everY
ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 4-6 #นิยายวาย
บทที่ 6
พอลงเขาเซวียโย่วข่าก็ใช้เครื่องชั่งดิจิตอลช่วยพวกเขาชั่งใบชาสิบจิน จากนั้นก็รับเงินมาสามร้อยหยวนถ้วน
เขาไม่ค่อยได้เห็นเงินมากขนาดนี้ ธนบัตรสีชมพูรูปท่านประธานเหมาสามใบทำให้รอยยิ้มบนหน้าของเขาเปล่งประกายยิ่งขึ้นราวกับดวงอาทิตย์ดวงน้อย
“ขอบคุณลุงฉู่! ไว้เจอกันใหม่!” เขายังโบกมือให้เฉิงอวี้ด้วย “บ๊ายบายพี่ชาย!”
แขกที่มาซื้อชาเพิ่งไป ปู่กับย่าก็กลับมาถึง หลังปู่ลงจากรถสามล้อเก่าๆ ก็ตะโกนว่า “หมี่หมี่! ปู่ซื้อของอร่อยมาให้แล้ว!”
เซวียโย่วข่ารีบวิ่งออกมา ก่อนจะเห็นว่ามันเป็นถุงที่มีข้าวซอยตัดกับของกินเล่นอีกหลายอย่าง
“แม่ของหลานไม่ให้ปู่ซื้อลูกอมให้ บอกว่าฟันหลานผุแล้ว”
เซวียโย่วข่าสีหน้าหม่นหมอง หยิบข้าวซอยตัดหนึ่งถุงมาถือไว้เงียบๆ “ขอบคุณฮะปู่ ข้าวซอยตัดหนูก็ชอบกินเหมือนกัน”
ปู่ค้อมตัวลูบศีรษะเขา ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นรองเท้าที่เปื้อนโคลนของเด็กหนุ่ม “ออกไปเที่ยวเล่นมาเหรอ ทำไมรองเท้าเปื้อนโคลนไปหมดเลย”
“อ่า…อันนี้เหรอ คือว่า…” เซวียโย่วข่าซ่อนเงินร้อนๆ สามร้อยหยวนไว้ในกระเป๋า แต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่นิดๆ หลังลังเลอยู่สองสามวินาที สุดท้ายก็หยิบเงินออกมา
เซวียโย่วข่าเล่าทุกอย่างออกมาอย่างละเอียด
“หลานบอกว่าเท่าไรนะ สิบจิน? ชาที่บ้านเราปกติร้านชาจะมารับซื้อในราคาแปดสิบหยวน ลูกค้าขาจรมาซื้อแบบขายส่งยี่สิบห้าหยวน หลานขายไปจินละสามสิบเหรอ แถมยังขายตั้งสิบจินเนี่ยนะ” ปู่ถือธนบัตรร้อยหยวนสามใบอย่างตกตะลึง
หลานชายของเขานี่ช่างมีฝีมือจริงๆ
เซวียโย่วข่าพูดตะกุกตะกัก “ก็…หนูคิดว่าราคาสามสิบหยวน หลายปีก่อนก็สิบกว่าหยวนไม่ใช่เหรอ พวกเขาไม่ใช่คนท้องที่ด้วย ได้กำไรเพิ่มอีกห้าหยวนยังดีกว่าขาดทุนนะปู่ ว่าไหม”
ไม่เพียงเท่านั้นยังย้อนถามกลับมาด้วย
ปู่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เลยให้หลานพาตนเองไปดูว่าขายใบชากล่องไหนไป เซวียโย่วข่าชี้ไปที่กล่องหนึ่งตรงมุมห้อง
“หนูเห็นกล่องนี้เปิดอยู่ กล่องอื่นยังปิดสนิทหมด หนูเลยตักจากกล่องนี้ให้ลูกค้าไปสิบจิน”
“หลานปู่นี่นะ ไปขายชาเก่าเมื่อสองปีก่อนให้เขาได้ยังไง”
“หา? อันนั้นเป็นชาเก่าเหรอ” เซวียโย่วข่าเกาศีรษะ “งั้นหนู…หนูไม่รู้จริงๆ ดูไม่ออกเลย แล้วจะทำยังไงดีล่ะปู่ เขาจะหาว่าพวกเราหลอกขายของหรือเปล่า”
“พวกเขาไม่ใช่คนที่นี่เหรอ มีเบอร์โทรไหม หรือได้บอกไหมว่าไปรู้จักไร่ชาของเราจากที่ไหน”
“หนูรู้ว่าบ้านพวกเขาอยู่ไหน อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำนี่เอง หนูเคยไปมาแล้ว!”
เช้าวันถัดมาย่าจัดชาใหม่สิบจินแล้วถือกันไปคนละถุงกับเซวียโย่วข่า พอข้ามสะพานไปเซวียโย่วข่าก็นำทาง
“บ้านสวยๆ หลังนั้นไง ที่ปลูกดอกไม้เยอะๆ น่ะ”
ย่าจำได้เลาๆ เพราะที่ดินตรงนั้นเคยเป็นของคนท้องที่สักคน แต่ขายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้วทุบบ้านหลังเดิมสร้างบ้านหลังใหม่ กลายเป็นคฤหาสน์สวยงามไม่เหมือนบ้านในชนบทเลยสักนิด แต่หลังจากสร้างเสร็จก็เหมือนจะไม่เคยเห็นใครมาอยู่จึงไม่รู้ว่าใครซื้อไป
ย่ากับเซวียโย่วข่าเดินไปสักพัก ด้วยความที่คุ้นเคยกับเส้นทางแถวนี้ดี ไม่นานก็หาคฤหาสน์หลังนั้นเจอ
ดอกวิสทีเรียร่วงโรยไปหมดแล้ว ในฤดูร้อนกำแพงบ้านมีต้นไอวี่สีเขียวเข้มเกาะอยู่ ต้นไม้เขียวชอุ่มล้วนเป็นสายพันธุ์ล้ำค่าและหายาก
“หลังนี้เหรอ” ย่าถาม
“ใช่ หนูเคยมาแล้ว” เซวียโย่วข่าเขย่งเท้ามองแต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงวางถุงชาไว้บนขั้นบันไดแล้วเคาะประตู
“ใครน่ะ”
ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน
ลุงเว่ยเปิดประตูแค่ครึ่งบาน เมื่อเห็นหญิงชราก็เอ่ยถาม “ขอโทษครับ คุณคือ?”
จากนั้นเขาก็เห็นเด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ
ย่ายกถุงชาขึ้นมาเป็นการให้สัญญาณแล้วอธิบายด้วยภาษาถิ่น “คืออย่างนี้ค่ะ พวกเราเป็นเจ้าของไร่ชาตระกูลเซวีย หลานชายฉันบอกว่าเมื่อวานพวกคุณมาซื้อใบชาไปแต่ดันขายผิด ใบชาพวกนั้นเป็นชาเก่า พวกเราเลยตั้งใจเอาใบชาใหม่มาเปลี่ยนให้ค่ะ”
เธอพูดด้วยภาษาถิ่น ซึ่งลุงเว่ยฟังรู้เรื่องแค่ครึ่งเดียว “อ้อๆ ใบชาเหรอครับ!”
เมื่อวานเฉิงอวี้กับตาเขาหิ้วใบชากลับมาเยอะมาก ลุงเว่ยยังสงสัยอยู่ว่าซื้อมาทำไมเยอะขนาดนี้
“มาๆๆ เข้ามาข้างในก่อนครับ!” เขาเชิญสองย่าหลานเข้าไปในบ้านแล้วตะโกนเสียงดัง
นี่เป็นครั้งแรกที่เซวียโย่วข่าได้เข้ามาข้างใน เขามองสำรวจคฤหาสน์หลังนี้ ส่วนลึกในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ปากอ้าค้างเล็กน้อย
ที่แท้ข้างในก็เป็นยิ่งกว่าสรวงสวรรค์ มันสวยมาก เขาไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี แต่นี่คือบ้านที่เงียบสงบและสวยที่สุดที่เขาเคยเห็นมา ลานบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ชายคางอนเชิดและมีระเบียงทางเดินยาวเหยียด เสาคานได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรประณีต ลานหน้าบ้านยิ่งสวยงาม แผ่นหินที่จัดวางอย่างละเอียดด้วยความใส่ใจปกคลุมไปด้วยมอสส์สีเขียว เมื่อประกอบกับภูเขาหินจำลอง ต้นสน โคมไฟหิน รูปปั้นสัตว์หมอบ และอ่างล้างมือแบบญี่ปุ่นแล้วก็เกิดเป็นทัศนียภาพธรรมชาติขนาดย่อม ลานบ้านกับพื้นที่ในบ้านเป็นแบบกึ่งเปิด ภายในตกแต่งอย่างทันสมัยมาก ผนังคอนกรีตเปลือย โซฟาหนังสีดำ เป็นสไตล์วาบิซาบิ[1]* ที่หวนคืนสู่ธรรมชาติและสวนภูเขา[2]** ผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อเซวียโย่วข่าเงยหน้าขึ้นมองก็สบตากับคนที่อยู่บนชั้นสองพอดี สายตาของพวกเขาประสานกันกลางอากาศ
เขาพบว่าเป็นพี่ชายที่เจอเมื่อวาน คิดไปคิดมาเลยโบกมือให้
สายตาของเฉิงอวี้หยุดอยู่ที่เขาครู่หนึ่งจากนั้นก็ละสายตาออก ก่อนจะใส่หูฟังทำเพลงของตัวเองในคอมพิวเตอร์ต่อ
ฉู่จิ้นออกมาต้อนรับแขก “อ้าว หนูเองเหรอ”
“สวัสดีลุงฉู่” เซวียโย่วข่าทักทายก่อนจะอธิบายเหตุผลที่มา “เมื่อวานหนูขายผิด เผลอขายชาเก่าให้ลุงไป อันนี้เป็นชาใหม่จากบ้านพวกเราเอง”
“พวกเธอตั้งใจมาเลยเหรอ” เมื่อฉู่จิ้นเห็นว่าย่าของเซวียโย่วข่าหลังค่อม แถมหน้าผากยังมีเหงื่อซึมก็อดทอดถอนใจกับความซื่อสัตย์ของคนชนบทออกมาหนึ่งประโยคไม่ได้
เขาเชิญให้ทั้งสองคนนั่งพักตรงมุมร่มรื่นของลานบ้าน
ลุงเว่ยชงชาผู่เอ๋อร์[3]*** แล้วยกมาให้ ส่วนย่าหยิบธนบัตรห้าสิบหยวนหนึ่งใบออกมาจากกระเป๋าหูรูด
“เด็กคนนี้ยังตั้งราคาผิดอีก ชาไป๋หาวหลิงอวิ๋นนี่สิบจินจะถือว่าขายส่ง จินละยี่สิบห้าหยวน เขารับมาสามร้อย ได้เพิ่มมาห้าสิบหยวน เด็กมันไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ ฉันขอโทษแทนเขาด้วย พวกเราทำการค้าอย่างซื่อสัตย์ ไม่หลอกลูกค้าเด็ดขาด”
ฉู่จิ้นฟังภาษาท้องถิ่นที่นี่เข้าใจประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาเลยแค่ยิ้มตอบ “เด็กบ้านคุณอุตส่าห์พาพวกเราขึ้นเขาไปเก็บใบชา แถมยังเด็ดใบชากลับมานิดหน่อยด้วย เรื่องนี้เขาไม่ได้เก็บเงินเลย ห้าสิบหยวนนี่ไม่ต้องคืนหรอกครับ พวกเราต่างหากที่ได้กำไร พวกคุณถือถุงใบชาหนักๆ มาส่งถึงที่แบบนี้ไม่ง่ายเลย ดื่มชาพักเหนื่อยกันก่อนเถอะครับ ปกติผมชอบดื่มชาอยู่แล้ว บ้านคุณดูแลใบชาพวกนี้เป็นอย่างดี คุณภาพสูงมากเลย”
เซวียโย่วข่านั่งอยู่ข้างๆ ค่อยๆ จิบชาทีละนิด ทว่าเขาดื่มแล้วไม่รู้รสอะไรเลยนอกจากรู้สึกว่าลวกปาก
ลุงเว่ยเห็นเข้าเลยไปหยิบเครื่องดื่มจากตู้เย็นมาให้ขวดหนึ่ง
เครื่องดื่มนี้ฉู่จิ้นซื้อไว้ให้เฉิงอวี้ แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงอวี้ไม่กินขนมและยิ่งไม่ดื่มเครื่องดื่มด้วย
เซวียโย่วข่ารับน้ำส้มขวดนั้นมาพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณลุง
ลุงเว่ยหัวเราะ “ขนมอยู่ชั้นบนหมดเลย เดี๋ยวลุงพาขึ้นไปเล่นบนบ้านดีไหม”
เซวียโย่วข่าหันไปมองย่า
ย่าส่ายหน้าไม่เห็นด้วย ถ้าเป็นบ้านเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยคงไม่เป็นไร แต่ครอบครัวนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา แบบนี้แล้วจะปล่อยให้หลานวิ่งซนตามอำเภอใจในบ้านคนอื่นได้อย่างไร
ฉู่จิ้นพูดขึ้นว่า “พี่ชายเล่นคอมฯ อยู่ในห้องชั้นบน ไปเล่นกับพี่เขาไหม”
พอได้ยินคำว่า ‘เล่นคอมฯ’ เซวียโย่วข่าก็พูดขึ้นทันที “ไป! หนูจะขึ้นไปเล่นกับพี่!”
ฉู่จิ้นขบขัน “งั้นไปเลยๆ”
“ย่า…หนูไปได้ไหม” เซวียโย่วข่าจับแขนเสื้อย่าไว้
ย่าก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรดี “อย่าไปยุ่งกับของคนอื่นมั่วซั่วนะ”
“รู้แล้ว!”
หลังจากนั้นลุงเว่ยก็พาเขาขึ้นไปข้างบน ก่อนจะเคาะประตูห้องที่เปิดอยู่
ลุงเว่ยยืนถามอยู่ข้างประตู “เสี่ยวอวี้ น้องสาวมาหาแน่ะ”
เซวียโย่วข่าอยากจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่น้องสาว แต่กลับถูกคอมพิวเตอร์บนโต๊ะของพี่ชายดึงดูดความสนใจไปจนหมด
ว้าว โน้ตบุ๊ก!!
เซวียโย่วข่าไม่เคยเห็นคอมพิวเตอร์ที่สวยขนาดนี้มาก่อน เขาเคยเห็นแต่คอมพิวเตอร์ของบริษัทชิงหวาถงฟางซึ่งเครื่องใหญ่เทอะทะ ส่วนคอมพิวเตอร์ในห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนกับที่บ้านของหู่ผีก็ล้วนเป็นเครื่องตั้งโต๊ะขนาดใหญ่
ดวงตาสองข้างของเขาเปล่งประกาย แต่ในเมื่อเจ้าของห้องยังไม่เอ่ยปาก เขาก็ไม่กล้าเข้าไปและได้แต่ยืนอยู่หน้าประตู
เฉิงอวี้นั่งลงบนเก้าอี้ ขณะหมุนตัวมาครึ่งรอบก็เห็นดวงตาเป็นประกายอย่างน่ารักของอีกฝ่ายเข้าพอดี หลังผ่านไปหลายวินาทีก็พูดขึ้น
“เข้ามาสิ”
เซวียโย่วข่าถึงพุ่งตัวเข้าไป
แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มีคนโผล่มาที่หน้าประตู “สาวน้อย! พี่มีมือถือนะ เล่นไหม”
เซวียโย่วข่าเงยหน้ามอง ที่แท้ก็เป็นพี่ชายยิ้มเก่งคนนั้นที่เจอกันบนรถเมื่อคืนวันก่อน
“มีมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบให้กินด้วยนะ”
เฉิงจื่อเวยยืนพิงกรอบประตูพลางกระดิกนิ้วเรียกเซวียโย่วข่า
เขารู้สึกเบื่อสุดๆ ที่ต้องอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเอาหน้าต่อหน้าตาและแสดงบทบาทพี่ชายแสนดีของเฉิงอวี้ ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่ยอมมาใช้เวลาช่วงปิดเทอมหน้าร้อนในที่ห่างไกลและทุรกันดารแบบนี้แน่
เซวียโย่วข่าเงยหน้ามองเฉิงอวี้ที่มีสีหน้าเย็นชา แล้วหันไปมองเฉิงจื่อเวยที่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม
เขาตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าคนยิ้มยากคนนั้นไม่ยินดีต้อนรับเขานี่นา
เซวียโย่วข่าเดินตามเฉิงจื่อเวยไปโดยไม่แม้แต่จะคิด ตอนลุงเว่ยถือขนมเข้ามาก็พบว่าเด็กคนนั้นหายไปแล้ว พอถามเฉิงอวี้เขาตอบมาแค่ว่า “อยู่ห้องข้างๆ”
ถ้าตั้งใจฟังจะได้ยินว่าห้องข้างๆ กำลังพูดคุยกันจริงๆ
ลุงเว่ยปวดหัวนิดหน่อย เฉิงจื่อเวยนี่ต่อให้แสดงออกอย่างสุภาพมากแค่ไหน แต่ก็มีนิสัยชอบแก่งแย่งมาตั้งแต่เกิด ทำให้เขาชอบแย่งชิงกับเฉิงอวี้โดยไม่รู้ตัว ต่อให้เป็นเรื่องไม่สำคัญก็ยังอยากจะแย่งมา
ห้องในบ้านเก็บเสียงไม่ค่อยดีเท่าไร หลังลุงเว่ยออกไปแล้ว เฉิงอวี้ก็ได้ยินเสียงพูดคุยจากห้องข้างๆ
“สาวน้อย เธออายุเท่าไรแล้ว”
“อืม…สิบสาม” เซวียโย่วข่าก้มหน้ากินมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบพลางใช้มือถือของเขาเล่นเกมจับคู่
“โอ้ สิบสามแล้วเหรอ” เฉิงจื่อเวยเท้าคางมองประเมินเซวียโย่วข่าด้วยรอยยิ้มขี้เล่น เขาไม่เคยมาอำเภอเล็กๆ และล้าหลังแบบนี้มาก่อน ในหมู่บ้านไม่เห็นจะมีสาวสวยประจำอำเภอเลยสักคน แต่เด็กตรงหน้าคนนี้ แม้จะผมสั้น สวมเสื้อผ้าเชยๆ แต่หน้าตาสะสวยมาก ผิวขาวเหมือนเครื่องลายคราม ในที่สุดเฉิงจื่อเวยก็เจอสิ่งน่าสนใจในชีวิตที่แสนน่าเบื่อนี้
ตอนเขาก้มหน้าลง ได้มองเข้าไปในคอเสื้อหลวมๆ ของเด็กสาวอย่างไม่ตั้งใจ
ทำไมถึงแบนล่ะเนี่ย
“ยัยหนู” จู่ๆ เฉิงจื่อเวยก็เอ่ยขึ้น “ทำไมเธอไม่ใส่เสื้อชั้นใน ตั้งใจเหรอ หรือว่าแม่ไม่ซื้อให้”
กร๊อบ
มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบในปากของเซวียโย่วข่าแตกละเอียด ตอนได้ยินคำว่า ‘เสื้อชั้นใน’ เขาทึ่มทื่อไปหนึ่งวินาทีถึงค่อยได้สติกลับมา…คนคนนี้คิดว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ
เซวียโย่วข่าเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วยิ้มหวาน “พี่เคยดูรายการ ‘กฎหมายวันนี้’ ไหม”
“กฎหมายวันนี้? เคยดูนะ ทำไมเหรอ”
“ฉันว่าวันหนึ่งในอนาคตพี่ต้องได้ไปออกรายการนี้แน่ พี่รู้จักคำว่านักโทษคดีข่มขืนไหม ฉันว่าพี่ดูคล้ายอยู่นะ”
เฉิงจื่อเวยตาโตปากอ้าค้าง
“แม่สอนมาตั้งแต่เด็กว่าห้ามล่วงเกินเด็กผู้หญิง ต้องให้เกียรติเด็กผู้หญิง”
ดูเหมือนท่าทางจริงจังของเซวียโย่วข่าจะทำให้เฉิงจื่อเวยรู้สึกขำจนต้องงอตัวลงไปหัวเราะกลิ้งบนพื้น
“แถมพี่ยังเป็นบ้า สมองมีปัญหาอีก!” ถึงแม้เซวียโย่วข่าจะไม่ใช่ผู้หญิง แต่เขาก็ไม่มีทางพูดจาแบบนี้กับผู้หญิงเด็ดขาด
ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดจากด้านนอก เฉิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“คืนนี้นายไสหัวไปซะ”
ทั้งสองคนหันไปมองเฉิงอวี้พร้อมกัน
“นายพูดถึงฉันเหรอ” เฉิงจื่อเวยหยุดหัวเราะทันที
“เดี๋ยวให้ลุงเว่ยไปส่งนายที่สนามบิน” เฉิงอวี้สีหน้าเย็นยะเยือก มุมปากยังมีรอยยิ้มเย้ยหยัน “ฉันโทรหาปู่แล้ว ตั๋วก็จองไว้เรียบร้อยแล้วด้วย ถ้านายยังอยู่ที่นี่ต่อ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะได้ออกข่าวกฎหมายก็ได้”
เฉิงจื่อเวยหน้าเปลี่ยนสีทันที “เฉิงอวี้ ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องของนายนะ!”
“ฉันเป็นพ่อนายไง” พูดจบก็หันไปกวักมือเรียกเซวียโย่วข่า “เธอออกมานี่สิ”
เซวียโย่วข่าตกตะลึง ก่อนจะได้สติในวินาทีต่อมาและรีบโยนมือถือของคนโรคจิตทิ้ง ตอนเดินออกไปยังไม่ลืมคว้าถุงมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบที่ยังกินไม่หมดติดมือมาด้วย
ตอนแรกเฉิงอวี้จะพาเขาลงไปข้างล่าง แต่จู่ๆ ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เลยพาเขาเข้าไปในห้องแทน
“เมื่อกี้เขาแตะตัวเธอหรือเปล่า”
เซวียโย่วข่าส่ายหน้า
“ไม่แตะก็ดีแล้ว” เฉิงอวี้เห็นรอยแดงบนคอเขา พอมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นรอยยุงกัด
เซวียโย่วข่าพูดเสียงเบา “ลูกพี่ลูกน้องของพี่ไม่ใช่คนดีเลย”
เฉิงอวี้ยิ้มบางพลางมองมือที่แม้จะกำลังหยิบมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่สายตาก็ยังมองไปที่กองขนมที่ลุงเว่ยเอาเข้ามาเมื่อครู่ด้วยความหิว โดยสายตานั้นแทบจะติดอยู่กับซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั่นอยู่แล้ว
พอนึกถึงว่าเซวียโย่วข่าเพิ่งโดนเฉิงจื่อเวยคุกคาม ในที่สุดเฉิงอวี้ก็มีจิตสำนึกขึ้นมานิดๆ อีกทั้งยังรู้สึกผิดขึ้นมา
“กินเลย”
ตั้งแต่ผ่าตัดมา ของอร่อยที่สุดที่เซวียโย่วข่าเคยกินมีแค่เนื้อแผ่นชิ้นใหญ่กับข้าวซอยตัด เวลานี้เขาถึงกับซาบซึ้งจนน้ำตาจะไหล
เขากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพลางพูดว่า “พี่ คอมพิวเตอร์พี่สวยจังเลย”
“อืม”
เขาไม่ชินกับการทำเพลงโดยที่มีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ ดังนั้นบนหน้าจอเลยเป็นหน้าเสิร์ชเอ็นจิ้นเหมือนกับว่ากำลังหาข้อมูล แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ดูอะไรเลย
เซวียโย่วข่าถามเขา “พี่ คอมฯ พี่ต่อเน็ตได้ไหม”
“อืม”
แสงแดดร้อนแรงลอดผ่านช่องว่างระหว่างผ้าม่านเข้ามา เงาของต้นไม้ที่เป็นลายๆ ตกลงบนร่างเฉิงอวี้ แม้แต่ไฝน้ำตาบนใบหน้าก็ยังดูเหมือนกับว่าจะเปล่งแสงเรืองๆ
“ต่อเน็ตได้จริงๆ ด้วย!”
สวรรค์! นี่มันสวรรค์ชัดๆ!
เซวียโย่วข่ากะพริบตาปริบๆ มองเขา “งั้น…งั้นวันหลังฉันมาอีกได้ไหม พอดีอยากโหลดเพลงหน่อย”
พอเครื่องเล่นเอ็มพีสามของเขาโดนเกาเกาแตะเข้าวันนั้น เพลงข้างในก็ถูกลบไปจนหมด และเนื่องจากเกาเกาเป็นโรคหอบหืด เซวียโย่วข่าเลยไม่เคยกล้าดุเขา ด้วยกลัวว่าเขาจะแกล้งทำเป็นอาการกำเริบ และยิ่งกลัวว่าเขาจะอาการกำเริบขึ้นมาจริงๆ
เฉิงอวี้ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง
“ไม่กลัวว่าฉันจะเป็นคนเลวเหรอ”
เซวียโย่วข่าส่ายศีรษะ
“คนนั้น…” เขาชี้ประตูห้องข้างๆ “เขาน่ะเป็นคนเลวตัวจริง”
เฉิงอวี้คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “งั้นฉันก็เป็นคนดีสินะ”
“พี่ก็…ไม่ค่อยเหมือนคนดีเท่าไร”
เฉิงอวี้ชักสีหน้า “ฉันไปรังแกอะไรเธอหรือไง”
“เปล่า…” เซวียโย่วข่าคิดว่านั่นไม่นับว่าเป็นการรังแกหรอก “ก็แค่ไม่ค่อยยิ้ม หน้าดุนิดหน่อย” เขาเลียเศษบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบนนิ้วแล้วพูดอย่างมีไหวพริบ “แต่พี่หล่อนะ! ฮี่ๆ”
ตอนที่เฉิงอวี้หลุบตาลงยิ้ม ส่วนลึกในดวงตาของเขาดูราวกับดวงดาว
เซวียโย่วข่าที่ถูกจางจวินหย่า[4]* ติดสินบน เมื่อกินของคนอื่นแล้วต้องปากหวาน “พี่ยิ้มแล้วยิ่งหล่อเลย!”
[1]* วาบิซาบิ (Wabi-Sabi) คือแนวคิดทางสุนทรียศาสตร์ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยจะเน้นให้เห็นถึงคุณค่าและเสน่ห์ของความไม่สมบูรณ์แบบ รวมถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่ง ทำให้ผู้คนชื่นชมทุกสิ่งบนโลกในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติที่สุด
[2]** สวนภูเขา เป็นสไตล์การจัดสวนรูปแบบหนึ่งของญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยภูเขาจำลอง กลุ่มก้อนหิน ต้นไม้ ผืนน้ำ และโคมไฟหิน เป็นการจัดสวนเลียนแบบธรรมชาติ
[3]*** ชาผู่เอ๋อร์ คือชาหมักที่ทำจากใบชาที่ปลูกในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน น้ำชามีสีแดงเข้มจนเกือบดำและมีรสชาติเข้มข้น
[4]* จางจวินหย่า คือแบรนด์ขนมขบเคี้ยวของไต้หวัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments



