everY
ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 15-16 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 15
ตำหนักหยกประดับทอง เหลืองอร่ามแผ่กำจาย สลักราววาดเสา หรูหราถึงที่สุด
ภายในตำหนักหอมอวลระอุไอ เงียบสงบจนได้ยินเพียงเสียงวางเม็ดหมากลงบนกระดานอันกังวานชัดราวกับกำลังเคาะลงบนดวงใจ
“หลังผู้ศักดิ์สิทธิ์ออกจากการกักตนก็มุ่งมายังแคว้นตงเลยหรือ”
“กราบทูลฝ่าบาท ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เงาร่างสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน ผู้ถือหมากสีดำสวมชุดมังกรมงกุฎจักรพรรดิ สีหน้าท่าทางตามแต่ใจ
แม้มีสีหน้าท่าทางตามแต่ใจ แต่การวางหมากขององค์จักรพรรดิกลับไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ทุกย่างก้าวบีบคั้น จิตสังหารเปิดเผย ทำให้ขุนนางตรงหน้าถึงกับลอบหลั่งเหงื่อ สองขาสั่นเทา
เรื่องที่อันดับหนึ่งในใต้หล้ามีการเปลี่ยนคนกำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้ เป็นศูนย์รวมความสนใจของคนทั้งแผ่นดินเสวียนซวี
ภายใต้สถานการณ์นี้เวลานี้ ผู้ศักดิ์สิทธิ์จงจี่ปรากฏตัวอย่างสูงส่งในเมืองเซิ่งหยางโดยไม่ได้ปกปิดที่หมายของตนเลยแม้แต่น้อย นี่ควรค่าต่อการให้ผู้คนครุ่นคิดอยู่บ้าง
“อ่อนเยาว์ปานนี้แต่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า อนุชนน่าเกรงขามโดยแท้”
ปีหน้าเป็นช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ในรอบสิบปีของแคว้นตง เขาอาจยืมคนผู้นี้มากระตุ้นส่งเสริมสักหน่อยได้
ตงเหยี่ยนวางหมากอีกเม็ดหนึ่ง ดวงตาสีม่วงเข้มเคร่งขรึม ความคิดมากมายผุดวาบขึ้นในใจ
จงจี่กลับไม่สนว่าผู้อื่นคิดเห็นเช่นไร ถึงอย่างไรเป้าหมายที่ต้องการสร้างประเด็นร้อนของเขาก็สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เวลานี้เขาเร่งโคจรพลังวิญญาณ ย่ำอยู่บนแผนที่นครภูผาธาราเหมือนย่ำลงบนพรมวิเศษของอะลาดิน ฝีเท้ารวดเร็วคล่องแคล่ว เสียง ‘ฟึ่บ…’ ดังขึ้นคราหนึ่งก็ไถลมาถึงแคว้นตงแล้ว เมื่อมองจากที่ห่างไกลก็เห็นเมืองอันสูงตระหง่านและหมู่เมฆล่องลอยกลางท้องฟ้า เมฆหมอกเคลื่อนคล้อยกระเพื่อมไหวดั่งดินแดนเซียน
สมาชิกของตำหนักลับในแคว้นตงเป็นองค์ชายท่านหนึ่ง
ระบบการเมืองภายในแคว้นตงนั้นแปลกประหลาดอย่างที่สุด เชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ทุกพระองค์ล้วนมีสิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิ ไม่ดูเพียงสายเลือดเท่านั้น ล้วนดูที่กำปั้นเล็กใหญ่
ผู้ครองแคว้นจะเปลี่ยนทุกสิบปี เมื่อถึงเวลาก็จะเปิดโหมดการต่อสู้รุนแรงครั้งใหญ่ของเชื้อพระวงศ์ ผู้ใดสามารถยิ้มได้ถึงตอนสุดท้ายผู้นั้นก็เป็นผู้ครองแคว้นคนต่อไป
แม้ฟังดูแล้วจะเอะอะวุ่นวาย แต่แคว้นตงก็เป็นแคว้นที่ใช้ความสามารถมาพูดคุย เชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์จะได้รับการสั่งสอนในวิชาจักรพรรดิตั้งแต่เด็ก แล้วค่อยตัดสินอีกครั้งว่าผู้ใดมีคุณสมบัติในการปกครองแคว้นในท้ายที่สุดและขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร
พลเมืองของแคว้นตงเองก็ชื่นชอบกิจกรรมนี้เป็นอย่างมาก ล้วนแข่งกันออกมาหวีดร้องสนับสนุนเชื้อพระวงศ์ที่ตนเองชื่นชอบในช่วงที่เปลี่ยนตำแหน่งทุกๆ สิบปี
ส่วนองค์ชายสิบสองผู้ติดต่อกับตำหนักลับท่านนี้ ความบังเอิญที่ไม่บังเอิญอย่างมากก็คือเขาไม่มีพรสวรรค์ด้านการบำเพ็ญเพียรเท่าไรนัก
เขาคล้ายว่าจะเป็นสี่รากวิญญาณกระดำกระด่างผู้หนึ่ง หากจะกล่าวโดยทั่วไปแล้วการได้ครอบครองรากวิญญาณกระดำกระด่างเช่นนี้ ด้วยพรแสวงแล้วก็คงจะบรรลุไปถึงแค่ประมาณขั้นสามเท่านั้น
ขั้นสามนั้นเป็นระดับขั้นที่คนธรรมดาส่วนใหญ่ในแผ่นดินเสวียนซวีมีกัน ไม่นับว่าต่ำเกินไป แต่ไม่อาจประณามลมเมฆ* เหมือนผู้แข็งแกร่งได้
แต่ว่าองค์ชายสิบสองเป็นผู้มีใจทะเยอทะยานอย่างยิ่ง เทียบกับองค์ชายคนอื่นแล้วความคิดเขาปราดเปรื่องอย่างมาก เป็นฝ่ายสร้างเรือลำใหญ่กับตำหนักลับลำนี้และส่งข้อมูลภายในของแคว้นตงจำนวนไม่น้อยให้กับตำหนักลับเพื่อแสดงความจริงใจของตนเอง
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่จงจี่ก็ยังไม่ชอบเขา
คนของราชวงศ์แคว้นตงแต่ละคนล้วนชาติเสือชาติหมาป่า เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาแม้แต่คนของตนเองล้วนกัดหมด สองหน้าสามดาบ** อย่างยิ่ง ไม่อาจหาคำพูดใดมาพรรณนาได้เพียงพอ
มหาเทพตงเหยี่ยนยังมีอีกสมญานามหนึ่งคือทรราช ในตอนที่จงจี่เขียนบรรยายเกี่ยวกับราชวงศ์ของแคว้นนี้ในตอนแรกนั้น เจตนาคือต้องการมอบหินรองใต้เท้าให้กับจิงเจ๋อ จึงเขียนมหาเทพตงเหยี่ยนให้ออกมาเป็นสิบสามานย์ไม่อภัย อำมหิตแต่ก็มีเมตตา
ทว่าอำมหิตก็ส่วนอำมหิต ในด้านการเมืองนั้นตงเหยี่ยนเก่งกาจเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกเรียกขานว่าจักรพรรดิเอกชั่วกาล
เดิมทีถ้าหาก ‘อิสระ’ และ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ไม่ได้หลอมรวมกัน จงจี่คิดว่าองค์ชายสิบสองยังมีโอกาสชนะเจ็ดส่วน เพราะถึงอย่างไรก็มีเขาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าให้การสนับสนุน ต่อให้ทำไม่ดีก็ถือว่ายังได้คว้าเอาผู้ครองแคว้นมาเล่นสนุก
แต่หากโลกหลอมรวมกัน หลังจากผู้ครองแคว้นไร้ค่าผู้นั้นเปลี่ยนเป็นมหาเทพตงเหยี่ยน…
ไม่ต้องพูดถึงโอกาสชนะแล้ว ยอมจำนนไปเลยเถอะ
อุบายเล็กน้อยนี้ขององค์ชายสิบสองยังกล้ากระโดดไปตรงหน้าตงเหยี่ยนผู้ทะเยอทะยานมีสิทธิ์ชี้ขาดจงจี่ได้อีกหรือ
ตงเหยี่ยนทั้งต้านได้ตีได้ แม้จะเป็นตัวร้ายก็เป็นตัวร้ายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับตัวจืดจางอย่างองค์ชายสิบสองที่ไม่แม้แต่จะมีชื่อในต้นฉบับ ‘อิสระ’ แล้วย่อมเจ๋งแจ๋วกว่าเยอะ
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ด้วยใจที่อย่างไรเสียก็รับเอาผลประโยชน์จากคนเขามาในตอนแรก จงจี่จึงต้องไปซื้อซีอิ๊ว* ที่แคว้นตงสักหน่อย ไปให้การสนับสนุนองค์ชายสิบสองสักคราหนึ่ง
แน่นอน การสนับสนุนย่อมมีขอบเขตจำกัด แค่ไปดูหน้างานสักหน่อยก็จบเรื่อง
ดังนั้นหลังจากมาถึงแคว้นตงแล้ว ในเมืองไป๋จิง (เศวต) อันเป็นราชธานีของแคว้นตง ผู้ศักดิ์สิทธิ์พรรคไท่ซวีจงจี่ได้รับการต้อนรับอย่างสนิทสนมจากองค์ชายสิบสอง วาจาจริงใจ แขกเหรื่อปีติ เขาใช้ราชรถองค์ชายเปิดถนนหนทาง เดินทางออกจากฝูงชนมากมายตรงกำแพงเมืองไปยังจวนองค์ชายสิบสองอย่างยิ่งใหญ่ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองไป๋จิงทั้งหมด
“เจ้าตำหนัก ได้มาคารวะต่อหน้าท่าน ถือเป็นเกียรติของตงสือเอ้อร์ (สิบสอง)”
อีกประการหนึ่ง เพราะเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ของแคว้นตงมีมากเกินไป ดังนั้นชื่อของพวกเขาจึงเรียบง่ายไม่ประณีต เพียงเรียงลำดับต่อท้ายโดยเริ่มจากหนึ่งเท่านั้น
มีเพียงผู้ครองแคว้นเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เปลี่ยนชื่อครอบครองนามอันสูงส่ง
คิดดูเช่นนี้แล้วก็ยังรู้สึกว่าน่าสังเวชนัก หากเกิดในราชวงศ์แคว้นตงแล้วต้องต่อท้ายชื่อลำดับที่หนึ่งร้อยขึ้นไปคงได้ร้องไห้จนตายเป็นแน่
ตงอีไป่เอ้อร์สือซาน (หนึ่งร้อยยี่สิบสาม) ชื่อทั้งหมดหกพยางค์ ฟังแล้วก็ทรงอำนาจอหังการดี
“อืม”
จงจี่สีหน้านิ่งเฉย ไม่หวั่นไหวไปตามไมตรีจิตขององค์ชายสิบสองแม้แต่น้อย เขาถึงกับปฏิเสธคำแนะนำเชิญเข้าจวนขององค์ชาย แสดงออกเพียงว่าตนเองจะไปเผยใบหน้าที่งานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้คราหนึ่งเท่านั้น
ตอนที่จัดการฐานะเจ้าตำหนักลับในคราแรก จงจี่ตั้งใจจัดแจงบทละครไว้หลายฉาก ให้ทุกคนคิดว่าศิษย์เอกพรรคไท่ซวีคบค้ากับเจ้าตำหนักลับเพราะกิจธุระเมืองเซิ่งหยาง ลำบากลำบนสร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองคนร่วมดื่มกินในหอไจซิงไปหลายฉาก
แทนที่จะสิ้นเปลืองความคิดไปกับการปกปิด กลับไม่สู้ให้สองฐานะนี้ทาบประกบกันสักเล็กน้อย ถึงอย่างไรปกติเจ้าตำหนักลับก็เป็นประเภทเทพโผล่ผีผลุบ* ปรากฏตัวต่อหน้าคนน้อยครั้งอยู่แล้ว ดังนั้นเกราะนี้จึงป้องกันได้อย่างมั่นคง
กล่าวโดยสรุปคือจงจี่เองมีความสนใจในแคว้นตงหลายส่วนอยู่ก่อนแล้ว หลังจากรู้ว่ามีตงเหยี่ยนก็คร้านจะไปขบกระดูกแข็งท่อนนี้ ดังนั้นในเวลานี้เขาจึงตั้งใจว่าจะแค่พายน้ำ* ไม่ทำสิ่งอื่นใด ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก*
พูดอีกอย่างก็คือเรื่องที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องพ่ายแพ้เช่นนี้ มีดีอะไรให้คาดหวังได้เล่า
ตำหนักลับไม่เคยวางไข่ไก่ไว้ในตะกร้าใบเดียว ในเมื่อไข่ไก่ใบนี้ไม่ได้ฟักออกมาเป็นลูกไก่ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรหากจะทิ้งไป
หลังจากจงจี่แสดงละครกับองค์ชายสิบสองเสร็จก็วิ่งไปยังตำหนักย่อยของตำหนักลับในตงโจว
ตำหนักลับของตงโจวตั้งอยู่ที่เมืองไป๋จิงเช่นเดียวกัน มองจากภายนอกเห็นเป็นร้านขายแป้งชาดร้านหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วหลังจากเดินลงมายังชั้นใต้ดินชั้นหนึ่งจะพบกับแดนสวรรค์อีกแห่ง
“เจ้าตำหนัก”
ผู้พิทักษ์ตำหนักย่อยเห็นเขาแล้วประหลาดใจอย่างยิ่ง ก่อนจะรีบทำความเคารพ
จงจี่ส่งสัญญาณมือให้เขาเงียบเสียง แล้วโน้มกายลงไปมองด้านล่าง
พอดีกันกับที่ตำหนักย่อยฝั่งนี้กำลังเป็นเจ้าภาพจัดพิธีเข้าตำหนักใหม่ เผ่าปีศาจ เผ่ามาร และเผ่ามนุษย์กลุ่มใหญ่ยืนเรียงกันเป็นแถว ต่างยกมือขวากล่าวคำมั่นด้วยสีหน้าจริงจังภายใต้การนำของบัณฑิตอาวุโสของตำหนักลับสองสามคน
“ข้าให้คำมั่น…”
“พสกนิกรใต้ฟ้า ล้วนถือเป็นหน้าที่ ทะเลสงบลำธารใส สุขถ้วนทุกปีกาล สรรพชีวิตเสมอภาค นอบน้อมเป็นสำคัญ”
“ควบรวมใต้หล้า รักชาวประชา ลุยในเพลิงร้อน ย่ำย้อนคมมีด”
คนต่างสีผิว ต่างสีตา ต่างเผ่าพันธุ์ล้วนยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ สีหน้าท่าทางในยามนี้จริงจังไร้ใดเปรียบอย่างแท้จริง ในดวงตาราวกับวาบประกายแสงเรืองรอง
ได้เห็นภาพฉากนี้จงจี่ก็อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
เขาคือคนที่ชอบใส่ใจเรื่องของชาวบ้านเป็นอย่างมาก
การเขียนนิยายนั้นนับเป็นเรื่องหนึ่ง ทะลุมิติเข้ามาในผลงานที่ตนเองเขียนก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในตอนที่จงจี่เขียนนิยายก็พรรณนาไว้ว่าเป็นโลกที่ปั่นป่วน
ต้องเป็นโลกที่ปั่นป่วน ถึงจะได้ไปปั่นป่วนโลก
ยามโลกปั่นป่วนจึงจะปรากฏวีรบุรุษ หากเป็นยุคสมัยที่สงบสุขเกินไปจนไม่มีความขัดแย้งเลยสักนิดจะทำให้เขี้ยวเล็บของคนค่อยๆ สูญหาย
ตอนเขียนเขาไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไร รอจนหลังทะลุมิติเข้ามาในนิยายตัวเอง หลังจากได้เป็นพยานเห็นสงครามอันโหดร้าย เพลิงไฟเชื่อมฟ้า ควันสัญญาณสี่ทิศ พลเมืองพลัดถิ่นสูญหายกับตาในตอนที่ลงเขาครั้งหนึ่ง ถึงได้นึกเสียใจขึ้นมาอยู่บ้าง
เมื่อเรื่องที่คุณเขียนจากปลายปากกากลายเป็นความจริงขึ้นมาจะทำอย่างไร
อย่างน้อยความดีความชั่วก็ไม่สามารถบรรยายออกมาอย่างง่ายดายได้ในหนึ่งการจรดปากกา
และก็เป็นความโหดร้ายของสงครามที่ได้ประสบด้วยตนเองในคราวนั้น จงจี่ถึงได้แปลงตัวเป็นตำรวจแผ่นดินใหญ่ ก่อตั้งตำหนักลับ แล้วเริ่มการออกเดินทางท่องพิทักษ์ความสงบของตนเอง
โลกของฉัน ฉันย่อมมีหน้าที่ในการพิทักษ์สันติสุขโลก
ครั้นมองย้อนดูแล้วถ้อยวาจาที่ฟังดูอวดดีจนน่าขบขันในคราแรกประโยคนี้ คิดไม่ถึงว่าเวลานี้จะกลายเป็นความจริง จากเป้าหมายของจงจี่เพียงคนเดียวแปรเปลี่ยนเป็นเป้าหมายของสหายร่วมตำหนักลับนับพันนับหมื่น
คิดมาถึงตรงนี้จงจี่ก็เกิดความรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
ดูเอาเถิด นี่คือใต้หล้าที่ข้ากำราบ! ดูเอาเถิด นี่คือสุนัขรับใช้ของข้า! (เดี๋ยวนะ)
“เข้าตำหนักลับของข้า คำมั่นเมื่อครู่จงจดจำให้ขึ้นใจ”
ในโถงตำหนักอันกว้างขวางพลันมีเสียงแปลกพิกลแว่วลอยมาเหนือศีรษะ ผู้คนต่างสะดุ้งตกใจและเงยหน้าขึ้นมอง
เห็นเพียงห้วงอากาศบิดเบี้ยว พลังวิญญาณอันหนาวสะท้านปกคลุมเงาร่างท่อนบนของคนผู้นั้นอย่างมิดชิด เหลือไว้เพียงหน้ากากผีหนึ่งอัน กระตุกขวัญหมื่นส่วน
“คารวะเจ้าตำหนัก!”
บัณฑิตอาวุโสที่กำลังถือตำราสองสามคนรีบหันศีรษะมาคารวะ ในเวลาเดียวกันก็ไม่ลืมตำหนิเหล่าศิษย์ที่เข้าตำหนักใหม่เหล่านั้น การแสดงออกล้วนเปี่ยมด้วยความเลื่อมใสอย่างกระตือรือร้น
“คารวะเจ้าตำหนัก”
เหล่าผู้ที่เพิ่งเข้าร่วมตำหนักลับย่อมเคยได้ยินสมญานามของเจ้าตำหนักลับกันมาบ้าง ทั้งแถวจึงแหงนศีรษะทักทายอย่างตัวสั่นงันงก
ตอนที่จงจี่ออกแบบตัวละครเจ้าตำหนักผู้ก่อตั้งตำหนักลับในคราแรกนั้น เขาจงใจเขียนให้เหมาะกับรสนิยมทางสุนทรียภาพของบรรดานิกายมาร
เพราะคำขวัญที่ตำหนักลับหยิบยกออกมานั้นสงบสุขมากเกินไป เพื่อแสดงออกว่าตำหนักลับนั้นไม่ใช่คณะบุคคลที่จะมารังแกได้โดยง่าย เจ้าตำหนักลับจึงต้องดุร้ายเล็กน้อย
ดุร้ายเหี้ยมโหด กลัวหรือไม่
ดังนั้นข่าวเกี่ยวกับเจ้าตำหนักลับที่เล่าลืออยู่ข้างนอกเองก็ใช่ว่าจะดีไปกว่าจอมมารเท่าใดนัก
พูดอีกอย่างก็คือภาพลักษณ์เจ้าตำหนักที่จงจี่แสดงออกมานั้นเป็นตัวแทนถึงพลังยุทธ์ขุมนั้นในตำหนักลับ เมื่อรวมเข้ากับองครักษ์ลับสิบสามหมายเลขที่ขึ้นตรงต่อเขาแล้วก็ประกอบกันเป็นส่วนชี้ขาดของตำหนักลับ
ก็คือถ้ามีคนสองฝ่ายวิวาทกันขึ้นมาและตำหนักลับส่วนอื่นเกลี้ยกล่อมไม่ได้ องครักษ์ลับสิบสามหมายเลขก็จะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ใช้กำลังอันแข็งแกร่งควบคุมโดยตรง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์สันติสุขของคณะบุคคลอันป่าเถื่อน
ภายใต้ระยะห่างอันเหลื่อมล้ำชนิดนี้กลับทำให้การป้องกันเกราะของจงจี่ดียิ่งขึ้น เมื่อรู้ว่าเจ้าตำหนักลับและจงจี่สนิทสนมกัน ยังมีคนไม่น้อยคารวะเขาด้วยเหตุผลนี้ มักรู้สึกว่าเจ้าตำหนักลับจะพาให้ศิษย์เอกพรรคไท่ซวีผู้เป็นบุปผาแห่งยอดเขาสูง ผู้ใสกระจ่างดั่งน้ำแข็งบริสุทธิ์ดุจหยกแม้เกิดจากโคลนตมแต่กลับไม่แปดเปื้อนผู้นั้นเสียคน
จงจี่ “ฮะ!”
เสวียนซวีทำตามข้า คุณงามชื่อเสียงหมั่นซุกซ่อน
* ประณามลมเมฆ หมายถึงบุคคลที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่
** สองหน้าสามดาบ หมายถึงหน้าไหว้หลังหลอก ตีสองหน้า
* ซื้อซีอิ๊ว เป็นคำสแลง ใช้สื่อว่าผู้พูดไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องใด เป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีบทบาทสำคัญ
* เทพโผล่ผีผลุบ เป็นสำนวน หมายถึงลึกลับซับซ้อน
* พายน้ำ หมายถึงการไม่ลงแรงหรือไม่ช่วยงานใดๆ ในกิจกรรมที่ทำเป็นกลุ่ม และยังหมายถึงพฤติกรรมอู้งาน แอบขี้เกียจ
* ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก เป็นสำนวน หมายถึงต่อหน้าทำเป็นดี แต่พอลับหลังก็นินทาหรือหาทางทำร้าย