everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 85-86 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 85
โอรสสวรรค์จะเข้าสู่อ้อมแขนข้า
โอรสสวรรค์…จะเข้าสู่…อ้อมแขน…ข้า
กู้หยวนไป๋นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะของเซวียหย่วน ประโยคนี้ทำให้เขาตกตะลึงเนิ่นนานกว่าจะดึงสติกลับมาได้
ครั้นได้สติกลับมา กระดาษของว่าวนกนางแอ่นในมือเขาก็ถูกทำลายแล้ว
ดีล่ะ เซวียจิ่วเหยา
เจ้าได้ทำในสิ่งที่เจิ้นไม่รู้กี่เรื่องกัน
กู้หยวนไป๋ยังนึกว่าหลังจากโบยเซวียหย่วนไปห้าสิบทีแล้ว ตั้งแต่วันนั้นเซวียหย่วนก็จะซื่อสัตย์และประพฤติตัวดี อยู่ในกรอบในเกณฑ์และมีเหตุผลอย่างแท้จริง ที่แท้แม้แต่ตอนเล่นว่าวเขาก็ยังปล่อยว่าวที่มีประโยคนี้ให้กู้หยวนไป๋ดู ทั้งยังมีความกล้าที่จะให้เหล่าทหารองครักษ์ก้าวไปปล่อยว่าวให้อีกด้วย
บังอาจเพียงนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่ปล่อยว่าวเฮงซวยของเจ้าในวันฝนตกเสียเล่า
ว่าวถูกกู้หยวนไป๋ขยำอยู่ในมือจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ เขาข่มไฟโทสะในใจ ฉีกกระดาษว่าวที่มีลายมือของเซวียหย่วนอยู่บนนั้น ม้วนเป็นก้อนกลมๆ แล้วใส่ไว้ในแขนเสื้อ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องให้เซวียหย่วนได้ชดใช้ที่เขียนประโยคนี้ให้กับตน กู้หยวนไป๋ยังคงพูดอยู่ในใจตลอดทั้งช่วงเวลาว่า เจ้าช่างบังอาจนัก
‘โอรสสวรรค์จะเข้าสู่อ้อมแขนข้า’ เขายิ้มเย็นชาและจดจำไว้แล้ว
หลังจากขยำทำลายว่าวกู้หยวนไป๋ก็กำลังจะออกไปจากห้องของเซวียหย่วนด้วยสีหน้าเย็นชา ทว่าทันทีที่เขาลุกขึ้น หางตาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นสิ่งของบางอย่างใต้เตียง
กู้หยวนไป๋เดินเข้าไปดูช้าๆ สิ่งที่วางอยู่ใต้เตียงเป็นกล่องไม้งามวิจิตรที่สามารถยกขึ้นได้ด้วยสองมือ ดูเหมือนเป็นของหนักและล้ำค่า การที่มันถูกวางไว้ตรงนี้ได้ กู้หยวนไป๋ดูเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เขารู้สึกว่ามันย่อมไม่ธรรมดา
“เถียนฝูเซิง”
เถียนฝูเซิงที่อยู่ด้านนอกพาขันทีน้อยเดินเข้ามา กู้หยวนไป๋ชี้ไปที่ใต้เตียงแล้วเอ่ยว่า “นำสิ่งนั้นออกมา”
ขันทีน้อยมุดเข้าไปใต้เตียงหยิบของออกมาวางบนโต๊ะด้วยความนอบน้อม กู้หยวนไป๋เดินเข้าไปดูใกล้ๆ น่าจะเป็นเพราะเซวียหย่วนจากไปเดือนกว่าแล้ว ด้านบนกล่องไม้ใบนี้จึงมีชั้นฝุ่นบางๆ เกาะอยู่ ขันทีน้อยรับคำสั่ง ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดฝุ่นบนกล่อง เถียนฝูเซิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็หรี่ตาสงสัยว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้นคืออะไร
เสียงเอี๊ยดดังขึ้น กล่องไม้ถูกเปิดออกแล้ว
กู้หยวนไป๋มองดูสิ่งที่อยู่ด้านใน ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หยก?”
หยกนี้มีลักษณะเรียวยาว ไล่ตั้งแต่บางไปหนา ปลายข้างหนึ่งมนอีกข้างแบน สีสันไม่เลวแต่รูปทรงแปลกมาก
กู้หยวนไป๋เอื้อมมือออกไปต้องการจะหยิบมาดูให้ละเอียดแต่กลับถูกเถียนฝูเซิงห้ามไว้ทันควัน เถียนฝูเซิงเหงื่อชุ่มศีรษะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ฝ่าบาท หยกชิ้นนี้ฝุ่นเขรอะ ไม่สะอาดพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เหลือบมองเขา เอ่ยเรียบๆ “สิ่งนี้คืออะไร”
เถียนฝูเซิงอ้ำอึ้งไม่กล้าพูด เปิดปากอยู่หลายรอบ แต่กลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย
ใต้เท้าเซวียเตรียมอวี้ซื่อไว้ในห้องของตัวเองทั้งยังซ่อนได้ล้ำลึกถึงเพียงนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ได้โดยสามัญว่าต้องการเอาไว้ทำอะไร เห็นทีฝ่าบาทยังไม่ทันจะโปรดปรานใต้เท้าเซวีย ใต้เท้าเซวียก็ได้เตรียมพร้อมที่จะน้อมรับพระมหากรุณาธิคุณเสียแล้ว ชายเหล่านี้จะซ่อนตัวอยู่ในห้องแล้วลอบใช้อวี้ซื่อในวันปกติก็ช่างปะไร ทว่าหากฝ่าบาทรู้เข้า ไม่รู้ว่าใต้เท้าเซวียยังจะมีหน้าพบฝ่าบาทอยู่อีกหรือไม่
ทว่าคำถามของฮ่องเต้นั้น เถียนฝูเซิงจำเป็นต้องตอบ ในขณะที่เหงื่อเย็นไหลลงขมับ ข้างนอกพลันมีเสียงรายงานของบ่าวจวนสกุลเซวียว่า “ทูลฝ่าบาท ฮูหยินเซวียถวายชาแด่ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะเสวยตอนนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เหลือบมองข้างนอกครู่หนึ่ง เถียนฝูเซิงรีบก้าวเท้ายาวๆ ไปรับชาเพื่อส่งเข้ามาข้างใน เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ห้องของใต้เท้าเซวียคับแคบ ฝ่าบาทต้องการไปเสวยชาด้านนอกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ยังไม่ลืมเรื่องกล่องหยกนั่น เขาจ้องเถียนฝูเซิงครู่หนึ่ง พ่นลมหายใจเย็นชา “ไว้เจิ้นจะถามเจ้าอีกที” จากนั้นก็สั่งให้คนนำกล่องหยกนี้จากไปพร้อมกัน
สามารถทำให้เถียนฝูเซิงปริปากได้อย่างยากเย็น ทั้งยังเกี่ยวข้องกับเซวียหย่วนเช่นนี้ กู้หยวนไป๋มีความรู้สึกว่าของสิ่งนี้จะต้องไม่ใช่สิ่งที่ถูกครรลองคลองธรรมเป็นแน่ เขาตั้งใจนำมันกลับไปยังวังหลวง แล้วตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
อาจเป็นเพราะได้กลับมายังสถานที่คุ้นเคย หมาป่าสองตัวที่ถูกเซวียหย่วนฝึกมาอย่างดีจึงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ หลังจากกู้หยวนไป๋ออกมาจากห้องของเซวียหย่วน ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรสชาก็ถูกหมาป่าทั้งสองตัวงับชายเสื้อและพากู้หยวนไป๋มาถึงด้านหน้ากรงหมาป่า
กรงหมาป่าอยู่ในส่วนลึกของจวนสกุลเซวีย หมาป่าสองตัวนั้นหอนเสียงหนึ่ง ไม่นานฝูงหมาป่าในกรงก็เริ่มหอนอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด เสียงก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้า พวกมันเริ่มกระแทกประตูไม้ที่ลงกลอนไว้ ประตูไม้ถูกกระแทกเสียงดังปังๆ สีหน้าของทหารองครักษ์รอบตัวกู้หยวนไป๋เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันพลางคุ้มกันกู้หยวนไป๋และเตรียมถอยหนี
ทว่ายิ่งกู้หยวนไป๋ถอยออกไปไกลเท่าไร หมาป่าในกรงก็ยิ่งคลุ้มคลั่งขึ้นเท่านั้น เสียงหอนนั้นแฝงด้วยความกระหายเลือด และดังขึ้นเรื่อยๆ
กู้หยวนไป๋ค้นตามตัวครู่หนึ่งแต่ก็ไม่พบสิ่งที่ทำให้พวกมันตื่นเต้นได้เพียงนี้ บ่าวในจวนสกุลเซวียได้ยินเสียงก็รีบรุดเข้ามา เมื่อเห็นหมาป่าตัวโตเต็มวัยสองตัวกำลังงับดึงแขนเสื้อของกู้หยวนไป๋ ดวงตาก็เบิกกว้าง ตกใจกลัวจนขาสั่นเทา “ฝะ…ฝ่าบาท!”
หัวหน้าทหารองครักษ์เอ่ยปลอบว่า “นี่เป็นหมาป่าสองตัวที่ใต้เท้าเซวียถวายให้อยู่ข้างกายฝ่าบาท ไม่ต้องเป็นกังวล พวกเจ้ารีบไปดูว่าหมาป่าในกรงพวกนี้เป็นอะไรไปหรือไม่”
บ่าวรับใช้ได้สติกลับมา รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของหมาป่าฝูงนี้ กู้หยวนไป๋ยังจำสิ่งที่เซวียหย่วนพูดได้ เขากล่าวคำพูดเหล่านั้นไว้อย่างดูดีเกินไป ประมาณว่าตนได้ฝึกหมาป่าในจวนทุกตัวให้เชื่อฟังคำสั่งของฝ่าบาทแล้ว ทว่าตอนนี้เห็นทีแต่ละตัวต่างดื้อรั้นไม่เชื่อง ไม่เหมือนที่เซวียหย่วนได้กล่าวไว้สักนิด
กู้หยวนไป๋ลอบจดความผิดของเซวียหย่วนไว้ในใจอีกเรื่อง
หลังจากบ่าวรับใช้ก้าวไปข้างหน้า หัวหน้าทหารองครักษ์ก็เอ่ยเสียงต่ำ “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมจะคุ้มกันฝ่าบาทออกไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
สองมือของกู้หยวนไป๋ไพล่หลัง แขนเสื้อที่เลยออกมาจากข้อมือถูกหมาป่าสองตัวงับไว้อยู่ ใช้ฟันแหลมคมเกี่ยวไว้ ไม่ยอมให้กู้หยวนไป๋จากไป เขาให้หัวหน้าทหารองครักษ์มองดูหมาป่าสองตัวที่ข้างเท้าตน “เจ้าสองตัวที่น่ารำคาญนี้ยังขวางอยู่ที่นี่ เจิ้นจะออกไปได้อย่างไร”
พวกมันต้องการให้กู้หยวนไป๋เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ให้ได้ กู้หยวนไป๋จึงเดินไปข้างหน้า ยิ่งเขาเข้าใกล้ เสียงของฝูงหมาป่าก็ยิ่งตื่นเต้น เมื่อเดินมาถึงเบื้องหน้าหมาป่าเหล่านี้ก็ปีนขึ้นมาบนรั้วกรง กรงเล็บแหลมคมตะกุยข่วนอยู่บนรั้วนั้น ที่คอของหมาป่าแต่ละตัวล้วนมีขวดกระเบื้องสีขาวคล้องไว้
กู้หยวนไป๋จับจ้องขวดกระเบื้องสีขาวนั่น ทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปดึงขวดหนึ่งออกจากคอหมาป่าตัวที่ใกล้ที่สุดท่ามกลางเสียงอุทานของผู้คนรอบข้าง เขาดึงจุกของขวดกระเบื้องออกมาอย่างใจเย็น ในนั้นมีม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่
คอขวดกระเบื้องเล็กมาก ทำให้หยิบม้วนกระดาษออกมาได้ยาก กู้หยวนไป๋ขว้างขวดกระเบื้องนั้นลงบนพื้นโดยตรง ข้ารับใช้หยิบม้วนกระดาษที่ปะปนอยู่กับเศษกระเบื้องและส่งให้เขาด้วยความเคารพ กู้หยวนไป๋รับมันมาและคลี่ออกอย่างช้าๆ
‘ฝ่าบาทมาทอดพระเนตรหมาป่าที่จวนของกระหม่อม เป็นเพราะหมาป่าสองตัวนั้นฟันหักแล้ว หรือว่าเพราะฝ่าบาทคิดถึงกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ’
กู้หยวนไป๋พับปิดแผ่นกระดาษนั้นอย่างรวดเร็ว กระดูกนิ้วกำแน่น สองตาหรี่ลง คิ้วผูกกันแน่นดูอันตรายอย่างยิ่ง
เซวียจิ่วเหยา
เซวียจิ่วเหยานำทัพเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน ถุงหนังใส่น้ำอาบที่เขาพกติดตัวไว้เน่าเสียแล้ว แต่เขาก็ยังทำใจโยนมันทิ้งมิได้
นอนกลางดินกินกลางทราย บุกป่าฝ่าดง เวลาพักผ่อนเดียวที่มีคือก่อนเข้านอน บางครั้งเหล่าทหารจะรวมตัวกัน เอาแต่พูดคุยเรื่องภรรยาและลูกสาวที่บ้าน
พูดไปพูดมาก็มีคนถามเซวียหย่วนขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ ครานี้ท่านเดินทางไกลถึงชายแดนตอนเหนือ ภรรยาและลูกสาวที่บ้านคงจะอาลัยอาวรณ์มากสินะขอรับ”
เซวียหย่วนนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ รูปร่างของเขาสูงใหญ่ แสงไฟเดี๋ยววูบเดี๋ยวสว่างอยู่บนตัว
ครั้นได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดสีหน้าที่นิ่งราวกับก้อนหินตลอดหลายวันก็แสดงให้เห็นถึงร่องรอยอ่อนโยน “ข้าไม่มีภรรยา และไม่มีลูกสาวด้วย”
ทหารรอบข้างต่างประหลาดใจ “ท่านมิได้แต่งภรรยาหรือ”
“ถ้าจำไม่ผิดละก็ บัดนี้ท่านแม่ทัพก็อายุยี่สิบสี่ปีแล้วสินะขอรับ”
ความอดทนของเซวียหย่วนในครั้งนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาทก็มิได้อภิเษก”
“ฝ่าบาท…” มีคนหัวเราะสองที “ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์อยู่เลย”
“ฝ่าบาททรงพระเยาว์ ข้าก็มิได้แก่ชรา ในฐานะขุนนาง แน่นอนว่าย่อมมีใจภักดีต่อฝ่าบาท” เซวียหย่วนอดที่จะยกยิ้มมุมปากมิได้ เอ่ยทีเล่นทีจริง “ฝ่าบาทมิได้อภิเษก ข้าก็ต้องอยู่เป็นเพื่อน”
“หากฝ่าบาทอภิเษก ท่านแม่ทัพก็จะแต่งงานตามหรือ” ทหารข้างกายหัวเราะเสียงดัง “ท่านแม่ทัพอาวุโสเซวียจะต้องเป็นห่วงแน่ๆ”
มุมปากของเซวียหย่วนแข็งค้าง ลมหนาวพัดโชยมา
ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขา ยังคงพูดพลางหัวเราะร่าต่อไป มีคนถามเซวียหย่วนว่า “หรือว่าท่านแม่ทัพไม่มีคนในใจ”
เซวียหย่วนคิดในใจ จะไม่มีได้อย่างไร
เขาเคยจูบและสัมผัสคนในใจมาก่อน น่าอิจฉาหรือ แต่อิจฉาไปจะมีประโยชน์อะไร หากคนที่อยู่ในใจไม่รับรู้ถึงสิ่งนี้
ยิ่งเซวียหย่วนคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคับข้องใจอย่างแท้จริง ระหว่างที่กำลังรู้สึกคับข้องใจอยู่นั้น หูของเขาก็ขยับไหว ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นทหารลาดตระเวนขี่ม้าห้อตะบึงเข้ามาจากทุกสารทิศ คบไฟส่ายไหว ครั้นเห็นเซวียหย่วนแล้วก็ตะโกนเสียงดัง “ท่านแม่ทัพ! มีฝูงตั๊กแตนเข้าโจมตีขอรับ!”
ทหารทุกนายหยุดหัวเราะทันที หยัดกายยืนขึ้นและจัดแถวด้วยความเชี่ยวชาญยิ่ง เซวียหย่วนถือดาบ จูงม้าตามไป “รองแม่ทัพส่งคนไปเฝ้าเสบียง สถานที่แห่งนี้ใกล้ชายแดนตอนเหนือมากขึ้นทุกที การเคลื่อนไหวของฝูงตั๊กแตนเรวดเร็วรุนแรง จะปล่อยให้เสบียงเสียหายไม่ได้เป็นอันขาด!”
รองแม่ทัพกำหมัดเอ่ยเสียงทุ้ม “ขอรับ!”
เซวียหย่วนขึ้นม้า ควบม้าพุ่งทะยานไปราวกับลมกระโชก เขาข่มความรู้สึกเรื่องบุตรภรรยาเอาไว้ และฝังกลบใบหน้าของฮ่องเต้ที่อยู่ในหัวเช่นกัน หนวดเคราบนใบหน้าไร้การโกน มือที่กุมบังเหียนถูกเสียดสีไปมาจนเกิดตุ่มไตแข็งๆ มากมาย
ขณะพุ่งทะยานสู่ความมืดมิด ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องที่ไม่ควรแก่เวลา เขาคิดถึงวิธีการที่ตนเองคิดจนหัวแทบแตกออกมาเสี่ยงๆ เพื่อทำให้กู้หยวนไป๋จดจำเขาเหล่านั้นประสบผลและมีประโยชน์หรือไม่
มันมีประสบผลอย่างยิ่ง
เซวียหย่วนทำให้กู้หยวนไป๋โกรธจนนอนไม่หลับกระทั่งดึกดื่น
กู้หยวนไป๋ลืมตรวจค้นกล่องชิ้นหยกปริศนาที่นำกลับมาจากห้องของเซวียหย่วนด้วยซ้ำ สิ่งที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าคือขวดกระเบื้องสีขาวยี่สิบสามใบ บนขวดกระเบื้องแต่ละใบถูกวาดลายบุปผาสีสันแตกต่างกัน วัสดุเป็นแบบธรรมดาและบางขวดมีรอยแตกเล็กน้อย
กู้หยวนไป๋มองดูขวดกระเบื้องเหล่านี้ รู้ดีว่าปากสุนัขของเซวียหย่วนย่อมไม่มีงาช้างงอก แต่เขายังคงทุบขวดให้แตกทีละใบแล้วหยิบม้วนกระดาษบางๆ ออกมา
ประโยคบนกระดาษเหล่านี้มีความหมายคลุมเครือ เหยียบลงบนเส้นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระดาษยี่สิบสามแผ่นรวมทั้งแผ่นที่กู้หยวนไป๋ได้จากขวดที่ขว้างแตกจากจวนสกุลเซวียเมื่อตอนกลางวัน คล้ายสามารถต่อกันเป็นจดหมายรักทางเลือกฉบับหนึ่ง
เพียงแต่ธรรมชาติของผู้เขียน ‘จดหมายรัก’ นี้ มิใช่นักปราชญ์ผู้อ่อนโยน ครั้นอ่านไปได้ครึ่งทาง ความรู้สึกก้าวร้าวในนั้นรุนแรงมากขึ้นเท่าใด ความจงรักภักดีก็ยิ่งดูเสแสร้งมากขึ้นเท่านั้น ช่วงท้ายยังรู้จักรำพันถึงความสุขในอดีตที่ทำให้ปัจจุบันเป็นทุกข์ สนทนากับกู้หยวนไป๋ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำคืนนั้น รวมถึงจูบนั้นด้วย
‘แท่งมังกรของฝ่าบาทอุ่นดุจหยก’ ประโยคบนกระดาษนั้นโจ่งแจ้งอย่างมาก ‘กระหม่อมชอบสัมผัสมันยิ่งนัก หน้าตาก็ยังน่าอร่อยมากเช่นกัน’
ไม่กี่ประโยคท่อนหลังก็ทำให้กู้หยวนไป๋เกิดอารมณ์
เขาถือใจอันบริสุทธิ์และครอบครองความปรารถนาเพียงน้อยนิดมานานหลายปี เรื่องรกสมองคราวก่อนก็ผ่านมาห้าหกเดือนแล้ว กู้หยวนไป๋อ่านประโยคบนแผ่นกระดาษจนจบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่ม ทว่าทันทีที่ลงมือเขากลับหยุดชะงักด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย
ไม่เห็นรู้สึกดีเลยสักนิด ไม่เห็นสบายตัวเลยแม้แต่น้อย
เมื่อก่อนยังไม่รู้สึกอะไร ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกอ่อนใจเหลือเกิน
กู้หยวนไป๋กวาดแผ่นกระดาษไปข้างหมอน ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะ
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่