ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 1-3 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 1-3 #นิยายวาย

บทที่ 2

 

“เจ้าลูกคนนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน! บอกให้รอแม่อยู่ที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ! ทำไมถึงหนีออกมาคนเดียวแบบนี้!” เหอเสี่ยวโหยวจับไหล่ลูกชายแน่นแล้วโน้มตัวลงมาสบตากับเขา

เซวียโย่วข่าเห็นอาเดินเข้าประตูมาจากด้านหลัง หน้าก็แดงไปทั้งหมด เขายังไม่ได้ถอดกระโปรงบนตัวเลย

เขาอธิบาย “หนู…หนูหิวก็เลยเดินออกมาเอง”

อาพูดอยู่ข้างๆ ว่า “แล้วทำไมไม่โทรหาอาล่ะ อาไปรับเธอได้ เพิ่งผ่าตัดน้องชายมา…ออกไปเดินเพ่นพ่านคนเดียวได้ยังไง!”

คำว่า ‘น้องชาย’ ที่ผู้ใหญ่พูดออกมาทำให้เซวียโย่วข่าซึ่งยังเป็นเด็กรู้สึกอายยิ่งกว่าเดิม

“หนูขอโทษ หนูฉีดยาชา ยาชา…มันชาไปหมดเลยลืมไป ครั้งหน้าหนูจะจำไว้” เขารู้ดีว่าอาไม่ค่อยมีความอดทนเวลาเล่นไพ่นกกระจอก ยิ่งไปกว่านั้นตอนเซวียโย่วข่าออกมาจากโรงพยาบาลก็เป็นการหนีเตลิดออกมา

“รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม ให้แม่ดูหน่อย” เหอเสี่ยวโหยวขมวดคิ้วแล้วจับเขาหมุนตัวรอบหนึ่ง ก่อนทำท่าจะเปิดกระโปรงเขา

“ไม่มี! ไม่เป็นอะไร!” เขาตะโกนพร้อมดิ้นรน “แม่ หนูจะกลับห้องแล้ว!”

เซวียโย่วข่าวิ่งไม่ไหวแล้ว เขาเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในห้องเหมือนปู พอปิดประตูก็ได้ยินเสียงผู้ใหญ่สองคนคุยกัน

อาพูดว่า “เจ้าเด็กหมี่หมี่นี่รู้ความเกินไป อย่าดุเขาเลย เห็นไหม แม้แต่ข้าวก็ยังหุงไว้รอเธอกลับมาด้วยซ้ำ”

เหอเสี่ยวโหยวเช็ดเหงื่อที่ผุดซึมเต็มหน้าผาก เธอถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “บางครั้งเขาก็รู้ความ แต่บางครั้งก็ทำให้เป็นห่วงจริงๆ ฉันไปทำกับข้าวก่อนนะ บอกให้ฉิงฉิงพาเกาเกามากินข้าวด้วยกันเถอะ หมี่หมี่เป็นแบบนี้คงเดินไม่ไหว”

เซวียโย่วข่าถอดกระโปรง ดึงผ้าม่านปิด ก่อนจะเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะ แล้วมองบาดแผลของตัวเองด้วยความปวดใจ

มันจะใหญ่ขึ้นไหมนะ

เขานั่งอ้าขาอยู่บนเตียงพลางก้มหน้าจ้องมองน้องชายที่มีถ้วยกระดาษครอบอยู่ ก่อนจะถอนหายใจเหมือนผู้ใหญ่

การเป็นผู้ชายนี่มันลำบากจริงๆ

ขณะที่เขากำลังสะลึมสะลืออยากจะนอนก็ได้ยินเสียงปิดประตู เซวียโย่วข่าถอดหูฟัง คิดว่าพ่อกลับมาแล้ว จากนั้นก็จำได้ว่าเป็นเสียงของฟางหลี่ฉิง ลูกพี่ลูกน้องของเขา

“ตัวที่ให้เขาใส่ครั้งก่อนพอดีไหมคะ หนูเอามาเพิ่มอีกหลายตัวเลย ป้าให้หมี่หมี่ลองดูสิ…เขากับหนูสูงพอๆ กัน น่าจะใส่ได้”

“พอดีจ้ะ ตัวที่เอามาจากเธอวันนั้นวันนี้เขาได้ใส่แล้ว พอดีตัวเลย วันนี้เพื่อนร่วมงานที่แผนกป้าเห็นหมี่หมี่ก็บอกว่าสวยเหมือนเด็กผู้หญิงเลย”

อาพูดขึ้น “นั่นสิ หมี่หมี่ได้ยีนดีจากพวกเธอสองคน จมูกเหมือนเธอ ตาเหมือนพี่ชายฉัน…”

เสียงเบาลงเรื่อยๆ จนฟังไม่ค่อยชัด

กระทั่งมีเสียงฝีเท้ามาหยุดอยู่หน้าห้อง พอด้ามจับประตูส่งเสียงแกร๊ก เซวียโย่วข่าก็กระชากผ้าห่มมาคลุมตัวทันที ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ

“แม่! จะเข้ามาก็เคาะประตูก่อนไม่ได้เหรอ!”

“แค่เรียกไปกินข้าวเฉยๆ ยังไม่ได้เข้าไปเลย” เหอเสี่ยวโหยวยืนอยู่ข้างนอก เปิดประตูแง้มไว้ “รีบลุกได้แล้ว พี่สาวลูกมากันหมดแล้วนะ”

“รีบปิดประตูเลย หนูจะเปลี่ยนเสื้อผ้า!” ปกติเขาไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อน แต่วันนี้เขาทั้งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งรู้สึกว่าถูกหลอกจึงอารมณ์ฉุนเฉียวผิดปกติ เหอเสี่ยวโหยวรู้ว่าเขาไม่สบายใจก็ยอมอดกลั้นอย่างจนใจ

“ลูกเปลี่ยนมาใส่อันนี้สิ” เหอเสี่ยวโหยวยัดถุงช็อปปิ้งเข้าไปในประตูที่แง้มไว้ “ฉิงฉิงพี่สาวลูกตั้งใจเอามาให้เลยนะ”

พอเซวียโย่วข่าเห็นว่าข้างในเป็นกระโปรงสองสามตัวก็ใจสลาย “ไม่เอา! ให้เธอเอากลับไปเลย!”

“พี่ฉิงฉิงหวังดีกับลูกนะ กระโปรงพวกนี้เธอแทบไม่เคยใส่เลย” เสียงพูดจบลงพร้อมกับเสียงปิดประตู เซวียโย่วข่าร้องอ๊ากออกมาอยู่หลายครั้งจนเหอเสี่ยวโหยวเร่งซ้ำอีกรอบเขาถึงค่อยๆ ลุกไปเปิดไฟแล้วรื้อตู้เสื้อผ้าเล็กๆ ของตัวเอง ก่อนจะเอากางเกงขาสั้นที่หลวมที่สุดมาสวม

ตอนนี้จะว่าแต่งตัวตามปกติก็ปกติ แต่มันเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหนมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ เขาแทบไม่กล้าขยับตัวมั่วซั่วเวลานั่ง พอขยับเมื่อไรก็เจ็บเมื่อนั้น ความรู้สึกเหมือนถูกห้าม้าแยกร่าง[1]* มีแต่ผู้ชายที่แท้จริงซึ่งเคยผ่านมันมาแล้วถึงจะเข้าใจ

 

วันหยุดสุดสัปดาห์ช่วงปลายเดือนมิถุนายนเป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง[2]** ตามปฏิทินจันทรคติ เหอเสี่ยวโหยวแลกเวรกับเพื่อนร่วมงาน ตอนเช้าครอบครัวของอาเขยขับรถมารับพวกเขากลับบ้านเก่าเพื่อไปห่อบ๊ะจ่าง

“หมี่หมี่ เดินได้หรือยัง” อาย่ำรองเท้าส้นหนาเข้ามาในบ้านแล้วเอ่ยถาม “ยังเจ็บอยู่ไหม”

“ไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยฮะ” เซวียโย่วข่าเปลี่ยนกางเกงขาสั้นตัวหลวมออกมา เขาเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งเบาะหลัง ขณะเดียวกันเกาเกาลูกพี่ลูกน้องวัยห้าขวบที่นั่งกอดถังเคเอฟซีก็ชี้มาทางเขาพลางหัวเราะ

“พี่ไม่ใส่กระโปรงแล้วเหรอ!”

“นายต่างหากล่ะที่ใส่!” เซวียโย่วข่าถลึงตา รู้ว่าฟางหลี่ฉิงคงเป็นคนบอกแน่ๆ แต่เธอเหมือนจะไม่ได้อยู่ในรถเลยไม่ได้พูดอะไร พอเขานั่งลงไปแล้วก็รู้สึกได้ทันทีว่าเนื้อผ้าตรงเป้ากางเกงเสียดสีกับแผล

เขาดึงกางเกงด้วยความรู้สึกไม่สบาย อาเขยที่นั่งอยู่ข้างหน้าบอกให้เกาเกาแบ่งปีกไก่ให้พี่ชาย เกาเกาจึงหยิบเฟรนช์ฟรายส์ชิ้นหนึ่งยื่นให้เซวียโย่วข่าอย่างไม่ค่อยเต็มใจ จากนั้นก็ไม่ได้สนใจเขาอีก

เซวียโย่วข่ารู้ว่าเด็กคนนี้ยังเล็กเลยหวงของกินมาก อีกอย่างเกาเกาเป็นขวัญใจของทุกคนในบ้าน ถึงเขาจะไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่คิดที่จะไปแย่งของกินกับอีกฝ่าย

อาเขยถามด้วยความห่วงใย “หมี่หมี่ ไปผ่าตัดมาเมื่อวันไหนเหรอ”

“ก็…ไม่กี่วันก่อนฮะ” เขาพูดตะกุกตะกัก รู้สึกเขินอายเล็กน้อย

อาเขยหัวเราะเสียงดัง “หมี่หมี่กลายเป็นหนุ่มแล้ว! ตอนนี้สูงเท่าไรแล้วเนี่ย”

“จะถึงร้อยเจ็ดสิบแล้ว” ที่จริงเขาสูงแค่หนึ่งร้อยหกสิบสามจุดห้าเซนติเมตร หากเทียบกับกลุ่มผู้ชายในห้องเรียนแล้ว รูปร่างของเขาไม่ได้ถือว่าสูง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเตี้ย

อาเขยตกใจ “โห โตไวขนาดนี้เลยเหรอ ดีๆ อีกไม่กี่ปีก็ขึ้น ม.ปลาย แล้ว เดี๋ยวก็จะสูงกว่าอาแล้ว!”

เหอเสี่ยวโหยวถือเสื้อผ้าใหม่สองสามตัว อาหารว่าง และโปรตีนสำหรับผู้สูงอายุขึ้นไปนั่งเบาะหลัง เซวียโย่วข่าจึงถูกเบียดให้นั่งตรงกลาง

อาเห็นลูกชายคนเล็กกอดถังเคเอฟซี ทำท่าทางปกป้องของกินก็เอ่ยถาม “เกาเกา แม่สอนลูกว่ายังไง ของตั้งเยอะแยะจะกินคนเดียวได้ยังไง แบ่งให้ป้าด้วย แล้วก็แบ่งให้พี่หมี่หมี่ด้วย เร็วเข้า”

เกาเกาทำท่าลังเล ดูไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไร

“อย่าดุเด็กเลย ฉันไม่ชอบกินของพวกนี้อยู่แล้ว หมี่หมี่ก็กินไม่ได้ ช่วงนี้เขากำลังพักฟื้น ต้องกินอาหารอ่อนๆ ห้ามกินของทอด”

เมื่อเหอเสี่ยวโหยวเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงฟางหลี่ฉิง อาเขยก็ถอนหายใจ “ต้องไปเรียนพิเศษน่ะ ไปไหนไม่ได้เลย อ้อ แล้วเซวียเทียนเลี่ยงล่ะ ยังไม่กลับมาเหรอ”

เขาถามถึงพ่อของเซวียโย่วข่า

“เทียนเลี่ยงยังอยู่ที่เป่ยไห่ น่าจะกลับมาทันตอนบ่าย ไม่ต้องรอเขาหรอก”

บ้านเก่าตั้งอยู่ต้นน้ำของแม่น้ำหลิง อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้ไกล ขับรถไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พอเข้าสู่ถนนเล็กแถบริมแม่น้ำ รถก็ขับช้าลง

ผู้ใหญ่ในรถคุยกันเรื่องการเรียน พูดถึงผลการเรียนที่ดีของฟางหลี่ฉิง คุยกันว่าใช้หนังสืออะไร เธอเรียนเขียนพู่กันจีนในช่วงสุดสัปดาห์ แถมยังเรียนคณิตศาสตร์โอลิมปิกด้วย จากนั้นก็แนะนำให้เหอเสี่ยวโหยวพาหมี่หมี่ไปสมัครเรียนคณิตศาสตร์โอลิมปิกด้วยกัน แต่เหอเสี่ยวโหยวกลับบอกว่าช่างเถอะ

“ตอนสอบเข้ามัธยมต้นเขาทำคะแนนวิชาคณิตได้แค่เก้าสิบคะแนน เพื่อนในห้องสอบได้เก้าสิบแปดกับเต็มร้อยทั้งนั้น เขาเรียนคณิตศาสตร์โอลิมปิกไม่ไหวหรอก”

เรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนพวกนี้ เซวียโย่วข่าเหมือนมีสายตัดสัญญาณอัตโนมัติอยู่เหนือศีรษะ เขาฟังเอ็มพีสามแบบไม่สนใจใครและไม่ร่วมสนทนากับพวกผู้ใหญ่ จนกระทั่งเกาเกาเอื้อมมือมาดึงหูฟังเขา

“พี่ฟังอะไรอยู่ ผมอยากฟังบ้าง” เกาเกาดึงหูฟังข้างหนึ่งออกมายัดใส่หูตัวเองโดยไม่อนุญาตให้เขาพูดอะไรทั้งสิ้น แต่ฟังได้แป๊บเดียวก็เบะปาก “เพลงอะไรเนี่ย ไม่เพราะเลย”

“ภาษาญี่ปุ่น นายฟังไม่รู้เรื่องหรอก” เซวียโย่วข่าดึงสายหูฟังคืน

“ผมไม่ได้อยากฟังเพลงภาษาญี่ปุ่นสักหน่อย!” เกาเกาทำหน้ารังเกียจแล้วแลบลิ้นใส่ “เอ็มพีสามกากๆ ของพี่เสียงก็แย่ ที่บ้านผมมีเครื่องเล่นเพลงโซนี่รุ่นใหม่ล่าสุดเลยนะ!”

เซวียโย่วข่าสูดหายใจเข้าลึก หลับตาลงข่มอารมณ์หงุดหงิดแล้วเร่งเสียงเอ็มพีสามให้ดังขึ้น

อาเขยเลี้ยวรถเข้าสู่ถนนลูกรังที่เล็กกว่าเดิม ขับต่อไปบนถนนเล็กๆ สายนี้อีกเจ็ดแปดนาทีก็ถึงประตูบ้านแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าถนนที่เพิ่งทำไปได้ไม่กี่วัน พอฝนตกลงมาเมื่อวานก็ทำให้เป็นหลุมเป็นบ่อ รถยนต์โคลงเคลงตลอด สีหน้าเซวียโย่วข่าที่นั่งอยู่ตรงกลางก็เปลี่ยนไปทันทีและร้องอื้อออกมาตามจังหวะที่รถกระแทกขึ้นลง

“หมี่หมี่เป็นอะไรไป โดนตรงนั้นเหรอ” อาเขยเบรกรถกะทันหัน ตัวของเซวียโย่วข่าจึงถลาไปข้างหน้าอย่างไม่อาจควบคุม หยดน้ำตาซึมออกมาจากหางตา

“มะ…ไม่ แค่เมารถนิดหน่อย” เขาจะกล้ายอมรับว่าเจ็บตรงนั้นจริงๆ ได้อย่างไร

อาเขยร้องไอ้หยาออกมา “จะลงไปอาเจียนไหม”

เซวียโย่วข่าเมารถนิดหน่อยจริงๆ เรื่องนี้ทั้งบ้านต่างก็รู้กันหมด

เขาจับกางเกงไว้และบอกว่าไม่เป็นไร อาเขยมองเขาผ่านกระจกมองหลัง “งั้นอาขับช้าลงหน่อยแล้วกัน”

ล้อรถค่อยๆ เคลื่อนไปบนถนนสายเล็กที่เต็มไปด้วยหินและโคลน แต่จู่ๆ ก็เหยียบอิฐก้อนหนึ่งเข้า เมื่อกางเกงรั้งเข้ากับแผล ความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปทั้งตัว

สีหน้าของเซวียโย่วข่าเปลี่ยนไปอีกครั้ง ใบหน้าเล็กๆ ขาวซีด “อา หนูอยากลงจากรถ”

“จะอาเจียนเหรอ”

“อื้อ หนูไม่อยากนั่งรถแล้ว หนูเดินกลับบ้านเองก็ได้”

“เดินไปตั้งสิบนาที หลานเดินไหวเหรอ”

“ไหวๆ”

เหอเสี่ยวโหยวจะลงจากรถมาเดินเป็นเพื่อนเขา แต่เซวียโย่วข่าก็ยืนกรานว่าเขาเดินคนเดียวได้

“เดี๋ยวจะค่อยๆ เดินเลาะแม่น้ำกลับบ้าน พวกแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” เขาเปิดประตูรถแล้วก้มหน้ากลั้นใจ

เจ็บชะมัด ฮือๆๆ

ห้ามร้องไห้นะ!

เซวียโย่วข่ากลั้นน้ำตาไว้แล้วมองส่งท้ายรถคันนั้นที่ขับห่างออกไปเรื่อยๆ

 

เสียงนกร้องนอกหน้าต่างปลุกเฉิงอวี้ให้ตื่นจากฝัน แสงแดดส่องลอดช่องว่างระหว่างใบไม้เป็นลายพร้อย โดยแสงนั้นส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาตกลงบนใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขา เฉิงอวี้ลืมตาขึ้นเพียงครึ่ง หรี่ตามองแสงและหมอกที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์

เขาลุกขึ้นจากเสื่อเย็น ชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเปิดออกเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจในระหว่างที่กำลังหลับฝัน เผยให้เห็นร่างกายขาวเนียนและแข็งแรงของเด็กหนุ่ม การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะพอดีทำให้แขนขาของเขาเรียวยาว ตั้งแต่ช่วงไหล่ก็มีแนวกล้ามเนื้อบางๆ ให้เห็นแล้ว

ใบอ้าย[3]* ที่ห้อยอยู่ตรงผนังห้องส่งกลิ่นหอมปนขมของสมุนไพรออกมาจางๆ

หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ลงมาข้างล่าง ตากำลังรดน้ำดอกไม้อยู่ในสวน นกแก้วริงเน็กในกรงเห็นเฉิงอวี้ก็ตีปีกพึ่บพับแล้วจามออกมา

“ฮัดชิ่ว!”

เสียงจามเหมือนกับเสียงตาไม่มีผิด

“ฮัดชิ่ว!”

ตาถือบัวรดน้ำพร้อมกับยืดตัวขึ้น “เสี่ยวอวี้ตื่นแล้วเหรอ บนเตาอุ่นบ๊ะจ่างไส้หมูรมควันไว้ให้แล้วนะ”

เขาวางบัวรดน้ำแล้วเดินเข้าไปในห้องครัวด้านซ้าย จากนั้นก็เปิดฝาหม้อแล้วหยิบบ๊ะจ่างออกมาพร้อมทำมือเป็นท่ากรรไกร

“กินกี่ลูกล่ะ สี่หรือห้าลูกดี”

เฉิงอวี้ใช้ตะเกียบเขี่ยหาถั่วแดงในบ๊ะจ่างกิน ส่วนตาก็แกะใบไผ่ห่อบ๊ะจ่างแล้วกัดเข้าไปคำหนึ่ง “ใครเขากินบ๊ะจ่างแบบหลานกัน แบบนี้จะกินไปถึงเมื่อไรเนี่ย”

“ผมค่อยๆ กินครับ” เฉิงอวี้ตอบ

ตานั่งอยู่ตรงข้ามเขา “อยู่บ้านตาเบื่อไหมลูก วันนี้ตาจะพาไปเล่นในตัวอำเภอดีไหม”

“มีร้านขายเครื่องดนตรีไหมครับ”

“อยากตีกลองเหรอ”

ลุงเว่ยที่เพิ่งซื้อไข่ไก่พื้นเมืองกลับมาหนึ่งตะกร้าโพล่งขึ้นทันที “ตีกลองไม่ได้นะครับ คราวก่อนเกือบเป็นเรื่องใหญ่แล้ว!”

ตาพยักหน้า “ใช่ๆๆ ห้ามตีกลองนะ ต้องพักผ่อนที่ชนบทให้หายดีก่อนค่อยกลับไปเล่น”

คิ้วของเฉิงอวี้ขมวดข้าหากันเล็กน้อย

“งั้นตาจะจัดกิจกรรมอย่างอื่นให้ รอเดี๋ยวเราจะไปจับปลาที่แม่น้ำกัน ดูซิว่าจะจับได้กี่ตัว เที่ยงนี้กินเมนูปลาทั้งโต๊ะเลย!”

ลุงเว่ยดูจะยังไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะรู้สึกว่ามันนับเป็นกิจกรรมต้องออกแรง “ตอนกลับมาผมบอกเสี่ยวอวี้ไปแล้วว่าแถวนี้มีสวนผลไม้เต็มไปหมด พวกเราไปเก็บลิ้นจี่กันได้”

“หรือจะไปเก็บลิ้นจี่ก็ได้ เด็กคนนี้คงไม่เคยทำแน่ เอาแบบนี้พอจับปลาเสร็จ บ่ายก็มานั่งเล่นหมากรุกกับตา แล้วพรุ่งนี้ตาจะพาหลานไปสวนผลไม้ ไปเก็บลิ้นจี่เล่นกัน”

บ้านที่ตาสร้างเองอยู่ใกล้แม่น้ำมาก เดินย่ำก้อนหินไปไม่กี่ก้อนก็ถึงแม่น้ำแล้ว

แม่น้ำสายนี้ไม่ใหญ่นัก กว้างประมาณสิบสองสิบสามเมตรเท่านั้น สายน้ำก็ไหลเอื่อย ก้อนหินและกรวดกลมที่อยู่ใต้สายน้ำมานานมีตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะเป็นชั้นลื่นๆ

ตอนแรกเฉิงอวี้ไม่ยอมลงไป พอเห็นตาถอดรองเท้า ถกขากางเกงเดินลงน้ำ เขาก็ได้แต่ยืนอยู่บนฝั่งแล้วพูดว่า “ตาเดินระวังหน่อยนะครับ”

ตาล้วงมือเข้าไปหยิบหอยขมระหว่างซอกหินออกมาได้หลายตัว ก่อนจะชูขึ้นกลางอากาศ แสงแดดส่องกระทบผิวน้ำสะท้อนแสงระยิบระยับ

ตาให้ลุงเว่ยไปเอาถังแล้วหันมาถามเฉิงอวี้ “ไม่ลงมาเล่นจริงๆ เหรอ น้ำใสมากเลยนะ แถมเย็นสบายด้วย!”

“…”

“โอ้โห! ได้ปูอีกตัวแล้ว!”

เฉิงอวี้เห็นตานั่งยองแล้วลุกขึ้นยืนอยู่ตลอดก็รู้สึกเป็นห่วง ผ่านไปครู่หนึ่งเลยถอดรองเท้าลงน้ำไปด้วย

ระดับน้ำสูงไม่ถึงกลางน่อง น้ำเย็นเฉียบ หินก็ลื่นมาก เฉิงอวี้ไม่ได้ก้มลงจับปลา แต่ยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปอยู่ในท่าคอยประคองผู้สูงอายุเอาไว้

ไม่นานตาก็จับปูได้หลายตัวรวมถึงปลาจี้[4]* ขนาดเท่านิ้วมือตัวหนึ่ง ก่อนจะโยนพวกมันลงถังไป

ลุงเว่ยยืนดูอยู่ริมฝั่งด้วยความวิตกกังวลอยู่สักพัก พอเห็นว่ากิจกรรมนี้ไม่ได้ใช้แรงมากและไม่สร้างภาระใดๆ ให้กับร่างกายของเฉิงอวี้ก็โล่งใจ จากนั้นก็กลับไปเก็บหอมในแปลงผักหน้าบ้าน

ตอนที่ตากำลังก้มตัวลงจะจับปลาตัวใหญ่ จู่ๆ ก็มีหินก้อนหนึ่งลอยเฉียดลงมาบนผิวน้ำทำให้น้ำกระเซ็นโดนปลายขากางเกง ส่วนปลาตัวนั้นก็ว่ายหนีไปอย่างคล่องแคล่ว

“ไอ้เด็กบ้านไหนฮะ!” ตาตะโกนขึ้น ก่อนจะใช้มือบังแดดตรงตาแล้วมองไปยังอีกฝั่ง “โยนหินมั่วซั่วได้ยังไง!”

ตอนแรกเซวียโย่วข่าไม่ได้สังเกตว่ามีคนอยู่ด้วย เขาเดินอยู่ริมน้ำเหมือนเคย เดินไปพลางขว้างก้อนหินไปพลาง หินก้อนหนึ่งถูกขว้างออกไปไกล มันกระเด้งไปบนผิวน้ำทำให้เกิดคลื่นเป็นระลอก

พอได้ยินเสียงตะโกนก็คิดว่าโดนคนเข้าแล้ว เขาจึงรีบแฝงตัวเข้ากับเงาไม้โดยสัญชาตญาณ ก่อนจะชะโงกหน้าออกมาดู

ผ่านไปหลายวินาทีเขาถึงค่อยๆ เดินออกมาแล้วเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจ คุณลุง…ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เขามองลงไปในแม่น้ำ เห็นว่ามีผู้สูงอายุคนหนึ่งกับเด็กหนุ่มอีกคน

เด็กหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ในน้ำ ใส่เสื้อยืดตัวหลวม ถกขากางเกงขึ้นจนเห็นหน้าแข้งเรียวยาว ร่างกายครึ่งหนึ่งโดดเด่นอยู่ภายใต้แสงแดด

เซวียโย่วข่าจำเขาได้ทันที อ๊ะ! นั่นคุณชายใหญ่หน้าบูดที่เจอกันบนรถนี่!

เขาสบตากับอีกฝ่ายที่เลื่อนสายตามองมา เซวียโย่วข่าหลบตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตบๆ กระเป๋าตัวเองแต่กลับพบว่าไม่ได้พกเหรียญมาด้วย

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจำเขาได้แล้ว

“เธอ” เฉิงอวี้ชี้มาทางเขา

“ฮะ?”

เฉิงอวี้ตะโกนขึ้นว่า “คืนเงินมา”

เซวียโย่วข่าลำบากใจจนพูดอะไรไม่ออก “ฉะ…ฉันไม่ได้เอาเงินมาด้วย…”

เฉิงอวี้ดูเหมือนจะจงใจ เขาจ้องเด็กคนนั้นเขม็ง ในขณะเดียวกันตาก็รู้สึกประหลาดใจมากจึงเงยหน้ามองเด็กคนนั้น ดูแล้วเหมือนเด็กผู้หญิง แต่ก็เหมือนเด็กผู้ชายนิดหน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรแค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนซานหลิงที่ทั้งเกิดและโตที่นี่ แล้วเด็กในชนบทแบบนี้มารู้จักเฉิงอวี้ของพวกเขาได้อย่างไร

เซวียโย่วข่าหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ

แค่เงินหนึ่งหยวนเองไม่ใช่เหรอ!

เขาไม่ได้ตั้งใจจะเบี้ยวสักหน่อย

“เดี๋ยวคืนแน่นอน ฉันไม่ใช่คนติดหนี้แล้วไม่จ่ายนะ พรุ่งนี้…ไม่สิ ตอนบ่ายฉันจะเอาเงินมาคืน รอด้วยล่ะ!” พูดจบก็วิ่งหนีไปทันที

ตาหัวเราะ ก่อนจะถามเฉิงอวี้ “เด็กบ้านไหนเนี่ย”

“ไม่รู้จักครับ”

“ไม่รู้จัก? แล้วเด็กผู้ชายนั่นติดหนี้หลานได้ยังไง ฟังไม่ขึ้นเลยนะ!”

“ตาครับ ตาเข้าใจผิดแล้ว” เฉิงอวี้หรี่ตาเพราะแสงแดดแยงตา “นั่นเด็กผู้หญิงต่างหาก”

“จริงเหรอ ไม่ใช่มั้ง เป็นเด็กผู้ชายชัดๆ”

เฉิงอวี้ยืนกราน “เป็นเด็กผู้หญิงครับ”

ก็แค่น้องสาวที่ซุกซนนิดหน่อยเท่านั้นเอง

 

[1]* ห้าม้าแยกร่าง เป็นวิธีการลงโทษรูปแบบหนึ่งของจีนในสมัยโบราณ โดยจะจับนักโทษนอนกางแขนกางขาแล้วนำม้าห้าตัวมาผูกเชือกกับหัว แขน และขาทั้งสองข้างของนักโทษ ก่อนจะให้ม้าวิ่งออกไปพร้อมกัน

[2]** เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง คือเทศกาลที่มีประเพณีไหว้ขนมบ๊ะจ่างและแข่งเรือมังกร ตรงกับวันที่ห้าเดือนห้าตามปฏิทินจันทรคติของจีน

[3]* ใบอ้าย คือพืชสมุนไพรในสกุลโกฐจุฬาลัมพา มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ มักใช้ปรุงเป็นยาห้ามเลือด บรรเทาอาการหวัด

[4]* ปลาจี้ เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน ลำตัวมีสีคล้ายตะกั่ว

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com