everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4 บทที่ 133-134 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 133
ครึ่งเดือนผ่านไป หลังจากที่กู้หยวนไป๋ออกจากการไว้ทุกข์ก็ได้รับรายงานจากกองทัพเรือ
ทางเหลี่ยงเจ้อ ฝูเจี้ยน และกว่างหนานตงได้รับชัยชนะ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังกำเริบเสิบสานยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะไล่ตามกองทัพของฝูซังไปจนถึงเกาะที่อีกฝ่ายประจำการอยู่
กู้หยวนไป๋ประเมินกำลังของเรือรบและกองทัพเรือต้าเหิงต่ำไป กองทัพเรือทั้งสามได้ไล่ตามไปอย่างใกล้ชิด ครั้นล้อมกองทัพของฝูซังที่หลบหนีไปได้แล้วก็โจมตีด้วยเปลวเพลิง ขณะที่เปลวเพลิงลุกลามก็อาศัยโอกาสนั้นนเข้ายึดเกาะ
กู้หยวนไป๋สั่งให้คนนำตัวคุณชายหวังเข้ามา ให้คนอ่านสถานการณ์ที่ชายฝั่งให้เขาฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน คุณชายหวังฟังไปฟังมา สีหน้าที่ใจเย็นก็คล้ายถูกตีจนแตกละเอียด บันดาลโทสะจนดวงตาแทบถลนจากเบ้า พยายามดิ้นรนให้หลุดจากเชือกซึ่งพันธนาการเขาไว้ กู้หยวนไป๋ยกชาอุ่นๆ ขึ้นจิบพลางเหม่อมองทิวทัศน์ยามสารทฤดูนอกตำหนัก
กระทั่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของคุณชายหวังเบาลง ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงจึงหันหน้ามองเขา มุมปากผุดรอยยิ้มอบอุ่น “คุณชายหวัง กองทัพเรือของเจิ้นต้องขอบคุณเจ้าแล้ว โชคดีที่มีเจ้าจึงทำให้กองทัพเรือสามารถยึดชุดเกราะ อาหาร และน้ำมันก๊าดจากฝูซังได้มากมายเพียงนี้”
แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงอ้อยอิ่ง มือของฮ่องเต้แห่งต้าเหิงที่กำลังถือถ้วยชานั้นดูโปร่งใสภายใต้แสงแดด ดวงตาเปื้อนยิ้มอาบไล้ไปด้วยแสงสีน้ำตาลทอง
คุณชายหวังรู้สึกถึงกลิ่นคาวหนักหน่วงอยู่ในลำคอ คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ที่ดูไร้พิษสงต่อสรรพสัตว์จะโหดเหี้ยมปานนี้
สิ่งที่กู้หยวนไป๋เอ่ยจะต้องเป็นเรื่องลวงแน่ ฝูซังเตรียมการมานานเพียงนั้น จะมาพ่ายแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร
ต้าเหิงแคว้นแห่งสวรรค์ เขตแดนแผ่นดินกว้างใหญ่ แม้จะต้องต่อสู้ตั้งรับฉับพลัน ก็มีความมั่นใจเพียงนี้เชียวหรือ
กู้หยวนไป๋รู้สึกว่ามันยังไม่เพียงพอ จึงยิ้มเอ่ยอีกว่า “ฝูซังกระทำความผิด เจิ้นย่อมจะต้องสั่งสอนฝูซังให้แก้ไขความผิดพลาด และกลับสู่เส้นทางอันชอบธรรม ทว่าเส้นทางนี้ลำบากนัก หากฝูซังต้องการคำสั่งสอนจากเจิ้น ก็ต้องแบกรับเสบียงของกองทัพเจิ้นที่ไปยังฝูซังครานี้ด้วย แล้วค่อยจ่ายค่าชดเชยแก่ต้าเหิงอย่างพอเพียง ดินแดนแห่งสวรรค์ของเจิ้นไม่กลัวความลำบาก นี่เป็นเพียงการเดินทัพอีกเที่ยวเท่านั้น”
ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา เถียนฝูเซิงก็อดที่จะตกตะลึงมิได้
ทำ…ทำเช่นนี้ได้ด้วยรึ
ครั้นกู้หยวนไป๋กล่าวจบ ก็ไม่มองคุณชายหวังที่เคียดแค้นจนอยากจะสังหารเขาอีก “พาตัวออกไปเถิด”
สงครามทางทะเลไม่สามารถทำให้เหล่าราษฎรในนครหลวงซึ่งอยู่ห่างออกไปนับพันหลี่ร่วมเห็นอกเห็นใจได้ อีกทั้งข่าวนี้ก็ไม่เคยถูกรายงานใน ‘ข่าวสารต้าเหิง’ หรือกระทั่งปล่อยให้เล็ดลอดออกไปไกล อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากข่าวที่ก่อนหน้านี้คุณชายหวังปล่อยออกไปในนครหลวงว่าฮ่องเต้หมดสติยาวนาน
กลางเดือนเก้า เพื่อเป็นการสยบข่าวลืออย่างหมดจด กู้หยวนไป๋จึงปรากฏตัวต่อหน้าราษฎร ขึ้นไปไหว้พระจันทร์บนดาดฟ้า
ฮ่องเต้สวมเสื้อคลุมจักรมังกร รอบข้อมือมีผ้าไหมสีขาวผูกไว้ ขณะก้มตัวเอวนั้นดูบอบบางยิ่ง ม่านลูกปัดหยกด้านหน้าของมงกุฎกระทบกันราวกับสายฝน แต่ละท่วงท่างดงามราวกับภาพวาด
ราษฎรสามารถมองเห็นฮ่องเต้ได้จากที่ไกลๆ ทหารรักษาพระองค์จำนวนมากถือหอกยาวยืนตัวตรง สีหน้าเคร่งขรึม
ขณะฮ่องเต้เสด็จ ราษฎรสามารถล้อมชมได้ทว่าไม่สามารถตะโกนเรียกข้ามฝั่งถนนหรือมองลงมาจากที่สูงได้ เมื่อฮ่องเต้จุดธูป ยกแขนขึ้นอย่างช้าๆ และรวบปลายแขนเสื้อ การเคลื่อนไหวดุจสายน้ำนี้มองดูแล้วทำให้รู้สึกได้ถึงความสูงส่ง คนสามัญธรรมดามิอาจเทียบเคียง
เหล่าราษฎรมิอาจกล่าวถ้อยคำอันน่าฟังใดๆ ได้ เพียงรู้สึกว่าฮ่องเต้นั้นก็คือฮ่องเต้ ไม่ว่าทำอะไรล้วนมีอิริยาบถน่าชื่มชมอันเป็นเอกลักษณ์
ฉู่เว่ยกับสหายร่วมสำนักก็กำลังเฝ้ามองจากด้านนอกเช่นกัน เหล่าข้ารับใช้และทหารองครักษ์หลายชั้นบดบังเงาของฮ่องเต้ไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงชายอาภรณ์คลุมเท้าที่แวบผ่านให้เห็นเป็นครั้งคราวเท่านั้น
สหายร่วมสำนักมองอยู่เนิ่นนาน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงรีบดึงๆ ชายเสื้อของฉู่เว่ย “จื่อฮู่ เจ้ารู้สึกว่าคุณชายรูปงามที่พวกเราเห็นที่หอจ้วงหยวนคราวก่อนมีส่วนคล้ายกับฝ่าบาทหรือไม่”
ฉู่เว่ยเอ่ยเรียบๆ “ผู้นั้นก็คือฝ่าบาท”
สหายร่วมสำนักเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกระโดดโหยง “อะไรนะ!”
ฉู่เว่ยขมวดคิ้วเบาๆ สหายร่วมสำนักจึงสงบลง ก่อนจะกระซิบเสียงต่ำ “เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกข้าว่านั่นคือฝ่าบาท!”
“ตอนนั้นเจ้ามิได้ต้องการเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนัก ทั้งยังไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก” ฉู่เว่ยกล่าวอย่างกระชับ “จะพูดมากกับเจ้าไปไย”
สหายร่วมสำนักสำลัก ส่ายหน้าอย่างพูดอะไรไม่ออก พึมพำไม่หยุด “เจ้าฉู่จื่อฮู่ตัวดี”
ฉู่เว่ยยังคงมองฮ่องเต้ต่อไป
วันนี้อากาศดี ผ้าที่ใช้ตัดเย็บเสื้อคลุมเป็นผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เข็มขัดหนังรัดรอบเอวหลวมๆ แม้จะอยู่ไกลแต่ก็ยังสามารถมองเห็นความผอมบางของลำคอ ข้อมือ และร่างกายของฮ่องเต้ได้ ฉู่เว่ยเกิดความกังวลในใจ เป็นห่วงเรื่องที่ฮ่องเต้หมดสติเมื่อหลายวันก่อน เป็นห่วงว่าเขาในตอนนี้ดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าเดิมเสียอีก
ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะทำใจยอมรับการสิ้นพระชนม์ของหวั่นไท่เฟยได้หรือไม่
อย่างไรก็ดี นอกจากความเป็นห่วงแล้ว… ลูกกระเดือกของฉู่เว่ยขยับไหว เขาหลุบตาลง ขนตายาวปกปิดเงามืดที่อยู่ภายในดวงตา
นิ้วเรียวยาวทั้งห้าขยับเล็กน้อย คล้ายต้องการจะคว้าอะไรบางอย่าง
“ฉู่เว่ย!”
เสียงเรียกของสหายร่วมสำนักปลุกสติเขาฉับพลัน ฉู่เว่ยเอาสองมือข้างไพล่หลัง หันไปด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เหลือบตาขึ้นแล้วเอ่ย “หืม?”
“ฝ่าบาทจะเสด็จแล้ว” สหายร่วมสำนักเอ่ย “ที่นี่คนเยอะ อีกประเดี๋ยวบนถนนต้องติดขัดเป็นแน่ สู้พวกเราไปกันตอนนี้เลยดีหรือไม่”
ก้าวย่างของฉู่เว่ยกลับมั่นคงดุจต้นสน “เจ้าไปก่อน”
“ข้าไปก่อน?” สหายร่วมสำนักประหลาดใจ
ฉู่เว่ยพยักหน้า เสื้อคลุมสีขาวโอบร่างของเขาให้ดูสูงขึ้นไปอีก “ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
ฮ่องเต้นั่งอยู่ในรถม้า ม้าหกตัวด้านหน้ายังไม่ทันจะยกกีบเท้าขึ้น ทหารองครักษ์ก็วิ่งเข้ามารายงาน
“ฝ่าบาท ใต้เท้าฉู่ ฉู่เว่ยต้องการเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เหลือบมองท้องฟ้าด้านนอก “ให้เขาเข้ามาเถิด”
เซวียหย่วนเลิกคิ้ว ท่าทีสงบนิ่ง “ฝ่าบาท ลูกปัดหยกบนศีรษะท่านพันกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ยกมือขึ้นจัดๆ มันครู่หนึ่ง ลูกปัดส่งเสียงดังไม่หยุดภายใต้การสัมผัสของเขา นิ้วของเขาทั้งเย็นและขาวผ่อง นิ้วทั้งห้าพันอยู่รอบเชือก เชือกเส้นเล็กสีดำกับลูกปัดหยกขาวโปร่งแสงเกี่ยวพันกันยุ่งเหยิงบนนิ้วเรียวยาวคล้ายยามที่กำลังเด็ดบัว หากลูกปัดเป็นมนุษย์ก็คงจะเขินอายจนหน้าแดงอยู่บนนิ้วของเขา “ตรงที่ใด”
เซวียหย่วนมองจนเคลิบเคลิ้มอยู่สักพัก เมื่อได้ยินคำถามนี้ก็ดึงสติกลับมา หางตาของเขาเหลือบเห็นว่าฉู่เว่ยกำลังเดินมาทางนี้จากที่ไม่ไกลก็มีรอยยิ้มเย็นชาวูบผ่านมุมปาก เซวียหย่วนพลิกกายขึ้นรถม้า คุกเข่าลง ค่อยๆ คลายสายลูกปัดสองเส้นที่พันอยู่ด้วยกันอย่างระมัดระวัง
กู้หยวนไป๋ประคองใบหน้าด้วยมือข้างหนึ่ง เอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อให้เซวียหย่วนได้เคลื่อนไหวสะดวก
หลังจากที่ฉู่เว่ยเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นฉากนี้เข้า ม่านตาของเขาหดตัวกะทันหัน ส่วนโค้งที่แสดงออกถึงความไม่พึงใจกดอยู่ตรงมุมปาก เพียงชั่วครู่ก็กลับคืนสู่ปกติ ก้าวขึ้นหน้าคำนับอย่างสง่างาม “ถวายบังคมฝ่าบาท”
กู้หยวนไป๋พยักหน้าสบายๆ เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เซวียจิ่วเหยา เจ้ายังไม่เสร็จอีกรึ”
“กระหม่อมเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากเซวียหย่วนจัดการลูกปัดจนเรียบร้อยก็ปล่อยมือ จากนั้นก็จัดแจงเสื้อคลุมของกู้หยวนไป๋ต่อหน้าฉู่เว่ย โน้มตัวกระโดดลงจากรถม้าไป
ดวงตาสีดำของฉู่เว่ยจับจ้อง มองเห็นทุกการกระทำของเซวียหย่วนอย่างชัดเจน จากนั้นครู่หนึ่งฉู่เว่ยก็ยกมุมปากเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ “หลายวันมานี้พระวรกายของฝ่าบาทแข็งแรงดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ไม่เลว” กู้หยวนไป๋ยิ้มๆ “นายน้อยสี่ที่บ้านเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉู่เว่ยเล่าอย่างละเอียด เขาพูดน้อย ทุกคำพูดล้วนไม่ฉาบฉวย กู้หยวนไป๋รอจนเขาเล่าจบก็พยักหน้า นึกว่าพอฉู่เว่ยพูดจบก็จะจากไป ทว่าฉู่เว่ยกลับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ฝ่าบาท หลายวันก่อนกระหม่อมได้รับภาพวาดของหลี่ชิงอวิ๋น แต่มีเพียงส่วนล่างเท่านั้น บิดาของกระหม่อมเคยกล่าวว่าส่วนบนอยู่ในจวนเสนาบดีกรมอากร หลังจากกระหม่อมไปหาเสนาบดีกรมอากรแล้ว ใต้เท้าทังกล่าวว่าเขาได้ถวายครึ่งหนึ่งของภาพวาดนั้นให้ฝ่าบาทเมื่อเทศกาลวั่นโซ่วปีกลาย บังเอิญว่ากระหม่อมก็ไม่รู้ว่าภาพวาดที่ได้มานั้นเป็นของจริงหรือของปลอม จึงอยากขอยืมดูภาพวาดส่วนบนที่อยู่ในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เกิดความสนใจ หลี่ชิงอวิ๋นผู้นี้เป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ในราชวงศ์ก่อน ถูกเรียกขานว่าเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ของราชวงศ์นั้น เขาสร้างสรรค์ภาพวาดน้อยมาก กู้หยวนไป๋ชื่นชมไม่เป็น แต่เขารู้ว่านามหลี่ชิงอวิ๋นนี้เป็นตัวแทนของเงินทองที่ทอแสงละลานตา
เขานึกประหวัดอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เทศกาลวั่นโซ่วเมื่อปีกลายเสนาบดีกรมอากรได้มอบภาพวาดม้วนหนึ่งให้เขาจริงๆ กู้หยวนไป๋ค่อนข้างมั่นใจ มองฉู่เว่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉู่ชิง ม้วนภาพส่วนบนนั้นถูกเก็บอยู่ในท้องพระคลังของเจิ้น”
ฉู่เว่ยถูกรอยยิ้มนั้นของกู้หยวนไป๋ทำให้เหงื่อตกเล็กน้อย “ม้วนภาพในพระหัตถ์ของฝ่าบาทจะต้องเป็นของจริงอย่างแน่นอน ทว่าในมือของกระหม่อมอาจไม่ใช่”
กู้หยวนไป๋จงใจพูด “หากเป็นของจริงเล่า”
“เช่นนั้นก็จะถวายแด่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ในน้ำเสียงของฉู่เว่ยแม้แต่น้อย “สองภาพรวมเข้าด้วยกันก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
เขากล่าวคำเหล่านี้ด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ เสียงนั้นใสราวกับไข่มุกตกกระทบจานหยก ไพเราะน่าฟังราวกับคำบอกรัก
เซวียหย่วนมีสีหน้าเย็นชา
กู้หยวนไป๋อดที่จะยิ้มไม่ได้ เมื่อสองปีก่อนฉู่เว่ยยังเป็นบุรุษผู้หยิ่งผยอง บัดนี้กลับรู้จักเปลี่ยนแปลง รู้จักมาเอาใจเขาเสียแล้ว กู้หยวนไป๋รับน้ำใจนี้ของขุนนางไว้อย่างใจเย็น “เช่นนั้นเจิ้นจะรอ พรุ่งนี้จะส่งคนนำภาพวาดไปให้เจ้า”
ฉู่เว่ยส่ายหน้า พูดเสียงเบาว่า “กระหม่อมส่งภาพวาดไปยังวังหลวงเองดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ครุ่นคิด นิ้วมือเคาะอยู่บนหน้าตักเบาๆ ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “ก็ดี”
ฉู่เว่ยถวายการคำนับกำลังจะจากไป แต่กลับนึกบางอย่างขึ้นได้กะทันหัน เขาเงยหน้ามองเซวียหย่วน “บัดนี้ใต้เท้าเซวียก็คงเริ่มดูตัวแม่นางแล้วกระมัง”
เซวียหย่วนหรี่ตา “อะไรนะ”
“หลายวันก่อน มารดาบ่นเรื่องการแต่งงานของกระหม่อม” ฉู่เว่ยทอดถอนใจ “กระหม่อมถามถึงได้รู้ว่า สองสามเดือนมานี้ฮูหยินเซวียกำลังง่วนอยู่กับเรื่องการแต่งงานของใต้เท้าเซวียตลอด โดยไม่หย่อนคล้อยเลยแม้แต่น้อย ฮูหยินเซวียรู้จักกับมารดาของกระหม่อมมานานแล้ว มารดาของกระหม่อมจึงเริ่มร้อนใจเช่นกัน”
เซวียหย่วนดึงมุมปากและมองฉู่เว่ย สายตาเหมือนกำลังมองคนตาย
เจ้าอยากตายรึ
เปลือกตาของฉู่เว่ยกระตุก และยิ้มเย็นชาเช่นกัน
ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย พ่นประโยคสุดท้ายออกมา “ใต้เท้าเซวีย ท่านชอบสตรีเช่นไรหรือ สู้กล่าวออกมาตรงๆ ดีกว่า ข้าจะได้ไปบอกมารดา ให้มารดาช่วยฮูหยินเซวียที่กำลังร้อนใจด้วย”
กู้หยวนไป๋ตกตะลึงเล็กน้อย
เมื่อได้ยินฉู่เว่ยกล่าวเช่นนี้ เขาจึงดึงสติกลับมาแล้วมองไปยังเซวียหย่วน
ใช่แล้ว
เซวียหย่วนอายุย่างยี่สิบห้าปีแล้ว เขาในวัยนี้ ทั้งยังไม่มีร่างกายที่อ่อนแอเหมือนข้าที่ไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้ คนในตระกูลย่อมต้องรบเร้าให้เขาแต่งงานเป็นธรรมดา
ทันทีที่คิ้วกดต่ำลง ท่าทางดุร้ายก็ปรากฏ
เวลาที่เซวียหย่วนมองเขาก็เหมือนกับสุนัขมองกระดูกก็มิปาน ความคลั่งไคล้ที่อีกฝ่ายมีต่อกู้หยวนไป๋นั้นทำให้กู้หยวนไป๋รู้สึกว่าแม้ทั้งสองจะหลับนอนกันแล้ว ความปรารถนาและความกระหายของเซวียหย่วนก็มีแต่จะเพิ่มพูน คนเช่นนี้ยังจะสามารถแข็งกร้าวกับคนอื่นที่ไม่ใช่กู้หยวนไป๋ได้อีกหรือ
จูบก็แล้ว สัมผัสก็แล้ว ยิ่งบอกว่าจะไม่เอาเปรียบ เซวียหย่วนก็ยิ่งจู่โจม ทว่าเวลาที่ข้าต้องการจะหลับนอนกับเขา เขากลับกำลังจะแต่งงาน เพราะเหตุใด ต้องการจะปั่นหัวข้าเล่นหรือ
น้ำเสียงของกู้หยวนไป๋เย็นชาลง “หากฉู่ชิงพูดจบแล้วก็ออกไปเถิด เจิ้นเหนื่อยแล้ว”
ฉู่เว่ยอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงรับคำแล้วถอยออกไป ชั่วขณะที่หมุนตัวจากไปก็มีรอยยิ้มวูบผ่าน
ในที่สุดรถม้าฮ่องเต้ก็เคลื่อนตัวไปในตลาดช้าๆ
ภายในรถม้าที่แกะสลักลายหงส์และมังกร ฝังด้วยหยก ทอง และเงิน น้ำเสียงของฮ่องเต้คล้ายเจือด้วยตะกรันน้ำแข็งเดือนสิบสอง “เซวียหย่วน ขึ้นรถ”
จากนั้นไม่นาน เซวียหย่วนก็มาคุกเข่าลงตรงหน้ากู้หยวนไป๋
บนรถม้าที่ส่ายไหวเล็กน้อยนั่น หน้าต่างและประตูปิดสนิท ภายในรถมืดมิด ถนนด้านนอกคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงความวุ่นวายไม่ได้ถูกปิดกั้นเลยแม้แต่น้อย
กู้หยวนไป๋ถอดรองเท้ามังกรออก เหยียบอยู่บนตัวของเซวียหย่วนด้วยถุงเท้า
เขาโอนเอนเบาๆ หลายครั้งไปตามรถม้า ใบหน้าที่ซุกซ่อนอยู่ในความมืดถูกเงาวาดผ่านแล้วก็ถูกแสงสาดส่องอีกครั้ง ริมฝีปากแดงชาด ดวงตามืดมน แววตาคมปลาบดุจดาบ แฝงความมุ่งมั่นและโหดเหี้ยมผสมปนเป
เซวียหย่วนพ่นลมหายใจติดๆ ขัดๆ เข่าติดแน่นอยู่กับพื้น ส่วนนั้นของเขาลุกชันขึ้นมาแล้ว มันพร้อมปะทะเท้าที่ร้อนจนน่ากลัวของกู้หยวนไป๋
การลงโทษครั้งนี้ทรมานเกินไป
ศีรษะของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ในเส้นเลือดเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา มองผ่านไอหมอกและความชื้นไปที่ฮ่องเต้ด้วยสายตาเซื่องซึม
น้ำเสียงของกู้หยวนไป๋เชื่องช้า เท้าก็ขยับอย่างเชื่องช้าเช่นกัน “เซวียจิ่วเหยาจะแต่งภรรยารึ”
เสียงลมหายใจของเซวียจิ่วเหยาหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ คล้ายเป็นสุขคล้ายทุกข์ระทม
รถม้าเลี้ยวที่มุมหนึ่ง เสียงโห่ร้องของราษฎรยิ่งใกล้หูเข้ามาทันที
เจ้าสิ่งเดรัจฉานใต้ฝ่าเท้ากระตุกเต้น แสดงความภักดี
กู้หยวนไป๋ส่งเสียง “ฮึ” ออกมา ผละจากข้างผนังรถม้า ก้มตัวออกมาจากความมืดและคว้าคอเสื้อของเซวียหย่วนทันใด เซวียหย่วนที่ถูกกระชากโดยไม่ทันตั้งตัวเซไปข้างหน้า สองมือยันผนังรถได้ทันเวลาจึงไม่ไปทับฮ่องเต้เข้า
คอเสื้อถูกกำจนแน่นตึง “เจิ้นถามเจ้า”
กู้หยวนไป๋พ่นลมหายใจหอมหวานข้างหู น้ำเสียงเจือไปกับรอยยิ้มเย้ยหยัน “หากผู้อื่นเหยียบย่ำเจ้า เจ้าก็ยังจะ…”
เขานิ่งไป ก้มหน้ามองเซวียหย่วน ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “…ยั่วยวนเช่นนี้รึ”