสุราต่อ เขากล่าวอย่างซื่อตรงว่า “บิดาของกระหม่อมได้สอนกระหม่อมแล้วว่าสิ่งใดที่เรียกว่าหัวใจแห่งความจงรักภักดี”

กู้หยวนไป๋คิดในใจ เซวียหย่วนจงรักภักดีหรือไม่นั้นเขาไม่รู้ ทว่าหัวใจแห่งความจงรักภักดีของแม่ทัพเซวียนั้นเขากลับเชื่อเพียงห้าส่วน

ฟังจากน้ำเสียงและสีหน้าของเซวียหย่วนแล้วไม่เหมือนคนที่กำลังโกหกจริงๆ กู้หยวนไป๋มิได้ชักเท้ากลับในทันที แต่กลับถามต่อว่า “หัวใจแห่งความจงรักภักดีขององครักษ์เซวียก็คือการเปลื้องกางเกงของเจิ้นเช่นนั้นหรือ”

เซวียหย่วนคิดในใจ มาแล้ว

เขายกยิ้มมุมปาก ในช่วงที่สำคัญเช่นนี้ความมั่นใจของผู้นำทัพกลับมาอย่างกะทันหัน “เมื่อครู่ตอนที่กระหม่อมดึงเข็มขัดของฝ่าบาท คล้ายไม่ทันระวังจนกระแทกเข้าที่พระเพลาของฝ่าบาทเข้า ในขณะนั้นกระหม่อมร้อนใจยิ่งจึงต้องการเปลื้องกางเกงดูพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋พินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ชักเท้ากลับ ในชั่วขณะที่รองเท้ามังกรกลับมาเหยียบพื้นเหงื่อบนศีรษะของเซวียหย่วนจึงหยุดไหลลงบ้าง ในใจลอบถอนหายใจโล่งอก ทว่าหลังจากโล่งใจแล้วเซวียหย่วนก็พลันนึกสงสัยว่าบิดากล่าวว่ามันคือหัวใจแห่งความจงรักภักดีก็คงจะเป็นเช่นนั้น แล้วจะโล่งอกเพราะเหตุใดกัน จู่ๆ ก็นึกละอายใจขึ้นมาหรือไร

“การกระทำที่หยาบช้าไร้สมองเช่นนี้” สีหน้าของฮ่องเต้น้อยเรียบเฉย ในความโหดร้ายนั้นยังแฝงความน่าสะพรึงไว้ “หากยังมีครั้งหน้าอีก เจิ้นก็จะจับเจ้าตอนเสีย!”

ด้วยส่วนนั้นรู้สึกเจ็บเซวียหย่วนจึงแสดงสีหน้าเจ็บปวดเหลือทนออกมาให้เห็น เขาข่มมันไว้พร้อมกับกล่าวว่า “กระหม่อม…กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

 

 

3 of 3หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com