everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2 บทที่ 42 – 43 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 42
ชั่วพริบตานั้นอวี้ฝานก็ชาไปทั้งร่าง
เขาสามารถรู้สึกได้ว่าเฉินจิ่งเซินกำลังดึงและลูบไล้เส้นผมของเขา นิ้วเรียวยาวอุ่นร้อน สิ่งที่ร้อนระอุยิ่งกว่าฤดูร้อนนวดคลึงเข้าไปในจิตใจเขาทีละนิด
อวี้ฝานจ้องดวงตาสีดำขลับลุ่มลึกของเขา พยายามดึงหน้า ผ่านไปหลายวินาทีกว่าจะเปล่งเสียงออกมาอย่างแข็งกระด้าง “ใคร…จะสนว่านายชอบอะไร ฉันอยากตัด”
เฉินจิ่งเซินกวาดตามองสีหน้าบูดบึ้งของเขาที่แดงยิ่งกว่าดอกกุหลาบในแปลงดอกไม้ของโรงเรียนแวบหนึ่ง เลิกคิ้วและไม่ได้พูดจา
อวี้ฝานรู้สึกว่ายังไม่พอ “วันนี้กลับบ้านไปก็จะตัดเลย”
เฉินจิ่งเซินเม้มริมฝีปาก
“ฉันจะโกนให้หมดเลย…” เพิ่งสิ้นเสียงของอวี้ฝาน ลางสังหรณ์อันคุ้นเคยก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาขมวดคิ้ว ก่อนถามอย่างชัดถ้อยชัดคำโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “เฉินจิ่งเซิน นายแม่งจะยิ้มอีกแล้วใช่ไหม”
“เปล่า” เฉินจิ่งเซินดึงมือออก ก้มหน้าดูมือถืออีกครั้งอย่างรวดเร็ว ก้มจนอวี้ฝานเห็นเพียงใบหน้าครึ่งเดียวของเขา
เส้นผมถูกปล่อยกะทันหัน อากาศอบอ้าวแทรกเข้าไปจนรู้สึกเย็นอย่างชัดเจน
ความรู้สึกว่างเปล่าที่อธิบายไม่ถูกนี้คงอยู่เพียงวินาทีเดียว อวี้ฝานรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน ขยับเข้าไปและยกมือล็อกคอของเฉินจิ่งเซิน ฝ่ามือดันหน้าเขา
เฉินจิ่งเซินหลบเลี่ยง ตอนแรกอวี้ฝานไม่ได้ดันกลับมา แต่หลังจากนั้นจู่ๆ เฉินจิ่งเซินก็ผ่อนแรงลง ปล่อยให้อีกฝ่ายหมุนหน้าของตนกลับไป
ยังจะบอกว่าไม่ได้ยิ้มอีก
“ก่อนหน้านี้หลายรอบไม่ได้ลงมือกับนายเพราะมีมือถือกั้น นายก็เลยคิดว่าฉันจะไม่ซัดนายใช่ไหม” อวี้ฝานบีบหน้าเขาจากด้านล่างด้วยมือข้างเดียว ถามอย่างเกรี้ยวกราด “ยิ้มอะไร”
มุมปากของเฉินจิ่งเซินถูกเขาดึงลง ท่าทางมีชีวิตชีวาอย่างหาได้ยาก “คิดถึงสภาพตอนนายหัวโล้นน่ะ”
“หืม?” มือของอวี้ฝานที่ล็อกคออีกฝ่ายออกแรงขึ้นอีกนิด “งั้นรอฉันโกนแล้วนายก็ยิ้มอยู่ข้างๆ ให้เต็มที่ไปเลย ไม่เลิกเรียนห้าม…”
“อีกอย่าง…” เฉินจิ่งเซินช้อนตาขึ้นมองเขา เอ่ยด้วยดวงตาเปื้อนยิ้ม “อวี้ฝาน คอนายแดงมาก”
“…”
เฉินจิ่งเซินถูกดึงเข้ามา ใบหน้าของพวกเขาใกล้กันมากเกินไป ลมหายใจตอนเฉินจิ่งเซินพูดจึงพัดผ่านปลายคางของอวี้ฝานอย่างแผ่วเบา
“ตอนโมโหฉันก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละ” สักพักทั้งคอ หู และใบหน้าของอวี้ฝานก็ร้อนผ่าว เอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ตอนฉันต่อยคนมันแดงกว่านี้อีก นายอยากดูไหมล่ะ”
เฉินจิ่งเซินกะพริบตาอย่างเงียบๆ ท่าทางหวั่นไหวนิดหน่อย ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นถึงได้ขยับริมฝีปาก…
อวี้ฝานออกคำสั่งอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “บอกว่าไม่อยากสิ”
เฉินจิ่งเซิน “ไม่อยาก”
อวี้ฝานปล่อยเขา กลับลงไปนั่งโดยที่ร้อนผ่าวไปทั้งตัว แล้วก็ดูดถั่วเขียวปั่นแรงๆ อึกหนึ่ง
ช่างเถอะ ชอบยิ้มก็ยิ้มไปสิ ฉันไม่มองซะก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรือไง
เฉินจิ่งเซินปิดเกมแล้วเหลือบมองคอเสื้อของเขาแวบหนึ่ง “ทำไมติดกระดุมเสื้อล่ะ”
อวี้ฝานเพิ่งนึกขึ้นได้ มิน่าล่ะถึงได้ร้อนขนาดนี้…
เขาปลดมันออกอย่างคล่องแคล่วด้วยมือเดียวพลางเอ่ย “ก่อนหน้านี้หนาวน่ะ”
มือถือส่งเสียงดังขึ้นหลายที อวี้ฝานหยิบขึ้นมาดู เป็นจางเสียนจิ้งส่งข้อความมา บอกว่าวันนี้เป็นเวรของพวกเขาสองคน ให้เขากลับไปกวาดห้องเรียน
“ประชุมผู้ปกครองเสร็จแล้ว คนไปกันหมดแล้ว” อวี้ฝานเก็บมือถือ หิ้วขวดน้ำแร่ที่ใช้ใส่เถ้าบุหรี่ขึ้นมาแล้วสะกิดคนข้างๆ “กลับห้องเรียน”
พวกเขากลับมาช้ามาก จางเสียนจิ้งกับเคอถิงเช็ดกระดานกับหน้าต่างเสร็จก็กลับบ้านไปแล้ว เหลือเพียงแค่พื้นที่ไม่ได้ทำความสะอาด
อวี้ฝานหยิบไม้กวาดขึ้นมาแล้วโยนให้เฉินจิ่งเซิน “นายกวาด ฉันจะไปซักไม้ถูพื้น”
พวกเขาลงมือไวมาก สุดท้ายเหลือเพียงทางเดินหลังห้องที่ยังไม่ได้ทำ
ทั้งสองคนคนหนึ่งหิ้วไม้กวาด คนหนึ่งหิ้วไม้ถูพื้น ย้ายไปที่นอกระเบียงทางเดินอย่างเกียจคร้าน อวี้ฝานเพิ่งย่างเท้าออกไปข้างหนึ่งก็ได้ยินว่าข้างๆ มีเสียงกระซิบคุยกันที่เบามาก…
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะเปิดดูไดอารี่ของฉัน…ฮือ…ถ้าแม่ฉันจะให้ฉันเลิกกับนายให้ได้ล่ะ จะทำยังไงดี” นักเรียนหญิงถามอย่างสะอึกสะอื้น
“ไม่เป็นไร ต่อให้แม่เธอ พ่อเธอ ครู…หรือคนทั้งโลกจะห้ามไม่ให้ฉันกับเธอคบกัน ขอแค่เราชอบกันก็ไม่มีทางถูกคนอื่นแยกได้แน่นอน…เธออย่าร้องไห้ไปเลย”
อวี้ฝานเลิกคิ้ว รู้สึกว่าเสียงของผู้ชายคุ้นหูอยู่หน่อยๆ
พอเขาหันหน้าไปก็เห็นร่างบึกบึนของนักกีฬาอย่างจูซวี่
สุดปลายทางเดิน จูซวี่ขวางเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาคนนั้นไว้ในมุมของระเบียงทางเดิน
คู่รักที่เพิ่งถูกจับได้ว่าแอบคบกันคู่นี้อาศัยที่รอบๆ ไม่มีคนแนบชิดกันอย่างสนิทสนม
ดวงอาทิตย์ตกดิน พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นสีเหลืองทองพลางพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งด้วยเสียงแผ่วเบา แต่แล้วก็เห็นจูซวี่ยิ่งพูดยิ่งโน้มศีรษะลงเรื่อยๆ อวี้ฝานยังไม่ทันได้ถอยออกไปจากตรงนี้พวกเขาก็จูบกันแล้ว ร่างทั้งสองทาบทับกัน ศีรษะของจูซวี่เอียงเล็กน้อย มือก็กดอยู่บนเอวของอีกฝ่าย
มือที่กำไว้ของทั้งสองคนต่างแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
อวี้ฝานได้สติกลับมา กำลังคิดจะผลักของเฉินจิ่งเซินเข้าไป คนด้านหลังก็ชิงคว้าเสื้อเขาก่อนก้าวหนึ่งแล้วดึงไปข้างหลัง อวี้ฝานไม่ได้ควบคุมฝีเท้า จึงชนเข้ากับร่างเฉินจิ่งเซิน ทั้งสองถอยกลับเข้าไปในห้องเรียนอีกครั้ง
ชั้นล่างมีเสียงแตรดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ปกปิดเสียงของพวกเขาสองคนไว้ได้พอดี นอกระเบียงทางเดินไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ พวกนั้นอาจจะยังจูบกันอยู่
ในห้องเรียนเงียบกว่าด้านนอกเสียอีก
อวี้ฝานรู้สึกถึงสายตาของเฉินจิ่งเซิน เขางอนิ้วมือ ไม่ได้หันกลับไป ความตื่นเต้นซึ่งไม่มีที่มาที่ไปผุดขึ้นมาในใจทั้งๆ ที่ระยะห่างตอนที่พวกเขาอยู่ตรงโถงบันไดเมื่อครู่ใกล้กว่าตอนนี้เสียอีก
สักพักอวี้ฝานก็หมุนตัว ผลักอีกฝ่ายโดยไม่เงยหน้า แล้วเอ่ยเสียงเบา “จะไปแล้ว”
เฉินจิ่งเซินมองข้างนอกแวบหนึ่ง “ไม่กวาดตรงทางเดินแล้ว?”
“ไม่กวาดแล้ว” อวี้ฝานดึงเขา “…กลับบ้าน”
ตกกลางคืนอวี้ฝานเห็นจูซวี่คร่ำครวญอยู่ในแชตเรื่องที่ตนเองคบกับแฟนสาวแล้วถูกจับได้
จูซวี่ แต่เราสัญญากันไว้แล้วว่าจะไม่ให้ใครมาส่งผลต่อความรักของเรา!
‘งั้นอย่าให้ความรักของพวกนายส่งผลกระทบต่อคนอื่นได้หรือเปล่า’
อวี้ฝานพิมพ์ประโยคนี้ออกไป แต่เมื่อคิดครู่หนึ่งแล้วก็ลบทิ้ง ช่างเถอะ ขืนส่งไปคงต้องได้คุยกันอีกยาว
เลยสามทุ่มมาแล้ว รออยู่นานสองนานก็ไม่ได้รับคำเชิญวิดีโอคอลล์ ดังนั้นเขาจึงออกจากกลุ่มแชต กดเปิดรูปโพรไฟล์ของใครบางคนและส่ง ‘?’ ไปหาอีกฝ่าย
เฉินจิ่งเซินตอบกลับด้วย ‘?’ อย่างรวดเร็ว
อวี้ฝานมือว่างๆ ก็กดโทรไปหาเขาทันที
ผ่านไปสักพักเฉินจิ่งเซินถึงได้รับ เขานั่งพิงเก้าอี้ ขณะรับสายวิดีโอคอลล์ดูท่าทางสบายๆ มากกว่าปกติ เขาถาม “ทำไมเหรอ”
“คืนนี้ไม่ติว?” อวี้ฝานถาม
“อยากติว แต่ว่า…” เฉินจิ่งเซินชะงักไปครู่หนึ่ง “นายไม่รู้สึกเหรอว่าขาดอะไรไป”
อวี้ฝานงุนงง “ขาดอะไร”
“เมื่อตอนบ่ายรีบออกมาเกินไปหน่อย ลืมเอากระเป๋ามาด้วย”
“…”
เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ออกมาอย่างรีบร้อน อวี้ฝานที่กำลังถือมือถือก็บีบแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผลคือออกแรงมากเกินไป มือถือสูญเสียการควบคุม ล้มหงายลงบนโต๊ะดัง ‘ตุบ’ …
เชี่ย
อวี้ฝานรีบช้อนมือถือขึ้นมา ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “อ้อ งั้นฉันวางล่ะนะ”
“คุยกันสักเดี๋ยวสิ” เฉินจิ่งเซินเอ่ย
“…”
ดึกๆ อย่างนี้ผู้ชายสองคนมีอะไรน่าคุยกัน นั่งคุยกันตอนกลางวันไม่ได้หรือไง
เสียงเปิดประตูดังมาจากด้านนอก อวี้ฝานมองไปทางประตูโดยอัตโนมัติ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเดินไปทางระเบียง
เฉินจิ่งเซินมองไฟกลางคืนที่วูบไหวบนหน้าจอแล้วเอ่ยถาม “คนที่บ้านนายกลับมาแล้ว?”
อวี้ฝานตอบอืมทีหนึ่ง มือเท้าบนราวและนั่งบนระเบียงอย่างชำนาญ
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าจะคุยอะไรกับเฉินจิ่งเซิน
เขายกมือถือไว้ตรงหน้าแล้วพูดว่า “เฉินจิ่งเซิน ถ่ายห้องนายให้ฉันดูหน่อยซิ”
เฉินจิ่งเซินนิ่งอึ้งไปอย่างเห็นได้ยาก จากนั้นก็สลับเป็นกล้องหลัง ขยับเก้าอี้หมุนเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายดู
ห้องของอีกฝ่ายไม่ต่างกับโต๊ะหนังสือของเขา สะอาด เป็นระเบียบ โทนสีเย็น พื้นที่ว่างใหญ่พอๆ กับห้องรับแขกในบ้านของอวี้ฝาน
อวี้ฝานดูรอบหนึ่ง ก่อนจะพิงบนตาข่ายเหล็กกันขโมยพลางบอก “ขยับขึ้นไปหน่อย”
เฉินจิ่งเซินชะงักครู่หนึ่งก่อนจะยกมือถือขึ้นเล็กน้อย
อวี้ฝานเห็นของที่ตนอยากเห็นแล้วก็หรี่ตา ตั้งใจถามทั้งๆ ที่รู้ “เดี๋ยวนะ ผ้าดำบนผนังนั่นคลุมอะไรไว้น่ะ”
วินาทีต่อมาเฉินจิ่งเซินก็ตัดกล้องกลับมา เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กล้อง”
“ทำไมห้องนายมีของพรรค์นี้ด้วย” อวี้ฝานถาม “ไม่เขินหรือไง”
“ชินแล้ว ใช้ผ้าบังไว้ก็พอ”
“ไม่ได้ยินเสียง?”
เฉินจิ่งเซินตอบอืมทีหนึ่ง “ไม่ได้ติดลำโพง”
ก็ยังดี
เห็นทีว่าดูเหมือนเฉินจิ่งเซินจะไม่ได้ขี้ขลาดขนาดนั้นอย่างที่เขาคิด และก็ไม่ได้มีอิสระขนาดนั้นด้วยเหมือนกัน ผ้าสีดำที่ปกปิดไว้อย่างแน่นหนาและเนี้ยบผืนนั้นดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือจากการทำมานาน
อวี้ฝานพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด ตอบอ้อทีหนึ่งอย่างเฉื่อยชา
ที่อยากถามก็ถามเสร็จแล้ว เขาบอก “คุยเสร็จแล้ว วาง…”
“อวี้ฝาน” ในหูฟังจู่ๆ เฉินจิ่งเซินก็เรียกชื่อเขา “เคยมีความรักไหม”
“…”
อวี้ฝานงอขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เครื่องหน้าทั้งห้าบนใบหน้าที่เพิ่งผ่อนคลายลงกลับเครียดเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง
ตั้งแต่มัธยมปลายปีสองอวี้ฝานก็เริ่มทำตัวเกเรแบบนี้ ชกต่อย สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ล้วนเคยทำมาหมด มีแค่พฤติกรรมต่อต้านในช่วงวัยรุ่นอย่างการมีแฟนเพียงอย่างเดียวที่ไม่เคยได้สัมผัสเลย
ไม่มีเหตุผลอะไร ตั้งแต่เด็กจนโต ขอแค่มีคนมาสารภาพรักกับเขา เขาก็หน้าแดงแล้ว ไม่ว่าจะตอนไหน หรือไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ตาม
เรื่องนี้จะพูดออกไปได้เหรอ ไม่ได้เด็ดขาด
“แน่นอน เคยตั้งหลายครั้ง” อวี้ฝานนั่งตัวตรงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ หลังจากพูดจบก็เสริมอีกทันที “กับผู้หญิงน่ะ”
“จริงเหรอ” เฉินจิ่งเซินหลุบเปลือกตาอย่างเกียจคร้าน ดูไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน “ทำไมฝ่างฉินบอกว่านายไม่เคยมีแฟน”
“งั้นเหรอ ฉันตั้งแต่ประถมจนถึงตอนนี้คบมาแล้วสาม…” อวี้ฝานชะงักครู่หนึ่ง
ถึงเขาจะไม่มีประสบการณ์ แต่สามสิบกว่าคนก็ออกจะเกินไปหน่อยมั้ง
“สิบสามคน” เขาพูดจบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่เคยถูกครูจับได้”
เฉินจิ่งเซิน “ประถม? คบตอนชั้นไหน”
นี่เรียกว่าอะไรนะ นี่เรียกว่าโกหกครั้งหนึ่งต้องโกหกต่อไปไม่สิ้นสุด
อวี้ฝานอยากสูบบุหรี่ ขณะคลำหาซองบุหรี่เจอก็นึกถึงคำพูดที่จูซวี่บอกในกลุ่มแชตวันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง…จึงอดทนไว้
ขณะปั้นเรื่องสายตาของเขาก็ล่องลอย ลอยไปยังเกียรติบัตรที่อยู่บนผนังภายในห้อง แล้วปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันใด…
“ป.สี่ ตอนเข้าร่วมค่ายฤดูร้อน” อวี้ฝานว่า “ครั้งล่าสุดก็ไอ้นั่นที่นายเห็น ค่ายฤดูร้อนฟิอะไรนั่น จำได้ไหม ฉันได้เกียรติบัตรด้วยไม่ใช่หรือไง บอกว่าฉันชอบช่วยเหลือคนอื่น”
“…”
อวี้ฝานไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าจู่ๆ ท่าทีของคนที่อยู่ในวิดีโอคอลล์ก็เปลี่ยนไปจนยากจะอธิบายนิดหน่อย แล้วก็แต่งเรื่องต่อ “คนคนนั้นที่ฉันช่วยก็คือแฟนคนแรกของฉัน”
“…”
ในวิดีโอคอลล์เงียบไปสักพัก อวี้ฝานรออยู่นานสองนานก็ขมวดคิ้ว “นายได้ยินหรือเปล่า”
“ได้ยินแล้ว” เนิ่นนานกว่าเฉินจิ่งเซินจะเอ่ยปาก “คบนานเท่าไหร่ อีกฝ่ายเป็นเด็กประถม…แบบไหน”
“ทำไมนายถามเยอะแยะขนาดนี้เนี่ย”
พูดตามตรงอวี้ฝานลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
จุดพลิกผันในครอบครัวใหญ่หลวงเกินไป เรื่องในอดีตเมื่อตอนมัธยมต้นปีหนึ่งเขาจำได้เลือนรางมาก หรือจะให้พูดก็คือเขาปฏิเสธที่จะนึกย้อนกลับไป
ถึงอย่างไรอดีตเมื่อนานมาแล้ว ยังมีคนอีกคนหนึ่งอยู่ในชีวิตเขา แต่หลังจากคนคนนั้นไปแล้ว จิตใต้สำนึกของเขาก็เริ่มไม่อยากจดจำคนหรือเรื่องราวใดๆ ในอดีตอีก
เขาจ้องเกียรติบัตรใบนั้นพลางคิดครู่หนึ่ง ได้แต่นึกขึ้นมารางๆ…
“เด็กประถมขี้แยคนหนึ่งล่ะมั้ง” อวี้ฝานบอก “คบเมื่อก่อนนานมากแล้ว จำไม่ค่อยได้แล้ว”
“แบบนี้นี่เอง”
แต่งเรื่องเสร็จอวี้ฝานก็พรูลมหายใจ กำลังจะพิงตาข่ายเหล็กกันขโมยใหม่อีกครั้ง…
“งั้นเคยจูบไหม”
“…”
ตาข่ายเหล็กราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน อวี้ฝานแตะทีหนึ่งแล้วก็ผุดลุกนั่งตัวตรง
มีแฟนมาสิบสามครั้งแต่ไม่เคยจูบ นี่แม่งไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยมั้ง
อวี้ฝานกะพริบตาสิบกว่าครั้ง กว่าจะเปล่งเสียงออกไปอย่างแข็งกระด้าง “…อื้ม!”
เฉินจิ่งเซินเลิกคิ้ว “ก็คือกับเด็กประถมคนนั้น?”
ได้หรือไง เด็กประถมเข้าใจกับผีน่ะสิ
แต่อวี้ฝานไม่อยากปั้นแต่งประวัติความรักต่อแล้ว จึงกัดฟันพูด “…อืม”
เฉินจิ่งเซินงอนิ้วแตะที่ปลายจมูก “เด็กขนาดนั้น…จูบยังไง”
“แม่งจะจูบยังไงได้ จูบแรงๆ น่ะสิ! จูบจนปากแตก…” อวี้ฝานหลับตา พูดต่อไปไม่ได้แล้ว “นายจะถามเรื่องนี้ไปทำไมฮะ”
เฉินจิ่งเซินเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตรงๆ ว่า “ไม่เคยจูบ เพราะงั้นก็เลยอยากรู้น่ะ”
แค่เดาก็รู้แล้วว่านายไม่เคยจูบ ไอ้เด็กเรียนหน้าเหม็น
อวี้ฝานแต่งเรื่องจนตัวเองก็เชื่อด้วยแล้ว ขณะมองเฉินจิ่งเซินยังเจือด้วยความรู้สึกแบบที่พวกมือโปรดูถูกพวกมือใหม่นิดหน่อย มองไปมองมาตาก็เคลื่อนลงไปโดยไม่รู้ตัว
เฉินจิ่งเซินจมูกโด่งมาก ตอนเขารัดคออีกฝ่ายเมื่อตอนบ่ายเกือบจะแตะเข้าให้ อีกทั้งริมฝีปากยังบางมาก ท่าทางก็ดูเย็นชานิดหน่อย จูบกันขึ้นมาก็คงไม่เท่าไหร่…ฉันเป็นบ้าหรือเปล่า
อวี้ฝานถูกความคิดนี้ของตนเองทำเอาตกตะลึงจนมึนงง ทั่วทั้งร่างกายแข็งทื่อกว่าตอนแต่งเรื่องเมื่อกี้นี้เสียอีก
เสียงโทรศัพท์ดังติ๊งทีหนึ่ง หวังลู่อันส่งข้อความมาชวนเขาเล่นเกม
ทันใดนั้นริมฝีปากที่กำลังจ้องอยู่ก็งับลง อวี้ฝานวางสายวิดีโอคอลล์อย่างไม่มีทางเลือกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยปาก
s ?
s หลังจากนั้นพวกนายเลิกกันยังไง
อวี้ฝานลูบหน้าแล้วก้มลงคว้ากล่องบุหรี่ หลังจากสูบบุหรี่ไปมวนหนึ่งถึงได้ใจเย็นลงอีกครั้ง
– เลิกกันแล้วก็คือเรื่องในอดีตที่เสียใจ นายยังเอาแต่ถามอยู่อีก?
– จะไปเล่นเกมแล้ว ขืนตอบอีกจะบล็อก
คืนนี้อวี้ฝานเล่นเกมจริงจังมาก นานๆ ทีจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดกับเหล่าเพื่อนยากจนถึงตีสอง
ทำให้หลังจากเขาวางมือถือ พอศีรษะถึงหมอนก็หลับไปอย่างง่วงงุน
หลายปีมานี้อวี้ฝานแทบจะฝันทุกคืน
นอกจากความฝันที่พิลึกพิลั่นบางอย่างแล้ว เนื้อหาในความฝันที่เหลือล้วนคล้ายกันมาก ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือเขาชนะบ้างแพ้บ้าง บางอย่างเป็นเรื่องในอดีต บางอย่างคิดจินตนาการเอาเอง
กระทั่งไม่กี่เดือนก่อน ในฝันถ้าไม่ใช่เขาตายก็เป็นอวี้ข่ายหมิงตาย ทำให้ช่วงหนึ่งหลังจากตื่นมาเขาต้องนอนสงบสติอยู่สักพักกว่าจะแน่ใจว่าตนเองตื่นแล้วหรือว่าวิญญาณออกจากร่าง
กระทั่งเปิดเทอมใหม่จู่ๆ เขาก็ค่อยๆ ฝันน้อยลง เขาเริ่มฝันแบบที่เรียบง่ายและก็เข้าใจได้อย่างง่ายดาย
ยกตัวอย่างเช่นคืนนี้…
เขาฝันเห็นโถงบันไดของอาคารปฏิบัติการ เฉินจิ่งเซินนั่งก้มหน้ากลั้นหัวเราะอยู่บนขั้นบันได ส่วนตัวเขาเองขยับเข้าไปรั้งคอของเฉินจิ่งเซิน บังคับให้อีกฝ่ายเงยหน้า
เฉินจิ่งเซินปล่อยให้เขาทำ ชั่วขณะที่เงยหน้าก็ยกมือขึ้น สอดเข้าไปในเส้นผมของเขา และกดเขาลงไป…
เฉินจิ่งเซินบดเบียดใบหน้าเขาแล้วบดเบียดจมูกเขาอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็แตะลงบนริมฝีปากเขา
เช้าวันต่อมา
เฉินจิ่งเซินเพิ่งเข้ามาในห้องเรียนก็รู้สึกได้ว่าใครบางคนกำลังคว้านท้องเขาด้วยสายตาอย่างชิงชัง
เขาหันไปมองราวกับมีสัมผัสพิเศษ แล้วก็เห็นเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาเอาแจ็กเก็ตเครื่องแบบที่ไม่ได้เห็นมานานตัวนั้นคลุมศีรษะแล้วฟุบลงไปพอดี
เฉินจิ่งเซินนั่งประจำที่ ยกมือเคาะโต๊ะเรียนข้างๆ “กินมื้อเช้าหรือยัง”
ไม่มีคนตอบ
ผ่านไปสักพักเฉินจิ่งเซินก็เอาการบ้านที่ทำเสร็จด้วยความเร่งรีบวางไว้ข้างมือเขา “ลุกขึ้นมารีบทำการบ้านเถอะ”
ไม่มีคนตอบ
ใกล้ถึงเวลาท่องหนังสือรอบเช้า จั่วควนเดินมาจากห้องข้างๆ บอกว่าตนง่วงมาก นัดพวกเขาไปสูบบุหรี่ก่อนแล้วค่อยเข้าเรียน
หวังลู่อัน “ชู่ เบาเสียงหน่อย เราไปกันสองคน อวี้ฝานหลับแล้ว…”
เพิ่งสิ้นเสียงอวี้ฝานก็ผุดลุกขึ้นนั่ง ยัดบุหรี่ใส่กระเป๋ากางเกงลวกๆ แล้วลุกขึ้นยืนอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
คนที่ปกติมักจะเตะเก้าอี้ของเฉินจิ่งเซินเพื่อให้หลีกทาง วันนี้กลับไม่แม้แต่จะหันหน้าไปทางขวา เขาเหยียบเก้าอี้แล้วข้ามหน้าต่างออกไปจากห้องเรียนโดยตรง ก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำอย่างเงียบเชียบ
หวังลู่อันและจั่วควน “…?”
เฉินจิ่งเซิน “…”
เข้าใจแล้ว ไม่ได้หลับจริงๆ แค่ไม่สนใจเขา
สิบนาทีต่อมา เริ่มท่องหนังสือรอบเช้า
ตัวแทนวิชาภาษาจีนกำลังถามครูภาษาจีนว่าวันนี้จะอ่านบทไหน เฉินจิ่งเซินก็ยื่นแขนไปสะกิดคนข้างๆ
วินาทีต่อมาที่แขนของทั้งสองคนแนบชิดกัน อวี้ฝานก็ถอนมือออกไปทันที
เฉินจิ่งเซิน “…”
เขาวางปากกากดลงบนโต๊ะ แล้วหันหน้าไปถาม “ฉันกวนนาย?”
เพื่อนร่วมโต๊ะของเขาไม่ขยับเขยื้อน จ้องหนังสือเรียนและเอ่ยอย่างเฉยชา “เปล่า”
เฉินจิ่งเซินกวาดตามองหูแดงๆ ของเขาแวบหนึ่ง “งั้นทำไมนายโมโหฉันแต่เช้าล่ะ”