everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 85-86 #นิยายวาย
บทที่ 86
เช้าตรู่ของวันที่สอง กู้หยวนไป๋ตื่นขึ้นจากการนอนหลับและรู้สึกถึงความร้อนรุ่มในกายตน
เขานอนสงบอารมณ์อยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ขี้คร้านจะสัมผัสมัน หลังจากสงบอารมณ์ได้หนึ่งเค่อ ในที่สุดความร้อนรุ่มนั้นก็ทุเลาลง
“ร่างกายรับไม่ไหว ทั้งยังมีเรื่องให้คิดมาก” กู้หยวนไป๋พึมพำหนึ่งประโยคแล้วสั่นกระดิ่งที่ข้างเตียง
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ กู้หยวนไป๋ก็ไปจัดการกับราชกิจที่ตำหนักเซวียนเจิ้ง ผ่านไปครู่หนึ่งเสนาบดีกรมโยธา รองเสนาบดี และข่งอี้หลินก็มาเข้าเฝ้าพร้อมกัน
พวกเขาทั้งสามคนมารายงานว่าดอกฝ้ายเบ่งบานเต็มที่แล้ว
กู้หยวนไป๋ยินดีอย่างยิ่ง รีบไปที่ทุ่งดอกฝ้ายเพื่อเยี่ยมชมด้วยตัวเอง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือทุ่งดอกฝ้ายขาวโพลนดุจหิมะ สิ่งที่ข่งอี้หลินเรียกว่าดอกฝ้ายสีขาวนี้ก็ไม่ต่างจากฝ้ายนั่นเอง!
ข่งอี้หลินก้าวไปเด็ดดอกฝ้ายมาหนึ่งกำมือแล้วส่งให้กู้หยวนไป๋ “ฝ่าบาทลองสัมผัสดูเถิด เจ้าสิ่งนี้ก็คือดอกฝ้ายสีขาวที่กระหม่อมกล่าวถึง ตรงกลางลื่นดุจไหม อ่อนนุ่มเบาบางพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋หยิบมันขึ้นมาสัมผัส ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสว่างสดใส “ของชั้นดี! อู๋ชิง พวกเจ้าได้คำนวณผลออกดอกต่อหนึ่งหมู่แล้วหรือยัง”
ใบหน้าของเสนาบดีกรมโยธาก็แดงระเรื่อเช่นกัน ดวงหน้าเปรมปรีดิ์ “สองวันก่อนกระหม่อมได้สั่งให้คนคำนวณผลออกดอกต่อหมู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากครึ่งปีมานี้ได้รับการดูแลอย่างดี ต้นฝ้ายออกดอกต่อหนึ่งหมู่จึงมีถึงสามร้อยห้าสิบจิน!”
การนับจินในสมัยต้าเหิงนั้นน้อยกว่าการนับจินในสมัยนี้ น้ำหนักของดอกฝ้ายสามร้อยห้าสิบจิน หากคำนวณตามวิธีปัจจุบันแล้วก็จะมีประมาณสองร้อยห้าสิบจินเท่านั้น
เขาชื่นชมขุนนางกรมโยธาอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว จากนั้นก็ยกย่องสรรเสริญความอุตสาหะของข่งอี้หลินเป็นการใหญ่ ขุนนางทุกคนในที่แห่งนี้ต่างได้รับคำชมจนรู้สึกกระชุ่มกระชวย แม้พยายามที่จะข่มรอยยิ้มเอาไว้ แต่ก็ยั้งมุมปากไม่อยู่
จากนั้นฮ่องเต้ก็เรียกคนที่เพาะปลูกต้นฝ้ายมาชื่นชมเช่นกัน หลังจากพระราชทานรางวัลแล้วก็มีราชโองการทันที “อู๋ชิง สั่งให้คนเด็ดดอกฝ้ายขาวให้หมดโดยเร็ว รวบรวมแรงงานมาตัดเย็บชุดกันหนาวให้ทหารและราษฎรผู้ประสบภัยในชายแดนตอนเหนือ ไม่อาจล่าช้าแม้แต่น้อย!”
เสนาบดีกรมโยธาตกปากรับคำ แต่ก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “ฝ่าบาท เกรงว่าเราจะไม่ได้มีคนในหน่วยอาภรณ์มากเพียงนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋พิจารณาครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็พูดขึ้น “ข่งชิงมีความเห็นเช่นไร”
“การเร่งตัดเย็บเสื้อผ้าให้ทหารในสงครามและราษฎรผู้ประสบภัยไม่ต้องอาศัยการปักลายที่โดดเด่นและการตัดเย็บที่ประณีต เพียงต้องการความเป็นระเบียบเรียบเสมอกัน เพื่อมิให้ฝ้ายโผล่ออกมาเป็นใช้ได้พ่ะย่ะค่ะ” ข่งอี้หลินเอ่ย “บัดนี้ราษฎรทำการเพาะปลูกเสร็จสิ้นแล้ว สตรีในบ้านต่างรู้วิธีตัดเย็บเสื้อผ้า ถ้าอย่างไรสู้จ่ายเบี้ยรายวันให้สตรีเหล่านั้น เพื่อเร่งตัดเย็บเสื้อกันหนาวแก่ทหารและราษฎรผู้ประสบภัยในชายแดนตอนเหนือดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ถามอีก “เช่นนั้นควรคำนวณเบี้ยในแต่ละวันเช่นไร”
“นับตามจำนวนเสื้อผ้าที่ตัดเย็บได้” ข่งอี้หลินพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “เย็บเสื้อเสร็จหนึ่งตัวก็ให้เบี้ยส่วนหนึ่ง ฝีมือดีย่อมได้เบี้ยมาก คนที่เย็บช้าก็ไม่ต้องเสียเบี้ยให้ ครั้นพวกนางนำเสื้อผ้ามาส่งก็ให้ผู้ชำนาญการตรวจฝีมือการเย็บ หลังจากมั่นใจว่าฝ้ายไม่โผล่ออกมาและเป็นระเบียบเรียบเสมอกันแล้วค่อยจ่ายเบี้ย”
กู้หยวนไป๋พยักหน้าน้อยๆ “เช่นนั้นก็ทำตามที่ข่งชิงกล่าวเถิด”
บัดนี้เข้าเดือนสิบแล้ว สายลมในฤดูใบไม้ร่วงเริ่มหนาวเหน็บ หากต้องการส่งเสื้อผ้ากันหนาวชุดใหม่ไปตอนเหนือให้ทันสิ้นปีซึ่งเป็นช่วงที่หนาวที่สุดของฤดูหนาว ก็ต้องบรรทุกเสื้อผ้ากันหนาวทั้งหมดใส่เกวียนและเริ่มส่งตั้งแต่ต้นเดือนสิบเอ็ด
นี่นับเป็นจำนวนที่มหาศาล กองกำลังที่อยู่ตอนเหนือไม่ว่าจะเป็นหน่วยใด อย่างน้อยก็มีถึงสามหมื่นนาย ทั้งยังต้องรวมราษฎรผู้ประสบภัยเข้าไปอีกจำนวนมาก เสื้อบุนวมสำหรับผู้ใหญ่หนึ่งคนต้องใช้ฝ้ายหนักหนึ่งจิน แม้ว่าจะมีฝ้ายเพียงพอแต่เวลาในการทำเสื้อกันหนาวก็บีบกระชั้นยิ่ง
ข่งอี้หลินมองฝ้ายเป็นบันไดที่ไต่เต้าไปสู่ความก้าวหน้า แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ถวายเมล็ดฝ้ายเพียงห้าหรือสิบเมล็ด ข่งอี้หลินรู้ดีว่าฝ้ายต้องมีจำนวนมากพอจึงจะสามารถแสดงคุณค่าของมันออกมาได้ ด้วยลักษณะนิสัยของเขาทำให้เขาใช้ทรัพย์สินทั้งหมดกว้านซื้อเมล็ดพันธุ์ที่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกหนึ่งร้อยหมู่ไว้ ก่อนที่จะได้รับการยืนยันว่าตนจะสามารถสอบขุนนางระดับจิ้นซื่อได้หรือไม่ด้วยซ้ำ
อีกทั้งดอกฝ้ายขาวที่ข่งอี้หลินเพาะปลูกจนสำเร็จและต้องเสียหยาดเหงื่อแรงใจนับไม่ถ้วนเหล่านี้ ก็ได้สร้างความพึงพอใจแก่ราษฎรและขุนนางบู๊บุ๋นในนครหลวงเมื่อเดือนสิบ ปีรัชศกจิ่งผิงที่สิบนี้เอง
ในตอนเช้าตรู่ชาวบ้านจับกลุ่มกันเดินไปยังหน้าประตูจวนว่าการด้วยความเคยชิน ครั้นมาถึงหน้าประตูจวนว่าการผู้คนก็ต่างรายล้อมเป็นชั้นๆ แล้ว เหล่าราษฎรรอเพียงครู่เดียว เจ้าหน้าที่ผู้ที่อ่าน ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ให้พวกเขาฟังตามปกติก็เดินออกมาจากจวนว่าการอย่างตรงเวลา
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะอ่านรายงานเจ้าหน้าที่กระแอมกระไอแล้วกล่าวเสียงดังว่า “ราชสำนักของพวกเราต้องการตัดเย็บเสื้อกันหนาวให้แก่ทหารและผู้ประสบภัยในตอนเหนือ ทว่าคนที่หน่วยอาภรณ์มีไม่เพียงพอ หากสตรีบ้านใดคิดอยากหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้มาลงนามที่จวนว่าการ จากนั้นก็ไปยังหน่วยอาภรณ์ด้วยกันเพื่อเร่งตัดเย็บเสื้อผ้าในวันรุ่งขึ้น”
ทันทีที่ประกาศนี้ถูกกล่าวออกมา ฝูงราษฎรก็แตกตื่น มีคนถามเป็นระยะๆ
“ราชสำนักเป็นผู้จ่ายเบี้ยหรือ”
“จะให้เบี้ยอย่างไร”
“หากภรรยาของข้าจะไป นางสามารถไปเองได้หรือไม่”
“ใต้เท้า ภรรยาของข้าฝีมือดี บุตรสาวฝีมือไม่ได้เรื่อง พวกท่านต้องการเสื้อผ้าปักลายนกลายบุปผาหรือไม่”
เจ้าหน้าที่อธิบายทีละเรื่อง แล้วสุดท้ายก็เอ่ยว่า “ทุกท่านอย่าได้เป็นกังวล ผู้ที่เข้าออกหน่วยอาภรณ์ล้วนเป็นนางกำนัลในวังทั้งสิ้น พวกนางจะดูแลอาหารการกินและความปลอดภัยของสตรีในบ้านพวกท่าน ด้านนอกยังมีเจ้าหน้าที่ทหารคอยเฝ้าและจะได้กลับบ้านก่อนอาทิตย์ลับขอบฟ้าในทุกวันอย่างแน่นอน พวกท่านทั้งหลายวางสบายใจได้”
หลังจากพูดจบ เจ้าหน้าที่ก็ได้อธิบายต่ออีกมาก
ผู้เฒ่าสวี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนและฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังฟังจบก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดทางกลับบ้าน คิดไปคิดมาเขาก็รู้สึกว่าเป็นเพราะฝ่าบาทกับราชสำนักต้องการช่วยให้พวกเขาผ่านพ้นฤดูหนาว ดังนั้นจึงให้งานที่หาเงินได้ในยามว่างแก่พวกเขา
ครั้นผู้เฒ่าสวี่กลับถึงบ้านก็เล่าเรื่องนี้ให้คนในบ้านฟัง สตรีในบ้านได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าปรีดา “ด้วยฝีมือของพวกเราเช่นนี้ก็สามารถรับเบี้ยจากราชสำนักได้หรือ”
ผู้เฒ่าสวี่เอ่ยอย่างจริงจังและเข้มงวด “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องฝึกฝนให้ดี พวกเราไม่ต้องทำเร็ว ไม่ต้องหาเงินให้มาก แต่ต้องมั่นคง นี่คือเสื้อผ้าที่จะให้เหล่าทหารสวมใส่ ไม่แน่ว่าท่านแม่ทัพแห่งต้าเหิงอาจได้ใส่เสื้อผ้าที่พวกเจ้าตัดเย็บก็เป็นได้! เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ความพอใจทำให้มีสุข ความโลภทำให้ยากจน พวกเจ้าต้องจริงจังกว่าตอนอยู่ที่บ้าน ถ้าพวกเจ้ามัวแต่คิดที่จะเอาเงิน เช่นนั้นก็สู้ไม่ไปเสียจะดีกว่า”
ภรรยาของผู้เฒ่าสวี่เอ่ยด้วยความโมโห “พวกข้าไม่รู้เรื่องพรรค์นี้หรืออย่างไรกัน! เสื้อผ้าที่ให้เหล่าทหารสวมใส่ย่อมต้องจริงจังอยู่แล้ว! ส่วนท่าน วันๆ เอาแต่ไปฟัง ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ดูสิบัดนี้แม้แต่ตอนพูดจาก็มีกลิ่นอายของบัณฑิตเสียแล้ว”
ผู้เฒ่าสวี่หัวเราะฮ่าๆ ค่อนข้างพึงพอใจ “ไม่เหมือนกันหรอก! ไม่เหมือนกันหรอก!”
ภรรยาจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่งก็อดที่จะหัวเราะมิได้ เอ่ยกับลูกสะใภ้ว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เขาฟังคนอื่นอ่านข่าวมากเกินไป เรื่องที่เข้าใจมีมาก บางครั้งเวลาที่พูดกับข้าก็ทำเอาข้าตะลึงงันไปเหมือนกัน เหมือนกับเป็นบัณฑิตไปจริงๆ เสียแล้ว”
ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างหัวเราะร่วน บุตรชายคนโตครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หารือกับพี่น้องสองสามคนครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ ถ้าอย่างไรท่านไม่ต้องไปหรอก ให้พวกอวิ๋นเหนียงไปก็พอแล้ว”
“นั่นสิ” สะใภ้ใหญ่พูดขึ้น “ท่านแม่ ท่านก็พักผ่อนอยู่ในบ้านเถิด สะใภ้อย่างพวกเราจะต้องทำเรื่องนี้ให้ดีแน่!”
สีหน้าของบรรดาสะใภ้มีความยินดีระคนตึงเครียด พวกนางไม่เคยออกไปหาเงินด้วยตัวเองมาก่อน พวกบุรุษไม่อยู่ด้วยจะทำให้พวกนางรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจเล็กน้อย ทว่าก็ยังกระตือรือร้นที่จะพยายามมากกว่า
ฮูหยินสวี่เบิกตาโพลงทันใด ปฏิเสธโดยไม่ต้องไตร่ตรองให้มากนัก “ไม่ได้ๆ ข้าต้องไป พวกเจ้าไม่ต้องห้าม งานเย็บปักถักร้อยของข้าดีที่สุดในบ้าน เมื่อข้าไปแล้วบรรดาลูกสะใภ้จะได้มีที่พึ่ง”
บรรดาลูกชายโน้มน้าวอยู่นานก็ไร้ผล ทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย
เช้าวันต่อมา ฮูหยินสวี่พาบรรดาลูกสะใภ้ออกจากบ้าน พวกนางรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ทว่าเมื่อมองระหว่างทางผู้คนที่เดินออกมาจากแต่ละครัวเรือนล้วนแต่เป็นสตรี ทุกคนต่างมองกันไปมองกันมา ในใจก็สงบลงและเดินจับกลุ่มไปยังจวนว่าการพร้อมกัน
หลังจากลงนามแซ่และบ้านสามีเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็พูดคุยกันเสียงเบา จากนั้นไม่นานก็มีคนออกมาจากในวังเพื่อพาทุกคนไปทำงานที่หน่วยอาภรณ์อย่างสุภาพและอ่อนโยน
เมื่อฟ้าสาง ขณะที่ชายหนุ่มไปฟัง ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ก็ยังคงพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ภรรยาในบ้านล้วนออกเดินทางแล้ว หากบอกว่าไม่เป็นห่วงก็คงจะโกหก หลังจากผู้เฒ่าสวี่ฟัง ‘ข่าวสารต้าเหิง’ จบก็กลับมารอที่บ้าน บรรดาลูกชายเองก็นั่งไม่ติด กระทั่งพลบค่ำฟ้ามืด ขณะที่คนในบ้านเริ่มกระสับกระส่าย ฮูหยินสวี่ก็พาลูกสะใภ้ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาในบ้านด้วยหน้าตาที่สดใสและรอยยิ้มกว้างจนเห็นแต่ฟันไม่เห็นตา
ผู้เฒ่าสวี่กับบรรดาลูกชายจึงถอนหายใจโล่งอก “นี่มันเกิดเรื่องน่ายินดีอะไรกัน วันนี้ก็ได้เบี้ยมาแล้วหรือ”
ฮูหยินสวี่กับบรรดาสะใภ้นั่งลง ยิ้มเอ่ยว่า “จะเร็วเพียงนั้นได้ที่ใดกัน การเร่งตัดเย็บเสื้อกันหนาวตัวหนึ่ง ต่อให้ทำทั้งวันจนมืดค่ำโดยไม่ทำอะไรเลย ผู้ที่ตัดเย็บได้เร็วก็ยังต้องใช้เวลาถึงสองสามวัน”
ผู้เฒ่าสวี่สงสัย “เช่นนั้นพวกเจ้า?”
“พวกข้ามีความสุขน่ะสิ” ฮูหยินสวี่สั่งให้สะใภ้นำของออกมา “ราชสำนักเตรียมอาหารเที่ยงให้พวกข้า ข้าวนั้นหอมฉุย รับรองว่ากินจนอิ่มท้อง ไม่เพียงแต่เป็นข้าวชั้นดีเท่านั้น ยังมีกับข้าวหลายอย่างอีก พูดไปพวกเจ้าก็คงไม่เชื่อ เที่ยงวันนี้พวกข้าได้กินเนื้อสัตว์ด้วย กลิ่นหอมยังหลงเหลือมาจนถึงบัดนี้เชียว!”
ลูกสะใภ้หยิบขนมที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันออกมาอย่างระมัดระวัง ฮูหยินสวี่กล่าวว่า “ดูเถิด นี่คือขนมจากนางกำนัลที่ดูแลพวกข้า นางกำนัลเล่าว่านี่เป็นเพราะข้าทั้งทำงานดีและเร็วจึงตกรางวัลให้ และนี่เป็นขนมที่ฝ่าบาทเสวยในวังเชียว ราคาไม่เบาเลย!”
ผู้เฒ่าสวี่ตกตะลึง กระโดดโหยงแล้วเอ่ยว่า “ขนมที่ฝ่าบาทเสวย เจ้ายังมาคำนวณว่าราคาเบาหรือไม่เบาอีกหรือ! นี่จะกินได้อย่างไร รีบเอาไปกราบไหว้บูชาเสีย!”
ฮูหยินสวี่คว้าขนมกลับมา มองค้อนผู้เฒ่าสวี่ “นางกำนัลในหน่วยอาภรณ์ก็บอกแล้วว่าให้นำขนมพวกนี้ไปกินที่บ้าน เอาไปกราบไหว้บูชาก็เสียของเปล่าสิ หากต้องการจะกราบไหว้บูชาท่านก็เอาส่วนของตัวเองไปกราบไหว้บูชาเถอะ พวกข้ายังต้องกินอยู่นะ!”
ผู้เฒ่าสวี่นิ่งเงียบไร้คำพูด
เด็กตัวน้อยในบ้านวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นว่าในมือของย่าตนเองมีขนมก็พุ่งเข้าหา คว้ามันยัดใส่ปากทันที หลังจากกลืนลงไปโดยไม่เคี้ยวดวงตาก็เป็นประกาย “ท่านย่า อร่อยจริงๆ!”
เด็กน้อยยังต้องการจะคว้าอีกแต่กลับถูกผู้ใหญ่ในบ้านคว้ามือไว้ สีหน้าของผู้ใหญ่แดงก่ำพลางเอ่ย “กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด! เจ้าค่อยๆ กิน จะกินมูมมามเช่นนี้ได้อย่างไร”
เด็กน้อยไม่รู้ประสา บรรดาผู้ใหญ่ทอดถอนใจ จากนั้นก็ยกมือขึ้นบิขนมชิ้นหนึ่งเข้าปากอย่างระมัดระวัง
ทั้งหวานทั้งหอม ที่แท้ขนมในวังก็มีรสชาติเช่นนี้นี่เอง
ผู้เฒ่าสวี่ชิมแล้วชิมอีก ลิ้มรสแล้วลิ้มรสอีก สุดท้ายเมื่อรสชาติหายไปเขาจึงหยุดเคี้ยว หากจะให้กินอีกเขาก็ไม่กินแล้ว บรรดาผู้ใหญ่ในบ้านยื่นขนมให้กับเด็กน้อย เด็กน้อยถูกมองจนรู้สึกตึงเครียดจึงทำตามพวกผู้ใหญ่และกินแต่ละคำอย่างหวงแหน
ตกกลางคืน ผู้เฒ่าสวี่กับฮูหยินสวี่นอนอยู่บนเตียงพลางหวนคิดถึงรสชาติในวันนี้
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวันที่ได้พบนางกำนัลในวัง”
“คิดไม่ถึงว่ายังเป็นวันที่ได้กินขนมในวัง”
“ทหารเหล่านั้นคงจะหนาวเหน็บอยู่ในฤดูหนาว ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ข้าต้องเร่งมือ อย่าให้พวกเขาต้องแข็งตาย”
“ต้องเร่งน่ะใช่ แต่ก็อย่ารีบร้อน” ผู้เฒ่าสวี่พูด “ไว้ราชสำนักจ่ายเบี้ยเมื่อไร พวกเจ้าแต่ละคนก็เอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ใส่เสีย”
ราตรีค่อยๆ ล้ำลึก เสียงกรนดังขึ้น นครหลวงตกอยู่ในความสงบ ดวงจันทร์แขวนอยู่บนท้องฟ้า
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 14 ส.ค. 65