ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 10

จวนสกุลเซวีย

เซวียหย่วนนอนอยู่บนเตียง ฟังไปฟังมาก็อดที่จะหัวเราะมิได้ “เขาพูดเช่นนี้กับเจ้ารึ”

ฉางอวี้เหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ต้องเรียกว่าฝ่าบาท”

เข่าของเซวียหย่วนถูกพันผ้ายาเอาไว้ มีเลือดซึมออกมาจางๆ ทว่าใบหน้าของเขากลับดูไร้สติ ชี้ไปที่แผลของตัวเองแล้วพูดเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “แผลนี่ฝ่าบาทเป็นคนทำ”

“จะเป็นไปได้อย่างไร” ฉางอวี้เหยียนหักล้างตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็ขมวดคิ้วพลางคิดว่า “เจ้าทำอะไรผิดหรือเปล่า”

เซวียหย่วนหรี่ตาแล้วถามกลับ “วันนี้ฝ่าบาทเรียกเจ้าเข้าวังไปทำอะไร”

ฉางอวี้เหยียนได้ยินดังนี้ผิวหนังก็อดที่จะเกร็งมิได้ ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย “ฝ่าบาทเรียกข้าเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อน แน่นอนว่าเพื่อให้ข้าอยู่ชมหิมะด้วย”

“ชมหิมะ?” เซวียหย่วนวางสองมือลงบนเตียง สองแขนมีพลังรุนแรง กล้ามเนื้อหดเกร็งแล้วยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ปลายนิ้วของเขาเคาะอยู่บนหน้าตักราวกับกำลังครุ่นคิด “โปรดปรานอะไรในตัวเจ้านะ”

ในสายตาของเซวียหย่วนฮ่องเต้ผู้นี้ดูไม่เหมือนจะทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์เลย แม้แต่หมาบ้าเช่นเขาก็ยังกล้ายั่วยวน ยั่วโมโหก็ช่างประไร อย่างน้อยเขาก็มีความสามารถอันโดดเด่นดังที่ฮ่องเต้น้อยพูด ทว่าน่าแปลกนัก ฉางอวี้เหยียนผู้นี้มีอะไรกัน

ปัญญาชนที่มีแต่กลิ่นเน่าเฟะคนหนึ่ง ฉางอวี้เหยียนจะมีประโยชน์อันใดได้

อย่างไรก็ดี ฮ่องเต้ยังเชิญผู้รู้ตำราที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้มาชมหิมะ ทว่าเซวียหย่วนผู้มีพรสวรรค์ในอนาคตกลับถูกฮ่องเต้ลงโทษจนเข่าถูกอาบไปด้วยเลือดก่อนที่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ

ฉางอวี้เหยียนได้ยินประโยคนี้อย่างชัดเจน เขาฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เซวียหย่วน เจ้าหมายความว่าอะไร”

เซวียหย่วนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “เจ้าจะมีประโยชน์อันใดได้”

ฉางอวี้เหยียนจ้องเขาอย่างขุ่นเคือง “ข้ามิใช่ผู้มีชื่อเสียงโดดเด่น แต่ก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง คนที่มาอวยพรข้าในพิธีสวมหมวกนั้นมากมายจนทำให้ทางการแตกตื่น ส่วนข้าก็มีความสามารถเสมอมา เจ้ารอผลสอบเตี้ยนซื่อคราวนี้ เจ้ารอข้าเอาตำแหน่งจ้วงหยวนมาก็แล้วกัน!”

พูดจบเขาก็ลุกขึ้นอย่าง ‘เชื่องช้า’ สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างโกรธเคือง

เซวียหย่วนลูบคาง เมื่อฉางอวี้เหยียนหายลับตาไปแล้วจึงหัวเราะเยาะ “จ้วงหยวน?”

ฮ่องเต้น้อยองค์นั้นจะเอาผู้รู้ตำราจอมปลอมมาเป็นจ้วงหยวน เช่นนี้มีประโยชน์อะไร

เซวียหย่วนยกสองขาออกจากเตียง ยืนตัวตรงบนพื้น เขาเอาสองมือไพล่หลังแล้วเดินไปยังหน้าต่างอย่างช้าๆ

ผ้าขาวที่พันเข่ามีรอยเลือดกระดำกระด่างเป็นจุดๆ รสชาติแห่งความเจ็บปวดเช่นนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเซวียหย่วนมาก

เซวียหย่วนเติบโตอยู่ในค่ายทหารตั้งแต่เล็ก เขารู้ว่าหมัดที่แข็งแรงและทหารม้าที่แข็งแกร่งต่างหากที่เป็นทุกสิ่ง ที่บอกว่าสกุลเซวียจงรักภักดีมาสามชั่วอายุคนนั้นฟังดูดีมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีชื่อเสียงย่ำแย่ การที่เขาปล่อยขวดสุราก็มิได้หมายจะทำร้ายฮ่องเต้ ครั้นเห็นว่าฮ่องเต้ผ่านไปแล้วจึงลงมือและเพียงอยากเห็นทัศนคติที่ฮ่องเต้มีต่อสกุลเซวียเท่านั้น

เซวียหย่วนลูบคางพลางครุ่นคิด นึกถึงใบหน้าของฮ่องเต้ แม้ว่าขนยังขึ้นไม่ครบดีแต่กลับงดงามกว่าบรรดาแม่นางน้อยทั้งหลายเสียอีก

เพียงแต่ซ่อนอารมณ์ไว้ลึกเกินไป

เป็นเพราะสกุลเซวียจึงรักษาเขาอย่างดี หรือเป็นเพราะความจงรักภักดีสามชั่วอายุคนจึงต้องรักษาเขาอย่างดีกันแน่

 

ใต้เท้าฉู่สวินพาคนออกเดินทางไปยังแม่น้ำหวงเหอแล้ว หน่วยควบคุมดูแลจะส่งข่าวที่มาจากแนวหน้าให้แก่ฉู่สวิน กู้หยวนไป๋จ่ายเงินก้อนใหญ่มากๆ เพื่ออบรมคนในหน่วยควบคุมดูแล คนในหน่วยควบคุมดูแลไม่เพียงรู้ตำรา ฝึกวรยุทธ์ ขี่ม้า และยิงธนูเท่านั้น ยังต้องเรียนรู้พิชัยสงคราม ภูมิศาสตร์ ทักษะในด้านการสะกดรอย และการลอบโจมตีเหล่านั้นด้วย

นอกเหนือจากการอบรม กู้หยวนไป๋ก็ยังดูแลอาหารการกินของพวกเขาอย่างดียิ่งกว่าการเลี้ยงกองทัพเสียอีก กินข้าวเนื้อสัตว์และผักคู่กัน ข้าวก็ใช้ข้าวอย่างดี เนื้อก็มิให้ขาด ทุกคนในหน่วยควบคุมดูแลต่างถูกเลี้ยงจนมีร่างกายกำยำแข็งแรง หากพวกเขามีสุขภาพที่ดีแล้วก็ย่อมแสดงถึงสุขภาพของกู้หยวนไป๋ด้วย การที่เรื่องฝนตกครึ่งเดือนสามารถเดินทางหลายพันหลี่มายังนครหลวงได้ภายในระยะเวลาอันสั้นนั้น ร่างกายที่ดีนี้ก็มีบทบาทไม่น้อย

กู้หยวนไป๋วางเรื่องการป้องกันน้ำท่วมลงชั่วคราว แล้วมุ่งเน้นไปยังการสอบฮุ่ยซื่อที่กำลังจะมาถึง

การประชุมราชสำนักในหลายวันนี้ขุนนางแต่ละคนกังวลอย่างยิ่งเช่นกัน เนื่องจากนครหลวงมีคลื่นลมหนาวและครั้งนี้มันโหมกระหน่ำรุนแรง หลายคนเขียนฎีกาเพื่อหวังให้ผู้เข้าสอบสวมเสื้อผ้าเพิ่ม ทั้งยังให้เติมถ่านหินเพื่อเพิ่มความร้อนมากขึ้น รวมถึงให้ซ่อมแซมห้องสอบของก้งย่วนอย่างดีอีกด้วย

โดยเฉพาะบรรดาหัวหน้าสกุลที่มีลูกหลานเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อในครั้งนี้ ที่โต้เถียงอย่างหนักแน่นเพื่อสิ่งที่ถูกต้องและไม่ยอมถอยออกไปจากราชสำนักแม้แต่ครึ่งก้าว

ฮ่องเต้ทรงเมตตา เดิมทีห้องสอบกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ฎีกาขอเพิ่มปริมาณถ่านหินก็ได้รับการอนุมัติแล้ว ทว่าเรื่องที่อนุญาตให้ผู้เข้าสอบฮุ่ยซื่อสวมเสื้อผ้าได้มากขึ้นนั้นกลับได้รับการคัดค้านจากขุนนางจำนวนมาก

ในอดีตก็ใช่ว่าไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ฤดูหนาวในนครหลวงนั้นค่อนข้างยาวนานและหนาวเหน็บ บางครั้งฤดูใบไม้ผลิก็เปรียบได้กับฤดูหนาว มีฮ่องเต้ผู้เมตตามากมายที่อนุญาตให้ผู้เข้าสอบสวมเสื้อหนังได้อีกชั้นหนึ่ง

อย่างไรก็ดี ในครั้งนั้นกลับพบกระดาษโกงข้อสอบมากมายที่เย็บติดเข้ากับเสื้อผ้าของผู้เข้าสอบ ยิ่งเสื้อผ้าหลายชั้นเวลาตรวจสอบก็ยิ่งยุ่งยาก ความเมตตาของฮ่องเต้จึงถูกปัญญาชนนิสัยต่ำช้าเหล่านี้ใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด

“ฝ่าบาท” ขุนนางเกลี้ยกล่อม “ในอดีตก็ใช่ว่าไม่เคยมีคลื่นลมหนาว เพิ่มถ่านหิน ซ่อมแซมห้องสอบ เหล่านี้ก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ทว่าคลื่นลมหนาวในปีนี้รุนแรงมาก การสอบฮุ่ยซื่อของราชวงศ์ต้าเหิงใช้เวลาสามวันติดต่อกัน หากในวันนั้นภายในห้องสอบและห้องพักของผู้เข้าสอบมีอากาศเย็นลงหรือมีฝนตกและหิมะตก เกรงว่าคนจำนวนไม่น้อยจะได้รับความเดือดร้อนจากลมหนาว ที่แย่ไปกว่านั้นอาจตายภายในสามวันนี้ก็เป็นได้

กู้หยวนไป๋ใส่ใจกับบรรดาผู้มีความสามารถเหล่านี้อย่างแท้จริง สุดท้ายเขาก็มีคำสั่ง ตัดสินใจให้ผู้เข้าสอบสวมเสื้อผ้าเพิ่มได้

ทันทีที่ราชโองการนี้ออกมา ผู้คนที่รุดมาสอบในนครหลวงต่างก็โห่ร้องด้วยความยินดี ทั้งยังรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า

ผู้เข้าสอบที่ร่างกายอ่อนแอทั้งยังปรับตัวกับอากาศในนครหลวงไม่ได้เหล่านั้นซาบซึ้งยิ่งกว่า โขกศีรษะขอบคุณไม่หยุดพร้อมกับพูดอย่างต่อเนื่อง “ฝ่าบาททรงเมตตา ฝ่าบาทมีพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น!”

เสื้อผ้าบางๆ ตัวหนึ่งแสดงถึงความหวังอันอบอุ่นในห้องสอบที่เยือกเย็นและคับแคบ ฮ่องเต้ไม่ใส่ใจต่อการห้ามปรามของเหล่าขุนนางและยังคงตัดสินใจที่จะลดระดับข้อจำกัดลง นี่ก็คือความรักความทะนุถนอมที่สว่างสดใสสำหรับพวกเขา

ความเอาใจใส่และความรักจากฮ่องเต้ ทำให้ไฟในใจปัญญาชนผู้เคารพฟ้าดิน และเหล่าอาจารย์ยิ่งลุกโชนมากขึ้น

แน่นอนว่าการที่กู้หยวนไป๋มีความเมตตาต่อผู้เข้าสอบเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าจะเปิดทางให้พวกเขาฉวยโอกาสในการทุจริต

หากมีคนที่บังอาจใช้โอกาสนี้สอดแผ่นกระดาษเข้ามาด้วย เช่นนั้นเขาก็จะลงโทษคนเหล่านั้นให้รุนแรงยิ่งกว่าการเสื่อมเสียชื่อเสียงเสียอีก

กู้หยวนไป๋ไม่ต้องการให้ความใจดีของตนกลายเป็นเรื่องตลกในภายภาคหน้า

 

ระหว่างการรอคอย ในที่สุดวันสอบฮุ่ยซื่อก็มาถึง

ทันทีที่ฉู่เว่ยตื่นในตอนเช้าก็ฝึกฝนวิชาการต่อสู้อย่างสงบในลาน ครั้นเหงื่อออกท่วมตัวแล้วจึงหยุด หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ผู้เป็นมารดาก็กำลังตรวจสอบสิ่งของที่จะนำเข้าสู่สนามสอบอีกครั้ง นี่คือการตรวจสอบครั้งที่ห้าของนางแล้ว ฉู่เว่ยเองก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย “ท่านแม่ ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเพียงนี้”

“จะไม่ให้ข้าตื่นเต้นได้อย่างไร!” ฮูหยินฉู่ค้านเสียงสูงแล้วก้มหน้าลงนับต่อไปอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง “ผ้าเช็ดหน้า กระดาษ อาหารแห้ง…”

ฉู่เว่ยปล่อยมารดาไปและกินอาหารจนหมดอย่างเงียบๆ บ่าวรับใช้แบกของขึ้นบ่าแล้วเดินทางไปยังก้งย่วนพร้อมกับนายน้อย

ฮูหยินฉู่ส่งเขาที่หน้าประตู ประสานมือขอพรจากสรวงสวรรค์อย่างกังวลใจ “ขอให้ลูกชายข้าสอบฮุ่ยซื่ออย่างราบรื่นด้วยเถิด”

ผู้ที่เข้ามาสอบในนครหลวงมีมาก ด้วยเหตุนี้จึงถูกแบ่งกลุ่มเพื่อเข้าห้องสอบ ฉู่เว่ยโชคไม่ดีนัก เขาต้องเข้าก้งย่วนตั้งแต่เช้าและรออยู่ที่นั้นทั้งวัน

เมื่อเข้าแถวที่หน้าประตูฉู่เว่ยก็ให้บ่าวรับใช้กลับไปก่อน เขาแบกกล่องสอบด้วยตัวเอง ยืนหลังตรงท่ามกลางฝูงคน

รูปลักษณ์ของเขานั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ บุคลิกก็สง่างามดุจพระจันทร์สดใสซึ่งทำให้หลายคนสังเกตเห็นเขาได้ชัด ท่ามกลางเสียงซุบซิบก็เข้าใจแล้วว่าบุคคลนี้คือฉู่เว่ยชายรูปงามอันดับหนึ่งผู้มีชื่อเสียงแห่งนครหลวง

หลี่เหยียนซื่อจื่อจวนผิงฉางโหวซึ่งอยู่ไม่ไกลและกำลังรอส่งสหายคนสนิทอย่างทังเหมี่ยนสังเกตเห็นความโกลาหลของที่นี่เป็นครั้งแรก เขาหันไปข้างหลังก่อนตบไหล่ทังเหมี่ยนอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ทังเหมี่ยน ฉู่เว่ยก็เข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้ด้วย เจ้ายังจะได้อันดับดีๆ อยู่หรือ”

ทังเหมี่ยนก็เห็นฉู่เว่ยแล้วเหมือนกัน เขาขมวดคิ้วแล้วผ่อนคลายลงอีกครั้ง “เขามิได้สอบเคอจวี่มาเจ็ดปีแล้ว เวลาเจ็ดปีข้าไม่เชื่อว่าความรู้ของเขาจะยังดีเพียงนั้น ฉู่เว่ยจะสอบก็สอบไปเถิด เขาข่มขู่ข้ามิได้หรอก”

ฉู่เว่ยที่อยู่ด้านหลังหูขยับเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หันมามองทางทังเหมี่ยน

ทังเหมี่ยนและหลี่เหยียนต่างมิได้สังเกต หลี่เหยียนถามขึ้น “ทุกครั้งเจ้ามักติดอันดับหนึ่งหรือสองในสำนักศึกษา ครั้งนี้มั่นใจหรือไม่ว่าจะได้จ้วงหยวนมา”

ทังเหมี่ยนเอ่ยด้วยความจริงจัง “ช้าก่อน ได้ยินว่าบุตรชายตุลาการศาลสถิตยุติธรรมฉางอวี้เหยียนก็เข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อในครั้งนี้เหมือนกัน ข้าได้อ่านบทความและบทกวีของเขาแล้ว เขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของข้า”

หลี่เหยียนอดที่จะกล่าวอย่างอิจฉาไม่ได้ “อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ ก็ย่อมถูกฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าด้วยพระองค์เอง”

ทังเหมี่ยนอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าเล็กน้อยไม่ได้ เขาหัวเราะและแสร้งทำเป็นใจเย็น “ข้าจะต้องทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อข้าให้ได้”

นับตั้งแต่วันที่แข่งชู่จวี ก็ทำได้เพียงหวนระลึกภาพของฮ่องเต้ผ่านภาพวาด แต่รูปลักษณ์ของบุคคลในภาพวาดนั้นจะสามารถเทียบกับหนึ่งในสิบของตัวตนที่แท้จริงได้อย่างไร

ฮ่องเต้ที่แท้จริงเป็นดั่งแสงสว่างของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ หากต้องการให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จดจำเขาได้ จะเป็นปั่งเหยี่ยน หรือทั่นฮวาก็ไม่พอ

ผู้ที่ยังไม่ได้เข้าพิธีสวมหมวกเยี่ยงเขา หากได้ตำแหน่งจ้วงหยวนละก็…

หัวใจของทังเหมี่ยนอดที่ลุกเป็นไฟไม่ได้

ฉู่เว่ยละสายตาออกมาอย่างสงบ หลุบสายตาลงเพื่อปิดบังความไม่พอใจและรอยยิ้มเย้ยหยันในดวงตา

วายร้ายน่ารังเกียจก็ช่างบังอาจคิดจริงๆ

 

ขณะที่การสอบฮุ่ยซื่อในก้งย่วนเริ่มขึ้น กู้หยวนไป๋ที่อยู่ตำหนักในก็ได้รับข่าว

เขาฟังรายงานอย่างละเอียด ไม่นานปากสีซีดก็ยกยิ้มเบาๆ เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา “ไม่เลว”

เถียนฝูเซิงยกน้ำแกงบำรุงชามหนึ่งมาให้เขา เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้กำลังเกษมสำราญก็อดที่จะพูดอย่างมีความสุขมิได้ “ไม่เสียแรงกับความเมตตาของฝ่าบาท หากผู้เข้าสอบครานี้มีความซื่อสัตย์ ปัญญาชนรุ่นต่อไปก็จะสามารถมีร่มเงาให้พักพิงได้เช่นกัน”

กู้หยวนไป๋พยักหน้า ก่อนวางภารกิจที่สะสางสำเร็จแล้วไว้ข้างๆ “เจิ้นก็ควรไตร่ตรองหัวข้อการสอบเตี้ยนซื่อของพวกเขาแล้วเช่นกัน”

เถียนฝูเซิงถือม้วนตำราเข้ามา ในตำราเหล่านี้บันทึกนโยบายนับพันหัวข้อเอาไว้ กู้หยวนไป๋พลิกหน้ากระดาษลวกๆ สองสามหน้า แล้วจึงส่ายกน้าก่อนพูด “ไม่ว่าจะอ่านสักกี่รอบ หากไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน อ่านอย่างไรก็ไม่สะดวก”

เถียนฝูเซิงมองฮ่องเต้ด้วยความสงสัย “เครื่องหมายวรรคตอน?”

กู้หยวนไป๋ “ไม่มีอะไร”

เครื่องหมายวรรคตอน ก็คือการแบ่งส่วนประโยคหรือที่คนโบราณเรียกว่า ‘จวี้โต้ว’ ทว่าเครื่องหมายวรรคเหล่านี้ไม่สามารถลบออกได้โดยง่ายและไม่สามารถปล่อยผ่านได้อย่างง่ายดายเช่นกัน

นับแต่โบราณเป็นต้นมาหลักคำสอนจำนวนหนึ่งถูกผูกขาดโดยกลุ่มวิชาการ หลักคำสอนที่ถูกผูกขาดเหล่านั้นก็คือจวี้โต้วนี้ ตัวอย่างเช่น ประโยคอันโด่งดัง ‘ราษฎรสามารถทำตามมันไม่ต้องรู้เหตุผลของมัน’ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองรูปแบบคือ หนึ่ง ‘ราษฎรสามารถทำตามมัน ไม่ต้องรู้เหตุผลของมัน’ และสองคือ ‘ราษฎรสามารถทำตามมันไม่ ต้องรู้เหตุผลของมัน’

กลุ่มวิชาการต่างกันมีวิธีแบ่งวรรคตอนประโยคที่ต่างกันและมีความหมายต่างกันโดยธรรมชาติ หากต้องใช้เครื่องวรรคตอนตามมาตรฐาน กลุ่มวิชาการเหล่านี้ก็จะสั่นคลอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตกลงว่าอันไหนถูก แล้วทำไมอันอื่นต้องผิดด้วย ทำไมต้องนำวิธีการแบ่งวรรคตอนของกลุ่มพวกเขาไปบอกให้ผู้คนในใต้หล้ารู้

กลุ่มวิชาการถูกเรียกเป็นกลุ่มเนื่องจากลักษณะการผูกขาดที่กำหนดโดยวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ และเนื่องจากมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บรรดาศิษย์ที่อยากศึกษาหาความรู้จึงต้องอุทิศตนภายใต้ชื่อของมัน เมื่อมีคนเรียนมากขึ้นกลุ่มเช่นนี้ก็จะกลายเป็นสำนัก

แม้จะมีสำนักศึกษาของทางการ แต่ก็ไม่สามารถห้ามไม่ให้กลุ่มวิชาการเกิดขึ้นและพัฒนาต่อไปได้

ผู้ที่ได้เรียนอยู่ในสำนักศึกษาของทางการเองก็จะมีการแบ่งสัดส่วนประโยคที่เหมือนกัน และมีความเข้าใจอันเป็นหนึ่งเดียวกันในคำพูดของฮ่องเต้ บัดนี้จู่ๆ ฮ่องเต้ก็เอ่ยถึงเครื่องหมายวรรคตอน บทความนี้ต้องใส่สัญลักษณ์จวี้แบบนี้ บทความนั้นต้องใส่โต้วแบบนั้น คนที่ใช้การแบ่งส่วนประโยคไม่เหมือนกับทางการและผู้รู้ตำราในกลุ่มดังกล่าวก็จะไม่พอใจ เหตุใดพวกข้าถึงผิดเล่า พวกข้าสละเวลา พลังงาน และเงินจำนวนมากเพื่อเรียนรู้ หากนี่เป็นสิ่งที่ผิด เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่ได้ผลตอบแทนใดและสิ่งที่ร่ำเรียนไปก็ไม่เปล่าประโยชน์หรอกหรือ

ส่วนกลุ่มที่แบ่งวรรคตอนประโยคแบบเดียวกับทางการก็จะไม่พอใจเช่นกัน เหตุใดความรู้ส่วนตัวของพวกข้าจึงถูกเผยแพร่ในใต้หล้า จะแบ่งปันสิ่งต่างๆ ที่บรรพบุรุษของเราได้สะสมมาหลายชั่วอายุคนสำหรับทุกคนในใต้หล้าได้อย่างไร

ทันทีที่เครื่องหมายวรรคตอนถูกเผยแพร่ออกไปก็เท่ากับแตะต้องสมบัติของพวกเขา กลุ่มนักวิชาการเหล่านี้ไม่มีวันเห็นด้วยอย่างแน่นอน

เครื่องหมายวรรคตอนเป็นสิ่งที่ดี ทว่าตอนนี้กู้หยวนไป๋กลับเอาออกมาใช้ไม่ได้

ในขณะที่ภายในสงบภายนอกไร้ศัตรูและฮ่องเต้มีอำนาจที่จะล้มโต๊ะ จึงจะสามารถสั่นคลอนเหล่าสำนักต่างๆ และปฏิรูปวิชาการได้

กู้หยวนไป๋พลิกหน้าตำราสองหน้า จิบน้ำอุ่นคำหนึ่ง ครั้นรู้ตัวว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่ก็อดที่จะหลุดยิ้มไม่ได้

เขาบอกแล้วว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้า ทว่านี่ก็เหมือนคนติดน้ำตาลบอกอยากเลิกน้ำตาล คนสูบบุหรี่บอกว่าอยากเลิกบุหรี่ ปากเต็มไปด้วยคำพูดแต่ร่างกายกลับซื่อสัตย์ยิ่ง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอะไรที่เรียกว่าปากไม่ตรงกับใจ

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 27 มิ.. 65

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com