everY
ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 7-9 #นิยายวาย
บทที่ 9
เซวียโย่วข่าเพิ่งกินข้าวกลางวันเสร็จก็ออกจากบ้าน แถมยังสะพายเป้ไปด้วย ในนั้นมีการบ้านที่เหอเสี่ยวโหยวมอบหมายให้เขา
ช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นมัธยมต้น เดิมทีไม่มีการบ้านช่วงฤดูร้อน แต่เหอเสี่ยวโหยวค่อนข้างเข้มงวดกับเขาจึงซื้อแบบฝึกหัดของชั้นมัธยมต้นปีหนึ่งมาให้ พร้อมกับฉีกเฉลยออกเพื่อให้เขาทำเองด้วย
เขาทำบ้างไม่ทำบ้าง เขียนไปได้แค่นิดเดียว พอใกล้จะถึงเวลาส่งเลยได้แต่ต้องรีบทำให้เสร็จในนาทีสุดท้ายและนำติดตัวออกจากบ้านมาด้วย
เมื่อขึ้นรถเซวียโย่วข่ากอดเป้ไว้ในอ้อมแขน เฉิงอวี้นั่งลงข้างๆ ส่วนฉู่จิ้นก็นั่งตรงเบาะข้างคนขับแล้วถามเขาว่า “จะออกไปเที่ยวยังพกการบ้านไปด้วยเหรอ”
“แม่หนูให้ทำการบ้านฮะ ตอนเย็นกลับบ้านไปแม่จะตรวจ”
ฉู่จิ้นว่า “เด็กดีจริงๆ เป็นการบ้านของชั้นไหนล่ะ มีข้อไหนที่ไม่เข้าใจไหม ถ้ามีก็ให้พี่ช่วยสอนนะ”
เซวียโย่วข่าตอบว่าไม่มี
เฉิงอวี้มองเขาแวบหนึ่ง
ฉู่จิ้นยังคงหัวเราะฮ่าๆ “พี่เขาบอกลุงว่าเธอไปชิ่งโจวครั้งนี้จะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้แม่เหรอ”
เซวียโย่วข่าพยักหน้า
“กตัญญูจริงๆ เลยนะ”
“ลุงฉู่ พวกลุงไปดูนิทรรศการที่ชิ่งโจวเหรอ”
“เป็นนิทรรศการศิลปะเชิงพื้นที่น่ะ”
เซวียโย่วข่าไม่สนใจนิทรรศการศิลปะเท่าไร พอได้ยินก็พูดว่า “ลุงฉู่ พวกลุงจะดูนิทรรศการกันกี่โมง เดี๋ยวหนูนั่งรถเมล์ไปซื้อของ ซื้อเสร็จแล้วค่อยกลับมาหาพวกลุงก็ได้ จะได้ไม่รบกวนพวกลุงด้วย”
ฉู่จิ้นกลับโบกมือ “ซื้อของแค่นิดเดียวจะใช้เวลาขนาดไหนกัน ไปซื้อด้วยกันก่อน แล้วค่อยไปดูนิทรรศการก็ได้”
เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์ พวกเขาพาเธอมาถึงชิ่งโจวจะปล่อยให้เดินเตร็ดเตร่คนเดียวได้อย่างไร
นี่เป็นครั้งแรกที่เซวียโย่วข่าเดินทางไกลกับคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน จากอำเภอซานหลิงไปถึงชิ่งโจวใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางเขานั่งฟังเพลงไปด้วยทำการบ้านไปด้วย หางตาเหลือบเห็นเฉิงอวี้กำลังเล่นตะเกียบอยู่
เฉิงอวี้เล่นตะเกียบเหมือนกับเป็นไม้กลอง เขาได้ยินเสียงเพลงหนักๆ เล็ดลอดออกมาจากหูฟัง ไม่ต้องฟังให้ดีก็รู้ว่าเป็นเพลงประกอบอะนิเมะที่ทำให้เลือดลมพลุ่งพล่าน
ตอนซื้อรองเท้า พอเห็นเซวียโย่วข่าหยิบเหรียญกับธนบัตรย่อยออกมาจากกระเป๋าเป้เป็นกอง พนักงานร้านรองเท้าก็มีสีหน้าแข็งค้าง
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจทันทีว่านี่จะต้องเป็นเงินที่เด็กคนนี้เก็บสะสมมาเป็นเวลานานมากแน่ๆ
พนักงานคิดเงินคนหนึ่งนับเงิน อีกคนก็ห่อรองเท้า เซวียโย่วข่าหันไปถามพนักงานหญิงคนหนึ่งที่ดูจะอายุไล่เลี่ยกับแม่เขา
“พี่ ใช้ริบบิ้นกับกระดาษห่อของขวัญห่อให้สวยๆ หน่อยได้ไหม”
“หนูจ๊ะ ขอโทษนะ ที่ร้านมีแค่ริบบิ้น แต่ไม่มีกระดาษห่อของขวัญ แต่ไปซื้อที่ร้านเครื่องเขียนในห้างได้ ม้วนละสองหยวนเอง”
พนักงานนับเงินถึงสองรอบซึ่งใช้เวลานานพอควร ก่อนจะคืนเหรียญส่วนที่เกินให้เขา จากนั้นเซวียโย่วข่าก็เก็บเหรียญใส่กระปุกแมวกวักแล้วใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าเป้
เฉิงอวี้ช่วยถือกระเป๋าเป้ให้เขา “ก็ว่าทำไมกระเป๋าเป้ถึงได้หนักขนาดนี้ เงินพวกนี้เก็บมานานแค่ไหนแล้ว”
“เก็บมาหลายปีแล้ว…”
เงินอั่งเปาช่วงตรุษจีนแม่จะเอาไปเก็บไว้ให้ บอกว่าเป็นค่าเรียนมหาวิทยาลัย เขาเลยต้องกินต้องใช้อย่างประหยัดอดออม เก็บเงินค่าขนมที่ไม่ได้มากมาย นอกจากนี้เขายังทำธุรกิจในโรงเรียนด้วยการเปิดร้านขายของชำช่วงพักคาบเรียน เขาถึงขนาดเก็บหนังสือคู่มือเล่นหุ้นที่แม่ของหู่ผีโยนทิ้งไว้มาอ่าน เวลาว่างก็อ่านไปไม่น้อย โดยหวังว่าจะเรียนรู้ความรู้ทางการเงินเล็กๆ น้อยๆ จากในนั้น
พ่อของหู่ผีซื้อคอมพิวเตอร์มาเล่นหุ้น สุดท้ายดันกระโจนเข้าตลาดตอนปลายช่วงขาขึ้น ไม่นานก็ขาดทุนย่อยยับ ทำให้แม่ของหู่ผีโมโหถึงขั้นทุบคอมพิวเตอร์ ทั้งยังโยนหนังสือวิเคราะห์ตลาดหุ้นทิ้งทั้งหมด
วันนี้เป็นวันที่อิ่มเอมมาก เซวียโย่วข่าซื้อรองเท้า ซื้อกระดาษห่อของขวัญ และยังได้ดูนิทรรศการอีก แม้จะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ก็ได้ถ่ายรูปไว้ พอออกจากงานนิทรรศการ ลุงเว่ยก็เข้าไปซื้อน้ำในซูเปอร์มาร์เก็ตและให้เซวียโย่วข่าเลือกขนม
“อยากกินอะไรก็หยิบเลย ลุงเลี้ยงเอง”
สุดท้ายเซวียโย่วข่าก็หยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาหนึ่งห่อ “อันนี้ได้ไหม”
ลุงเว่ยแปลกใจ “ทำไมเลือกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปล่ะ”
“เมื่อกี้ได้ยินว่าพวกลุงบอกว่าจะไปกินอาหารทะเลกันที่ไหนนี่แหละ” เซวียโย่วข่าขยำซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “พวกลุงกินข้าว หนูกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ได้”
“แพ้อาหารทะเลเหรอ”
“ไม่ใช่…” เขาดูอึดอัดใจยิ่งกว่าเดิม
ลุงเว่ยเข้าใจได้ทันที ที่แท้ก็แค่เกรงใจ เขายิ้มขำ “เด็กคนนี้นี่นะ จะไม่ให้กินข้าวเย็นได้ยังไง แล้วอีกอย่างเธอซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซองแล้วจะเอาไปกินยังไงล่ะ”
“ก็ต้องกินแห้งแบบคลุกผงเครื่องปรุงอยู่แล้ว” ถ้าเป็นไปได้เซวียโย่วข่าสามารถกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบนี้ได้ทุกวันไม่มีเบื่อเลย
ทว่าจู่ๆ ก็มีมือหนึ่งเอื้อมมาจากด้านหลัง เฉิงอวี้ดึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกจากมือเขาแล้วยัดกลับเข้าไปในชั้นวางสินค้า
“พี่ทำอะไรน่ะ” เซวียโย่วข่าหันกลับไป
“ของแบบนี้ฉันไม่จ่ายเงินให้นายหรอก”
“พี่ไม่ซื้อให้ ฉันก็ซื้อเองได้”
เฉิงอวี้ยื่นมือมาคว้าคอเสื้อเขาแล้วลากเขามา “ถ้าไม่เชื่อฟังจะไม่พากลับบ้านนะ”
เซวียโย่วข่ายืนตัวแข็งในท่าถูกจับคอเสื้อ ดวงตาที่เบิกกว้างมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึงราวกับกระรอกน้อยที่ถูกคุกคาม เฉิงอวี้ปล่อยมือแล้วก็ก้มหน้ามองเขาเช่นกัน ในแววตานั้นแทบไม่หลงเหลืออารมณ์ใดๆ
“อ๋อ…” เซวียโย่วข่าก้มหน้าลงอย่างว่าง่าย
ลุงเว่ยรีบพูดขึ้น “พี่เขาแค่ล้อเล่น ไม่ให้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ เย็นนี้เรากินอะไรเธอก็กินด้วยกันเถอะ ไม่ต้องเกรงใจนะ”
เขาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
พอขึ้นรถเฉิงอวี้ก็ยื่นไอศกรีมแท่งให้ แต่เซวียโย่วข่าไม่ยอมรับ เฉิงอวี้เลยขมวดคิ้วแล้วโยนไอศกรีมลงบนตัวเขา
ไม่ใช่ว่าเซวียโย่วข่าไม่อยากกิน แต่เขารู้สึกว่าตัวเองกินของบ้านคนอื่นเยอะไปแล้ว แบบนี้จะทำให้เฉิงอวี้ไม่พอใจหรือเปล่า แถมเมื่อครู่ยังพูดว่าจะไม่พาเขากลับบ้านด้วย
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นเฉิงอวี้กำลังกินไอศกรีม เขาก็รู้สึกอยากกินอยู่หน่อยๆ แต่ก็อดทนไว้ ก่อนจะยื่นไอศกรีมแม็กนั่มที่อีกฝ่ายโยนมาให้ฉู่จิ้นซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ
“ลุงฉู่ อันนี้ลุงกินเถอะ”
ฉู่จิ้นมองผ่านกระจกมองหลังก็เห็นเฉิงอวี้นั่งชิดประตูรถ หันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางดูไม่ค่อยพอใจ
เขาถามเซวียโย่วข่า “ทำไมล่ะ นี่พี่เขาซื้อให้ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่กินล่ะ”
เซวียโย่วข่าเม้มปากแน่น คิดหาเหตุผลที่จะอธิบาย “หนู…ไม่ค่อยสบายท้อง” พูดจบก็ยกมือกุมท้องด้วย
“ปวดท้อง…” เดิมทีฉู่จิ้นตั้งใจจะถามว่าปวดแบบไหน จะให้ไปโรงพยาบาลไหม แต่จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างออกจึงไม่ได้ถามต่อ
เฉิงอวี้เห็นเขากุมท้อง ทำหน้าทุกข์ใจ ทั้งยังขมวดคิ้วนิดๆ
ตอนกินข้าวเย็น ฉู่จิ้นเลยไม่ได้สั่งปลาดิบมาเลย เขาเลือกแต่อาหารที่ปรุงสุก เช่น หอยผัดเผ็ด หอยงวงช้าง ไข่ตุ๋นกับปลิงทะเล ด้วยกลัวว่าถ้าเซวียโย่วข่ากินของเย็นหรือของดิบแล้วจะยิ่งส่งผลให้ปวดท้องประจำเดือนหนักหน่วงขึ้น
เซวียโย่วข่ากินอย่างหักห้ามใจ โดยไม่กล้ากินมากเกินไป พอเห็นทุกคนไม่กินกันแล้ว ของที่เหลืออยู่ก็น่าเสียดาย เขาถึงเริ่มลงมือกิน
เขากวาดของที่เหลือบนโต๊ะมากินจนเกลี้ยง กระทั่งลุงเว่ยยังชมว่าเขาเจริญอาหาร คงจะหิวมาทั้งวันแน่ๆ
เซวียโย่วข่าพูด “หนูไม่ได้เจริญอาหารแค่วันนี้นะ ปกติก็กินเยอะอยู่แล้ว เพราะอยากสูงเยอะๆ หน่อย สูงแบบพี่”
เฉิงอวี้ที่สูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
ระหว่างที่อยู่ในรถเซวียโย่วข่าก็เริ่มง่วงนิดๆ แต่การบ้านยังไม่เสร็จ เขาบอกย่าไปแล้วว่าตัวเองจะกลับบ้าน แต่ไม่รู้ว่าย่าจะโทรไปถามที่บ้านไหม แล้วจะมีใครรู้หรือเปล่าว่าเขาไม่ได้อยู่บ้าน
เขาทำการบ้านไปพลางเกาแถวๆ ลำคอไปพลาง ไม่รู้ทำไมถึงคันขึ้นมานิดๆ
ลุงเว่ยขับรถบนทางด่วน จากชิ่งโจวกลับอำเภอซานหลิงใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ
ตอนลงจากทางด่วน รถติดอยู่สักพัก ความเร็วจึงลดลง และเมื่อเฉิงอวี้หันไปก็พลันพบว่าเซวียโย่วข่าดูผิดปกติ
เซวียโย่วข่าเอาปากกาเกาหน้าตัวเอง แถมยังโน้มตัวลงไปเกาขาอีก
เฉิงอวี้ยื่นมือมาจับข้อมือเขาไว้ “อย่าเกา”
เขาเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าและลำคอมีผื่นแดงขึ้นเต็มไปหมด อีกทั้งยังเหงื่อแตก
“ไม่เป็นไร เมื่อกี้อาจจะโดนยุงกัดแถวชายทะเลก็ได้”
เฉิงอวี้ไม่สนใจ “ลุงเว่ย ไปโรงพยาบาลทีครับ เขาแพ้อาหารทะเล”
ลุงเว่ยที่หันกลับมามองเพิ่งตระหนักได้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ จึงได้รีบขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลอำเภอซานหลิงทันที
“บ้านเธออยู่ใกล้ทะเลขนาดนั้น ไม่รู้เหรอว่าตัวเองแพ้อาหารทะเล” เฉิงอวี้เห็นเขาจะเกาอีกเลยตีมือเขา “ยังจะเกาอีก”
“ก็ไม่รู้นี่ ไม่ค่อยได้กินอาหารทะเล” ถึงพ่อของเซวียโย่วข่าจะทำงานที่เป่ยไห่ แต่ก็แทบจะไม่เคยเอาอาหารทะเลกลับมาเลย
เฉิงอวี้จับมือข้างหนึ่งของเขาไว้ เซวียโย่วข่าจึงแอบยื่นมือลงไปข้างล่างโดยหวังว่าจะเกาเท้าอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ก็โดนเฉิงอวี้เห็นเข้า สุดท้ายอีกฝ่ายเลยจับล็อกมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้เสียเลย
ดวงตาของเซวียโย่วข่าเริ่มแดง แถมยังเริ่มรู้สึกปั่นป่วนในท้องด้วย
ไม่นานลุงเว่ยก็ขับรถมาถึงโรงพยาบาล “เร็ว เฉิงอวี้ พาเขาไปลงทะเบียน ลุงจะไปจอดรถ”
ตาก็ตามลงมาด้วยและรีบพาเขาไปที่ห้องฉุกเฉิน ข้างหน้ามีคนต่อแถวอยู่นิดหน่อย ตาเลยไปจัดการลงทะเบียน
โรงพยาบาลแห่งนี้คือที่โรงพยาบาลที่เหอเสี่ยวโหยวทำงานอยู่ แต่เซวียโย่วข่าคุ้นเคยแค่แผนกสูติ-นรีเวช แพทย์พยาบาลแผนกอื่นไม่รู้จักเขา ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาดูน่าสงสารมาก ใบหน้ามีแต่ผื่นเต็มไปหมด
เฉิงอวี้ไปรินน้ำอุ่นให้ พอหันกลับมาก็เห็นเซวียโย่วข่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แอบเกาคออีกแล้ว
“บอกว่าอย่าเกาไง!”
“รู้แล้ว แต่มันคันนี่นา…” เขาค่อยๆ ลดมือลง พอเฉิงอวี้ยื่นน้ำให้ก็รับมาดื่ม
เฉิงอวี้ถามว่ารู้สึกไม่ดีตรงไหนอีกไหม “มีอาการอื่นอีกหรือเปล่า”
“ตา…เริ่มพร่านิดหน่อย” เซวียโย่วข่ากะพริบตา “รู้สึกเหมือนใส่แว่นสายตายาวของย่าเลย”
เฉิงอวี้ได้ยินดังนั้นก็รู้ทันทีว่าอาการหนักขึ้นแล้ว
“รู้งี้ไม่ปล่อยให้เธอกินเยอะขนาดนั้นหรอก”
“ถ้ารู้งี้ก็น่าจะให้ฉันซื้อบะหมี่รสผักกาดดองเนื้อตุ๋น!”
“เงียบไปเลย ตอนนี้เธอหน้าตาน่าเกลียดมาก”
“อ้อ…”
เซวียโย่วข่าเป็นผู้ชาย ไม่สนใจเรื่องสวยหรือขี้เหร่หรอก ขณะที่เขานั่งก้มหน้าอย่างหมดแรง จู่ๆ ก็เห็นคนคุ้นหน้าอยู่ไกลๆ
ไม่ใช่เพราะจำหน้าได้ เนื่องจากสายตาของเขาพร่ามัว แต่เขาจำชุดเดรสนั้นได้ต่างหาก นั่นมันลูกพี่ลูกน้องเขา…ฟางหลี่ฉิง!
หรือว่าเกาเกาจะหอบหืดกำเริบ?
เซวียโย่วข่าตกใจจนหน้าซีด ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ พอเห็นลูกพี่ลูกน้องเดินมาทางห้องฉุกเฉินก็รีบหันหน้าหนีไปทางอื่นแล้วก้มหน้าซุกลงที่ไหล่เฉิงอวี้ทันที
เฉิงอวี้ชะงักไปชั่วครู่ เขาถึงกับกลั้นหายใจ รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเบียดไซ้อยู่แถวลำคอของตัวเองทั้งเนื้อตัวสั่นเทา
ไม่รู้ว่าเป็นน้ำลายหรือเหงื่อ ความเปียกชื้นเสียดสีลงบนร่างของเขา เฉิงอวี้ขมวดคิ้ว พยายามจะดันอีกฝ่ายออก
“เดี๋ยวก่อน!” เซวียโย่วข่ากลัวมากว่าลูกพี่ลูกน้องจะเห็นเขาเข้า ตั้งแต่เด็กจนโตเขาก็โดนเธอพูดฉีกหน้ามาโดยตลอด เมื่อก่อนตอนที่ฟางหลี่ฉิงยังไม่ขึ้นมัธยมต้น ถ้าเจอเขาในโรงเรียนก็จะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเสมอ โดยเธอเคยบอกเขาว่า ‘เวลาอยู่นอกบ้านเราไม่รู้จักกันนะ’
สีหน้าของเธอตอนนั้นเหมือนกำลังบอกว่า ‘บ้านเราจะไปมีญาติยากจนแบบนายได้ยังไง’
เพราะแบบนั้นเวลาเจอเธอนอกบ้าน เขาก็มักจะหลบหน้าตลอด
“เฉิงอวี้ รอแป๊บนึง…ฉันปวดท้อง” เสียงที่ได้ยินฟังดูอึดอัดเล็กน้อย พอเฉิงอวี้ก้มลงมองก็เห็นว่าที่ต้นคอของอีกฝ่ายนั้นเหงื่อออกจนชุ่ม เหงื่อเปียกเส้นผมอ่อนนุ่มบริเวณท้ายทอย ผื่นแดงเม็ดเล็กๆ คล้ายตุ่มยุงกัดผุดขึ้นทีละเม็ด ไล่จากต้นคอขาวเนียนลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง แถมยังตัวสั่นนิดๆ ด้วย
มือที่เฉิงอวี้ยกขึ้นมาค่อยๆ วางลง จากนั้นก็ลูบศีรษะเขาเบาๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments



