everY
ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 4-6 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : ซุ่ยหมาง (睡芒)
แปลโดย : G.N Voyager
ผลงานเรื่อง : 满天星 (Man Tian Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบูลลี่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 4
“บ้านเธออยู่ไหน ให้คนที่บ้านมารับไหม” ถึงเด็กผู้หญิงคนนี้จะยืนขึ้นแล้ว แต่ก็ยังเตี้ยกว่าเฉิงอวี้อยู่มาก เพียงแค่เขาก้มลงก็เห็นกลุ่มผมนุ่มๆ พอดี
“กลับเองได้ ใช้เวลาไม่นานหรอก” เซวียโย่วข่าประเมินอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังผ่าตัดต่ำเกินไป เดินจากบ้านมาใช้เวลาตั้งสี่สิบนาที แถมคำแนะนำของหมอคือให้เขาพยายามอย่าเดินเยอะก่อนตัดไหม
ถ้ารู้แต่แรกวันนั้นต่อให้เจ็บให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางยืมเงินนั่นหรอก!
เฉิงอวี้เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นเดินกะโผลกกะเผลก แถมยังเดินช้าเหมือนเต่าคลาน แลดูน่าสงสารมาก แต่สุดท้ายเขาก็ขมวดคิ้วแล้วปิดประตูใส่ไปเลย
จากนั้นเฉิงอวี้ก็ขึ้นไปชั้นบน ลมค่อนข้างแรง เขาเปิดม่านแล้วมองลงไปข้างล่างจากริมหน้าต่าง
ข้างนอกมืดสนิท คืนนี้แสงจันทร์สลัวเป็นพิเศษ ในป่าอันมืดมิดนั้นมองไม่เห็นเงาของเด็กที่เขาไล่กลับไปแล้ว
เซวียโย่วข่าไม่ค่อยกล้าเดินทางลัดหลังฟ้ามืด ในหมู่บ้านชนบทแบบนี้มีหลุมฝังศพอยู่ทุกที่ เขาไม่ได้เอาไฟฉายมาด้วย จะกล้าเดินทางลัดคนเดียวได้อย่างไร
เมื่อฟ้ามืดสนิทเซวียโย่วข่าก็จับกระโปรงเดินไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็มีแสงจ้าแยงตาปรากฏขึ้นตรงหน้า ด้วยมีรถคันหนึ่งแล่นมา เขาจึงหยุดยืนอยู่ข้างทางรอให้รถผ่านไป
ลุงเว่ยรีบขับรถกลับบ้านจึงขับเร็ว แต่เมื่อเห็นว่าเบื้องหน้ามีเด็กผู้หญิงอยู่ไกลๆ ก็ผ่อนคันเร่ง ลดความเร็วลงเหลือสิบไมล์ และพอเข้าไปใกล้เด็กผู้หญิงคนนั้น ลุงเว่ยก็หันไปมองแวบหนึ่ง
หือ?
เขาจอดรถแล้วถอยหลังเล็กน้อย
“หนู ทำไมถึงเป็นหนูล่ะเนี่ย” ลุงเว่ยเปิดกระจกรถ “มืดค่ำป่านนี้มาเดินคนเดียวอยู่ข้างนอกได้ยังไง”
สายตาของเซวียโย่วข่าพร่ามัวเล็กน้อยเพราะแสงจ้าจากไฟหน้ารถ เขาเพ่งอยู่หลายวินาทีก่อนจะจำได้ “อ๊ะ! ลุง!”
“ฮ่าๆๆ ลุงเอง แล้วทำไมมาเดินแถวนี้ล่ะ อยู่แถวนี้เหรอ”
“เปล่า” เขาส่ายหน้า “บ้านหนูไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ พอดีหนูมาคืนเงินน่ะ”
“คืนเงิน?”
บนรถยังมีคนอีกสองคน แต่ตอนนี้ไม่มีใครขัดจังหวะลุงเว่ยที่กำลังคุยกับเด็กที่อยู่ข้างทางเลย เฉิงจื่อเวยที่นั่งอยู่เบาะหลังมองด้วยความสงสัยอยู่หลายครั้ง
เซวียโย่วข่าเล่าทุกอย่างโดยละเอียด บอกว่าช่วงบ่ายของเมื่อวานเจอพี่ชายคนนั้น พี่ชายบอกให้เขาคืนเงิน แต่เมื่อวานไม่มีเวลา วันนี้ถึงได้มีเวลามา แต่พอมาถึงกลับพบว่าในบ้านไม่มีคน ถึงได้รออยู่สักพัก
ลุงเว่ยฟังแล้วอ้าปากค้าง ต่อให้ใช้คิดนิ้วเท้าคิดก็คิดออกว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาออกจากบ้านไปตั้งแต่กินข้าวเที่ยงเสร็จ ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มารออยู่ตรงประตูบ้านนานแค่ไหน เรื่องคงมีประมาณว่าพอเฉิงอวี้กลับไป เด็กน้อยเอาเงินมาคืน แล้วเฉิงอวี้ก็ไล่เธอกลับแน่ๆ
“เธอมาเพียงเพื่อคืนเงินแค่หนึ่งหยวนเนี่ยนะ” ลุงเว่ยต้องมองเด็กผู้หญิงที่ดูเด็กกว่าเฉิงอวี้เล็กน้อยใหม่อีกครั้ง
“แน่นอนสิ คนเราต้องรักษาคำพูด”
“งั้นขึ้นรถมาเลย เดี๋ยวลุงไปส่งบ้าน”
“ไม่เป็นไร หนู…”
“ขึ้นมาเร็ว” ลุงเว่ยเพิ่งพูดจบ ประตูหลังรถก็เปิดออก
เซวียโย่วข่ามองเข้าไปข้างใน เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ อีกฝ่ายยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร “ขึ้นมาสิ”
บนรถลุงเว่ยอธิบายเหตุการณ์วันนั้นคร่าวๆ “วันนั้นเด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บ ร้องไห้อยู่บนสะพาน ลุงเจอพอดีเลยบอกจะไปส่งบ้าน แต่เธอไม่ยอม ลุงเลยให้ยืมเงินหนึ่งหยวนขึ้นรถเมล์”
ตาที่นั่งเบาะข้างคนขับเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดแล้ว เขาพูดประมาณว่ามิน่าล่ะทำไมหลานชายที่เพิ่งมาอำเภอซานหลิงครั้งแรกถึงรู้จักเด็กท้องถิ่น แต่เด็กที่รักษาคำพูดแบบนี้หายาก ตาเลยชมไปหลายประโยค โดยบอกว่าโตไปต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน
อีกฝ่ายพูดจนเซวียโย่วข่าเริ่มรู้สึกเขินขึ้นมา
“แล้วหนูรออยู่นานไหม”
“ก็ไม่นาน…แค่แป๊บเดียว ตอนแรกว่าจะกลับแล้ว แต่ได้ยินเสียงคนในบ้านพูดเลยยังไม่ไป”
“มีคนพูดเหรอ”
“ได้ยินเสียงจามน่ะ”
พอลุงเว่ยกับตาได้ยินก็พากันหัวเราะแล้วอธิบายว่าเป็นเสียงนกแก้วในบ้าน
เซวียโย่วข่าเบิกตาเล็กน้อยแล้วลูบจมูกตัวเองอย่างกลัดกลุ้มใจ
จู่ๆ เฉิงจื่อเวยก็เอ่ยพูดขึ้น “เฉิงอวี้นี่สุดยอดจริงๆ หนึ่งหยวนยังเอามาคิดกับน้องสาวได้ลงคอ”
ตาหันไปมองเขาแวบหนึ่ง “คงเห็นว่าเธอน่ารักเลยแกล้งเล่นนิดหน่อยน่ะ” ตาพอจะเดาเหตุผลได้
เดิมทีเฉิงอวี้ก็มีนิสัยแปลกๆ อยู่แล้ว เมื่อวานแกล้งเด็กคนนั้นไปสองประโยค ใครจะรู้ว่าวันนี้เด็กน้อยจะตามมาใช้หนี้จริงๆ อีกอย่างวันนี้ตอนที่เฉิงจื่อเวยมาหาก็ไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้า ตอนพวกเขากำลังจะไปเที่ยวในตัวเมืองชิ่งโจว ขับรถไปได้ครึ่งทางถึงได้รับโทรศัพท์ว่าลูกพี่ลูกน้องของเฉิงอวี้มาหาและตั้งใจจะมาพักผ่อนอยู่ที่ชิ่งโจวกับเฉิงอวี้โดยเฉพาะ
เนื่องจากสุดวิสัยลุงเว่ยเลยต้องขับรถไปสนามบินเป่ยไห่ตอนนั้นเลย
ไม่คาดคิดว่าเที่ยวบินจะล่าช้า เฉิงอวี้เลยถูกบังคับให้รออยู่ที่สนามบิน เขาไม่ใช่คนที่มีความอดทน แถมไม่สนใจบทบาทพี่ชายรักใคร่น้องชายเคารพอะไรพวกนั้นด้วย รอได้ไม่นานเขาก็ทนไม่ไหวและเรียกแท็กซี่กลับไปเอง
ดังนั้นตอนที่เฉิงอวี้กลับมาถึงคงเหมือนถังดินปืนแน่ๆ เลยไม่ทำหน้าทำตาดีๆ กับเด็กผู้หญิงคนนี้
เมื่อรถมาถึงหน้าบ้านตา ลุงเว่ยก็จอดรถแล้วลงมาเปิดประตูหลังก่อน จากนั้นก็ช่วยเฉิงจื่อเวยยกกระเป๋าเดินทาง
“คุณชายจื่อเวย ห้องยังไม่ได้จัดเลย เดี๋ยวลุงไปส่งหนูน้อยคนนี้เสร็จแล้วจะกลับมาจัดให้นะ”
“ไม่เป็นไรครับลุงเว่ย” เฉิงจื่อเวยยิ้มสุภาพ “ผมจัดเองก็ได้ ไม่รบกวนหรอกครับ”
“งั้นลุงช่วยถือกระเป๋าเข้าไปนะ” พูดจบลุงเว่ยก็หันมาพูดกับเซวียโย่วข่า “หนู รอลุงแป๊บนะ เข้ามานั่งก่อนสิ มากินขนมสักหน่อย”
“ไม่เป็นไร หนูนั่งรอในรถก็ได้”
เฉิงจื่อเวยโน้มตัวลงมาสบตากับเขา “ไม่ต้องเกรงใจหรอก มานั่งเล่นก่อนสิ ฉันเอาขนมอร่อยๆ มาด้วย เธอเป็นคนแถวนี้เหรอ ที่นี่มีอะไรสนุกๆ ไหม”
เซวียโย่วข่าคิดในใจ พี่ชายคนนี้ดีกว่าคนก่อนหน้าเยอะเลย
“ที่นี่…ไม่มีอะไรสนุกหรอก” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ที่บ้านฉันมีไร่ชา เล่นซ่อนแอบได้นะ”
เฉิงจื่อเวยพยักหน้าแล้วบอกว่าคราวหน้าจะไปเล่นด้วย
ไม่นานนักลุงเว่ยก็ออกมาหลังจากเอากระเป๋าเข้าไปเก็บแล้ว แถมยังเอาบิสกิตกับขนมขบเคี้ยวหลายห่อมาให้เซวียโย่วข่าด้วย จากนั้นก็ขับรถพาเซวียโย่วข่ากลับไป
พอเฉิงจื่อเวยเข้าไปในบ้านและเปลี่ยนรองเท้าเสร็จก็ถามว่า “ตาครับ ผมนอนห้องไหนเหรอ”
ฉู่จิ้นได้แต่พาเขาขึ้นไปที่ห้องว่างบนชั้นสอง เขารู้ดีว่าเฉิงอวี้กับเฉิงจื่อเวยไม่ลงรอยกัน แม้ทั้งสองจะเป็นพี่น้อง แต่เฉิงจื่อเวยก็แก่กว่าเฉิงอวี้แค่สองเดือน ความสัมพันธ์จึงไม่เหมือนพี่น้องทั่วไป ในตระกูลเฉิงที่ร่ำรวยระดับแนวหน้าแบบนี้ ระหว่างพี่น้องย่อมมีการชิงดีชิงเด่น เฉิงอวี้ไม่ชอบเขาก็คือไม่ชอบเขาและไม่เสแสร้งแกล้งทำ แต่เฉิงจื่อเวยกลับชอบแสดงบทพี่ชายที่ดี โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ราวกับมีบุคลิกของนักแสดงเลยทีเดียว
เฉิงจื่อเวยไปเคาะประตูห้องข้างๆ
“มีอะไร” ประตูเปิดแง้มออก
เขายิ้ม “เฉิงอวี้ ฉันเพิ่งมาถึง ย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ เลยมาทักทายน่ะ”
“อืม” บ่งบอกว่าทักทายแล้ว
ขณะเฉิงอวี้กำลังจะปิดประตู เฉิงจื่อเวยก็พูดขึ้นอีก “จริงสิ ตอนกลับมาเจอเด็กผู้หญิงที่บาดเจ็บคนหนึ่งด้วย เธอบอกว่ามาคืนเงินให้นาย”
เฉิงจื่อเวยถอนหายใจ “น่าสงสารมาก ดูเหมือนจะร้องไห้เพราะกลัวนายเลย”
เฉิงอวี้ปิดประตูใส่เขา
เฉิงจื่อเวยที่โดนกันอยู่นอกประตูลูบจมูก “จริงๆ เลย ไม่มีความเห็นอกเห็นใจเอาซะเลย”
ตอนที่เซวียโย่วข่ากลับถึงบ้าน ปู่กับย่าก็หลับไปแล้ว เขาจึงย่องกลับเข้าห้องเงียบๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมากินข้าวเสร็จเขาก็ไปเล่นที่สวนกับปู่ แม้จะบอกว่าเป็นไปเล่น แต่จริงๆ แล้วไปช่วยเก็บลิ้นจี่กับลูกพีชต่างหาก
อำเภอซานหลิงปลูกลิ้นจี่เยอะ ที่สวนของตระกูลเซวียก็ปลูกไว้หลายต้น นอกจากลิ้นจี่แล้วยังมีต้นพีชและยังมีต้นมะเดื่อต้นใหญ่อยู่ในสวนด้วย นั่นเป็นฐานทัพเล็กๆ ของเซวียโย่วข่าเอง โดยมีทั้งบ้านต้นไม้ ชิงช้า และไม้กระดกที่ปู่ทำให้เขา
ตอนที่ยังไม่ได้ย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอ เซวียโย่วข่าก็ใช้ชีวิตวัยเด็กที่นี่นี่แหละ
“หมี่หมี่! ผีหู่มาเล่นกับนายแล้วนะ!”
เซวียโย่วข่ากระโดดลงจากชิงช้าทันที เขาตะโกนลั่นแม้จะอยู่ตั้งไกล “เฮ้! เฮ้ย!! หู่ผี!!”
หู่ผีมีชื่อจริงว่าผีหู่ อยู่บ้านติดกัน อายุเท่ากับเซวียโย่วข่าและเป็นเพื่อนเล่นของเขาตั้งแต่เด็ก
ทันทีที่เห็นเขา หู่ผีก็ชะงักไปในทีแรก ดวงตาคู่นั้นที่เล็กลงเรื่อยๆ เนื่องจากใบหน้าที่บวมเป่งขึ้นทุกวันหยุดอยู่บนร่างกายของเขานานหลายวินาทีราวกับกำลังมองอะไรที่น่าเหลือเชื่อ ก่อนจะหัวเราะลั่น
“เซวียโย่วข่า นายใส่กระโปรงจริงด้วย! แม่ฉันเล่าให้ฟัง ฉันยังไม่เชื่อเลย!”
“ไสหัวไปเลย!”
วันนี้เซวียโย่วข่าใส่กระโปรงบานสีดำ ตรงบ่าทั้งสองข้างผูกโบ ผ้าตาข่ายตรงชายกระโปรงขาดรุ่ยไปแล้ว นี่เป็นกระโปรงที่ฟางหลี่ฉิงไม่ใส่แล้ว พอมาอยู่บนตัวเขาแล้วก็รู้สึกคับไปหน่อย ตอนเช้าเซวียโย่วข่าส่องกระจกดูแล้วคิดว่าไม่ได้ดูเป็นผู้หญิงขนาดนั้น แถมกระโปรงยังใส่สบายกว่ากางเกง ที่สำคัญเขาก็อยู่ในบ้านตัวเอง ไม่มีคนนอกเลยยิ่งไม่ต้องสนใจอะไร
ใครจะไปคิดว่าหู่ผีจะโผล่มา แถมอีกฝ่ายยังหัวเราะเยาะเขาอีก
“ขำอะไร ห้ามขำนะ!”
หู่ผีหัวเราะจนหายใจติดขัด ใช้เวลาสักพักกว่าจะยืดตัวตรงได้ อีกฝ่ายไอพลางเหลือบมองเขาอย่างเขินๆ
“สวย…สวยมากเลย…ถ้านายไว้ผมยาวนะ ฉันคงไม่กล้ามองจริงๆ”
เขาหมายความตามนั้นจริงๆ
เด็กผู้ชายวัยนี้เสียงยังไม่เปลี่ยน ลูกกระเดือกยังไม่เด่นชัด อีกทั้งเซวียโย่วข่ายังเกิดมาปากแดงฟันขาว ดวงตาก็สดใส ทำให้ยิ่งดูเหมือนเด็กผู้หญิงสวยๆ คนหนึ่ง
เซวียโย่วข่าหงุดหงิดเล็กน้อย “เดี๋ยวนายก็ต้องผ่าบ้าง แล้วก็ต้องใส่กระโปรงเหมือนกัน! คอยดูเถอะ!”
“ไอ้ที่นายผ่านี่มันคืออะไร” หู่ผีเดินมาอยู่ข้างเขา “มันมีประโยชน์อะไรเหรอ”
“ทำให้มันใหญ่ขึ้นได้”
“เฮ้ย จริงดิ” หู่ผีถามเกี่ยวกับรายละเอียดการผ่าตัดยกใหญ่ และพอมาอยู่ใกล้ๆ แล้วได้กลิ่นหอมจางๆ จากตัวเซวียโย่วข่าก็แปลกใจเล็กน้อย “ทำไมตัวนายหอมจัง กลิ่นเหมือนน้ำนมเลย ออกสาวจัง”
“นายสิที่ออกสาว นี่มันกระโปรงลูกพี่ลูกน้องฉันต่างหาก!” เซวียโย่วข่าปฏิเสธอย่างไม่พอใจ “เธอฉีดน้ำหอมน่ะ”
ฟางหลี่ฉิงชอบน้ำหอมมาก ตอนเซวียโย่วข่าไปอยู่บ้านเธอก็เคยเห็นขวดน้ำหอมหรูหราเต็มตู้ ห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ตู้เสื้อผ้าย่อมมีแต่กลิ่นสารพัด กลิ่นหอมบนเสื้อตัวนี้ของเซวียโย่วข่าก็คือ Givenchy Ptisenbon กลิ่นโปรดของเธอในช่วงนี้ มันเป็นน้ำหอมกลิ่นแบบเด็กๆ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน
เซวียโย่วข่าถูกล้อจนไม่กล้าเงยหน้า “ฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า”
“เปลี่ยนอะไรอีกเล่า ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว ไม่มีใครล้อหรอก ไป ไปดูการ์ตูนบ้านฉันดีกว่า บ้านฉันไม่มีใครอยู่”
เซวียโย่วข่าบอกว่าไม่ไป
“ที่บ้านฉันมีขนม มีเนื้อชิ้นโตๆ ด้วย! ไปไหม”
ตาของเซวียโย่วข่าเป็นประกายขึ้นมาทันที
ช่วงนี้เป็นฤดูลิ้นจี่ ผู้ใหญ่ต่างก็วุ่นอยู่กับงานในสวนผลไม้
ในอำเภอซานหลิงแห่งนี้ บ้านทุกหลังล้วนปลูกลิ้นจี่กันหมด แต่บ้านตระกูลเซวียกลับปลูกไว้ไม่มาก นี่เป็นความเห็นของอาเขยฟางไห่หมิง เขาบอกว่าปลูกลิ้นจี่มีการแข่งขันสูง ไม่สู้ปลูกอย่างอื่นดีกว่า ดังนั้นที่ดินบนไหล่เขาของปู่จึงใช้ปลูกชาแทน
ด้วยปริมาณการผลิตที่ไม่มาก ใบชาในไร่เลยขายได้แค่ในท้องถิ่นเท่านั้น
บ้านหู่ผีอยู่ไม่ไกลจากบ้านเซวียโย่วข่า ตอนนี้เซวียโย่วข่ามานอนดูวันพีซอยู่บนเตียงในห้องของอีกฝ่าย เนื้อแผ่นชิ้นใหญ่หนึ่งห่อนั้นแบ่งกันหมดเกลี้ยงแล้ว เด็กสองคนเผ็ดจนน้ำตาเล็ด หู่ผีเช็ดปากมันเยิ้ม พอเห็นว่าไม่มีอะไรเหลือให้กินแล้ว เซวียโย่วข่าก็พูดขึ้นว่า “ฉันยังมีของกินอยู่นะ”
พูดจบก็ควักซองซอสมะเขือเทศเคเอฟซีออกมาจากกระเป๋าเล็ก
“แบ่งให้นายครึ่งหนึ่ง”
หู่ผี “ไม่เป็นไร นายเก็บไว้กินเองเถอะ” สายตาที่หู่ผีมองเขาเต็มไปด้วยความเวทนา
“เมื่อวานเกาเกาซื้อเคเอฟซีถังแบบครอบครัวมา เขากินเหลือไว้ ฉันเลยแอบหยิบซอสมะเขือเทศมาซองหนึ่ง” เซวียโย่วข่าฉีกซองแล้วถอนหายใจ “แม่ฉันไม่ให้กินขนม บอกว่าเดี๋ยวฟันผุ”
เขาชอบของกินพวกนี้มาก หู่ผีเห็นว่าเขากินจนปากแดงแจ๋เลยไปคุ้ยโต๊ะกาแฟแล้วหยิบวิตามินซีออกมาขวดหนึ่ง
“นี่อร่อย หวานด้วย” หู่ผีเทมาใส่มือเขาหลายเม็ด “เอ้า เจ้านี่แพงกว่าขนมอีกนะ”
วิตามินซีรสส้ม เคี้ยวไม่กี่ทีก็แตกออก รสชาติเปรี้ยวหวานละลายอยู่ในโพรงปาก
ทั้งสองคนผลัดกันกินไปกินมาแป๊บเดียวหมดไปครึ่งขวด หู่ผีเขย่าขวดแล้วเก็บวิตามินซีกลับเข้าไปที่เดิม
“กินหมดไม่ได้ เดี๋ยวแม่ฉันรู้…จริงด้วย ช่วงนี้มัลเบอรี่ที่ปลูกอยู่ในบ้านปู่รองของฉันสุกแล้ว ฉันพานายไปเก็บดีกว่า”
“ไม่เอา มีหมานี่” เซวียโย่วข่าเคยโดนหมาบ้านนั้นกัด
“ไปที่สวนบ้านเขา หมาล่ามไว้แล้วนะ แถมบ้านปู่รองฉันก็มีแขกมา เขาเลยไปที่สวนปลูกลิ้นจี่เพื่อดูแลนักท่องเที่ยว ไม่มีใครอยู่หรอก” หู่ผีพูดพลางลดเสียงลง “นายรู้ไหมว่ามัลเบอรี่ขายได้เท่าไร”
“เท่าไร”
“ที่ตลาดขายจิน[1]* ละสิบหยวน เราเก็บแค่…” หู่ผีกระซิบแผนการข้างหูเขา “ว่าไงล่ะ แบ่งคนละครึ่ง เอาด้วยไหม”
เซวียโย่วข่าคิดเลขในใจทันที “เอา!”
ที่ชนบทแบบนี้ สวนของแต่ละบ้านมักไม่ล้อมรั้ว เพียงแค่แหวกพุ่มไม้เข้าไปหน่อยก็ถึงสวนมัลเบอรี่แล้ว
หู่ผีหยิบตะกร้ามาสองใบแล้วส่งให้เซวียโย่วข่าใบหนึ่ง ทั้งคู่มุดเข้าไปข้างใน สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือป่าต้นมัลเบอรี่ที่สูงกว่าสองเมตร ผลมัลเบอรี่สีแดงสลับดำพวงแล้วพวงเล่าห้อยอยู่เต็มช่องว่างระหว่างกิ่งใบที่หนาทึบ เซวียโย่วข่าเด็ดลูกสีแดงลูกหนึ่งมากินแบบไม่คิดอะไร พอเข้าปากก็เปรี้ยวจนฟันแทบหลุด เขาเบ้หน้ากล่าว “ยังไม่สุกนี่นา”
“นายมันโง่! ต้องกินลูกสีดำ สีดำคือสุกแล้ว”
“อ๋อ…”
ทั้งสองเก็บไปสักพักก็ได้ประมาณครึ่งตะกร้า เซวียโย่วข่าถาม “เราจะเก็บเท่าไรดี ถ้าปู่รองของนายรู้เข้าจะทำไง…”
“เขาไม่อยู่บ้านจะรู้ได้ยังไง! วันนี้เก็บสักสี่ห้าจินก่อน กินข้าวเที่ยงเสร็จเราจะไปขายบนถนน ขายหมดแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาอีก” หู่ผีมองเพื่อนรักที่ใส่กระโปรง “นายหน้าตาน่ารักแบบนี้ ขายหมดเร็วแน่นอน!”
จินละสิบหยวน สี่ถึงห้าจินก็สี่สิบห้าสิบหยวน ถ้าแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้ตั้งยี่สิบเกือบสามสิบหยวน
ทันใดนั้นดวงตาเซวียโย่วข่าก็เป็นประกายยิ่งกว่าเดิมราวกับเห็นเงินหยวนโปรยปรายลงมาจากฟ้า
ที่ที่พวกเขาอยู่ลิ้นจี่หาได้ทั่วไป เลยขายไม่ได้ราคาดี ส่วนมัลเบอรี่มีคนปลูกน้อย ราคาเลยสูงหน่อย
พวกเขาสองคนแยกกันปีนขึ้นต้นไม้ทุกต้นเหมือนกับลิง ขโมยมัลเบอรี่ไปต้นละนิดละหน่อย หู่ผีวางแผนอย่างเจ้าเล่ห์ บอกว่าทำแบบนี้ปู่รองเขาจะได้จับไม่ได้ แต่แล้วในขณะที่กำลังจะเก็บเสร็จ ทันใดนั้นในสวนก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมา
“แย่แล้ว!” หู่ผีหูผึ่งทันที สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันตา “ปู่รองฉันกลับมาแล้ว!”
ถ้าผู้ใหญ่รู้ว่าเด็กสองคนนี้วางแผนจะเก็บผลไม้จากสวนบ้านตัวเองไปขายล่ะก็ มีหวังโดนดุยกใหญ่แน่
“เซวียโย่วข่า หนีเร็ว!”
หู่ผีพูดจบก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็พุ่งหายไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้
เซวียโย่วข่าไม่ค่อยคุ้นทางในสวนของปู่รอง หันไปก็ไม่เจอหู่ผี เลยรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ทำไมเจ้าอ้วนนี่ถึงว่องไวขนาดนี้นะ
“หู่ผี?” เขาเรียกเบาๆ
เซวียโย่วข่าอาศัยความรู้สึกมุ่งตรงไปยังทางหนึ่ง ไม่นานก็เห็นแนวพุ่มไม้ แต่ในขณะที่กำลังจะมุดผ่านไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดคุยของพวกผู้ใหญ่
“ตรงนี้คือสวนมัลเบอรี่ ปลูกไม่เยอะหรอก มีแค่หนึ่งไร่เอง” เป็นเสียงปู่รองของหู่ผี
เซวียโย่วข่าตกใจจนรีบมุดเข้าไปในพุ่มไม้ แต่กลับถูกแรงบางอย่างฉุดรั้งไว้ เดินอย่างไรก็เดินต่อไม่ได้ พอหันไปดูก็พบว่าผ้าตาข่ายบริเวณชายกระโปรงถูกกิ่งไม้เกี่ยวไว้
ในสวนมีเสียงสวบสาบดังมา เป็นเสียงความเคลื่อนไหวที่ผ้าเสียดสีกับกิ่งไม้แห้ง
เมื่อได้ยินว่ามีคนเดินมาเขาก็ยิ่งร้อนใจ พยายามดึงกระโปรงให้หลุดจนเผลอปล่อยตะกร้า มัลเบอรี่หล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น เซวียโย่วข่าเจ็บใจมาก ด้านหนึ่งเขาดึงกระโปรง อีกด้านหนึ่งก็รีบก้มตัวไปเก็บมัลเบอรี่บนพื้นอย่างลนลาน
หลังออกจากสวนลิ้นจี่ เฉิงอวี้ก็ตามตามาที่สวนมัลเบอรี่ ตากำลังคุยกับเจ้าของสวนเรื่องใบชา บอกว่าใบชาที่นี่เด็ดด้วยมือ รสชาติดี ที่อื่นหาซื้อแบบนี้ไม่ได้
เฉิงอวี้ไม่อยากเห็นหน้าเฉิงจื่อเวยเลยไม่ได้ไปเดินด้วย เขาได้ยินเหมือนเสียงความเคลื่อนไหวของสัตว์ตัวเล็กๆ เลยเข้าใจว่าเป็นกระรอกจึงเดินอ้อมมาแถวนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เขาเดินผ่านแนวต้นมัลเบอรี่ที่ลูกดกเต็มต้น บริเวณรอบนอกของสวนมีผลสุกสีดำหล่นเกลื่อนพื้น ใกล้เท้ามีตะกร้าผลไม้ตกอยู่ เด็กผู้หญิงใส่กระโปรงสีดำดูท่าทางจนตรอกและยากลำบาก กระโปรงเกี่ยวกิ่งไม้ แถมผมสั้นยังมีใบไม้ติดอยู่
ภาพนี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ชัดเลยว่าเข้ามาขโมยของ
“ขโมยเหรอ”
“บ้านพวกเราเป็นพื้นที่ปลูกมัลเบอรี่ขนาดใหญ่เจ้าเดียวในซานหลิง ไม่เคยใช้ยาฆ่าแมลงเลย…” เสียงปู่รองของหู่ผีเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงสุนัขที่เห่าดังตามมา
พอเห็นว่าเด็กหนุ่มจะอ้าปากพูด เซวียโย่วข่าก็ร้อนใจ รีบใช้มือซ้ายคว้าตัว ส่วนมือขวายกขึ้นปิดปากอีกฝ่ายทันที
“ชู่…”
ใบไม้ร่วงหล่นลงบนไหล่ เซวียโย่วข่ากลัวแทบตาย ฝ่ามือเลยสั่นระริกไปหมด “อย่าส่งเสียงนะ!”
เฉิงอวี้ตัวแข็งค้าง ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ฝ่ามืออ่อนนุ่มมีกลิ่นเปรี้ยวฝาดของมัลเบอรี่ แถมที่ตัวยังมีกลิ่นหอมน้ำนมที่ให้ความรู้สึกไร้พิษภัยอยู่จางๆ
เฉิงอวี้หลุบตาพลางขมวดคิ้ว ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
เซวียโย่วข่าเงยหน้ามองข้ามไหล่ของเขาแล้วชะโงกศีรษะไปดูต้นเสียงที่หมาเห่าอยู่ด้วยความกังวล
“ไปแล้ว” เซวียโย่วข่าได้ยินเสียงฝีเท้าของปู่รองห่างออกไปจึงถอนหายใจแล้วค่อยๆ ผ่อนแรงฝ่ามือที่ชื้นเหงื่อลง
เฉิงอวี้กลับไวกว่า เขาคว้าข้อมือคนตรงหน้าไว้แล้วปัดออกไป ก่อนจะก้มหน้ามองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยหยอกเย้าด้วยมุมปากที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ตอนนั้นที่เธอเจ็บเพราะโดนคนจับได้ว่าไปขโมยของเลยโดนตีใช่ไหม”
“ฉันไม่ได้ขโมย! พูดบ้าอะไร! นี่…นี่มันสวนของบ้านฉัน!” เขาพูดออกไปมั่วๆ พอก้มลงก็พลันเห็นลูกมัลเบอรี่ที่ถูกรองเท้าของอีกฝ่ายเหยียบจนเละอยู่บนพื้น
ใบหน้าของเซวียโย่วข่าเหยเกอย่างรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ขนตายาวสั่นระริกเหมือนจะร้องไห้
เฉิงอวี้งุนงงเล็กน้อย ทำไมดูเหมือน…ตัวเองกำลังรังแกอีกฝ่ายอยู่เลย
“แค่โดนจับได้ตอนขโมยมัลเบอรี่สองสามลูกเอง ทำไมต้องร้องไห้ด้วย” เมื่อสีหน้าเย็นชา รวมเข้ากับน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ก็ฟังดูเหมือนกำลังข่มขู่อยู่เล็กน้อย “กลัวฉันแจ้งตำรวจเหรอ”
“ฉันไม่ได้ขโมย!” เซวียโย่วข่าขมวดคิ้วจ้องเขา ดวงตาเปียกชื้น ไม่มีพลังโจมตีแม้แต่สักนิด จะพูดก็ยังไม่กล้าพูดเสียงดัง ท่าทางที่ทำเป็นดุนั่นดูเหมือนลูกแมวน้อยที่แยกเขี้ยวกางเล็บเสียมากกว่า “ก็คืนเงินให้หมดแล้วนี่ พี่จะเอาอะไรอีกล่ะ! จะเก็บดอกเบี้ยหรือไง!”
เฉิงอวี้ไม่ค่อยได้คบค้ากับเด็กในวัยเดียวกัน ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กผู้หญิงเลย เขาจึงพูดไม่ออกอยู่เล็กน้อย พอเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็อยากจะปลอบว่าอย่าร้องไห้ เดี๋ยวจะเอามัลเบอรี่มาชดใช้ให้
แต่ยังไม่ทันได้เปิดปากก็เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นฉีกชายกระโปรงออกจากกิ่งไม้ ก่อนจะมุดออกจากพุ่มไม้อย่างรวดเร็วและหนีไปไกลแล้ว
กว่าเฉิงอวี้จะตั้งสติได้ก็ผ่านไปพักใหญ่
มีเพียงกลิ่นใบไม้และมัลเบอรี่ที่ถูกเหยียบจนเละเทะบนพื้นเตือนเขาว่าขโมยน้อยคนนั้นหนีไปเรียบร้อยแล้ว
[1]* จิน เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของจีน 1 จินเท่ากับ 500 กรัม
Comments



