ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 4-6 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 4-6 #นิยายวาย

บทที่ 5

 

เซวียโย่วข่าเพิ่งหนีรอดออกมาก็วิ่งไปหาหู่ผี แต่กลับได้ยินเสียงหู่ผีโดนตีอยู่ตรงประตูบ้านจากไกลๆ

เป็นเสียงแม่หู่ผีกำลังสั่งสอนเขาอยู่ “ไม่เรียนรู้อะไรดีๆ! แต่เรียนรู้การขโมยกินสินะ! บ้านปู่รองของแกปลูกมัลเบอรี่ไว้แค่นั้นเอง ยังจะไปเก็บมาหมดอีก!”

หู่ผีดิ้น “ไม่ใช่ผมนะ! ผมไม่ได้ขโมย! เซวียโย่วข่าชวนผมไปเอง เขาเป็นคนชวน เขา อ๊าก…”

“เขาไม่เอาดีแล้วแกจะไม่เอาดีไปด้วยเรอะ!”

เพียะ!

เสียงกิ่งหลิวฟาดลงบนเนื้อดังลั่น แค่ได้ยินก็ชวนให้ตัวสั่นแล้ว

เซวียโย่วข่ายืนฟังหู่ผีร้องโอดโอยอยู่นอกประตูเหล็กสีแดงเงียบๆ สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไปในบ้านพวกเขา แต่หันหลังวิ่งกลับบ้านตัวเองแทน

 

“เฉิงอวี้ ทำไมหลานถึงวิ่งมาตรงนี้คนเดียวล่ะ ลุงตามหาแทบแย่” ลุงเว่ยตามหาเขาอยู่ในสวนมัลเบอรี่พักหนึ่ง พอเห็นเขาเด็ดลูกมัลเบอรี่สีแดงลูกหนึ่งมามองดูอยู่ในฝ่ามือแต่ไม่ได้กินก็พูดขึ้นว่า “สีแดงมันสวยก็จริง แต่กินไปแล้วเปรี้ยวฝาดนะ มันยังไม่สุก หลานต้องเด็ดสีดำๆ อวบๆ ใหญ่ๆ แบบนี้ถึงจะหวาน”

พวกเขามาเก็บผลไม้ที่ฐานต้องซื้อตั๋ว หนึ่งคนหกสิบหยวน กินได้ไม่อั้น แต่เฉิงอวี้แทบไม่กินอะไรเลย

ความเฉยเมยไม่สนใจสิ่งใดของเขาทำให้ลุงเว่ยกับตาหนักใจมาก เพราะเฉิงอวี้ไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด

ตอนที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานเด็กน้อยถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจ อายุได้ไม่กี่เดือนก็ต้องผ่าตัดหัวใจ โชคดีที่การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี เขาจึงมีชีวิตอยู่ต่อมาได้

ด้วยเหตุนี้ตระกูลเฉิงจึงถือว่าเฉิงอวี้เป็นแก้วตาดวงใจและรักใคร่ทะนุถนอมเขาทั้งครอบครัว

แม้แต่การเรียนก็เชิญครูมาสอนถึงที่บ้าน เขาจึงแทบไม่ได้คบหาใครจากโลกภายนอกเลย

เด็กหลายคนที่เคยเป็นโรคหัวใจ เมื่อโตขึ้นมักจะมีร่างกายอ่อนแอ ทั้งนี้เพื่อให้เฉิงอวี้มีสุขภาพแข็งแรงจึงมีผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพคอยวางแผนการออกกำลังกายให้เขา โดยในแต่ละสัปดาห์จะมีการจัดคลาสฟันดาบและขี่ม้าในปริมาณที่เหมาะสม นักโภชนาการเองก็กำหนดรายการอาหารให้เขา อีกทั้งยังมีแพทย์มาตรวจร่างกายถึงบ้านทุกสองสามวันด้วย

ด้วยการดูแลแบบครบวงจรนี้ทำให้เฉิงอวี้ดูเหมือนแข็งแรงมาก การตรวจร่างกายทุกครั้งไม่พบปัญหาอะไร เขาทั้งสูงและแข็งแรงกว่าเฉิงจื่อเวยที่แก่กว่าสองเดือนเสียอีก แต่การใช้ชีวิตในวัยเด็กแบบตัดขาดจากชีวิตปกติก็ทำให้เขากลายเป็นเด็กที่มีนิสัยรักสันโดษในเวลาต่อมา

เมื่อคนในบ้านเริ่มตระหนักถึงปัญหาที่ว่านี้ ถึงได้ส่งเขาไปเรียนหนังสือ

แต่ด้วยนิสัยแบบนี้ของเฉิงอวี้ พอเข้าโรงเรียนก็ไม่สามารถหาเพื่อนสนิทได้ เขาเย็นชากับทุกคน ทั้งยังไม่ค่อยสนใจการเรียน แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรหรือเกิดจากเหตุการณ์อะไร เฉิงอวี้ถึงพูดว่าอยากเรียนกลองชุดขึ้นมา

พ่อแม่ตามใจเขาทุกเรื่องอยู่แล้ว เรื่องเล็กแค่นี้ย่อมไม่มีทางไม่เห็นด้วย พวกเขาไม่รู้จักเครื่องดนตรีประเภทนี้จึงจ้างครูมาสอน พร้อมทั้งสร้างห้องเก็บเสียงไว้ให้เขาซ้อมตีกลองโดยเฉพาะ

ไม่นานก็ได้ยินว่าเฉิงอวี้เข้าร่วมวงดนตรีอะไรสักอย่าง สมาชิกในวงล้วนเป็นผู้ชายที่อายุมากกว่าเขาสามสี่ปี ว่ากันว่าเพราะหามือกลองฝีมือดีไม่ได้ เลยแหกกฎรับเด็กอย่างเขาเข้ามาเป็นมือกลอง

ตอนแรกทุกคนต่างคิดว่าเป็นเรื่องดีที่เขามีงานอดิเรกแล้ว จนกระทั่งได้ยินว่าวงดนตรีที่พวกเขาตั้งขึ้นชื่อ ‘แรดพิโรธโกรธา’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘แรดพิโรธ’ และหลังจากรู้ว่าเฉิงอวี้ตั้งชื่อในวงการให้ตัวเองว่า ‘เทอร์โบ’ ก็เริ่มรู้สึกว่างานอดิเรกนี้ชักจะไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว

แต่เฉิงอวี้ก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะเป็นมือกลองให้ได้ คนในบ้านเลยตามใจเขาและได้แต่ปล่อยให้เขาเล่นดนตรีที่ไม่เข้าท่าแบบนี้มาตลอด เป็นแบบนี้อยู่หลายปีจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ คนใช้ในบ้านได้เข้ามาพบว่าเฉิงอวี้เป็นลมอยู่ในห้องเก็บเสียงตอนเข้ามาทำความสะอาด

สาเหตุคือขณะตีกลองจังหวะมันเร็วเกินไป เลยทำให้หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ

หมอบอกว่า ‘แม้หัวใจจะยังไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็ต้องเฝ้าดูอาการไปก่อน เครื่องดนตรีประเภทนี้ควรงดเล่นชั่วคราวก่อนจะดีกว่า’

ตอนนั้นคนในบ้านถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วกลองชุดเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้อารมณ์ เฉิงอวี้เล่นมันไม่ใช่เพราะดนตรี แต่เพราะต้องการระบายความรู้สึกที่ไม่อาจระบายที่ไหนได้ต่างหาก

เขาถูกสั่งห้ามไม่ให้แตะต้องกลองชุดและถูกบีบให้ถอนตัวจากวงแรดพิโรธโกรธา ประกอบกับที่ฉู่จิ้นกลับมาจากต่างประเทศพร้อมรางวัลและได้โทรศัพท์จากชิ่งโจวไปยังมาเก๊าพอดี ตระกูลเฉิงจึงส่งเรือยอชต์มารับเฉิงอวี้จากมาเก๊า ข้ามช่องแคบฉยงโจวมายังท่าเรือชิ่งโจว แล้วให้ลุงเว่ยขับรถมารับเขาไปยังอำเภอซานหลิง

เฉิงอวี้เล่นไม้กลองอยู่ในห้อง หมุนไม้สองอันนั้นไปมาอยู่ในมือ เวลาเบื่อๆ เขาจะชอบเล่นแบบนี้ บางทีก็หมุนไม้กลอง บางทีก็เคาะ Pen Beat[1]* เมื่อผ้าม่านถูกเปิดออกก็เห็นสายน้ำไหลเอื่อยอยู่ด้านนอกหน้าต่าง เป็นทิวทัศน์กลางฤดูร้อนที่เขียวชอุ่ม

เขาอยู่ที่ซานหลิงมาได้สักพักแล้ว ความจริงเฉิงอวี้ชอบธรรมชาติอันเงียบสงบแบบนี้มาก เพราะมีแรงบันดาลใจมากมายอยู่รอบตัว

ตาเคาะประตู

“เฉิงอวี้” ตายกกาน้ำชาเข้ามา “มาดมดูสิ ชานี่หอมไหม”

เขาเปิดฝากาแล้วพัดให้กลิ่นลอยไป กระทั่งเฉิงอวี้ได้กลิ่นหอมของชาที่ลอยมาแตะจมูก

“หอมครับ” เขารู้เรื่องชาเสียที่ไหน

“งั้นเดี๋ยวไปเก็บใบชากับตากันเถอะ ชานี่เป็นของที่เจ้าของสวนลิ้นจี่วันนั้นให้มา”

พอได้ยินคำว่า ‘สวนลิ้นจี่’ เฉิงอวี้ก็ช้อนตาขึ้น

ตาพูดต่อ “เขาให้มาหนึ่งห่อ ตาเลยโทรไปถาม ใบชานี่เป็นใบชาที่เพื่อนบ้านเขาปลูก เห็นบอกว่ามีไร่ชาอยู่ตรงไหล่เขาน่ะ” ตาพูดพลางขยิบตา “จื่อเวยยังนอนอยู่ เดี๋ยวเราไปกันสองคน ไม่ต้องชวนเขาหรอก”

 

หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ เซวียโย่วข่าก็ขึ้นไปนอนหลับปุ๋ยอยู่คนเดียวในบ้านต้นไม้

เขาเพิ่งตัดไหมไปเมื่อวาน วันนี้ก็กล้าปีนขึ้นไปนอนบนบ้านต้นไม้แล้ว บ้านต้นไม้หลังนี้ปู่เป็นคนสร้างให้เขาเองกับมือตั้งแต่ยังเล็ก ตัวบ้านสูงราวหนึ่งเมตรสามสิบเซนติเมตร ลึกเข้าไปไม่ถึงหนึ่งเมตรหกสิบเซนติเมตร เหนือประตูแขวนม่านเพื่อกันยุงและแมลงเข้ามารบกวน สำหรับเขาในตอนนี้อาจจะเล็กไปสักหน่อย แต่ถ้าก้มตัวคลานเข้าไปก็พอดีเป๊ะ แน่นอนว่าถ้านอนลงย่อมไม่มีปัญหา

เซวียโย่วข่านอนกอดหมอนอิงสองใบ ขดตัวเล็กน้อย ขณะที่กำลังสะลึมสะลือก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากข้างนอก

“มีใครอยู่ไหม”

เขาลืมตาขึ้นเพียงครึ่งหนึ่ง แสงแดดที่ส่องลอดช่องว่างระหว่างลำต้นของบ้านต้นไม้เข้ามาตกลงบนเปลือกตา

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง “เถ้าแก่ มาซื้อใบชา”

เซวียโย่วข่าตื่นแล้ว จากนั้นเขาก็ปีนลงบันไดแล้วไปเปิดประตูเหล็กบานใหญ่

เขาหาวไปด้วยขยี้ตาไปด้วย “พวกคุณจะมาซื้อใบชาเหรอ”

“หนู ที่บ้านขายใบชาหรือเปล่า ฉันเห็นป้ายตรงข้างทางเขียนว่าใบชา…ตระกูลเซวีย เป็นบ้านพวกเธอใช่ไหม” ตาได้ยินเสียงเขาก็รู้สึกคุ้นหู และพอมองหน้าเขาดีๆ ก็จำได้

“ใช่ ที่บ้านหนูขายใบชา” เซวียโย่วข่ายังลืมตาไม่ค่อยขึ้น เขานอนจนเส้นผมนุ่มๆ ยุ่งเหยิง จากนั้นเจ้าตัวก็เปิดประตูออกกว้างแล้วเชิญแขกเข้ามาข้างใน “อยากได้ใบชาอะไรฮะ กี่จิน”

สายตาของเฉิงอวี้จับจ้องมาที่เขา

ตาจำเขาได้แล้ว “อ้าว หนูนี่เอง”

หือ?

เซวียโย่วข่ามองให้ชัดอีกที ตอนแรกเขายังจำตาคนนี้ไม่ได้ แต่พอเห็นเด็กหนุ่มข้างๆ ถึงได้นึกออก

“สวัสดีคุณลุง”

ลุงคนนี้เป็นคนดี คืนวันนั้นยังชมเขาอยู่เลย แต่พี่ชายคนนี้ไม่ใช่

เซวียโย่วข่าจำได้มาตลอดว่าวันนั้นอีกฝ่ายทวงเงินเขา จำได้ว่าคืนวันนั้นอีกฝ่ายปิดประตูใส่อย่างไม่เกรงใจ อีกทั้งยังจำได้ว่าอีกฝ่ายจะแจ้งตำรวจว่าเขาขโมยของในสวนมัลเบอรี่

“ไม่คิดเลยว่าไร่ชาจะเป็นของบ้านหนูเอง บังเอิญจริงๆ” ตาประทับใจเขามาก น้ำเสียงยิ่งนุ่มนวลขึ้นหลายส่วน “ที่บ้านหนูมีใบชาอะไรบ้าง แล้วไปเก็บชาในไร่ชาได้ไหม”

สองสามปีก่อนตอนที่เซวียโย่วข่ายังไม่ได้ย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอ เขาเคยตามย่าขึ้นเขาไปเก็บชา แต่ตอนนี้ลืมไปนานแล้ว จำได้แค่ว่าเมื่อก่อนร้านขายชาจะมาเก็บใบชาฤดูใบไม้ผลิกับชาหมิงเฉียน[2]* ในช่วงเดือนมีนาคม ราคาน่าจะจินละสิบกว่าหยวน แต่นั่นก็หลายปีแล้ว ขนาดเนื้อหมูยังขึ้นราคาเป็นเท่าตัว แล้วใบชาจะไม่ขึ้นราคาได้อย่างไร

เขาพูดพลางเดินนำเข้าไปด้านใน “ชาไป๋หาวหลิงอวิ๋น[3]* เป็นใบชาที่เก็บก่อนช่วงกู่อวี่[4]** สามสิบหยวนต่อจิน ถ้าพวกคุณจะขึ้นไปไร่ชาต้องซื้ออย่างน้อยสิบจิน ไม่งั้นก็ต้องจ่ายค่าบัตร”

ไร่ชาที่บ้านเขาไม่ใหญ่มาก ตอนเด็กๆ เซวียโย่วข่าชอบไปเล่นซ่อนแอบกับเพื่อนที่นั่น จำได้ว่าเมื่อก่อนเวลามีแขกมาเก็บใบชาช่วงเดือนมีนาคมก็มีกฎเกณฑ์แบบนี้ ถ้าเก็บเยอะจะไม่ต้องจ่ายค่าบัตร แต่ถ้าเก็บน้อยต้องจ่ายค่าชมสวนเพิ่ม

ตาได้ยินเขาพูดเป็นฉากๆ ก็รู้สึกสนใจ เลยถามต่อ “แล้วผู้ใหญ่ในบ้านไปไหนล่ะ”

“ไม่มีใครอยู่บ้านเลย”

“งั้นถ้าผู้ใหญ่ไม่อยู่ หนูจะพาเราไปไร่ชาได้เหรอ”

“หนูพาพวกคุณไปได้นะ ไม่ไกลเลย!” วันนี้เซวียโย่วข่าใส่กางเกงที่ย่าเย็บให้ใหม่ เป็นผ้าฝ้ายผสมลินิน ขากางเกงหลวมใส่สบาย

“ขอเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าผ้าใบก่อนนะ” พาแขกสองคนไปเก็บใบชาในไร่ อย่างน้อยน่าจะได้สักสิบยี่สิบหยวน ไหนๆ วันนี้ก็ไม่มีใครอยู่บ้าน งั้นขอหาเงินค่าขนมสักหน่อยแล้วกัน

เขาเปลี่ยนรองเท้าเรียบร้อยก็สวมหมวกชาวประมงกันแดดแล้วล็อกประตูบ้าน ก่อนจะแบกอุปกรณ์เก็บใบชาพาแขกเดินขึ้นเขาไป

หลังจากตัดไหม ตอนนี้เขาเดินขึ้นเขาได้โดยไม่มีปัญหาแล้ว

เซวียโย่วข่าได้ยินผู้อาวุโสถามตนเอง “หนู อายุเท่าไรแล้วล่ะ”

เมื่อคราวก่อนเขาโกหกไว้หรือเปล่านะ

เซวียโย่วข่าจำไม่ได้แล้ว เขากลอกตาไปมาก่อนจะบอกว่าตัวเองอายุสิบสาม

ความจริงเขาเพิ่งฉลองวันเกิดอายุสิบเอ็ดไปเมื่อครึ่งเดือนก่อนเอง

“งั้นก็อายุน้อยกว่าเฉิงอวี้ของบ้านเราหนึ่งปี พี่ชายคนนี้อายุสิบสี่แล้วนะ” ตาชี้ไปทางหลานชายที่สูงเกือบจะเท่าตัวเองแล้ว “แล้วหนูชื่ออะไรล่ะ”

“เซวีย…” เขาระวังตัวขึ้นมา “เซวียหลี่ฉิง”

ต่อให้ดูแล้วจะไม่เหมือนคนไม่ดี แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้ เขาเคยดูรายการกฎหมาย คนร้ายไม่มีทางบอกว่าตัวเองเป็นคนร้าย ยิ่งไปกว่านั้นคือเซวียโย่วข่าไม่รู้จักพวกเขาด้วย

เดิมทีตายังไม่มั่นใจว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้หญิงก็ดูทะมัดทะแมงเกินไป แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้ชาย หน้าตาก็ละมุนเกินไป แถมเสียงยังหวานอีก ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เจอเมื่อค่ำวันก่อนยังใส่กระโปรงด้วย ตอนนี้พอมาได้ยินชื่อ ถึงค่อยมั่นใจว่าเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ

ตาถามเขาอีกว่าขึ้นเขาต้องเดินไปนานเท่าไร เซวียโย่วข่าก็บอกว่ายี่สิบนาที

“ผืนข้างบนตรงนั้น เห็นไหม” เขาชี้ไปยังหย่อมสีเขียวเข้มที่เว้าลงไปกลางภูเขา ตรงนั้นคือไร่ชาของตระกูลเซวีย

เส้นทางบนเขาสร้างจากหินธรรมชาติเลยเดินยากเล็กน้อย แถมเมื่อคืนฝนตกถนนหินเลยลื่นอีกทั้งยังมีโคลนจึงทำให้ลื่นง่ายมาก

เซวียโย่วข่ายังเจ็บอยู่นิดหน่อยจึงเดินช้า เขายังตะโกนบอกให้ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหน้าค่อยๆ เดิน “คุณลุง อย่าเดินเร็วเกินไปสิ โค้งข้างหน้ามีหินกลมก้อนหนึ่ง มันลื่นง่ายมากเลยนะ…”

“ฉันใส่รองเท้าปีนเขามา กันลื่นอยู่แล้ว ปกติฉันก็ชอบปีนเขา ไม่ค่อยล้มหรอก แต่ทางบนเขาแบบนี้พวกเธอก็เดินลำบากจริงๆ นั่นแหละ” ตาจงใจพูดด้วยสำเนียงติดภาษาถิ่นเล็กน้อยกับเขา จากนั้นก็ก้าวขาเดินข้ามไป “ว่าแต่หนูไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณลุงหรอก ฉันแซ่ฉู่ เรียกลุงฉู่ก็ได้”

เซวียโย่วข่าเพิ่งเตือนอีกฝ่ายจบ แต่ปรากฏว่าตอนที่ตัวเองเดินขึ้นไปดันเหยียบพลาดเสียเอง เจ้าตัวร้องเสียงหลง ในขณะที่ก้นกำลังจะกระแทกพื้น เฉิงอวี้ที่เดินตามหลังก็ยื่นมือออกมาอย่างรวดเร็ว เขาเหยียดแขนออกไปประคองหลังของคนเด็กกว่าเอาไว้อย่างมั่นคง

ผ่านไปหลายวินาที…

“ไอ้หยา เป็นอะไรไหม” ลุงฉู่ที่เดินอยู่ข้างหน้ายื่นมือมาช่วยฉุดเขาขึ้น เฉิงอวี้จึงผละมือออกทันที

เซวียโย่วข่าพูดขอบคุณเบาๆ

เฉิงอวี้ยังคงมีสีหน้าเย็นชา “อืม”

เซวียโย่วข่ามีประสบการณ์เรื่องนิสัยเข้ากับคนยากของอีกฝ่ายมาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วเลยไม่ได้ใส่ใจ

เส้นทางหลังจากนั้นเดินง่ายขึ้นมาก พอถึงไร่ชาเซวียโย่วข่าก็พูดว่า “ฤดูร้อนไม่ใช่ช่วงที่ดีในการเก็บชา เพราะอากาศร้อนใบชาก็เลยจะขม”

เขาเองก็ไม่รู้เหตุผลหรอก แค่เคยได้ยินปู่พูดไว้แบบนี้

ลุงฉู่ชมเขา “หนูนี่รู้อะไรเยอะจริงๆ เลยนะ”

เซวียโย่วข่าโบกมืออย่างถ่อมตัว “ไม่เยอะหรอก ไม่เยอะเลย”

อันที่จริงตาไม่ได้ตั้งใจจะมาเก็บชาฤดูร้อนอยู่แล้ว เหตุผลที่มาเพราะวิวบนเขาสวยมาก อากาศในไร่ชาก็หอมสดชื่น จากตรงนี้ยังมองเห็นตัวอำเภอซานหลิงได้ทั้งเมืองด้วย

เมื่อมองจากที่สูงแบบนี้ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างในด้านสิ่งก่อสร้างและวัฒนธรรมระหว่างเมืองเก่ากับเมืองใหญ่ชัดเจนมาก

เขาตั้งใจพาเฉิงอวี้ออกมาสูดอากาศโดยเฉพาะ

เพื่อให้เด็กคนนี้อารมณ์ดีขึ้น ช่วงนี้เลยต้องคิดหาสารพัดวิธี สิ่งที่เด็กผู้ชายทั่วไปชอบเฉิงอวี้กลับไม่สนใจ ตาเลยต้องหาข้ออ้างขอให้อีกฝ่ายออกมาข้างนอกเป็นเพื่อนตน แต่เฉิงจื่อเวยก็มักจะตามมาด้วยเสมอ ด้วยเหตุนี้เฉิงอวี้จึงมีท่าทีเหมือนเดิมและไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก

เซวียโย่วข่าสอนลุงฉู่ว่าเก็บใบชาอย่างไร ใบชาแบบไหนถึงจะเก็บได้แล้วก็หยิบกรรไกรเตรียมจะไปสอนเฉิงอวี้ แต่เฉิงอวี้ที่ยืนอยู่กลางไร่ชากลับพูดว่า “ไม่ต้องสอน ฉันไม่เก็บใบชา”

“อ้อ…”

ลมบนเขาพัดมาเซวียโย่วข่าไม่อยากไปยุ่งกับเขาเหมือนกันจึงหยิบนิตยสารการ์ตูนเล่มเก่าออกมาจากกระเป๋าเป้

เขาเดาได้อยู่แล้วว่าขึ้นเขาจะต้องน่าเบื่อ เลยเตรียมสิ่งของฆ่าเวลาเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

นิตยสารการ์ตูนเล่มนี้เขายืมมาจากหู่ผีก่อนหน้านี้ เซวียโย่วข่าอ่านไปได้สักพักก็สังเกตว่าเฉิงอวี้กับลุงฉู่ไปหาที่นั่งพักตากลม ชมทิวทัศน์ด้านล่างภูเขาแล้ว

เซวียโย่วข่าเดินผ่านไร่ชาเขียวชอุ่มไปถาม “เก็บได้เท่าไรแล้ว จะเก็บต่อไหม”

ตาตอบว่า “ไม่เก็บแล้ว แต่พักอีกหน่อยแล้วกัน วิวที่นี่สวยจริงๆ เดี๋ยวลงเขาแล้วจะไปซื้อชาฤดูใบไม้ผลิของบ้านเธอนะ ซื้อสิบจินเลย”

สิบจิน!

ตั้งสามร้อยหยวน!

เซวียโย่วข่าโชว์ยิ้มแฉ่งทันที เขานั่งลงข้างๆ พร้อมตีสนิทกับอีกฝ่าย “ลุงฉู่ ลุงไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหม”

“ไม่ใช่หรอก แต่ยายของเด็กคนนี้เป็นคนที่นี่ พอเธอจากไป ฉันก็ไม่ค่อยได้กลับมา”

เซวียโย่วข่าพยักหน้าคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจแล้วถามต่อ “ลุงฉู่ราศีอะไรเหรอ”

“ราศี?” ฉู่จิ้นไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่เขาชอบเด็กคนนี้มากเลยตอบไปอย่างสนอกสนใจ “ช่วยดูให้ลุงหน่อยซิว่าลุงอยู่ราศีอะไร”

เซวียโย่วข่าเปิดนิตยสารการ์ตูน “ลุงเกิดวันไหน”

“ลุงเกิดวันที่สิบมกรา”

“สิบมกรา งั้นลุงอยู่ราศีมังกร คำทำนายราศีนี้เขียนไว้ว่า ‘บอกลาจังหวะชีวิตที่วุ่นวาย ช่วงนี้จะได้พักผ่อนมากขึ้น…’ ” เซวียโย่วข่าอ่านดวงชะตาให้เขาฟัง

ลุงฉู่เอ่ย “แม่นมากเลย งั้นเธอราศีอะไรล่ะ”

“ราศีเมถุน คำทำนายบอกว่าอาทิตย์นี้จะมีโชคแบบไม่คาดคิด”

ตาหัวเราะแล้วพูดอีกว่า “งั้นช่วยดูให้พี่เขาหน่อยสิ เขาเกิดวันที่ยี่สิบเก้าตุลา”

เซวียโย่วข่าดูจะไม่ค่อยเต็มใจนัก “ยี่สิบเก้าตุลา…” เขาเลื่อนสายตาไปตรงช่องของราศีพิจิก “อืม เขียนว่า…คนโสดจะมีดวงความรักวนเวียนอยู่รอบตัว ให้สังเกตคนรอบตัวดูก็ได้”

ลุงฉู่หัวเราะลั่นพลางชี้เฉิงอวี้ “ดูพี่คนนี้สิ ยิ้มเขาก็ไม่ยิ้ม จะมีดวงความรักมาจากไหน”

“แต่พี่เขาหล่อมากเลยนะ”

เฉิงอวี้หันไปมองเขาทันที

เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจังมาก

เซวียโย่วข่าเคยช่วยย่าขายลูกพีชริมทาง ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องกลเม็ดการค้าดี

เวลาเจอลูกค้ากระเป๋าหนัก ถ้าอยากให้พวกเขาใช้จ่ายเงินเยอะๆ ต้องปากหวานหน่อย ดีที่สุดคือชมลูกหลานของเขา เซวียโย่วข่าซึมซับเรื่องพวกนี้มาจนรู้อยู่ไม่น้อย ต่อให้เป็นเด็กหน้าตาน่าเกลียดน่าชังอย่างไร ย่าก็จะชมว่าหน้าตาดูเฉลียวฉลาดจริงๆ อยู่ดี

 

[1]* Pen Beat คือการเลียนแบบเสียงกลองชุดผ่านการเคาะปากกาและมือในตำแหน่งที่ต่างกัน

[2]* ชาหมิงเฉียน หมายถึงใบชาฤดูใบไม้ผลิที่เก็บก่อนเทศกาลเช็งเม้ง

[3]* ชาไป๋หาวหลิงอวิ๋น คือใบชาที่มีลักษณะเรียวยาวเหมือนเข็มและมีสีขาวเงิน รสของชามีความนุ่มละมุน กลิ่นหอมสดชื่น

[4]** ช่วงกู่อวี่ เป็นช่วงสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิ ราวสัปดาห์ที่สองและสามของเดือนเมษายน

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com