everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย
บทที่ 8
บรรดาผู้เข้าสอบมารวมตัวที่นครหลวงในปลายฤดูหนาว ซึ่งการสอบฮุ่ยซื่อในฤดูใบไม้ผลิของปีที่จะถึงนี้ถูกจัดขึ้นโดยกรมพิธีการ ในเมื่อฉู่เว่ยต้องการจะเข้าร่วมการสอบครั้งนี้ เช่นนั้นบิดาของเขาจึงจะต้องหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วม
การประชุมราชสำนักเช้าในหลายวันนี้ก็ล้วนหารือกันถึงเรื่องการสอบฮุ่ยซื่อในต้นเดือนสาม กู้หยวนไป๋กับเหล่าขุนนางชั้นสูงกำหนดประเด็นสำคัญในการสอบฮุ่ยซื่อ และกำหนดเนื้อหาเกี่ยวกับพระคัมภีร์ การวางแผน การคำนวณ บทกวี กฎหมาย และความเรียง การสอบฮุ่ยซื่อจะดำเนินการโดยหัวหน้าผู้ตรวจสอบหนึ่งคนและผู้ช่วยอีกสามคน โดยมีขุนนางขั้นหนึ่งและสองเป็นผู้รับผิดชอบ รวมถึงผู้คุมสอบประจำห้องสอบสิบแปดคน หลังจากกรมพิธีการส่งรายชื่อแล้ว คนเหล่านั้นก็จะได้รับการคัดเลือกจากกู้หยวนไป๋
หลังจากประชุมราชสำนักเช้ากู้หยวนไป๋ก็ได้รายชื่อมา เขาจะต้องคัดเลือกผู้เหมาะสมโดยเร็วที่สุด ในสามวันจากนี้ คนเหล่านี้ก็จะถูกกลุ่มทหารรักษาพระองค์ติดตามเข้าสู่ก้งย่วน และสนามกักตัว
การคัดเลือกคนก็ต้องมีความรู้ แม้ตอนนี้จะได้เป็นศิษย์แห่งโอรสสวรรค์ แต่ท้ายที่สุดหัวหน้าผู้ตรวจสอบเซียงซื่อและฮุ่ยซื่อก็ยังมีศักดิ์เป็น ‘อาจารย์’ ถึงการสอบครั้งนี้จะออกมาไม่ดีก็ยังมีหน้ามีตา สิ่งสำคัญคือการสร้างจิ้นซื่อ และความไว้วางใจจากฮ่องเต้ กู้หยวนไป๋ต้องการให้ใครก้าวหน้าหรือต้องการที่จะขัดแข้งขัดขาใครก็สามารถทำได้จากตรงนี้
หลังจากที่เขาแต่งตั้งคนได้แล้ว ห้องเครื่องหลวงก็ส่งอาหารมาให้ นับตั้งแต่ที่เขาสั่งให้ทำบะหมี่จ้าเจี้ยงคราวก่อน ก็ดูเหมือนว่าห้องเครื่องหลวงจะพบวิธีปรุงซอสที่แตกต่างกันหลายร้อยแบบ ซอสเนื้อที่พวกเขาปรุงออกมานั้นหอมกรุ่น อาศัยเพียงสิ่งนี้ก็เป็นอาหารมื้อใหญ่ได้แล้ว
หลายวันนี้กู้หยวนไป๋ไม่ใคร่อยากอาหารสักเท่าใด ไม่ว่าคนในห้องเครื่องหลวงจะพยายามคิดสรรมากแค่ไหน เขาก็ยังขยับตะเกียบคีบไม่กี่จานแล้ววางตะเกียบลง หลังจากกู้หยวนไป๋สั่งให้คนเก็บอาหารแล้วก็ล้างหน้าล้างตาเพื่อเตรียมงีบกลางวัน
เขาสั่งเถียนฝูเซิงให้ปลุกเขาอีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง กู้หยวนไป๋เข้าสู่ห้วงนิทราแต่คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะผล็อยหลับไปก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยความสั่นสะเทือนอันรุนแรง
ครั้นลืมตาขึ้นก็เห็นเถียนฝูเซิงน้ำตานองหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฝ่าบาท หวั่นไท่เฟยประชวรหนักพ่ะย่ะค่ะ”
จวนหลังหนึ่ง แถบชานเมืองนครหลวง
กู้หยวนไป๋เดินออกมาจากห้องที่อวลไปด้วยกลิ่นยา ครั้นมองดูต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งโดดเดี่ยวในลานจวน ดวงตาของเขาก็ดูแห้งผากเล็กน้อย
บัดนี้เถียนฝูเซิงและข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกายต่างปิดหน้าร้องไห้ระงม หมอหลวงกำลังกระซิบผลการวินิจฉัยอยู่ทางซ้ายมือของฮ่องเต้
หวั่นไท่เฟยคือสนมของฮ่องเต้องค์ก่อน
และเป็นน้องสาวมารดาแท้ๆ ของกู้หยวนไป๋
มารดาของกู้หยวนไป๋จากไปตั้งแต่ยังสาว สกุลมารดาจึงให้หวั่นไท่เฟยเข้าวังเพื่อปกป้องกู้หยวนไป๋ หวั่นไท่เฟยยอมกินยาขับลูกด้วยตัวเองเพื่อให้ตนสามารถดูแลกู้หยวนไป๋ได้เสมือนแม่ลูกแท้ๆ ชีวิตที่เหลือของนางมีเพียงการปูทางให้กู้หยวนไป๋เท่านั้น
มารดาของกู้หยวนไป๋ตายอย่างมีเงื่อนงำและก็เป็นหวั่นไท่เฟยที่สืบสาวในตำหนักในทีละขั้นตอนจนรู้ความจริง นางแก้แค้นให้มารดาแทนเขา ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้น้อยก่อนหน้านี้หรือว่ากู้หยวนไป๋ในปัจจุบันก็ต่างปฏิบัติต่อหวั่นไท่เฟยเสมือนเป็นมารดาแท้ๆ
หลังจากฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต เดิมทีกู้หยวนไป๋คิดว่าจะรักษาตัวหวั่นไท่เฟยอยู่ในวังหลวงอย่างดี ทว่าหวั่นไท่เฟยตัดสินใจที่จะออกจากวัง นางไม่ต้องการที่จะตายอยู่ในวังหลวงด้วยซ้ำ
กู้หยวนไป๋ย้ายนางมายังจวนหลังนี้ ทว่าการดูแลอย่างพิถีพิถันก็ไม่สามารถต่อสู้กับกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนได้
หวั่นไท่เฟยชราลง นางไร้แรงจูงใจที่จะอยู่ต่อไปแล้ว
กู้หยวนไป๋มองท้องฟ้าขมุกขมัว หัวใจเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบไว้แน่น รู้สึกเคืองจมูกทว่าดวงตากลับแห้งผาก
“ไปเถิด”
รถม้ากระเด้งกระดอนอยู่บนถนนขรุขระ จากนั้นก็ค่อยๆ ห่างออกไป เถียนฝูเซิงเช็ดน้ำตาบนใบหน้า แล้วปรนนิบัติกู้หยวนไป๋อยู่บนรถม้าด้วยความเป็นกังวลและระแวดระวัง
กู้หยวนไป๋พิงอยู่บนหมอนนุ่ม เหม่อมองทิวทัศน์นอกรถม้า ครั้นรถม้าแล่นมาถึงในนครหลวงเขาจึงเรียกให้หยุดแล้วลงจากรถม้า ก่อนเดินไปยังวังหลวงด้วยตัวเอง
นครหลวงที่ถูกโอรสสวรรค์เหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าเจริญรุ่งเรืองและคลาคล่ำไปด้วยผู้คน มีเด็กสองสามคนวิ่งผ่านไปพร้อมกับเสียงหัวเราะในขณะที่ถือลูกอมอยู่ในมือ กู้หยวนไป๋หยุดเดิน มองดูเด็กน้อยเหล่านั้น
เหล่าบุรุษสวมผ้าป่านหยาบกระด้างกำลังทำงานอยู่ข้างถนน เหล่าสตรีกำลังทำงานบ้านอย่างขะมักเขม้น ทั้งหญิงและชาย เด็กและผู้ใหญ่ต่างกำลังยุ่งเพื่อให้มีชีวิตที่ดี
อย่างไรก็ดี ที่มากกว่านั้นคือเหล่าบัณฑิตที่จับกลุ่มกันสองสามคนตามร้านตำราและโรงเตี๊ยม ทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยจวี่เหรินผู้หลงใหลในเหตุการณ์บ้านเมืองที่มาเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อ พวกเขาต่างกำลังหารือเกี่ยวกับการสอบฮุ่ยซื่อที่จะมาถึงด้วยเสียงอันดังอย่างกระวนกระวาย ไม่ก็วิตกกังวล
กู้หยวนไป๋ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งทหารองครักษ์รวมถึงข้ารับใช้ที่อยู่ด้านหลังก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เช่นกัน
พวกเขาเพียงแต่ติดตามโอรสสวรรค์หนุ่มผู้นี้อย่างเงียบๆ พร้อมทั้งตื่นตัวกับทุกสิ่งรอบข้าง
ขุนนางชั้นสูงและผู้สูงศักดิ์ในนครหลวงนั้นมีมากดุจขนวัว กู้หยวนไป๋และกลุ่มของเขาจึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก กู้หยวนไป๋ดึงสติกลับมา ฝีเท้ายังคงก้าวไปข้างหน้า เพิ่งเดินไปเพียงสองก้าวกลุ่มหิมะก็ล่องลอยอยู่ตรงหน้าของเขาในทันใด
“อา! ท่านพ่อหิมะตกแล้ว!”
“หิมะตกแล้ว!”
เสียงโห่ร้องยินดีจากเด็กๆ รอบข้างดังขึ้นเป็นระลอก กู้หยวนไป๋หลุดขำพลางส่ายหน้า เถียนฝูเซิงรีบคลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกให้เขาอย่างรวดเร็ว “นายท่าน ขึ้นรถม้าเถอะขอรับ”
“เดินอีกหน่อย” กู้หยวนไป๋เอ่ย “ข้าก็ไม่เห็นหิมะตกในนครหลวงนานแล้วเหมือนกัน”
หิมะเดือนสองโปรยปรายในนครหลวงราวกับขนห่านที่กำลังร่ายรำ หัวหน้าทหารองครักษ์กางร่มให้ฮ่องเต้ เกล็ดหิมะสีขาวร่วงจากขอบร่ม บางส่วนถูกลมพัดมาติดผมดำขลับซึ่งยาวถึงช่วงเอวของพระองค์
พวกเขาเดินผ่านเหลาสุราและโรงน้ำชา เซวียหย่วนยืนค้ำขอบหน้าต่างพลางแกว่งขวดสุราอยู่บนหอจ้วงหยวน ครั้นก้มหน้าลงก็เห็นคนกลุ่มนี้
ใบหน้าของฮ่องเต้ถูกซ่อนอยู่ใต้ร่ม ทว่าใบหน้าของเถียนฝูเซิงและหัวหน้าทหารองครักษ์นั้นกลับคุ้นเคยอย่างยิ่ง เซวียหย่วนแกว่งขวดสุราไปมาแล้วยื่นมือออกนอกหน้าต่าง เมื่อคนกลุ่มนั้นเดินผ่านหน้าต่างของเขา เขาก็คลายนิ้วทั้งห้าออก
เพล้ง…
เศษขวดสุราหล่นอยู่ด้านหลังกู้หย่วนไป๋ไม่ไกล เหล่าทหารองครักษ์ตัวแข็งทื่อในทันใด ก่อนมองขึ้นไปชั้นบนอย่างโหดเหี้ยม
กู้หยวนไป๋ผลักร่มออก ไร้สิ่งใดบังบดวิสัยทัศน์ ในขณะที่เขามองขึ้นไปนั้นก็มีมือหนึ่งวางสบายๆ อยู่บนขอบหน้าต่างชั้นสอง กู้หยวนไป๋ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเจ้าของมือนั้นคือคนที่โยนขวดสุรานี้ลงมาเฉียดศีรษะของเขา
กู้หยวนไป๋ยกยิ้มมุมปาก ทว่าน้ำเสียงกลับเยือกเย็นดุจหิมะ “พาเขาลงมา”
ผ่านไปไม่นานเซวียหย่วนที่มีกลิ่นสุราเหม็นหึ่งก็ถูกเหล่าทหารองครักษ์พาตัวลงมาจากหอจ้วงหยวน เกล็ดหิมะพัดโบกและโปรยปรายหนักหน่วงกว่าเดิม บัดนี้ร่มก็ไม่มีประโยชน์เท่าใดแล้ว กู้หยวนไป๋จึงให้หัวหน้าทหารองครักษ์เก็บร่มไร้ประโยชน์นั้นเสียแล้วยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวตามลำพังครู่หนึ่ง หิมะตกสะสมบนร่างเขาเป็นจำนวนมาก
เซวียหย่วนถูกพาเข้ามาหากู้หยวนไป๋ กู้หยวนไป๋เห็นเขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็บุตรชายของท่านแม่ทัพเซวียนี่เอง”
เถียนฝูเซิงเอ่ย “นายท่าน จะให้จับคุณชายเซวียกลับไปยังจวนท่านแม่ทัพหรือไม่ขอรับ”
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน เซวียหย่วนก็เรอสุราออกมาพลางยื่นหน้าไปมองกู้หยวนไป๋ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมาว่า “ฝ่าบาท?!”
กู้หยวนไป๋มองอีกฝ่ายเงียบๆ บนเส้นผม บนเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก หรือแม้กระทั่งบนขนตาของเขาก็มีเกล็ดหิมะเกาะอยู่ ทว่าเกล็ดหิมะที่ตกลงมาเหล่านี้มิได้ละลายในทันที เมื่อเทียบกันแล้วบนตัวของเซวียหย่วนนั้นกลับสะอาดหมดจด เนื่องจากหิมะเหล่านั้นยังไม่ทันจะตกลงมาก็ถูกไอร้อนบนตัวของอีกฝ่ายจนละลายกลายเป็นน้ำไปแล้ว
เมื่อเห็นดังนี้กู้หยวนไป๋ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์
ไม่มีฮ่องเต้คนไหนอารมณ์ดีต่อหน้าคนที่จะยึดอำนาจการปกครองของเขาในอนาคต ทั้งยังสุขภาพแข็งแรงกว่าเขาเป็นร้อยเท่าได้หรอก
เซวียหย่วนผู้นี้เป็นสุนัขตัวหนึ่งที่กัดทันทีเมื่อเห็นคน ปกติไม่เห่าทว่าใจคอโหดเหี้ยม ศีลธรรมต่ำตมยิ่ง ในสายตาของเขามีเพียงความปรารถนาและอำนาจเท่านั้น เขาเป็นผู้นำกองทัพฝีมือดี ทว่าขุนนางเช่นนี้เปรียบเสมือนดาบคมที่ไร้ด้าม ถ้ามีใครคิดจะใช้งานเขาก็ต้องเตรียมใจว่ามือข้างหนึ่งของตัวเองก็อาจจะถูกตัดไปด้วย
กู้หยวนไป๋กล้าที่จะปั่นหัวฉู่เว่ย แต่กับเซวียหย่วนนั้นทำไม่ได้
กู้หยวนไป๋มองไปยังเศษขวดสุราที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เซวียหย่วนยิ้มกว้าง ฤทธิ์สุรากระตุ้นร่างกาย เขามองไปยังเศษซากที่อยู่บนพื้น แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “เหตุใดสุราของข้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เถียนฝูเซิงอุดจมูก บีบคอของตัวเองพลางเอ่ย “นายท่าน คุณชายเซวียน่าจะเมาแล้วขอรับ”
ทันใดนั้นกู้หยวนไป๋ก็หัวเราะออกมา เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างเศษขวด คนที่คุมตัวเซวียหย่วนก็พาเขาเดินตามไปด้วย สีหน้าของเซวียหย่วนผ่อนคลาย สองขาเดินอย่างเชื่องช้า เห็นเช่นนี้แล้วดูเหมือนทหารองครักษ์เหล่านั้นมิได้กดเขาไว้แต่เหมือนกำลังปรนนิบัติเขามากกว่า
เกล็ดหิมะร่วงลงปลายจมูก อาการระคายเคืองก่อตัวขึ้นพอดี กู้หยวนไป๋ไอสองสามทีแล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “คุกเข่าลงเถอะ”
ทหารองครักษ์ที่คุมตัวเซวียหย่วนออกแรงกดเข่าทั้งสองของเขาลงท่ามกลางเศษกระเบื้องแหลมคมที่ร่วงเกลื่อนพื้น
เศษกระเบื้องชิ้นใหญ่แทงทะลุเข้าไปในเนื้อ เลือดสดๆ ที่ชุ่มกางเกงไหลลงดินทันใด หิมะที่ตกลงบนเลือดนั้นละลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดบนพื้นกระจายตัวเร็วกว่าเดิม
เซวียหย่วนเก็บอาการที่ไม่เหมาะสมฉับพลัน เงยหน้ามองกู้หยวนไป๋อย่างมืดมน
กู้หยวนไป๋ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน แต่แล้วก็เอื้อมมือคว้าผมของเขากะทันหัน กู้หยวนไป๋ก้มศีรษะลงแล้วกระซิบข้างหูเซวียหย่วนอย่างชัดถ้อยชัดคำ “วันนี้อารมณ์ของเจิ้นแย่มาก คุณชายใหญ่เซวียอย่าเปิดโอกาสให้เจิ้นทำให้มารดาของเจ้าต้องเสียใจและผิดหวังเลย เข้าใจหรือไม่”
เซวียหย่วนถูกบังคับให้เชิดคางขึ้น กรามรัดแน่นเป็นเส้นโค้งจนแทบจะแตกออกได้ทุกเมื่อ หนังศีรษะถูกดึงจนด้านชา ในขณะที่คำว่า ‘มารดา’ สองคำนี้ลอยเข้ามาในหูเขาก็ยิ้มเยาะ “หย่วนทราบแล้ว”
กู้หยวนไป๋กล่าว “ดีมาก”
ฮ่องเต้น้อยปล่อยมือ เซวียหย่วนหันหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย มองดูฮ่องเต้น้อยที่ถอนตัวออกจากข้างหูของเขาพร้อมริมฝีปากซีดขาวที่เปื้อนยิ้ม ความเจ็บปวดที่เข่าค่อยๆ หายไป ทว่าไฟร้อนกลับปะทุขึ้นในตัวของเซวียหย่วนแทน
เขาก้มหน้ามองแผลบนเข่าของตัวเอง แย้มปากยิ้มอย่างมืดมน ครั้นฮ่องเต้และผู้ติดตามเดินจากไปแล้ว เซวียหย่วนจึงพยุงตัวลุกขึ้นยืน เดินกะโผลกกะเผลกกลับไปยังจวนสกุลเซวีย
สิ่งแรกที่กู้หยวนไป๋ทำหลังจากกลับเข้าวัง ก็คือสั่งให้คนในหน่วยควบคุมดูแลส่งคนเข้าไปในสกุลเซวียอีกครั้ง โดยอาศัยจังหวะตอนที่พวกเขารับสมัครคน
เป็นดังที่เขาคาด หลังจากที่เซวียหย่วนกลับไปที่จวนก็ดำเนินการเปลี่ยนคนภายในจวนใหม่ทั้งหมด ขายบ่าวรับใช้ทุกคนที่อาจเป็นหูเป็นตาให้ฮ่องเต้ จากนั้นค่อยซื้อคนที่มีประวัติใสสะอาดกลุ่มหนึ่งเข้าจวน
แน่นอนว่าเซวียหย่วนกับฉู่เว่ยคือตัวละครหลักสองคนที่กู้หยวนไป๋ให้ความสนใจเป็นพิเศษ มีคนสิบสองคนที่ซุ่มซ่อนอยู่ในจวนสกุลเซวีย ครั้งนี้ถูกกำจัดออกไปเสียเจ็ดคน ยังเหลืออีกห้าคนในจวน บางทีเขาสามารถใช้โอกาสนี้ในการหยั่งรากและแตกหน่อ เพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นต้นไม้สูงตระหง่านได้
กู้หยวนไป๋ค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์นี้
ระหว่างที่เดินกลับเข้าวังหิมะตกหนักตลอด ครั้นกลับถึงตำหนักรองเท้าก็เปียกชุ่ม เถียนฝูเซิงอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำในขณะที่ถอดรองเท้าและถุงเท้าให้กู้หยวนไป๋ “ฝ่าบาท รักษาพระวรกายมังกรด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ก้มหน้าเหลือบมองรองเท้า ยิ้มเอ่ย “เปียกหมดแล้ว”
เถียนฝูเซิงกับบรรดาขันทีและนางกำนัลต่างยุ่งขึ้นมาทันใด แต่หลังจากทำให้ฮ่องเต้สะอาดสะอ้านไร้ความเปียกชื้นได้ในที่สุด จึงพากันถอนหายใจโล่งอกโดยพร้อมเพรียง
ฮ่องเต้นั่งลงบนเตียง ก่อนขันทีจะยกน้ำอ้ายเฉ่า แช่เท้าออกไป ท้องฟ้านอกหน้าต่างขมุกขมัวแล้ว แต่แสงไฟในห้องบรรทมกลับสว่างไสวเหมือนกลางวัน
“พระวรกายของหวั่นไท่เฟยย่ำแย่มาก” กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจเบาๆ “หมอหลวงบอกเจิ้นว่าเกรงว่าจะอยู่ไม่พ้นฤดูร้อน”
เถียนฝูเซิงกดนวดไหล่ให้ฮ่องเต้ “ฝ่าบาท หวั่นไท่เฟยไม่ต้องการให้ฝ่าบาทเป็นทุกข์นะพ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้นรู้” กู้หยวนไป๋พูด “นางกลัวว่าเจิ้นจะเป็นกังวล”
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ การที่หวั่นไท่เฟยได้เห็นฝ่าบาทมีความสุข นางจึงจะมีความสุขพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ไม่พูดอะไรอีก หลังจากไหล่รู้สึกผ่อนคลายลงแล้ว ก็สั่งให้เถียนฝูเซิงพาคนออกไป เนื่องจากเขาต้องการอยู่เงียบๆ ตามลำพัง
เขาเพิ่งจะเริ่มต้น เพิ่งจะควบคุมราชสำนักมาไว้ในมือของตัวเอง
ใต้หล้ายังมีอะไรอีกมากที่เขายังไม่ได้ทำ หรือแม้กระทั่งมีบางเรื่องที่ต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีหรือแม้แต่สิบปีเพื่อไปตรวจสอบด้วยซ้ำ
หวั่นไท่เฟยเป็นห่วงเขา เพราะกังวลว่าเขาจะโทษร่างกายของตัวเอง
แต่แท้จริงแล้วกู้หยวนไป๋รู้สึกขอบคุณสำหรับชีวิตที่พิเศษนี้ ยิ่งไปกว่านั้นชีวิตนี้ทำให้เขาได้ชื่นชมทัศนียภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ก่อนนอนกู้หยวนไป๋ก็นึกถึงเซวียหย่วนและฉู่เว่ย
เขาไม่มีความคิดที่จะต่อต้านตัวเอกทั้งสองคนนี้ หากไม่มีเซวียหย่วนก็อาจจะมีหวังหย่วนหรือหลี่หย่วน…ซึ่งเหตุผลเดียวที่อาจทำให้เกิดความวุ่นวายก็คือตัวฮ่องเต้เองทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ
ชีวิตของเขาในตอนนี้มีอยู่จำกัดมาก ทว่าไม่ว่าจะเป็นเซวียหย่วนหรือฉู่เว่ย พวกเขาในฐานะตัวเอกของเรื่องจะต้องทำให้ต้าเหิงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน บางทีทั้งคู่อาจสามารถสานต่อความทะเยอทะยานของเขาและทำในสิ่งที่เขาต้องการทำต่อไปก็ได้
อย่างไรก็ดี เซวียหย่วนมีหัวขบถมากเกินไป หากต้องการทำให้หมาบ้าตัวนี้เชื่อง กู้หยวนไป๋ยังต้องคิดหาวิธี
ต้องทำอย่างไรถึงให้เขาเชื่อฟังนะ
จับเขามาโบยเพื่อให้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดหรือ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 24 มิ.ย. 65