everY
ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 1-3 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : ซุ่ยหมาง (睡芒)
แปลโดย : G.N Voyager
ผลงานเรื่อง : 满天星 (Man Tian Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบูลลี่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
เซวียโย่วข่าร้องไห้เสียงดังลั่นอยู่ในห้องผ่าตัด น้ำตาไหลรินราวกับสร้อยไข่มุกที่สายขาด
แสงจ้าจากไฟผ่าตัดทำให้ตาพร่า
แพทย์เฉพาะทางด้านสุขภาพเพศชายและพยาบาลหญิงที่ผ่าตัดให้เขาล้วนอ่อนโยนมาก “หนู ไม่ต้องร้องนะ เจ็บแค่แป๊บเดียว ตัดเสร็จก็เรียบร้อยแล้ว ตรงนี้ของหนูดูดีมากเลย ต่อไปก็จะทั้งดูดีและใช้งานได้ดีเลยล่ะ…”
ตอนพันแผลเซวียโย่วข่ายังมีหยดน้ำตาขนาดเท่าเมล็ดถั่วอยู่บนใบหน้า ในหัวมีแต่ประโยคที่ว่า ‘ดูดีและใช้งานได้ดี’ หลงเหลืออยู่
มันจะดูดีและใช้งานได้ดีจริงๆ เหรอ
แต่มันเจ็บ…เจ็บเกินไปแล้ว
พยาบาลครอบถ้วยกระดาษให้เขาแล้วกำชับว่า “สองสามวันนี้เวลาชิ้งฉ่องอาจจะรู้สึกเจ็บนิดหน่อย ต้องทายาทุกวันนะคะ แม่ของหนูรู้เรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้ว ให้แม่ช่วยทาให้นะ เข้าใจไหม”
เซวียโย่วข่าส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ก้มหน้ากุมถ้วยกระดาษไว้ “พี่ฮะ เสื้อหนูอยู่ไหน”
“หนูจะใส่กางเกงหรือกระโปรงล่ะ แม่หนูเอากระโปรงมาให้…” ยังไม่ทันพูดจบเซวียโย่วข่าก็รีบขัดทันที “หนูจะใส่กางเกง! กางเกง!”
เหอเสี่ยวโหยวเป็นพยาบาลแผนกสูติ-นรีเวชของโรงพยาบาลประจำอำเภอ ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนก่อนลูกชายจะขึ้นชั้นมัธยมต้น เธอได้พาเขามาผ่าตัดหนังหุ้มปลายที่แผนกสุขภาพเพศชายของโรงพยาบาลที่ตัวเองทำงานอยู่
เซวียโย่วข่ามักจะมารอแม่เลิกงานที่โรงพยาบาลบ่อยๆ คนที่แผนกสูติ-นรีเวชแทบทั้งหมดรู้จักเขา แต่เซวียโย่วข่าไม่เคยมาชั้นที่เป็นแผนกระบบทางเดินปัสสาวะและสุขภาพเพศชาย เลยไม่รู้จักหมอหรือพยาบาลที่นี่
เขาใส่กางเกงไม่สะดวกจึงดึงขอบกางเกงยางยืดเอาไว้เดินไปชั้นแผนกสูติ-นรีเวช ระหว่างทางกางเกงเสียดสีกับบาดแผลเป็นพักๆ มันเจ็บจนเขาน้ำตาไหลไม่หยุด พอมาถึงชั้นที่หมายแล้วเขาก็ถามพี่สาวตรงเคาน์เตอร์ทั้งน้ำตาคลอเบ้าว่าแม่อยู่ที่ไหน
“อ้าว นี่เสี่ยวข่าเหรอ” พยาบาลสาวที่เพิ่งจบจากโรงเรียนพยาบาลชะโงกศีรษะออกมาดู ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มตาหยี “ตอนนี้แม่หนูมีเคสผ่าตัด ต้องทำโอที…เอ๊ะ หนูเพิ่งไปผ่าตัดตรงนั้นมาหรือเปล่า”
หน้าเซวียโย่วข่าร้อนขึ้นมา
“เจ็บมากใช่ไหม มานั่งพักก่อนสิ อย่ายืนนานๆ แบบนี้เลย”
“หนูไม่เจ็บ!” เขาส่ายหน้าอย่างดื้อดึง ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป แต่เพราะก้าวขายาวเกินไป มันเลยดึงรั้งถ้วยกระดาษ ทำเอาเขาเจ็บจนแทบตายตรงนั้น…
สิบนาทีต่อมาเซวียโย่วข่าก็ยอมเปลี่ยนมาใส่กระโปรงด้วยความหดหู่ เด็กหนุ่มนั่งรอแม่อยู่บนม้านั่งยาวนอกห้องผ่าตัด เขาไม่กล้าหุบขา ขาเล็กๆ ทั้งสองข้างแยกออกจากกัน เซวียโย่วข่าก้มหน้ามองรองเท้าผ้าใบที่สกปรกนิดๆ อย่างซังกะตาย กลัวคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะเห็นตัวเองเข้า
ประสบการณ์การใส่กระโปรงไม่เหมือนกับที่จินตนาการเอาไว้เลย ขาทั้งสองข้างเย็นวาบ แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกสบาย ทว่าด้านล่างที่ไม่มีอะไรเลยทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย เขาจึงเอามือกุมชายกระโปรงไว้
กระโปรงตัวนี้เป็นกระโปรงที่ฟางหลี่ฉิง ลูกพี่ลูกน้องของเขาไม่ใส่แล้ว
เหอเสี่ยวโหยววางแผนให้ลูกชายผ่าตัดทันทีที่ปิดเทอมจึงไปขอยืมกระโปรงที่ไม่ใส่แล้วของลูกพี่ลูกน้องเซวียโย่วข่ามาสองตัว แถมยังบอกเขาว่า ‘แต่ก่อนลูกพี่ลูกน้องเจิ้งซือฉีกับใครต่อใครก็ใส่กระโปรงหลังผ่าตัดนี้ทั้งนั้น พวกเขาไม่เห็นจะอายเลย ไม่เชื่อลูกลองไปถามพวกเขาดูสิ’
เซวียโย่วข่าไม่เชื่อและต่อต้านสุดๆ เขาไม่อยากผ่าตัดเลย แต่สุดท้ายก็ถูกหลอกล่อให้ยอมทำ เพราะแม่บอกว่าไม่เจ็บ แถมพ่อยังบอกอีกว่าทำแล้วถึงจะเรียกว่าเป็นลูกผู้ชาย เขาเลยเชื่อฟัง
ใครจะไปรู้ว่ามันจะเจ็บขนาดนี้ แค่เข็มนั้นแทงลงมาก็เจ็บจนวิญญาณหลุดลอยแตกซ่าน
“ไอ้หยา นี่มันเสี่ยวข่าไม่ใช่เหรอ ฮ่าๆๆ แต่งตัวซะสวยเชียว!”
“เพิ่งไปผ่าตัดที่แผนกสุขภาพเพศชายมาเหรอ ฮ่าๆๆๆ”
“ฮ่าๆๆ เจ้าหนูใส่กระโปรงแล้วสวยมากเลยนะ หน้าตาเหมือนแม่เป๊ะเลย!”
เหอเสี่ยวโหยวหน้าตาสะสวยมาก เธอเป็นสาวสวยประจำโรงพยาบาลประจำอำเภอ เซวียโย่วข่าลูกชายของเธอก็หน้าตาดีมาตั้งแต่เด็ก คิ้วเข้มตาโต ผมดำยาวระดับใบหู ดวงตาเหมือนอำพันแวววาวกระจ่างใส เครื่องหน้าเนียนขาวละมุนเหมือนเด็กผู้หญิง
หมอพยาบาลที่เดินผ่านล้วนรู้จักเขา เด็กคนนี้ไม่กลัวคนแปลกหน้า ตอนยังเล็กก็มานั่งรอแม่ที่โรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ เจอใครก็ยิ้มให้หมด ชวนให้เอ็นดู ไม่ค่อยเห็นเขาร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำไปหมดแบบนี้
ถึงอย่างไรเซวียโย่วข่าก็ยังเป็นเด็ก เวลาผู้ใหญ่เดินผ่านแล้วเห็นเขาใส่กระโปรงแบบนี้ก็อดที่จะพูดแซวไม่ได้
แต่เซวียโย่วข่ากลับรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตัวเองกำลังถูกเหยียบย่ำ ยิ่งฟังยิ่งไม่กล้าเงยหน้า ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาไม่ได้อยากผ่าตัด แต่ถูกพ่อแม่หลอกให้ทำ
ตั้งแต่โตมาจนตัวเท่านี้เขายังไม่เคยรู้สึกอับอายขนาดนี้มาก่อน จิตใจที่ยังเยาว์วัยของเซวียโย่วข่าโดนโจมตีมากกว่าปกติ ไฟตรงทางเดินโรงพยาบาลกะพริบติดๆ ดับๆ กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่คุ้นเคยกลายเป็นกลิ่นฉุนจมูก เมื่อยาชาค่อยๆ หมดฤทธิ์ ความเจ็บปวดก็เพิ่มมากขึ้นทุกทีและลุกลามไปถึงแขนขากับสมอง ผู้ใหญ่ทุกคนที่รู้จักเขาก็เอาแต่หยอกล้อเขา
ไม่รอให้แม่ผ่าตัดเสร็จเซวียโย่วข่าก็ทนไม่ไหวจนต้องหนีออกไป
ผู้คนในโรงพยาบาลเดินกันขวักไขว่ เขาลงลิฟต์แล้ววิ่งออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
บ้านของเขาอยู่ไกลพอสมควร ตอนเขาเพิ่งเข้าเรียนประถม ปู่ต้องขายต้นไม้ไปหลายต้นกว่าจะซื้อห้องชุดสำหรับหนึ่งครอบครัวที่มีสมาชิกสามคนได้ โดยห้องชุดที่ว่านี้แบ่งออกเป็นสองห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการศึกษาของเขา
บ้านของลูกพี่ลูกน้องเขาอยู่ไม่ไกลนัก เหอเสี่ยวโหยวกับพ่อของเซวียโย่วข่าต่างก็ยุ่งด้วยกันทั้งคู่ แม้แต่การไปรับส่งเขาที่โรงเรียนก็ยังไม่มีเวลาหรือบางครั้งก็เลยเวลา ดังนั้นแล้วตอนเรียนหนังสือ พออาหญิงขับรถมารับลูกพี่ลูกน้องก็จะรับเขากลับไปด้วย โดยเซวียโย่วข่ามักจะกินข้าวเย็นที่บ้านของลูกพี่ลูกน้องหรือบางครั้งก็ค้างคืน
เซวียโย่วข่าอายุแค่สิบเอ็ดปีแต่ถือว่ารู้เรื่องอยู่พอสมควร เขารู้ว่าตัวเองต้องขึ้นรถโดยสารสาธารณะ แต่ตอนนี้ตัวเขาโตเกินไปแล้ว จะหน้าด้านขึ้นรถฟรีก็คงไม่ได้
เขาเดินไปถึงป้ายรถโดยสารสาธารณะอย่างเชื่องช้า นิ้วมือแตะเลื่อมที่ปักอยู่บนกระโปรงของลูกพี่ลูกน้อง กระโปรงตัวนี้เป็นสีขาว มีลายดอกไม้สีน้ำเงินเล็กๆ ไม่มีช่องกระเป๋า
เขาไม่มีทั้งเงินและบัตร
พอหันกลับไปมองก็เห็นว่าโรงพยาบาลนั้นอยู่ไกลแสนไกล เซวียโย่วข่าเม้มปาก น้ำตาคลอหน่วย การที่เขาเดินมาจนถึงตรงนี้ ความจริงแล้วมันเหนื่อยมาก ที่แท้การเป็นผู้ชายก็เป็นเรื่องที่ลำบากมากถึงขนาดนี้ เขานั่งกอดแขนตัวเองอยู่บนม้านั่งตรงป้ายรถโดยสารสาธารณะพลางเตะขั้นบันไดริมถนนไปทีหนึ่งด้วยความโกรธ แต่กลับเจ็บจนใบหน้าบิดเบี้ยว ก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลลงมาอีกครั้ง
ชิ่งโจวเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของกุ้ยโจว ส่วนอำเภอซานหลิงนั้นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองชิ่งโจว มีภูเขางดงามแม่น้ำใสกระจ่าง เป็นบ้านเกิดของยาย
“เฉิงอวี้ ดูสิ โรงพยาบาลนี้เมื่อก่อนคุณทวดของหลานเป็นคนก่อตั้งเลยนะ”
พระอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะ รถของลุงเว่ยขับผ่านย่านเมืองเก่าไปช้าๆ เขาอธิบายรายละเอียดทุกอย่างของเมืองเก่าแห่งนี้ให้คุณชายใหญ่ที่มาอำเภอซานหลิงเป็นครั้งแรกฟัง
“และแม่น้ำสายนี้เรียกว่าแม่น้ำหลิง อำเภอนี้ตั้งชื่อตามแม่น้ำสายนี้แหละ มันไหลลงใต้เรื่อยๆ จนถึงทะเล หลานเห็นพ่อค้าแม่ค้าขายลิ้นจี่เต็มสองฝั่งถนนไหม ที่ซานหลิงมีลิ้นจี่เยอะมาก ชาวสวนมากมายเลี้ยงชีพจากสิ่งนี้ ข้างบ้านคุณตาของหลานก็มีสวนลิ้นจี่นะ”
รถแล่นข้ามสะพานช้าๆ ลุงเว่ยเห็นเขาไม่พูดจาก็ชินแล้ว คุณชายใหญ่เฉิงคนนี้นิสัยคล้ายแม่ ค่อนข้างเงียบขรึมและเย็นชา ทว่าใบหน้ากลับรับเอาจุดเด่นมาจากทั้งพ่อและแม่ แม้หน้าตาจะยังดูใสซื่ออยู่มาก แต่กลับมีคิ้วรูปกระบี่และมีนัยน์ตาดุจดวงดาว นับว่าหล่อเหลาเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าเขาจะยังอายุไม่ถึงสิบห้าปี แต่กลับใช้ชีวิตราวกับเข้าใจทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย ตลอดทางที่ผ่านมาลุงเว่ยแทบไม่เห็นเขายิ้มเลย ตอนนี้เขาจึงพูดว่า “เสี่ยวอวี้ เห็นเป็ดในแม่น้ำนั่นไหม มันกินแต่ปลาธรรมชาติล้วนๆ เลยนะ เมื่อสองสามปีก่อนคนแถวนี้ยังชอบจับเป็ดในแม่น้ำอยู่เลย แต่ตอนนี้มีนโยบายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมออกมา รัฐบาลไม่ให้จับแล้วล่ะ…”
ขณะที่ลุงเว่ยเล่าเรื่องราวของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ เฉิงอวี้ก็ยังคงเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างรถเงียบๆ
ฝั่งนี้อยู่ติดแม่น้ำ เงียบสงบกว่าย่านเมืองเก่า บ้านของคุณตาก็สร้างอยู่ต้นแม่น้ำ เมืองที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ดูเก่าแก่และมีความดั้งเดิม หญ้าทุกใบต้นไม้ทุกต้น อิฐหินทุกก้อนล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของธรรมชาติ
ภาพวิวทิวทัศน์เคลื่อนผ่านตาเขาไปช้าๆ แต่ลุงเว่ยก็เห็นว่าเขายังไม่พูดอะไร
ทันใดนั้นก็เห็นชาวสวนคนหนึ่งตั้งแผงขายลิ้นจี่อยู่ริมถนนภายใต้แดดจัดจึงพูดขึ้น “เดี๋ยวลุงลงไปซื้อลิ้นจี่ให้หลานชิมสดๆ นะ”
ตรงนี้เลยตัวอำเภอมาแล้วเลยมีรถน้อย หลังจากที่ลุงเว่ยจอดรถข้างทาง เฉิงอวี้ก็พยักหน้าพลางส่งเสียงตอบรับ
ขณะที่ลุงเว่ยลงไปซื้อลิ้นจี่ เฉิงอวี้ก็หันไปมองนอกหน้าต่างอีกฝั่ง แล้วสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ริมทาง
เด็กคนนั้นใส่กระโปรงสีขาวลายดอกไม้ ผมสั้น เดินด้วยท่าทางแปลกๆ เหมือนเจ็บขา เดินไปพลางร้องไห้ไปพลาง พอเดินมาถึงกลางสะพานก็หยุดยืน มองแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวอยู่ใต้สะพานด้วยแววตาสับสน
ลุงเว่ยถือถุงลิ้นจี่กะจะกลับขึ้นรถ พอเงยหน้าก็สังเกตเห็นเด็กผู้หญิงผมสั้นบนสะพานฝั่งตรงข้ามเช่นกัน
“หลงทางหรือเปล่านะ” ลุงเว่ยส่งลิ้นจี่ให้เฉิงอวี้ผ่านหน้าต่างรถและคอยสังเกตเด็กผู้หญิงคนนั้นด้วยสีหน้าเป็นกังวลอยู่หลายวินาที “ไม่เห็นผู้ปกครองเลย ร้องไห้น่าสงสารมาก”
เฉิงอวี้มองจากไกลๆ แวบหนึ่งแล้วละสายตากลับมา ก่อนจะใช้ปลายนิ้วขาวผ่องปอกลิ้นจี่สีแดงสดลูกหนึ่ง ทำเป็นเหมือนไม่สนใจ
ลุงเว่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เอาอย่างนี้นะ เสี่ยวอวี้ รอลุงแป๊บนึง เดี๋ยวลุงไปถามหน่อย”
เฉิงอวี้เริ่มรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ แต่ก็ไม่โทษลุงเว่ย เพราะเด็กคนนั้นดูเหมือนจะคิดสั้นจริงๆ
ลุงเว่ยข้ามถนนไปตรงหน้าเด็กคนนั้น ก่อนจะถามเธอด้วยรอยยิ้ม
“แม่หนู พ่อแม่อยู่ไหนล่ะ”
“พ่อแม่หนู…หนูไม่ใช่เด็กผู้หญิงนะ!” เซวียโย่วข่าเบิกตากว้าง มองคุณลุงที่จู่ๆ ก็เข้ามาถามด้วยความระแวดระวัง “พ่อหนูเป็นตำรวจนะ!”
นี่เป็นคำที่เหอเสี่ยวโหยวสอนเขาไว้
เหอเสี่ยวโหยวรู้สึกว่าลูกชายของตัวเองชอบยิ้ม เขายิ้มให้ทุกคน แถมยังชอบเรียกคนอื่นด้วย ปากก็หวานมาก นี่เป็นนิสัยที่ดี แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็กลัวว่าเขาจะประมาทมากเกินไปจนถูกคนอื่นลักพาตัวไปขาย จึงได้กรอกประโยค ‘อย่าคุยกับคนแปลกหน้า อย่ากินของจากคนแปลกหน้าด้วย’ ใส่หัวเขาตั้งแต่เล็ก
ลุงเว่ยเห็นเขาน่ารักก็ไม่โกรธ เจ้าตัวยิ้ม “ลุงไม่ใช่คนไม่ดี อย่ากลัวเลย ลุงอยู่ตรงโน้นเอง” จากนั้นก็ชี้ไปยังบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ตัวบ้านอยู่ไม่ห่างจากต้นน้ำ พอมองจากไกลๆ ก็เห็นแต่หลังคาแหลมๆ
เซวียโย่วข่าเบิกตากว้าง เขารู้จักบ้านหลังนั้นที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ ตรงข้ามสวนผลไม้เล็กๆ ของปู่ แต่ไม่เคยเห็นเจ้าของบ้านมาก่อน
เมื่อก่อนเซวียโย่วข่าเคยว่ายน้ำข้ามไปฝั่งโน้นกับเพื่อนแล้วมองผ่านรั้วเข้าไปด้วยความสงสัย เพราะบ้านนั้นตกแต่งสวยมาก นอกประตูมีโคมไฟหินประณีตสองดวงตั้งอยู่ หลังแนวร่มไม้เขียวชอุ่มหนาแน่นสองแถวมีสวนเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แถมยังมีดอกวิสทีเรียยื่นออกมาจากขอบกำแพงด้วย
ลุงเว่ยก้มตัวลงให้ระดับสายตาเท่ากับเด็กสาว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนปลอบโยนเด็กเล็ก “ลุงขับรถผ่านมาแล้วเห็นหนูร้องไห้ เลยนึกถึงหลานสาวของลุง กลัวว่าหนูจะหลงทาง บ้านหนูอยู่ไหนล่ะ ผู้ใหญ่ไปไหน ทำไมไม่ดูแลหนู”
“บ้านหนูอยู่…ข้างๆ สถานีตำรวจ” เซวียโย่วข่าเดินไม่ไหวแล้ว เขาเงยหน้ามองรถสีดำที่จอดอยู่อีกฝั่ง คุณลุงตรงหน้าก็ดูไม่เหมือนคนร้าย แถมยังคล้ายปู่อีกด้วย เขาจึงเริ่มลดความระแวดระวังลง แต่ก็ยังไม่ลืมคำสอนของแม่
ลุงเว่ยเอ่ย “จำเบอร์โทรของพ่อแม่ได้ไหม ลุงให้ยืมโทรศัพท์โทรให้พ่อแม่มารับก็ได้ ลุงดูแล้วเหมือนหนูเจ็บขา จะเดินกลับได้ยังไง”
“หนู…” เซวียโย่วข่าอยากจะบอกว่าตัวเองไม่ได้เจ็บขาแต่เจ็บตรงนั้นต่างหาก แต่ก็พูดไม่ออกเพราะมันน่าอายมาก
เขาไม่อยากเดินกลับบ้าน แต่เวลานี้แม่อยู่ในห้องผ่าตัด พ่อก็ไม่อยู่บ้าน อาเขยไปประชุมที่ต่างเมือง อาก็น่าจะกำลังเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ แล้วแบบนี้ใครจะมารับเขาได้
เขายืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมองคุณลุงใจดีตรงหน้า ภายในใจกำลังต่อสู้กับคำสั่งของแม่ เขาไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว คงไม่ถูกลักพาตัวไปง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก แต่ตอนนี้เขาบาดเจ็บ ถ้าเจอเรื่องยุ่งยากขึ้นมาคงจะหนีไม่ได้ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเซวียโย่วข่าก็คิดหาวิธีประนีประนอมขึ้นมาได้ จึงพูดอย่างเอียงอายว่า “ลุง หนูขอยืมหนึ่งหยวนได้ไหม ข้างหน้าเป็นป้ายรถเมล์ หนูกลับบ้านเองได้ เดี๋ยววันหลังหนูเอาเงินมาคืนลุงนะ…ลุงไม่ต้องห่วง หนูเคยไปเล่นแถวบ้านลุง เดี๋ยววันหลังจะเอาเงินมาคืนแน่นอน!”
“ฮ่าๆๆ” ลุงเว่ยหัวเราะแล้วหยิบเหรียญหนึ่งหยวนออกมา “หนึ่งหยวนพอขึ้นรถไหม ป้ายรถเมล์อยู่ตรงนั้นใช่ไหม แดดร้อนขนาดนี้ลุงขับรถไปส่งดีกว่า บนรถมีแอร์นะ”
“พอๆ ขอบคุณฮะลุง”
ประตูรถเปิดออก ข้างในเย็นสบายมาก เซวียโย่วข่ารีบก้าวขาเล็กๆ ขึ้นรถไป ทันใดนั้นถึงได้เห็นว่ายังมีคนอีกคนอยู่บนรถด้วย อีกฝ่ายเป็นพี่ชายคนหนึ่ง ตอนเซวียโย่วข่าเงยหน้ามองก็สบตากับอีกฝ่ายเข้าพอดี
เฉิงอวี้กำลังเช็ดมือ สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเหมือนเช่นเคย ไฝน้ำตาบนแก้มยิ่งขับให้ออร่าเยือกเย็นของเขาโดดเด่นยิ่งขึ้น
เฉิงอวี้มองเด็กผู้หญิงตัวน้อยคนนั้นแวบหนึ่ง
เซวียโย่วข่าไม่กลัวคนแปลกหน้า แต่ก็ยังมีความขลาดกลัวอยู่บ้าง ดวงตาโตที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำเลื่อนสายตามองไปทางอื่นอย่างกระสับกระส่าย
ในรถอบอวลด้วยกลิ่นหอมของลิ้นจี่สด
ลุงเว่ยขึ้นรถพลางอธิบาย “เสี่ยวอวี้ แม่หนูคนนี้หกล้มตอนจะกลับบ้าน เดี๋ยวลุงจะพาเขาไปส่งที่ป้ายรถเมล์นะ”
“หนูไม่ใช่เด็กผู้หญิงสักหน่อย” เซวียโย่วข่าแก้ต่างอย่างไม่พอใจ เขาอยากบอกว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ากระโปรงที่ตัวเองสวมอยู่เป็นมาอย่างไร เพราะถ้าจะพูดถึงกระโปรงก็ต้องพูดถึงเรื่องผ่าตัด ซึ่งถ้าจะให้อธิบายว่าร้องไห้เพราะเจ็บน้องชายก็คงจะน่าขายหน้าเกินไป
ดังนั้นแล้วเขาเลยไม่สะดวกใจจะพูดอะไร
“ฮ่าๆๆ” ลุงเว่ยรู้สึกขำ เขาเห็นว่าแม่หนูน้อยคนนี้ยังเด็กแต่พูดจาฉะฉาน มีเหตุผล แตกต่างจากเด็กทั่วไป เลยถามว่า “งั้นถ้าหนูไม่ใช่เด็กผู้หญิง แล้วเป็นผู้ใหญ่เหรอ อายุเท่าไรล่ะ”
“หนู…อีกเดี๋ยวก็จะสิบห้าแล้ว!” น้ำเสียงของเขายังมีความเป็นเด็ก โดยบอกว่าตัวเองอายุมากกว่าความจริงถึงสี่ปีอย่างเสียมารยาท แม่เคยบอกไว้ว่าเด็กเล็กมักตกเป็นเป้าหมายของคนร้ายได้ง่าย ถ้าอายุสิบห้าแล้วพวกโจรจะต้องคิดให้รอบก่อนว่าจะลักพาตัวเขาดีหรือเปล่า
ลุงเว่ยดูแปลกใจเล็กน้อย “หนูอายุสิบห้าแล้วเหรอ”
“จะ…จะครบแล้ว!” เขาดูไม่ค่อยมั่นใจนัก ขณะกลอกตาไปมา
ลุงเว่ยหัวเราะ ไม่คิดจะจับผิด “ลุงมีลิ้นจี่นะ ชอบกินไหม”
“ชอบ…” เซวียโย่วข่าเอาทิชชูเช็ดหางตา แต่พอเห็นถุงลิ้นจี่วางอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มคนนั้นก็รีบส่ายศีรษะแล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะบอกว่าไม่เอาแล้ว
“ที่บ้านปู่ก็ปลูกลิ้นจี่ ช่วงนี้กินทั้งวัน กินไม่หมดก็เสียดายแย่แล้ว”
“ที่บ้านก็ปลูกลิ้นจี่เหรอ” ลุงเว่ยหันไปส่งสัญญาณให้เฉิงอวี้แบ่งลิ้นจี่ให้เด็กสาว
เฉิงอวี้เด็ดลิ้นจี่ลูกหนึ่งแล้วยื่นให้โดยไม่มอง เซวียโย่วข่าแอบเงยหน้ามองอีกฝ่ายอยู่หลายวินาที จากนั้นก็ยื่นมือออกไปรับพร้อมกับบอกขอบคุณพี่ชาย
เฉิงอวี้ไม่พูดอะไร เพียงแค่วางถุงลิ้นจี่ไว้ตรงที่พักแขนกลางเบาะหลัง ความหมายคือถ้าอยากกินก็หยิบเอาเอง ทว่าสีหน้าก็ยังคงเย็นชาอย่างเคย
แต่เซวียโย่วข่ากลับไม่ได้แตะต้อง เพราะเขามีเจ้านี่ให้กินแบบไม่ขาดแคลน จากนั้นก็พูดอีกว่า “ลุง พวกลุงมาเก็บลิ้นจี่ที่บ้านหนูก็ได้นะ ถูกกว่าซื้อข้างทางอีกนะ”
“ได้เลย บ้านหนูอยู่ที่ไหนล่ะ”
พอถามมาถึงคำถามนี้เซวียโย่วข่าก็ขดตัวทันที “ขะ…ข้างๆ สถานีตำรวจ…”
เด็กหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งคุยกันอย่างเป็นมิตร เฉิงอวี้เผลอหันไปมองโดยไม่ตั้งใจ จากนั้นก็ก้มหน้ามองเด็กผู้หญิงคนนี้ ขอบตาของเธอแดงเรื่อ คงเพราะเมื่อครู่ร้องไห้มาอย่างหนัก ตอนนี้ดวงตายังมีม่านน้ำตาคลออยู่ ขนตาที่ราวกับพัดน้อยๆ หลุบต่ำ จมูกเล็กๆ นั่นก็แดงแจ๋ ใบหน้าเนียนขาวเล็กจ้อย แลดูนุ่มนิ่มและกลมแบบทารก ส่วนสูงคงไม่ถึงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร และคงเป็นเพราะขาเจ็บ ท่านั่งจึงไม่เรียบร้อยนัก
รถแล่นมาถึงป้ายรถโดยสารประจำทางในเวลาไม่นาน ลุงเว่ยยิ้มตาหยีพลางถามว่า “บ้านอยู่ไกลไหม ให้ลุงไปส่งไหม”
“ขอบคุณนะลุง แต่ไม่เป็นไร” พอเห็นป้ายรถโดยสารประจำทางเซวียโย่วข่าก็โล่งใจเล็กน้อย ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ใช่โจรลักพาตัวเด็ก เขาเปิดประตูลงจากรถทันที ขณะเดียวกันก็พูดกับคุณลุงอย่างสุภาพและน่ารักว่า “ไว้เจอกันใหม่นะลุง วันหลังหนูจะไปบ้านลุงแล้วเอาเงินไปคืนให้ด้วยตัวเองแน่นอน”
“ไม่เป็นไร ครั้งหน้าออกไปไหนก็ระวังหน่อยนะ อย่าหกล้มอีกล่ะ”
เซวียโย่วข่าพยักหน้าแล้วปิดประตูรถ แต่เพิ่งก้าวไปได้แค่ก้าวเดียวก็ถูกแรงต้านรั้งตัวกลับไป ถ้วยกระดาษที่ห้อยตรงระหว่างขาแกว่งไปมา เขาหน้าซีด เจ็บจนร้องไห้ออกมาทันที
“กระโปรงติดอยู่” เมื่อเฉิงอวี้เปิดประตูรถ ชายกระโปรงลายดอกไม้ที่ติดกับขอบประตูรถก็หลุดออก เซวียโย่วข่าเงยหน้ามองเขาพลางกดกระโปรงเอาไว้ทั้งน้ำตาคลอเบ้า พึมพำเบาๆ ว่า ‘ขอบคุณ’
สีหน้าเย็นชาของเด็กหนุ่มอ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่าไม่เป็นไร
รถเก๋งสีดำแล่นสวนกับรถโดยสารประจำทางไป
“เด็กผู้หญิงคนนี้ดูสดใสมีน้ำมีนวลจริงๆ ซานหลิงนี่เลี้ยงคนดีนะ มีสาวสวยเยอะเลย” ลุงเว่ยเอ่ยชื่อดาราสาวคนหนึ่งออกมาส่งๆ “เธอก็เป็นคนซานหลิงนะ”
เฉิงอวี้ฟังแบบไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ก็อดนึกถึงภาพเมื่อครู่ไม่ได้ ตอนที่เด็กคนนั้นลงรถไม่ทันระวัง เลยเผยให้เห็นขาขาวเนียนช่วงหนึ่ง ดูนวลเนียนเหมือนลิ้นจี่ที่เพิ่งปอกเปลือกในมือเลย
เลี้ยงคนดีจริงๆ
Comments



