everY
ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 7-9 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : ซุ่ยหมาง (睡芒)
แปลโดย : G.N Voyager
ผลงานเรื่อง : 满天星 (Man Tian Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบูลลี่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
รอยยิ้มหายากนั้นปรากฏขึ้นแค่ชั่วครู่ ไม่นานเฉิงอวี้ก็กลับไปมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนปกติ ก่อนจะส่งเสียงตอบรับสั้นๆ ว่า “อืม”
ในชั้นเรียนของเซวียโย่วข่าก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบเก็บตัว ไม่ค่อยสนใจใคร แม้จะเป็นเพื่อนร่วมห้องมาตั้งหลายปีแต่ก็ยังไม่เคยคุยกันสักคำ ได้ยินว่าเขาเป็นโรคออทิซึม[1]**
เซวียโย่วข่าเคี้ยวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ดวงตาสีอำพันกลอกไปมา “พี่…พี่เป็นออทิซึมเหรอ”
ถ้าเป็นปกติเฉิงอวี้คงรู้สึกรำคาญไปนานแล้ว แต่วันนี้แปลกมากที่เขาไม่รู้สึกหงุดหงิดเลยสักนิด อาจเพราะแอร์เป่าลงบนศีรษะพอดี เลยไม่เกิดอารมณ์แบบนั้น แถมยังตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยความอดทน
“ไม่ใช่”
“แล้วทำไมพี่ไม่ชอบพูดไม่ชอบยิ้มด้วยล่ะ” เซวียโย่วข่าเอียงคอมองเขาอย่างใสซื่อ “หรือเป็นโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก”
“ไม่ใช่”
เขาแค่ไม่ชอบลดตัวลงมาคลุกคลีกับคนอื่น และแทบจะไม่ค่อยได้พูดคุยกับเด็กผู้หญิงเลย
เฉิงอวี้ไม่เคยรู้สึกอยากเป็นเพื่อนกับคนรุ่นเดียวกันในโรงเรียน หากอิงตามคำพูดของหมอคือเขาเป็นตัวของตัวเองมากเกินไป
หมอบอกพ่อกับแม่ของเขาว่า ‘การเป็นตัวของตัวเองอาจจะไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่ก็ไม่สามารถบอกว่าเป็นเรื่องดีได้ เด็กวัยนี้มักจะมีช่วงที่เป็นแบบนี้ โตขึ้นหน่อยก็จะดีขึ้นเอง’
เซวียโย่วข่ามีคำถามเยอะมาก ถามไปสิบคำถาม เฉิงอวี้ก็ตอบกลับไปประมาณแปดคำถามด้วยคำคำเดียว
แต่เซวียโย่วข่าไม่รู้สึกเบื่อสักนิด ขอแค่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้กินอยู่ตลอด ต่อให้ต้องอยู่กับพี่ชายที่ไม่พูดไม่จาคนนี้ไปตลอดชีวิต เขาก็อดทนไหว
ไม่นานนักย่าก็ตะโกนมาจากข้างล่าง “หมี่หมี่ ได้เวลากลับบ้านแล้ว!”
“โอเค!” เขามองขนมบนโต๊ะอย่างเสียดาย
“อยากกินก็เอากลับไปได้หมดเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวย่าจะว่าเอา…” เซวียโย่วข่าไม่หน้าหนาขนาดนั้น เขาลุกขึ้น “ขอบคุณนะพี่”
เฉิงอวี้หยิบช็อกโกแลตแท่งหนึ่งจากโต๊ะยื่นให้เขา “เก็บไว้เถอะ ย่าเธอมองไม่ออกหรอก”
เซวียโย่วข่าเกรงใจนิดหน่อย ลังเลอยู่หนึ่งวินาทีว่าจะรับหรือไม่
“ขอบคุณนะ…”
“ไม่เป็นไร”
“หมี่หมี่! ลงมาเร็ว!” ย่าตะโกนเรียกจากข้างล่างอีกครั้ง
“ไปแล้วๆ!”
“เธอชื่อหมี่หมี่เหรอ” เฉิงอวี้พลันถามขึ้น
“ชื่อเล่นน่ะ” เซวียโย่วข่าได้รับช็อกโกแลตของคนอื่นมา แถมยังดื่มเครื่องดื่มและกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของคนอื่นไปด้วย เขาเลยเผยยิ้มกว้างจนดวงตาหยีโค้ง เสียงก็อ่อนลงเล็กน้อย “ขอบคุณนะพี่ ไปละ แล้วเจอกันนะ!”
เฉิงอวี้พูดอย่างสงบนิ่ง “แล้วเจอกัน”
ถ้าเซวียโย่วข่าใส่ใจเขามากกว่านี้อีกสักนิดก็อาจจะสังเกตเห็นว่าในดวงตาของเขาเหมือนจะมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น
เซวียโย่วข่าหอบชาเก่ากลับบ้านมาพร้อมกับย่า ก่อนที่หู่ผีจะเรียกให้เขาไปเล่นด้วย ทั้งสองคนนั่งดูอะนิเมะเรื่องใหม่ที่หู่ผีเช่ามาจากร้านซีดีเมื่อเช้าด้วยกัน
เซวียโย่วข่าแบ่งช็อกโกแลตให้เขากินอย่างใจกว้าง
“ย่านายซื้อให้เหรอ ซื้อช็อกโกแลตแพงขนาดนี้ให้นายเลยเหรอ!”
“มันแพงมากเลยเหรอ” เซวียโย่วข่าไม่รู้จักยี่ห้อภาษาอังกฤษบนช็อกโกแลตแท่งนั้น
“แน่นอนสิ ฉันเห็นในโซนของนำเข้าที่ซูเปอร์ฯ เลยนะ แท่งละยี่สิบหยวนแน่ะ!” หู่ผีไม่คิดว่าเซวียโย่วข่าจะแบ่งครึ่งให้ด้วย
พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น เซวียโย่วข่าก็กินไม่ลงเพราะเสียดาย เลยเก็บอีกครึ่งไว้อย่างเงียบๆ
“ฉันไม่ได้ซื้อนะ ฉันเพิ่งมีเพื่อนใหม่ พี่ชายคนนั้นนิสัยดีมากเลย”
“ซื้อขนมแพงขนาดนี้ให้นายเลยเหรอ” หู่ผีถามทั้งฟันดำ
“บ้านเขามีเยอะเลย…ฉันว่าเขาเหมือนจะไม่ชอบกินด้วยเลยให้ฉันมา จริงสิ หู่ผี ช่วงนี้พ่อนายจะไปชิ่งโจวไหม”
พ่อของหู่ผีเป็นคนขับรถบรรทุก
“ช่วงนี้ไม่ได้วิ่งสายนั้นแล้ว ทำไมเหรอ”
“งั้นก็ช่างเถอะ…ตอนแรกฉันอยากนั่งรถไปชิ่งโจวกับอาผี” เซวียโย่วข่าอธิบายด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “อาทิตย์หน้าๆ ก็วันเกิดแม่แล้ว ฉันอยากซื้อรองเท้าหนังแกะให้แม่”
หู่ผีไม่สนใจเลยสักนิด “ไปซื้อแถวนี้สักคู่ก็ได้แล้วนี่ จะต้องไปในเมืองทำไม”
“มันไม่เหมือนกันนี่นา” เขาอยากไปร้านนั้น
วันถัดมาเหอเสี่ยวโหยวถึงรอบหยุดงานพอดี เธอจึงตั้งใจมาดูลูกชายและคอยนั่งประกบให้ทำการบ้านทั้งวัน หลังมื้อเย็นเหอเสี่ยวโหยวต้องไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลต่อ เซวียโย่วข่าถึงสบโอกาสออกจากบ้าน เขาพกเอ็มพีสามกับหูฟัง วิ่งทะยานไปภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น เพียงสิบนาทีกว่าๆ ก็ข้ามสะพานมาถึงบ้านลุงฉู่แล้ว
ลุงเว่ยเปิดประตู ดูประหลาดใจมาก “หนู มาทำไมตอนนี้”
“หนู…หนูจะมายืมคอมพิวเตอร์ของพี่ชาย พอดีจะโหลดเพลงนิดหน่อย เมื่อวานตกลงกันไว้แล้ว”
“เข้ามานั่งก่อนสิ” ลุงเว่ยหยิบเครื่องดื่มจากตู้เย็นมาให้เขา ก่อนจะได้ยินเซวียโย่วข่าถามว่า “พี่ชายคนนั้นล่ะ”
“คนไหน”
“คนที่ชอบยิ้ม”
“กลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ”
กลับบ้านไปจริงๆ ด้วย! เซวียโย่วข่าคิด คำพูดของพี่ชายไม่ชอบยิ้มคนนั้นมีน้ำหนักขนาดนี้เลยเหรอ พอพูดว่าให้ไสหัวไปซะก็ไสหัวไปจริงๆ
ลุงเว่ยถาม “ข้างนอกยุงเยอะขนาดนี้ โดนยุงกัดไหม”
“หนูฉีดสเปรย์กันยุงมาแล้ว” เซวียโย่วข่าขยับเข้าไปสังเกตดูนกแก้วริงเน็กของบ้านพวกเขาอย่างสงสัย “มันชื่ออะไรเหรอ ทำไมตอนนี้ไม่จามแล้ว”
“ชื่อกวนกวน มันจะจามไหมขึ้นอยู่กับอารมณ์ ถ้าอารมณ์ไม่ดีมันจะไม่สนใจใครเลย”
“แล้วมันพูดอย่างอื่นได้ไหม”
“ตอนนี้ได้แค่จามอย่างเดียว อย่างอื่นสอนไม่ได้เลย”
ขณะที่เซวียโย่วข่าถามเรื่องนกแก้วไม่หยุด เฉิงอวี้ที่ยืนอยู่กลางบันไดที่ไม่ได้เปิดไฟก็ตะโกนเรียกเขา
“เฮ้”
“หา?” เซวียโย่วข่าเงยหน้ามอง เห็นเพียงแค่เค้าโครงร่างสูงเพรียว ตัวของเฉิงอวี้ถูกความมืดปกคลุม
“ไม่ใช่จะมาโหลดเพลงเหรอ” เสียงของเฉิงอวี้เพิ่งเริ่มเปลี่ยน เวลาพูดเสียงจะแหบมาก “ขึ้นมาข้างบนสิ”
พอพูดจบเฉิงอวี้ก็หันหลังเดินขึ้นบันไดไป
เซวียโย่วข่ารับคำว่า “อ๋อ” แล้วเดินตามขึ้นไป
เฉิงอวี้เปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะยื่นมือมา “ส่งเอ็มพีสามมา”
เซวียโย่วข่าหยิบเอ็มพีสามกับสายยูเอสบีของตัวเองส่งให้ เฉิงอวี้เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์พลางเอ่ยถาม “จะโหลดเพลงอะไรบ้าง”
“เพลงธีมของสแลมดังก์ เพลงธีมกับเพลงประกอบของวันพีซ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน แล้วก็…”
เขาร่ายชื่ออะนิเมะต่อเนื่องเป็นชุดๆ
เฉิงอวี้เป็นเด็กหนุ่มชาวร็อก ไม่ค่อยปลื้มเพลงแนวนี้เท่าไร แต่ก็ยังช่วยหาเพลงพวกนั้นให้ทีละเพลงๆ เซวียโย่วข่านั่งดื่มน้ำอยู่ข้างๆ ทั้งสองไม่พูดอะไรกัน ผ่านไปสักพักเมื่อเฉิงอวี้เห็นว่าความเร็วในการดาวน์โหลดช้ามาก สิบนาทีแล้วยังไม่ได้สักเพลงเลยถามเขา
“สายยูเอสบีของเธอมีปัญหาหรือเปล่า”
“ไม่น่าจะมีนะ ตอนใช้คราวก่อนก็ยังปกติดี”
เฉิงอวี้ถามต่อ “เอ็มพีสามเคยตกไหม”
“ไม่เคยทำตกนะ…” เขาลูบเอ็มพีสามที่ยังมีฟิล์มพลาสติกหุ้มอยู่พลางพึมพำ “เกาเกาอาจจะเคยทำตก แต่ฉันดูแลเอ็มพีสามดีตลอดนะ”
เฉิงอวี้ไม่พูดอะไรอีก เม้าส์ของเขาเลื่อนดูรายการดาวน์โหลดที่มีอย่างน้อยหนึ่งร้อยเพลง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเพลงที่เซวียโย่วข่าอยากได้
เสียงเอฟเฟ็กต์ดังออกมาจากลำโพงคอมพิวเตอร์ บ่งบอกว่าดาวน์โหลดเสร็จแล้วหนึ่งเพลง
“โหลดเพลงละสิบห้านาที” เฉิงอวี้ชี้ไปยังรายการที่กำลังรอดาวน์โหลด “คงต้องรอหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไร” เซวียโย่วข่าฟุบอยู่บนโต๊ะ ท่าทางว่านอนสอนง่าย “พี่…พี่เล่นคอมฯ ได้เลยนะ ฉันรออยู่ตรงนี้ก็ได้ ไม่ส่งเสียงรบกวนพี่แน่นอน”
“เธอออกมาดึกขนาดนี้ คนที่บ้านไม่เป็นห่วงเหรอ”
“ฉันบอกย่าว่าจะไปดูอะนิเมะบ้านหู่ผีน่ะ”
เฉิงอวี้ไม่รู้ว่าหู่ผีคือใครแต่ก็ไม่ได้ถาม จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นไปหยิบขนมหลายห่อมาให้เซวียโย่วข่า
“ขอบคุณนะพี่!” เซวียโย่วข่ายิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ
“เธอเล่นคอมฯ ได้เลย” เฉิงอวี้รู้สึกว่าอีกฝ่ายคงอยากเล่นคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว เลยเป็นฝ่ายสละที่นั่งให้เอง ก่อนที่เขาจะหยิบหนังสือไปนั่งบนโซฟาข้างหน้าต่าง
“ถ้าพี่ให้ฉันเล่นคอมฯ แล้วพี่จะเล่นอะไรล่ะ”
“หนังสือ” เฉิงอวี้เหยียดแขนเหยียดขา นั่งอ่านชีวประวัติของบ็อบ ดีแลน[2]* ใต้แสงไฟสลัว
ลุงเว่ยเดินขึ้นมาดูสถานการณ์ ก่อนจะเห็นว่าเฉิงอวี้กำลังนั่งอ่านหนังสือ ส่วนน้องสาวที่หน้าตาคล้ายเด็กผู้ชายกำลังเล่นคอมพิวเตอร์ของเฉิงอวี้พลางกินขนมไปด้วย
ลุงเว่ยรู้สึกแปลกใจมาก เขาคอยสังเกตเงียบๆ อยู่หลายวินาทีแล้วไปเล่าให้ตาของเฉิงอวี้ฟัง “เฉิงอวี้หยิบขนมให้เธอกิน แถมยังให้เธอเล่นคอมฯ ด้วยนะครับ”
“จริงเหรอ” ตาฉู่เองก็รู้สึกเหลือเชื่อ
เฉิงอวี้เป็นลูกคนเดียว แต่ในตระกูลยังมีลูกพี่ลูกน้องทางพ่อและทางแม่อีกหลายคน ทว่าพอพวกพี่น้องที่อายุไล่เลี่ยกันเข้าใกล้เมื่อไร เขาก็มักจะชักสีหน้าเสมอ หลายปีก่อนตอนงานรวมญาติครั้งหนึ่ง เฉิงจื่อเวยวิ่งเข้าไปในห้องซ้อมของเขาแล้วไปแตะกลองกับไม้กลองเข้า เฉิงอวี้ก็บอกให้เขาไสหัวไปด้วยสีหน้าเย็นชา
ตอนนั้นเฉิงจื่อเวยยังเด็ก ไม่เหมือนตอนนี้ พอได้ยินคำว่า ‘ไสหัวไป’ ก็ของขึ้น กระโจนเข้าไปต่อยลูกพี่ลูกน้องที่ว่ากันว่าป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่ไม่คิดเลยว่าจะโดนเฉิงอวี้กดลงกับกลองสแนร์[3]** แล้วชกเข้าใส่คอแบบไม่ยั้งจนเกือบตายอยู่บนกลอง
แต่การที่เฉิงอวี้มีนิสัยแบบนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ครอบครัวต่างหากที่ทะนุถนอมเขามากเกินไป ทะนุถนอมเหมือนเขาเป็นเครื่องลายครามแสนเปราะบาง จัดแจงทุกอย่างให้หมด ทั้งยังไม่ยอมให้เขาเข้าสังคมกับเด็กวัยเดียวกันเป็นเวลานาน จนเฉิงอวี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะคบเพื่อนอย่างไร โดยเพื่อนกลุ่มแรกที่เขาคบหาก็คือเด็กหนุ่มในวงแรดพิโรธโกรธาที่อายุมากกว่าเขากลุ่มนั้น
“พวกเขาเข้ากันได้ดีทีเดียว” ลุงเว่ยพูด “เด็กผู้หญิงคนนั้นทั้งรู้ความทั้งสวย ผมเองก็ยังชอบเธอเลย”
ฉู่จิ้นว่า “การที่เฉิงอวี้ชอบเล่นกับเธอถือเป็นเรื่องดีนะ”
ที่ชั้นบนของบ้าน
ขณะที่เฉิงอวี้อ่านหนังสือ เขาก็ได้แบ่งความสนใจไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วย ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นเกมจับคู่ในเว็บเพจ 4399
แม้เซวียโย่วข่าจะกินขนมไปด้วย แต่ก็ระวังไม่ให้เศษขนมตกใส่คอมพิวเตอร์ของคนอื่น มือข้างที่ใช้เม้าส์นั้นไม่แตะขนมเลย พอเล่นเกมไปได้สักพักก็เปิดรายการดาวน์โหลดขึ้นมาเพื่อดูความคืบหน้า ก่อนจะพบว่าแม้เวลาจะผ่านไปชั่วโมงกว่าแต่ก็ยังโหลดได้เพียงแค่ห้าเพลง
ตอนสามทุ่มลุงเว่ยถึงขึ้นมา “หนู จะโทรหาผู้ปกครองหน่อยไหม”
เซวียโย่วข่าเพิ่งสังเกตดูเวลา เขาควรจะกลับบ้านได้แล้ว
เฉิงอวี้วางหนังสือแล้วเดินมาดูความคืบหน้าของการดาวน์โหลด เซวียโย่วข่าลูบเอ็มพีสามที่เริ่มร้อน “โหลดมาได้ยี่สิบเพลง ยังไม่เสร็จเลย”
เฉิงอวี้ว่า “งั้นวางไว้ที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยมาเอา”
ลุงเว่ยถาม “พรุ่งนี้จะเข้าเมืองไม่ใช่เหรอ พวกเราจะออกกี่โมงกันนะ”
เซวียโย่วข่าพูดอย่างสุภาพมากๆ ว่า “ลุง พรุ่งนี้พวกลุงจะออกไปข้างนอกใช่ไหม งั้นเดี๋ยวค่อยมารับวันมะรืน รอให้พวกลุงว่างก่อนแล้วค่อยมาอีกทีก็ได้”
“พรุ่งนี้ไม่ได้ออกไปไหน” เฉิงอวี้พูดตามตรง “บ่ายสองครึ่งมารับได้เลย”
ลุงเว่ยมองเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบไฟฉายออกมา โดยบอกว่าจะไปส่งเซวียโย่วข่ากลับบ้าน
“ไปกันเถอะ ได้เดินเล่นพอดี”
ตาเป็นห่วงนิดๆ ว่าลุงเว่ยจะกลับบ้านไม่ถูกเพราะไม่ชินทาง จึงได้เรียกเฉิงอวี้ให้ไปเป็นเพื่อนลุงเว่ยด้วย
ตอนกลางคืนในหมู่บ้านชนบทไม่เหมือนในเมือง ไม่มีไฟถนน มีแค่พระจันทร์เสี้ยวอยู่กลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มกับดวงดาวไม่กี่ดวง แสงจันทร์อ่อนจางไม่สามารถส่องทางข้างหน้าให้สว่างได้ วันนั้นลุงเว่ยเคยมาทางนี้ครั้งหนึ่ง ถึงทางลัดจะแคบ แต่ก็พอจะจำทางได้ เขาเปิดไฟฉายเดินอยู่ข้างหน้าและคอยถามเซวียโย่วข่าเป็นระยะว่า “เดินมาทางนี้ใช่ไหม”
หากจะเดินข้ามไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำต้องผ่านสะพานเล็กๆ ซึ่งถ้าใช้ความเร็วระดับเดินเล่นก็จะกินเวลาประมาณยี่สิบนาที
เพิ่งจะเดินข้ามแม่น้ำไปแสงจากไฟฉายในมือลุงเว่ยก็สั่นไหว แล้วจู่ๆ แสงสว่างก็สลัวลง แสงจันทร์บางเบาลอดผ่านต้นไม้ลงมาราวกับผ้าโปร่ง มันกลายเป็นแสงสว่างอ่อนๆ จนแทบมองไม่เห็นในเวลากลางดึกแบบนี้
“เอ๊ะ? เสียแล้วเหรอ” ลุงเว่ยเคาะไฟฉายสองสามที “ไฟฉายกระบอกนี้ไม่ค่อยได้ใช้ สงสัยถ่านจะหมดแล้ว”
พอเคาะไปสองสามทีก็สว่างขึ้นหน่อย แต่พอเดินต่อไปอีกสองนาทีไฟฉายก็ดับสนิท คราวนี้ไม่ว่าจะเคาะอย่างไรมันก็ไม่ติด
โชคดีที่ตามทางยังมีบ้านคนอยู่บ้าง ทำให้พอจะมองเห็นทางอยู่ พวกเขาได้แต่เดินไปภายใต้ความมืดมิด โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรเลยสักคน ยิ่งเดินไปเซวียโย่วข่าก็ยิ่งกลัวขึ้นทุกที
เขาพูดเสียงเบา “ตรงนั้นมีหลุมฝังศพ…”
ตอนกลางวันเซวียโย่วข่าเดินผ่านตรงนี้โดยไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด แต่พอตกกลางคืนซึ่งมีแต่ความมืดมิด ต้นสนที่ปลูกอยู่ตรงหลุมศพก็ไหวไปตามลม เสียงซ่าๆ ประกอบกับเสียงน้ำไหลของแม่น้ำชวนให้รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ประกอบกับช่วงเทศกาลจงหยวน[4]* เมื่อหลายปีก่อน เขากับหู่ผีเคยมาเล่นพิสูจน์ความกล้าแถวนี้ สุดท้ายก็บังเอิญกลัวจนช็อก ตอนนั้นหู่ผีวิ่งหนีไป ปล่อยให้เขานอนขดตัวอยู่ในตะกร้าสะพายหลังที่วางคว่ำอยู่คนเดียวตลอดทั้งคืน ดังนั้นเวลาผ่านที่แบบนี้ในตอนกลางคืนเขาถึงได้วิ่งทะยานไปทั้งที่ตัวสั่นเทา
เฉิงอวี้ฟังไม่ชัด “อะไรนะ”
“มีหลุม…”
“ขี้?” เฉิงอวี้เอามือปิดจมูก
“หลุมฝังศพ!!”
คราวนี้เฉิงอวี้เข้าใจแล้ว “ไม่ต้องกลัวหรอก”
เซวียโย่วข่าพยักหน้า แต่ก็อดที่จะคว้าชายเสื้อเขาไว้ไม่ได้
เฉิงอวี้รู้สึกถึงแรงดึงตรงชายเสื้อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ปัดมือเซวียโย่วข่าออก เพียงแค่พูดกับอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยระดับเสียงที่ลุงเว่ยไม่ได้ยินว่า “เซวียหมี่หมี่ จับฉันไว้แน่นๆ นะ”
[1]** โรคออทิซึม เป็นโรคที่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง ส่งผลให้เกิดความบกพร่องในด้านพัฒนาการทางภาษา การสื่อสาร และการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน โดยผู้ป่วยจะมีการแสดงพฤติกรรมที่มีแบบแผนและจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ
[2]* บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) เป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกันผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในวงการดนตรี โดยได้รับฉายาว่าราชาแห่งเพลงโฟล์ก
[3]** กลองสแนร์ เป็นกลองที่มีลักษณะเฉพาะคือมีสายสแนร์ที่ทำจากไนล่อนหรือเส้นลวดขึงอยู่ด้านล่างของหนังกลอง เมื่อตีไปแล้วเส้นที่ขึงไว้จะกระทบกับหนังด้านล่างเกิดเป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
[4]* เทศกาลจงหยวน หรือวันสารทจีน ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดตามปฏิทินจีน ถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นวันที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้
Comments



