ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4 บทที่ 135-136 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4 บทที่ 135-136 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 135

 

จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่เว่ยก็ขอพระบรมราชานุญาตเข้าไปในตำหนักเซวียนเจิ้ง

เขาสวมชุดขุนนาง ในมือมีภาพวาดม้วนหนึ่งที่ใส่ไว้ในห่อผ้า ยังมีเจ้าหน้าที่จากสำนักตรวจการคนหนึ่งมากับเขาด้วย คนผู้นี้มีความหลงใหลในภาพวาดของหลี่ชิงอวิ๋นจึงค่อนข้างมีความเข้าใจ เขาถูกเถียนฝูเซิงเชิญมา ซ้ำยังต้องการจะดูภาพวาดครึ่งบนและครึ่งล่างของภาพสองม้วนนี้ว่าเป็นของจริง และสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้หรือไม่

วันนี้มีฝนตกปรอยๆ ภาพวาดอาจจะชื้นไปบ้างจึงทำให้กระดาษยับย่นเล็กน้อย บัดนี้ภาพวาดในท้องพระคลังได้ถูกนำมาวางอยู่บนโต๊ะทรงงานแล้ว เจ้าหน้าที่สำนักตรวจการดวงตาเป็นประกาย มองภาพวาดไม่วางตา

กู้หยวนไป๋หัวเราะพลางเอ่ยเย้าว่า “สายตาวั่นชิงคล้ายจะแผดเผาภาพวาดของหลี่ชิงอวิ๋นอย่างไรอย่างนั้น”

ใต้เท้าวั่นยิ้มอย่างระมัดระวัง ถวายการคำนับพร้อมกับฉู่เว่ย หลังจากลุกขึ้นฉู่เว่ยก็นำห่อผ้าออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้ขันที

ในที่สุดภาพวาด ‘ภาพภูเขาแม่น้ำพันหลี่’ ทั้งสองส่วนก็ถูกวางไว้คู่กัน

กู้หยวนไป๋เหลือบมอง อดที่จะหัวเราะมิได้ “ฉู่ชิง ภาพวาดของเจ้าจะต้องเป็นของปลอมแน่”

แม้เขาไม่เข้าใจในภาพวาด ทว่าอย่างน้อยก็มองระดับความเก่าใหม่ของภาพวาดออก หากมองเพียงภาพเดียวยังไม่เท่าไร ทว่าเมื่อวางภาพวาดทั้งสองไว้คู่กัน ความแตกต่างระหว่างเก่าใหม่ก็เด่นชัดขึ้นมาทันที

ปากของฉู่เว่ยอ้าออกเล็กน้อย สุดท้ายก็เม้มปากตามเดิม หลุบตาลงมองภาพวาดบนโต๊ะ ท่าทางผิดหวังเล็กน้อย

ทันใดนั้นใต้เท้าวั่นก็โพล่งคำว่า “เอ๋?” ออกมา โน้มตัวเข้าไปดูภาพวาดม้วนนั้นของฉู่เว่ย “ฝ่าบาท นี่แปลกจริงๆ แม้จะเก่าใหม่ต่างกัน ทว่าฝีแปรงของภาพวาดนี้ก็ยังเป็นไปตามทิศทางของภูเขาและสายน้ำ ล้วนเป็นเอกลักษณ์การวาดภาพของหลี่ชิงอวิ๋น หากไม่มองเก่าใหม่ แต่มองภาพนี้เพียงอย่างเดียว เหมือนหลี่ชิงอวิ๋นเป็นคนวาดก็มิปาน”

กู้หยวนไป๋ตกตะลึง จมูกย่นเล็กน้อย “จริงรึ”

ใต้เท้าวั่นไม่กล้ากล่าวถึงภาพนี้อย่างเต็มที่นัก “กระหม่อมขอดูอีกทีพ่ะย่ะค่ะ”

ในวันฝนตกไร้ซึ่งแสงอาทิตย์ ใต้เท้าวั่นยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนและยิ่งรู้สึกแปลกใจ เขานำสองภาพมาต่อกันแล้วดูอย่างละเอียดอีกครา ส่วนที่ถูกตัดขาดเชื่อมกันอย่างไร้รอยต่อ ทุกส่วนดูเข้ากันได้ดีกับภาพวาดด้านบน หากนี่ไม่ใช่ภาพวาดเดียวกัน แล้วผู้ที่ลอกเลียนแบบทำได้อย่างไร

เป็นไปได้หรือ ที่เพียงอาศัยครึ่งล่างของภาพวาดก็สามารถเชื่อมต่อครึ่งบนของภาพวาดโดยไร้ข้อผิดพลาดได้

“เหมือนเหลือเกิน” ใต้เท้าวั่นอุทาน “แม้กระหม่อมจะรู้จักภาพวาดนี้ ก็ไม่กล้าพูดว่าในภาพนี้มีอะไรที่แตกต่าง”

หางตาของกู้หยวนไป๋กระตุก “น่าสนใจ”

เขาก้าวไปข้างหน้า ใต้เท้าวั่นถอยหลังหลีกทางให้ ฮ่องเต้ก้มตัวลงมองดูภาพวาดที่ฉู่เว่ยถวาย

แต่ฉู่เว่ยกลับกำลังมองฮ่องเต้

ผมสีดำที่อยู่บนไหล่ของกู้หยวนไป๋ทำท่าจะหล่นแหล่มิหล่นแหล่ มันพลิ้วไปตามทุกการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของเขา เส้นผมสองเส้นที่อยู่สุดปลายขอบดูอันตรายที่สุด

หากก้มหน้าลงอีกหน่อย มันจะกวาดภาพวาดของฉู่เว่ยหรือไม่

หากกวาดจริงๆ เกรงว่าอาจจะเปื้อนหมึกมุมหนึ่งที่โดนฝนและยังเปียกชื้นอยู่

ฉู่เว่ยเพิ่งจะคิดเช่นนี้ ผมของฮ่องเต้ก็เลื่อนหล่นจากไหล่ทั้งสองข้าง ฉู่เว่ยก้าวไปข้างหน้าตามจิตใต้สำนึกและรับผมกลุ่มนั้นไว้ทันเวลาก่อนที่จะสัมผัสกับภาพวาด

สายตาของฮ่องเต้หยุดอยู่ที่เขา ฉู่เว่ยเป็นบุรุษดุจหยก เขาเอ่ยอย่างใจเย็นยิ่งว่า “ไม่รู้ว่าภาพวาดนี้ผ่านมือของคนมามากเท่าใด ฝ่าบาทอย่าสัมผัสมันจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ยิ้มๆ ยืนตัวตรงแล้วตบๆ แขนของฉู่เว่ย “ฉู่ชิงใส่ใจนัก”

ผมสีดำลื่นไหลหลุดจากมือของฉู่เว่ย

ฉู่เว่ยชักมือกลับ รอยยิ้มละเอียดอ่อนผุดขึ้นในดวงตา “มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

 

แม้ภาพวาดนี้จะเป็นของปลอม ทว่าเนื้อหาในภาพวาดกลับเป็นของจริง กู้หยวนไป๋รู้สึกสนใจขึ้นมา เขาให้ฉู่เว่ยทิ้งภาพวาดนี้ไว้ หากคราวหน้าพบผู้ที่ขายภาพวาดให้เขาอีกก็ให้รีบมารายงานทันที

ไม่นานหลังจากนั้น แม่ทัพอาวุโสเซวียก็กลับมายังนครหลวงแล้ว

เขาเข้าวังหลวงไปเข้าเฝ้าหารือเกี่ยวกับงานราชสำนักกับกู้หยวนไป๋ก่อน การค้าทางชายแดนดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก สกุลจางได้เตรียมเส้นทางการค้านี้มาเป็นเวลานานแล้ว พวกเขามีอาชีพค้าขายเป็นทุนเดิม ด้วยเหตุนี้การค้าขายที่ดำเนินการนั้น อยากได้สิ่งใดก็ล้วนมี ซึ่งดึงดูดความสนใจและความกระตือรือร้นของชนเผ่าเร่ร่อนที่มีต่อตลาดแลกเปลี่ยนชายแดนเป็นอย่างยิ่ง

ความกระตือรือร้นนั้นปรากฏออกมาให้เห็น ม้าที่นำเข้ามาจากชายแดนตอนเหนือถูกส่งเข้าสู่กองทัพเป็นรอบๆ วัวและแกะส่วนหนึ่งจากชายแดนตอนเหนือถูกนำไปขายทางใต้ และบางส่วนก็นำเข้าไปในค่ายทหารเพื่อเพิ่มเนื้อสัตว์ให้กับกองทัพ

รวมกับม้าที่แคว้นซีซย่าส่งมาก่อนหน้านี้ก็สามารถเพิ่มกำลังทหารม้าในกองทัพได้อีกหนึ่งหมื่นนาย ในบรรดาทหารม้า อาวุธและวิธีการฝึกของทหารม้าหนักก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน อาหารไม่ขาด เนื้อสัตว์และผักผลไม้ที่เพียงพอก็สามารถบำรุงร่างกายให้มีความแข็งแรงและกำลังวังชาได้

ครั้นมีวัวและม้าจำนวนมากเข้ามาในกองทัพเช่นนี้ ความเคารพนับถือและความรักที่เหล่าทหารมีต่อฮ่องเต้เรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น พวกเขารู้ว่าวันเวลามีทั้งร้ายและดี ก่อนที่จะมาเป็นทหารพวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสชีวิตที่มีเนื้อสัตว์และมีข้าวกินเช่นนี้มาก่อน

ทั่วทั้งใต้หล้า เมื่อเข้ากองทัพแล้วชีวิตดีขึ้นกว่าในอดีต มีเพียงต้าเหิงเท่านั้นที่ทำได้

กองทัพสำคัญยิ่งยวด หลังจากที่กู้หยวนไป๋ถามเรื่องวัว แกะ และม้า ก็ถามเรื่องการรักษาการณ์ที่ชายแดนต่อ แม่ทัพอาวุโสเซวียมีหลากอารมณ์ผสมปนเป อดที่จะกล่าวเสริมมิได้ “ตอนที่กระหม่อมนำทัพไปรักษาการณ์ที่ชายแดนตอนเหนือ เหล่าทหารชายแดนผอมแห้งเหมือนฟืน ชาวบ้านในชายแดนตอนเหนือก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน นอนก็นอนไม่หลับ ทว่าเมื่อกระหม่อมกลับนครหลวงคราวนี้” เขาอดที่จะเผยยิ้มออกมามิได้ “ชาวบ้านต่างมาส่งตามสองข้างทาง น้ำตาหลั่งไหลยาวสิบหลี่ มอบของมากมายแก่กระหม่อมและเหล่าทหารจนพวกกระหม่อมรับไม่ไหว”

“ทั้งยังมีเหล่าทหารในชายแดนตอนเหนือ” ดวงตาของแม่ทัพอาวุโสอดที่จะระคายเคืองมิได้ “ปีกลายหิมะตกหนัก บ้านเรือนหลายหลังถล่ม พวกเขาไปช่วยจัดการหิมะหลายคืนติดต่อกัน หิมะตกหนักต่อเนื่องหลายวัน แม้แต่เส้นทางก็ถูกปิดกั้น ทว่ากลับไม่มีทหารที่แข็งตายเลยสักคน”

“พวกกระหม่อมกินน้ำแกงเป็ด สวมเสื้อบุนวมที่ฝ่าบาทพระราชทาน และผ่านทั้งฤดูหนาวไปได้อย่างปลอดภัย”

กู้หยวนไป๋ได้ยินดังนี้ก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขายิ้มพลางกล่าวอย่างจริงใจ “นี่เป็นฉากที่เจิ้นอยากเห็นที่สุดในชีวิต”

“บ้านเรือนน้อยใหญ่อยู่เย็นเป็นสุข” กู้หยวนไป๋กล่าวเสียงต่ำ “กำบังลมฝนเพื่อให้ผู้ยากแค้นในใต้หล้าอยู่ได้ด้วยรอยยิ้ม”

ครั้นได้ยินเช่นนี้ แม่ทัพอาวุโสก็น้ำตานองหน้าทันที

 

แม่ทัพอาวุโสเซวียออกจากวังหลวงด้วยน้ำตาซึม ฮ่องเต้ตั้งใจให้เซวียหย่วนกลับจวนพร้อมกันกับเขา เซวียหย่วนมองดูแม่ทัพอาวุโสเซวียแวบหนึ่งก็รู้สึกปวดศีรษะ “ท่านแม่ทัพเซวีย ท่านหยุดร้องไห้ได้หรือไม่”

บัดนี้แขนเสื้อของแม่ทัพเซวียเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาแล้ว “ฝ่าบาททรงพระประเสริฐอย่างแท้จริง ฝ่าบาททรงพระประเสริฐเกินไปแล้ว”

มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเซวียหย่วน “ฝ่าบาทย่อมทรงพระประเสริฐอยู่แล้ว”

เมื่อแม่ทัพอาวุโสเซวียกลับมาถึงจวน ความตื้นตันและความซาบซึ้งในอกจึงค่อยๆ สงบลง เขาร้องไห้ต่อหน้าบุตรชายนานเพียงนี้ รู้สึกเก้อเขินไปชั่วขณะจึงกระแอมกระไอสองสามที “อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะอายุยี่สิบห้าปี ใกล้ถึงวัยที่จะเป็นอิสระแล้ว เซวียหย่วน เมื่อไรจะแต่งสะใภ้ให้ข้าได้สักที”

เซวียหย่วนครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่ง “ยาก”

“มารดาของเจ้ากับข้าต่างรู้ดีว่าเจ้ามีคนที่พึงใจ” แม่ทัพอาวุโสเซวียถอนหายใจยาว เพียงนึกว่าเขาไม่ต้องการพูดมาก “ข้ามีเจ้าตอนอายุยี่สิบปี สองปีต่อมาหลินเกอเอ๋อร์ก็คลอดออกมา บัดนี้ข้าก็ล่วงเลยวัยสี่สิบมาแล้วแม้แต่หลานสักคนก็ยังไม่ได้อุ้ม”

เซวียหย่วนเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ง่ายดายยิ่งนัก พรุ่งนี้ข้าจะหาแม่นางสองสามคนที่เต็มใจคลอดบุตรให้กับบุตรชายคนรองของสกุลเซวีย ขังพวกนางกับเขาให้อยู่ด้วยกัน ไว้ตั้งครรภ์เมื่อไรค่อยออกมาจากห้อง”

“เจ้าก็มีคนที่ชอบพอแล้ว เหตุใดคนที่เจ้าชอบถึงไม่คลอดหลานให้ข้าเล่า” แม่ทัพอาวุโสเซวียใบหน้าบึ้งตึง ไม่พอใจอย่างยิ่ง “หรือเจ้าลูกกระต่ายไม่ได้เรื่องอย่างเจ้า จนป่านนี้ก็ยังทำให้นางตกลงปลงใจกับเจ้าไม่ได้อีก”

“คลอดไม่ได้” เซวียหย่วนกล่าวไปตามตรง “และเป็นความจริงที่อีกฝ่ายไม่เคยตกลงปลงใจกับข้า”

เป็นไปได้ว่าจะไม่มีวันตกลงแต่งงานกับเขาตลอดไป สกุลเซวียเองก็น่าจะ…เลี้ยงฝ่าบาทไม่ไหว

แม่ทัพอาวุโสเซวียสีหน้าล้ำลึก “ในเมื่อนางไม่ยอมแต่งกับเจ้า เจ้าก็เลิกคิดได้แล้ว! ไว้กลับถึงจวนข้าจะให้มารดาเจ้าจัดการเรื่องงานแต่งงานของเจ้าทันที”

เซวียหย่วนสีหน้าเฉยเมย “แม่ทัพเซวีย ของข้าไม่แข็ง”

แม่ทัพอาวุโสเซวียข่มเพลิงโทสะไม่ไหวอีกต่อไป ระเบิดคำรามออกมา “เจ้าไม่แข็ง แล้วตอนอยู่ชายแดนเจ้าซักกางเกงเป็นครึ่งเดือนมันคืออะไร! เซวียจิ่วเหยา เจ้าช่างกล้านัก เพื่อสตรีที่ไม่ชอบเจ้าทั้งยังให้กำเนิดทายาทให้เจ้าไม่ได้ เจ้ายังกล้ากล่าวคำประเภทนี้ออกมาได้”

เสียงคำรามนี้ทำให้บ่าวรับใช้ที่มาต้อนรับการกลับมาของเจ้านายสะดุ้งโหยง

ครั้นฮูหยินเซวียเข้ามาก็ได้ยินประโยคนี้พอดี สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนฉับพลัน หลังจากไล่บ่าวรับใช้ไปแล้วก็ก้าวไปข้างหน้า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“เจ้าดูบุตรชายตัวดีของเจ้าเถิด” แม่ทัพอาวุโสเซวียโกรธจนมือสั่น “เพื่อสตรีคนหนึ่งแล้ว กล้าพูดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ออกมาได้!”

ฮูหยินเซวียตกตะลึง จากนั้นก็มองเซวียหย่วน

เซวียหย่วนยิ้มกว้าง “ท่านพ่อ ใครบอกท่านว่าเป็นสตรีเล่า”

แม่ทัพอาวุโสเซวียนิ่งงัน

เซวียหย่วนยืดเหยียดร่างกายพลางคิดว่าอีกสักครู่จะมีกฎตระกูลข้อใดที่สามารถปกป้องเขาได้บ้าง “คนที่ข้าชอบพอเป็นบุรุษ แน่นอนว่าไม่สามารถมีหลานให้ท่านได้ ข้าเห็นว่าคุณชายรองเซวียก็ไม่เลว ท่านต้องการหลานไม่ใช่หรือ ให้คุณชายรองเซวียมีสักแปดถึงสิบคน ท่านเลี้ยงได้แน่นอน”

แม่ทัพเซวียมองเขาอย่างล้ำลึก กดเสียงต่ำว่า “เจ้าพูดอีกทีซิ”

การแสดงออกของแม่ทัพอาวุโสเช่นนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าบันดาลโทสะอย่างแท้จริง

ฮูหยินเซวียน้ำตาคลอเบ้า มองบุตรชายด้วยความเป็นห่วง

คราก่อนที่แม่ทัพอาวุโสเซวียโกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็ตีคุณชายรองเซวียปางตาย

เซวียหย่วนจุปากด้วยเสียงหนึ่ง เขาเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ท่านแม่ทัพเซวีย ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ท่านจงฟังให้ดี”

เขาเหลือบตาขึ้น “บุรุษที่ข้าชอบ จะต้องเป็นเขาเท่านั้น คนอื่นนอกเหนือจากเขา ข้าก็ไม่แข็ง”

 

วันต่อมาเซวียหย่วนไม่ได้เข้าวัง

กู้หยวนไป๋คาดเดาในใจอยู่แล้ว ทว่าบางคราวที่เรียกหาคนก็ยังเรียกออกมาโดยไม่รู้ตัว “เซวียหย่วน”

ในเวลากลางวัน เถียนฝูเซิงปรนนิบัติฮ่องเต้เข้านอน เขาต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่างทว่ากลับหยุดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท หลายคืนก่อนตอนที่กระหม่อมส่งหมอหลวงจากไปก็พบกับใต้เท้าเซวียระหว่างทางกลับ กระหม่อมอยู่ในมุมหนึ่งได้ยินใต้เท้าเซวียกล่าวอะไรบางอย่างกับเหล่าหมอหลวง”

กู้หยวนไป๋หลับตาลง ลมหายใจยืดยาว “หืม?”

“ใต้เท้าเซวียถามหมอหลวง” เถียนฝูเซิงเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างยากลำบาก “ว่าพระองค์สามารถทำถูกปรนนิบัติยามค่ำคืนได้หรือไม่”

เดิมทีเขานึกว่าฮ่องเต้อาจจะขมวดพระขนงหรือกริ้ว ทว่าฮ่องเต้กลับแย้มมุมพระโอษฐ์อย่างคาดไม่ถึง แล้วตรัสถาม “หมอหลวงว่าอย่างไร”

เถียนฝูเซิงสำลัก ตอบอย่างว่าง่าย “หมอหลวงกล่าวว่าครึ่งเดือนต่อจากนี้ก็ทำเรื่องเช่นนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ครึ่งเดือนหรือ” กู้หยวนไป๋พ่นเสียงหัวเราะเย็นชา “เจิ้นจดจำไว้แล้ว”

เถียนฝูเซิงแสดงสีหน้าแปลกประหลาด “ใต้เท้าเซวียก็กล่าวเช่นนี้”

เหตุใดฝ่าบาทถึงมีพระทัยตรงกับใต้เท้าเซวียได้

กู้หยวนไป๋หลุดหัวเราะ

เขาเข้านอนด้วยอารมณ์ปรีดาเช่นนี้ ครั้นตื่นขึ้นเถียนฝูเซิงกลับบอกเขาว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ในจวนสกุลเซวียมารายงานว่าเมื่อคืนเซวียหย่วนถูกแม่ทัพอาวุโสลงโทษด้วยกฎตระกูล และถูกกักขังในโถงบรรพบุรุษด้วยอาการบาดเจ็บทั้งคืน

ทันทีที่เถียนฝูเซิงกล่าวเช่นนี้ กู้หยวนไป๋ก็มีสีหน้าเย็นชา สีหน้าของเขานั้นน่าเกลียดยิ่ง แววตาล้ำลึก เถียนฝูเซิงตัวสั่นงันงก “ฝ่าบาท?”

“เตรียมม้า” ผ่านไปครู่หนึ่ง กู้หยวนไป๋เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ไปจวนสกุลเซวีย”

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com