everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
สามวันต่อมาเมื่อผู้คุมสอบที่ฮ่องเต้คัดเลือกได้รับราชโองการก็นำสัมภาระและได้รับการคุ้มกันโดยทหารรักษาพระองค์เข้าไปยังก้งย่วน เมื่อบรรดาจวี่เหรินที่รุดเข้านครหลวงเพื่อทำการสอบได้รับข่าวว่าผู้คุมสอบถูกกักตัว ก็ตึงเครียดกับเวลาที่กระชั้นเข้ามา เพียงชั่วพริบตาคนในเหลาสุราและโรงน้ำชาก็บางตาลงไปมาก
วันนี้หลังประชุมราชสำนักกู้หยวนไป๋เรียกเสนาบดีกรมโยธา เสนาบดีกรมอากร และผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการฉู่สวินมายังห้องโถงเล็กในตำหนักเซวียนเจิ้งเพื่อหารือ
เขามอบบทความเรื่องการจัดการอุทกภัยของแม่น้ำหวงเหอที่อธิบายให้ฉู่เว่ยฟังในวันนั้นให้กับทั้งสามคน เพื่อให้พวกเขาค่อยๆ อ่าน ส่วนตัวเองก็ยกชาถ้วยหนึ่งขึ้นมาดื่มอย่างสบายๆ
เสนาบดีกรมอากรอ่านจบเป็นคนแรก เขาเอ่ยด้วยความลังเล “ฝ่าบาท กระหม่อมมิเคยเห็นวิธีการจัดการภัยพิบัติที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน หากต้องนำมาใช้จริง ไม่แน่ว่าอาจได้ผลยิ่ง…เพียงแต่คลังของราชสำนัก…”
ส่วนเสนาบดีกรมโยธาและผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการกำลังหมกมุ่นอยู่กับบทความโดยสมบูรณ์ สีหน้าที่หนักอึ้งนั้นมีความตื่นเต้นเจืออยู่
“ฝ่าบาท!” เสนาบดีกรมโยธายากที่จะปิดบังความปรีดา “ผู้ใดกันที่เป็นคนคิดวิธีนี้ บุคคลนี้ปราดเปรื่องนัก กระหม่อมต้องการจะพบเขา!”
กู้หยวนไป๋ยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าก็คงจะไม่ได้พบแล้ว”
วิธีจัดการภัยพิบัตินี้มิใช่ความคิดของคนคนเดียว ทว่าเป็นวิธีที่คนรุ่นหลังนับพันนับหมื่นได้มาท่ามกลางอุทกภัยนับครั้งไม่ถ้วน
เป็นวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในสภาพแวดล้อมแบบโบราณเช่นนี้
เสนาบดีกรมโยธาดูผิดหวัง บ่นพึมพำ “น่าเสียดาย น่าเสียดาย”
ในเวลานี้ใต้เท้าฉู่เพิ่งจะอ่านบทความจบ เขาอ่านพลางคิดไปพลาง บางคราวดูเคร่งเครียด บางคราวก็มีรอยยิ้ม หลังจากอ่านจบแล้วก็อดที่จะพูดไม่ได้ว่า “ฝ่าบาท วิธีนี้ทำได้พ่ะย่ะค่ะ!”
กู้หยวนไป๋ยิ้มถาม “ใต้เท้าฉู่ก็เห็นว่าทำได้อย่างนั้นรึ”
ใต้เท้าฉู่ที่เคร่งครัดมาตลอด ในเวลานี้กลับพยักหน้าอย่างกล้าหาญ “หากทำตามเนื้อหาที่กล่าวในนี้ทีละขั้นตอน กระหม่อมเห็นว่าทำได้พ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีกรมอากรร้อนใจ “ฝ่าบาท! การหว่านพืชในฤดูใบไม้ผลิกำลังจะเริ่มต้น การสอบฮุ่ยซื่อก็ต้องใช้กำลังทรัพย์มาก ก้งย่วนเองก็กำลังปรับปรุงใหม่ สุสานจักรพรรดิก็ถูกเลือกแล้ว ปีนี้ต้องเริ่มการก่อสร้าง ไม่เพียงเท่านี้ กองทัพของฝ่าบาทก็ต้องใช้จ่ายค่าเสบียงอาหารไม่น้อย ไม่อาจหยุดได้แม้แต่วันเดียว หากต้องการแก้เส้นทางน้ำ เกรงว่าเงินในคลังจะหมุนเวียนไม่ทันนะพ่ะย่ะค่ะ”
สุสานจักรพรรดิจะถูกสร้างขึ้นในช่วงแรกๆ ของการสืบราชบัลลังก์ แม้กู้หยวนไป๋จะขึ้นครองบัลลังก์เร็วแต่กลับสูญเสียอำนาจไปให้คนที่อยู่ต่ำกว่า จนกระทั่งบัดนี้เพิ่งจะเริ่มสร้างสุสานจึงยิ่งกังวลขึ้นไปอีก
กู้หยวนไป๋ยิ้มให้เขาอย่างปลอบใจ “เจิ้นเข้าใจ”
“ปกครองแผ่นดิน ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องเงิน” กู้หยวนไป๋เอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ตราบใดที่มีเงินก็สามารถสร้างถนน ซื้อม้า ฝึกกองทัพ…เจิ้นก็มิได้ตัดสินใจว่าจะเริ่มจัดการภัยพิบัติจากอุทกภัยของแม่น้ำหวงเหอในตอนนี้ อุทกภัยแม่น้ำหวงเหอแบ่งออกเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิกินเวลาสามถึงสี่เดือน แต่ฤดูร้อนกลับกินเวลาหกถึงสิบเดือน ที่เจิ้นเรียกใต้เท้าทุกท่านมาในวันนี้ก็ต้องการที่จะหารือเรื่องอุทกภัยช่วงฤดูใบไม้ผลิร่วมกัน”
เสนาบดีกรมโยธาเอ่ยอย่างลังเล “ฝ่าบาท หลายปีก่อนหน้านี้แม่น้ำหวงเหอไร้อุทกภัย เหตุใดปีนี้จึงสนพระทัยเป็นพิเศษพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ได้ยินดังนี้ก็วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะจนก่อให้เกิดเสียงกระแทกเบาๆ “เจิ้นก็อยากรู้เช่นกันว่าเหตุใดฝนตกทางตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำหวงเหอมาครึ่งเดือนแล้ว แต่กลับไม่มีใครมารายงานราชสำนัก”
…!
เสนาบดีสองคนกับผู้ช่วยเสนาบดีหนึ่งคนเข่าอ่อนทันใด คุกเข่าตึงลงไปกับพื้น
กู้หยวนไป๋ไม่พูดจา ปล่อยให้พวกเขาคุกเข่ากันเองและคาดเดาไปต่างๆ นานาท่ามกลางความเงียบที่แม้แต่เข็มตกก็ได้ยิน ครั้นเหล่าขุนนางมีเหงื่อซึมออกมาจากศีรษะเนื่องจากการคาดเดาของตัวเอง กู้หยวนไป๋จึงเอ่ย “ลุกขึ้น”
ราชวงศ์ต้าเหิงไม่มีอัครเสนาบดี กรมทั้งหกอยู่ในมือของฮ่องเต้โดยตรง ไม่มีสภาขุนนางทว่ามีการแต่งตั้งสภาองคมนตรีและสภาการปกครอง สภาองคมนตรีมีหน้าที่ในการดูแลด้านกองทัพ สภาการปกครองตรวจสอบกิจการของราชสำนักและถูกควบคุมจากฮ่องเต้โดยตรง
เมื่ออำนาจของฮ่องเต้ยิ่งใหญ่เพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนปิดบังไม่รายงาน คนในพื้นที่เหล่านั้นกล้าดีอย่างไรกัน!
แล้วฮ่องเต้รู้เรื่องฤดูฝนในแม่น้ำหวงเหอที่อยู่ห่างออกไปมากกว่าพันหลี่ ได้อย่างไร
ขุนนางทั้งสามยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งหวาดกลัว พวกเขายืนขึ้นแผ่วเบา ไม่กล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว
“ฉู่ชิง” กู้หยวนไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจิ้นรู้ว่าเจ้าค่อนข้างมีความรู้เรื่องการบำบัดน้ำ ครั้งนี้มีเวลาไม่มาก เจิ้นจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นอานฝูสื่อ* เพื่อส่งให้เจ้าไปป้องกันอุทกภัยแม่น้ำหวงเหอในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เจิ้นมีคำขอไม่มาก ตราบใดที่ฤดูน้ำหลากขนาดเล็กนี้ไม่ก่อให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงเป็นพอ ฉู่ชิง เจ้ายินดีที่จะไปแม่น้ำหวงเหอหรือไม่”
ฉู่สวินคุกเข่าลงไปกับพื้นอีกครั้งอย่างไม่ลังเล เขากล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “กระหม่อมจะทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะ ประคองเขาลุกขึ้นด้วยตัวเอง “ก่อนไป เจิ้นยังมีอีกเรื่องที่อยากจะไหว้วาน เจ้าต้องสืบให้เจิ้นว่าผู้ใดปิดบังไม่รายงานเรื่องนี้! จงไปสืบในพื้นที่เหล่านั้น ไม่ต้องกลัวพวกเขา เจิ้นจะออกหน้าให้เจ้าเอง หากมีเรื่องยุ่งยาก เจิ้นอนุญาตให้เจ้านำผู้บัญชาการมณฑลทหารไปช่วยได้”
ใต้เท้าฉู่รู้สึกซาบซึ้งจนดวงตาเป็นประกาย “ฝ่าบาทวางพระทัย กระหม่อมจะทำอย่างสุดความสามารถ”
กู้หยวนไป๋มองไปทางเสนาบดีกรมอากรและเสนาบดีกรมโยธาอีกครั้ง “กรมโยธาจัดคนที่เชี่ยวชาญด้านการควบคุมน้ำไปพร้อมกับฉู่ชิงสักสิบกว่าคน กรมพวกเจ้าทั้งสองต้องสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ จะหย่อนยานมิได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
คนทั้งสามที่เดินออกมาจากตำหนักเซวียนเจิ้งต่างปาดเหงื่อบนศีรษะ แผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เสนาบดีกรมอากรกับเสนาบดีกรมโยธาต่างแสดงความยินดีกับฉู่สวิน ฉู่สวินรีบคำนับกลับแล้วขอร้องว่า “ใต้เท้าทั้งสอง บัดนี้ฝ่าบาทคาดหวังกับข้ามากนัก เรื่องที่แม่น้ำหวงเหอมีฝนตกติดต่อกันครึ่งเดือนทว่าไม่มีผู้ใดรายงานนี้ ท่านทั้งสองได้โปรดอย่าเพิ่งบอกใคร ข้าเกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ใต้เท้าฉู่กำลังสงสัยว่ามีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างขุนนางท้องถิ่นกับขุนนางนครหลวง เสนาบดีกรมอากรกับเสนาบดีกรมโยธารีบพยักหน้า “ใต้เท้าฉู่โปรดวางใจ แม้ว่าท่านไม่พูด พวกข้าก็ไม่กล้าบอกคนนอก จุดประสงค์ของฝ่าบาทชัดเจน พวกเราสองกรมจะให้ความร่วมมืออย่างดี ใต้เท้าฉู่ทำหน้าที่ให้ดีและระวังความปลอดภัยด้วย ไว้ท่านกลับมา การสอบฮุ่ยซื่อก็คงจะรู้ผลแล้ว ความรู้ของคุณชายฉู่โดดเด่นเสมอมา ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นอาจได้ฉลองสองงานมงคลในคราเดียว พวกท่านสองพ่อลูก คนที่สมควรเลื่อนขั้นก็จะได้เลื่อนขั้น คนที่สมควรเข้ารับราชการก็จะได้เข้ารับราชการแล้ว”
ฉู่สวินกล่าวคำถ่อมตัวสองสามประโยค ทั้งสามคนพูดคุยและหัวเราะระหว่างออกจากวังไปพร้อมกัน
ในตำหนัก
หลังจากบรรดาขุนนางจากไป เถียนฝูเซิงก็ยกยาที่ต้มเสร็จแล้วออกมา ยาสีดำสนิทที่ดูขมกว่าเดิมในชามลายครามสีขาวนั้น กู้หยวนไป๋เหลือบมองแล้วยกยาดื่มรวดเดียวหมด
คนที่ดื่มยามามากจะไม่รู้สึกว่ายาขมอีกแล้ว กู้หยวนไป๋ดื่มชาไปอีกสองสามคำเพื่อเจือจางรสยาในปาก สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่แล้วเดินออกไปจากตำหนักเซวียนเจิ้ง
บัดนี้ด้านนอกมีหิมะปกคลุมหนา
หิมะบนพื้นถูกทำความสะอาดจนหมดจด ทว่าบนต้นไม้บนใบหญ้ายังเหลือหิมะชั้นหนาเท่าฝ่ามือ
กู้หยวนไป๋สูดอากาศอันหนาวเหน็บเข้าไปหลายเฮือก ในใจก็พลอยรู้สึกสดชื่นตามไปด้วย เขาเดินไปยังใต้ต้นไม้ ใช้มือปั้นๆ ก้อนหิมะ ทว่าเวลาผ่านไปไม่นานสองมือที่ถูกทะนุถนอมมาอย่างดีก็ถูกแช่แข็งแล้ว
หัวหน้าทหารองครักษ์วิ่งหายไปอย่างรีบร้อนแล้วนำถุงมือหนังคู่หนึ่งเข้ามาให้ กู้หยวนไป๋หัวเราะเอ่ย “เจิ้นแค่สัมผัสหิมะเท่านั้น ดูสิว่าเจ้ารีบร้อนอย่างกับอะไรดี”
หัวหน้าทหารองครักษ์มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก “ฝ่าบาท รีบโยนหิมะทิ้งไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ๆๆ” กู้หยวนไป๋โยนหิมะทิ้งไป ก่อนยื่นสองมือให้หัวหน้าทหารองครักษ์อย่างจนปัญญา “พวกเจ้าก็ระมัดระวังกันเกินไปแล้ว”
หัวหน้าทหารองรักษ์จับปลายนิ้วของกู้หยวนไป๋อย่างระมัดระวัง ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำที่เปียกและหิมะออกจากฝ่ามือของฝ่าบาทอย่างพิถีพิถัน ผิวของฮ่องเต้บอบบางยิ่งนัก หิมะอยู่บนมือของเขาเพียงไม่กี่อึดใจปลายนิ้วทั้งสิบก็เปลี่ยนเป็นสีชมพูน่ามองเสียแล้ว
เส้นเลือดของฝ่ามือบอบบางนี้แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผิวที่อ่อนนุ่ม หัวหน้าทหารองครักษ์ระวังแล้วระวังอีกจึงจะไม่ทิ้งรอยแดงบนฝ่ามือของฮ่องเต้ได้
ไม่แปลกใจเลยที่คนอื่นทะนุถนอมเขา ร่างกายของกู้หยวนไป๋นี้แยกจากการปรนนิบัติอย่างเอาใจใส่ไม่ออกโดยแท้จริง
ครั้นฝ่ามือไม่มีหิมะแล้ว หัวหน้าทหารองครักษ์จึงปล่อยมือทั้งสองของฮ่องเต้ จากนั้นก็กางถุงมือหนังออกแล้วสวมใส่เข้าไปอย่างพิถีพิถันอีกครั้ง ถุงมือสีน้ำตาลครอบคลุมมือขาวผ่องและยืดขยายไปจนถึงใต้แขนเสื้อ
กู้หยวนไป๋ยกมือขึ้นดมกลิ่นถุงมือเบาๆ มันถูกจัดการอย่างสะอาดสะอ้าน มีเพียงกลิ่นธูปหอมเท่านั้น เขาพยักหน้าแล้วยิ้มเอ่ย “มาชมหิมะกับเจิ้นเถิด”
อย่างไรก็ดี ขณะที่ชมหิมะหัวหน้าทหารองครักษ์กลับเงียบงันไม่พูดจา กู้หยวนไป๋จึงรู้สึกว่าชวนมาผิดคน เขาคิดแล้วคิดอีก พลันคิดถึงเด็กหนุ่มผู้มีความสามารถด้านประชามติที่ต้องตาในวันนั้น
เหมือนจะชื่อฉางอวี้เหยียน?
ในจวนตุลาการศาลสถิตยุติธรรม
ฉางอวี้เหยียนกำลังเขียนบทความอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังนอกห้องตำรา เขาขมวดคิ้ว ข่มความรู้สึกโกรธที่ถูกรบกวนเอาไว้ รีบเปิดประตูทันใด “พวกเจ้าทำอะไรน่ะ!”
บ่าวรับใช้คนสนิทของบิดาเขากำลังรีบนำคนรุดมาที่นี่ ครั้นเห็นว่าเขาเปิดประตูแล้วก็ตะโกนนำมาก่อน “นายน้อย! ฝ่าบาทเชิญท่านไปเข้าเฝ้าในวังขอรับ!”
มือที่จับอยู่ตรงประตูของฉางอวี้เหยียนสั่นสะท้าน “อะไรนะ”
คนจากในวังหลวงยังคงอยู่ที่ด้านหลัง บ่าวรับใช้ร้อนใจ รีบวิ่งเข้ามาก่อนแล้วเอ่ยรบเร้า “นายน้อยรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด ฝ่าบาทให้ท่านเข้าวังไปชมหิมะขอรับ!”
ฉางอวี้เหยียนกลืนน้ำลายเอื๊อก รู้สึกทั้งตื่นเต้นทั้งประหลาดใจ ในขณะที่เขากำลังรีบหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คนจากวังหลวงก็เดินตามมาติดๆ ครั้นเห็นดังนี้จึงรีบเอ่ยปราม “คุณชายฉางไม่ต้องลำบากหรอก แต่งกายเช่นนี้ก็ไม่เลว ตามข้าน้อยเข้าวังก่อนเถิด เพื่อไม่ให้ฝ่าบาทต้องรอนานเกินไป”
ฉางอวี้เหยียนเอ่ยอย่างเขินอาย “ตัวข้ามีแต่กลิ่นหมึก”
“ไม่เป็นไรขอรับ” คนจากในวังหลวงรีบพูด “คุณชายฉางไม่ต้องกังวลว่าฝ่าบาทจะโทษท่านเพราะเหตุนี้หรอก”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะโทษหรือไม่โทษ มันเป็นเรื่องที่ว่าเขาจะมีรูปลักษณ์อย่างไรในสายตาของฮ่องเต้มากกว่า
ภายในใจของฉางอวี้เหยียนซับซ้อนยิ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วความสุขที่ฝ่าบาทเรียกให้เข้าเฝ้านั้นมีชัยเหนือกว่า เขาละทิ้งความกังวลไป ในขณะที่กำลังจะเดินทางไปพร้อมกับคนจากในวังหลวง ทันใดนั้นกลับนึกอะไรได้ เขาบึ่งกลับไปในห้องตำรา หยิบตำราเล่มหนึ่งแล้วม้วนไว้ในแขนเสื้อก่อนที่จะออกไปข้างนอกอีกครั้ง
ทางวังหลวงส่งรถม้ามา ฉางอวี้เหยียนขึ้นรถม้า ผ่านไปครู่หนึ่งก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขายกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าจึงรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
อันที่จริงฉางอวี้เหยียนไม่ได้ชื่นชมฮ่องเต้มากเท่านี้มาก่อน
เซวียหย่วนเป็นหมาป่าตัวหนึ่ง ฉางอวี้เหยียนสามารถคลุกคลีอยู่กับเขาและปล่อยตัวได้ตามใจชอบ การที่เขากล้าเขียนสิบสามบทกวีที่ล่วงเกินผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น ไม่ใช่เพราะเขาขุ่นเคืองกับเรื่องนี้และไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงบ้านเมืองหรือราษฎร แต่เป็นเพราะว่าเขาคิดต่อกรกับบิดา นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการได้รับชื่อเสียงที่ดี
บทกวีที่ฉางอวี้เหยียนเขียนมีความกังวลเกี่ยวกับสรรพสิ่งในใต้หล้า ทว่าเขากลับเพลิดเพลินกับอาหารชั้นดีและอาภรณ์หรูหราอย่างสบายใจ เซวียหย่วนกับเขาเป็นพวกคนชั่วตะเภาเดียวกัน ภายในเน่าเฟะจนส่งกลิ่นเหม็น ทว่าภายนอกยังคงให้ภาพลักษณ์ว่าตนนั้นงดงามดุจดังทองและหยก
บางคราวชื่อเสียงสำหรับผู้รู้ตำรานั้นมีประโยชน์กว่าอำนาจและเงินทองเสียอีก ทั้งบางคราวยังสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ด้วยซ้ำ
ระหว่างการตรวจข้อสอบ เหล่าปัญญาชนที่ต้องการเป็นขุนนางจำต้องสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ‘รอปลาในน้ำแข็ง’ ‘ข่งหรงสละสาลี่’ ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการแผ่ขยายเบื้องหลังของตระกูลผู้รู้ตำราและเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่จำเป็นต้องพูดกันในหมู่บัณฑิต ตระกูลของฉางอวี้เหยียนมิได้ส่งเสริมชื่อเสียงของเขาจนกว่าเขาจะเข้าพิธีสวมหมวก ฉะนั้นฉางอวี้เหยียนจึงต้องสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง
สามารถยืมมือของผู้มีอำนาจลดตำแหน่งผู้เป็นบิดาได้ สำหรับฉางอวี้เหยียนแล้วนับว่าเป็นเรื่องดี
ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าการที่ฮ่องเต้เรียกเขาเข้าวังไปปรนนิบัติครั้งนี้จะต้องเป็นเพราะชื่อเสียงของเขาที่มีบทบาทสำคัญ ฉางอวี้เหยียนเย้ยหยันตัวเองแต่ก็รู้สึกขอบคุณในเวลาเดียวกัน
หากเขาไร้ซึ่งชื่อเสียง เป็นไปได้ว่าฮ่องเต้อาจไม่มีวันชายตามอง
รถม้าที่ขับเคลื่อนโดยคนจากวังแล่นไปตามถนนเสียงดังตึกๆ ผู้คนในนครหลวงล้วนหลบอยู่ในบ้านหลังหิมะตก ในสมองฉางอวี้เหยียนร้อนรุ่ม เขาก้มหน้าลงจัดระเบียบตัวเองหลายครั้ง รู้สึกว่าตนยังมีกลิ่นหมึกอยู่ เขาจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทั้งอย่างนี้ได้อย่างไรกัน
ฉางอวี้เหยียนเหลือบมองนอกหน้าต่าง เปิดหน้าต่างตากลมหนาวครู่หนึ่งเพื่อให้สงบลง หลังจากที่สงบสติลงมาได้อย่างยากลำบาก ทันใดนั้นฉางอวี้เหยียนก็เห็นเงาของทังเหมี่ยนบุตรชายเสนาบดีกรมอากรและหลี่เหยียนซื่อจื่อจวนผิงชางโหวแวบผ่านตรงปากทางของตรอกเล็กๆ
คนหนึ่งเป็นบุตรชายขุนนางชั้นสูง คนหนึ่งเป็นซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์ แม้ตอนอยู่ในสำนักศึกษาจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่เมื่ออยู่ข้างนอกก็ควรหลีกเลี่ยงความน่าสงสัยมิใช่หรือ
อีกอย่างหากมองมิผิดละก็…ฉางอวี้เหยียนหรี่ตา น่าเสียดายที่รถม้าโยกไปมา เขาเพียงชำเลืองมองอย่างเร่งรีบ หากมองไม่ผิดละก็ สิ่งที่พวกเขาสองคนถืออยู่ในมือน่าจะเป็นภาพวาดสองม้วน?
กู้หยวนไป๋เดินไปดูไป หลังจากสวมถุงมือหนังก็ไม่มีใครห้ามไม่ให้เขาสัมผัสหิมะอีก
ตอนที่ฉางอวี้เหยียนมาถึงฮ่องเต้กำลังสั่งให้คนถือโถเอาไว้ ส่วนตัวเองก็ปัดชั้นหิมะบนดอกเหมยลงในโถอย่างระมัดระวัง หิมะที่ร่วงลงบนดอกเหมยผ่านการบ่มมาแล้วหนึ่งราตรี หิมะจึงเจือกลิ่นหอมของดอกเหมยจางๆ หากรอจนหิมะละลายแล้วนำไปต้ม น้ำที่ได้ก็จะมีรสชาติที่ต่างออกไป
ฉางอวี้เหยียนเดินขึ้นหน้ามาถวายความเคารพ เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
“ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้วางงานในมือลงแล้วประคองสองแขนของฉางอวี้เหยียนขึ้นมาด้วยตัวเอง “คราวก่อนเห็นเจ้า เจ้าก็มีพิธีรีตองอย่างมาก วันนี้เจิ้นเรียกเจ้ามาชมหิมะ ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเช่นนี้”
ทันทีที่กู้หยวนไป๋จับแขนของฉางอวี้เหยียนก็รู้สึกได้ว่าผิวหนังภายใต้เสื้อผ้าของอีกฝ่ายเกร็งแน่น จึงหลุดขำทันใด “เจิ้นน่ากลัวเพียงนั้นเชียว?”
ใบหน้าของฉางอวี้เหยียนร้อนผ่าว ลอบเหลือบตาขึ้นมอง
กู้หยวนไป๋หัวเราะแล้วพาเขาเดินต่อไป โดยมีเหล่าทหารองครักษ์เดินตามห่างออกมาห้าก้าว ส่วนเหล่านางกำนัลรับโถมาแล้วก็รวบรวมหิมะฤดูใบไม้ผลิบนดอกเหมยต่อ
ในวันธรรมดากู้หยวนไป๋จะไม่สวมชุดมังกร ตามปกติแล้วเขาจะสวมชุดลำลอง และชายของชุดจะปักด้วยลวดลายสีเข้มแบบเรียบๆ ทำให้ดูเหมือนว่ามีมังกรเกาะติดอยู่ขณะเดิน
กลีบดอกเหมยที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสองสามกลีบติดอยู่บนเส้นผมที่ปล่อยสยายด้านหลัง ฉางอวี้เหยียนเห็นเข้าก็หันมองให้ชัดขึ้นอีกสองสามรอบ แต่กลับเขินอายที่จะเอ่ยเตือนเขา
หลังจากชมหิมะในวังเสร็จ ฉางอวี้เหยียนก็ถูกฮ่องเต้รั้งให้อยู่ต่อเพื่อกินอาหารเย็น โดยหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จและกำลังจะจากไป ฉางอวี้เหยียนก็รวบรวมความกล้า หยิบตำรารวบรวมบทกวีออกจากแขนเสื้อ วินาทีนั้นเขาก็อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ว่าตัวเองหน้าหนาเพียงใด “ฝ่าบาท นี่คือบทกวีที่กระหม่อมรวบรวมในช่วงนี้ โดยนำบทกวีที่ยังคุ้นตาในอดีตรวมกับที่กระหม่อมแต่งขึ้นหลังกลับมาจากงานชมสวนครั้งล่าสุด หากฝ่าบาทไม่รังเกียจ กระหม่อมต้องการอุทิศกวีเหล่านี้ถวายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
กวีเล่มบางๆ นี้น่าจะยังเป็นฉบับร่าง ด้านบนมีรอยยับนิดหน่อย
กู้หยวนไป๋รู้สึกสนใจในกวีบทของผู้มีความสามารถด้านประชามตินี้อย่างยิ่ง หากเป็นผลงานชั้นดี เช่นนั้นเขาก็เชื่อว่ามันจะกระจายไปทั่วนครหลวงในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน
ถุงมือหนังก่อนหน้านี้ถูกถอดวางอยู่หน้าจานอาหาร กู้หยวนไป๋ยิ้มพลางพลิกอ่านบทกวี มองผ่านๆ สองสามครา รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นล้ำลึกยิ่งขึ้น
เมื่อเทียบกับสิบสามบทกวีเสียดสีผู้สูงศักดิ์ของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ ผลงานในครั้งนี้เหมาะกับความชมชอบของผู้ปกครองเช่นเขายิ่งนัก
กู้หยวนไป๋ยื่นบทกวีให้เถียนฝูเซิงเก็บไว้ ทันใดนั้นเองก็นึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะยิ้ม “อวี้เหยียนกับคุณชายใหญ่ของท่านแม่ทัพเซวียน่าจะเป็นสหายสนิทกันกระมัง”
ฉางอวี้เหยียนที่ไม่รู้เหตุผลพยักหน้าด้วยความระมัดระวัง “พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “หลายวันก่อน เจิ้นได้ยินว่าเซวียจิ่วเหยาบาดเจ็บที่หัวเข่าทั้งสองข้าง อวี้เหยียนได้ยินเรื่องนี้หรือไม่”
จิ่วเหยาคือชื่อรองของเซวียหย่วน
ฉางอวี้เหยียนตกตะลึง อะไรนะ
เมื่อเห็นอาการที่ไม่รู้เรื่องของเขา กู้หยวนไป๋ก็เลิกคิ้วและยิ้มอย่างสบายๆ “ไว้อวี้เหยียนออกจากวังแล้วก็ไปเยี่ยมที่จวนสกุลเซวียสักครั้งสิ แล้วบอกกับแม่ทัพเซวียกับเซวียจิ่วเหยาแทนเจิ้นด้วยว่าหากพวกเขาต้องการ เจิ้นสามารถส่งหมอหลวงไปตรวจและรักษาเขาที่จวนสกุลเซวียได้”
ฮ่องเต้กล่าวอย่างใจเย็น “สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นบุตรขุนนางของเจิ้น เป็นขุนพลของต้าเหิงในอนาคต หากเกิดอะไรขึ้น เช่นนั้นก็นับเป็นความสูญเสียของต้าเหิงแล้ว”