everY
ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 10-12 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : ซุ่ยหมาง (睡芒)
แปลโดย : G.N Voyager
ผลงานเรื่อง : 满天星 (Man Tian Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบูลลี่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 10
เซวียโย่วข่าแอบเงยหน้ามอง เมื่อพบว่าลูกพี่ลูกน้องไปแล้วถึงกล้าเงยหน้าขึ้น
เฉิงอวี้ถามเขาด้วยเสียงที่ไม่ได้เย็นชาเหมือนเคย “จะเอาน้ำอุ่นไหม”
เขาส่ายหน้า เมื่อตากลับมาหลังลงทะเบียนเสร็จก็รอให้หมอซักถามอาการ
หลังเซวียโย่วข่าฉีดยาเรียบร้อยแล้วก็ขอยืมมือถือลุงเว่ยโทรกลับบ้าน แต่ตอนนี้เหอเสี่ยวโหยวไม่อยู่บ้าน เลยไม่มีใครรับโทรศัพท์บ้าน เขาจึงโทรเข้ามือถือของอาที่คิดว่าเขายังเล่นอยู่ที่บ้านเพื่อนแทน
เธอบอกว่า “หมี่หมี่ ตอนนี้แม่หลานอยู่โรงพยาบาลกับพวกเรานะ หลานกลับบ้านไปก่อนแล้วกัน หรือไม่ก็ไปบ้านย่าก็ได้”
พอถามละเอียดหน่อยก็พบว่าเกาเกาหอบหืดกำเริบขึ้นมาจริงๆ
“หนูจะไปบ้านย่า เกาเกาเป็นยังไงบ้างฮะ”
“เฮ้อ เหมือนเดิมนั่นแหละ ต้องนอนโรงพยาบาล หลานไม่ต้องห่วงหรอก”
เซวียโย่วข่าพูด “งั้นพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลนะ”
หลังวางสายเฉิงอวี้ก็ถามขึ้นว่า “ที่บ้านไม่มีใครอยู่เหรอ”
“ใช่ ไม่มีใครอยู่เลย” หลังฉีดยาสายตาก็เริ่มชัดขึ้นมาหน่อย แต่ไม่ถึงกับเห็นผลทันที เซวียโย่วข่าลูบหน้าตัวเองที่ยังคงมีผื่นแดงอยู่ “หน้าฉันยังดูแย่มากอยู่ไหม”
เขากลัวว่าถ้ากลับบ้านแล้วจะทำให้ปู่กับย่าตกใจ
เฉิงอวี้พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ดีขึ้นหน่อยแล้ว”
เซวียโย่วข่าดูเป็นกังวล
“ไม่ได้น่าเกลียดมากหรอก สบายใจได้”
ลุงเว่ยขับรถกลับบ้าน “งั้นจะไปส่งเธอกลับบ้าน หรือว่ายังไงดี…” เขาเป็นห่วงว่าอาการแพ้ของเด็กสาวจะยังไม่หายไป ถ้าอาการหนักขึ้นตอนกลางคืนจะทำอย่างไร เพราะถึงอย่างไรก็เป็นพวกเขาที่พาเธอไปกินอาหารทะเล ซึ่งการแพ้อาหารทะเลนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย
“ไม่งั้นไปบ้านลุงดีไหม แบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนกลางคืนจะได้พาไปโรงพยาบาลง่ายๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกลุง เดี๋ยวกลับบ้านไปหนูจะบอกปู่เอง ไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ลุงเว่ยเองก็คิดว่าการให้เด็กผู้หญิงไปค้างที่บ้านนั้นไม่ค่อยจะเหมาะ โดยหลังจากที่กำชับไปหลายรอบก็ตัดสินใจขับรถไปส่งอีกฝ่ายที่บ้าน
รถจอดเมื่อมาถึงริมถนนหน้าบ้านย่าของเซวียโย่วข่า
จากตรงนี้รถยนต์เข้าไปไม่ได้แล้ว ยังต้องเดินต่ออีกประมาณสองร้อยเมตร ตอนที่เซวียโย่วข่ากำลังจะลงจากรถจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้
“ลุงฉู่ หนูต้องจ่ายค่ายาที่ฉีดไปเท่าไร หนูต้องคืนเงินลุงนะ”
“ไม่เท่าไรหรอก” ฉู่จิ้นหันไปพูดกับเฉิงอวี้ “ไปส่งน้องเขาหน่อย กระเป๋ายิ่งหนักอยู่”
“ไม่ได้ๆ ในกระเป๋าหนูมีเงิน หนูต้องคืนให้ลุงนะ”
“กลับไปพักก่อนเถอะ วันนี้ยังไม่ต้องให้ ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง” วันนี้ตอนซื้อรองเท้าฉู่จิ้นก็เห็นแล้ว เหรียญเป็นร้อย เศษเงินเป็นกองถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เซวียโย่วข่าลงจากรถอย่างจนใจ โดยมีเฉิงอวี้สะพายกระเป๋าและถือกล่องรองเท้าให้เขาพร้อมทั้งเดินไปส่งถึงหน้าบ้าน
นอกประตูเหล็ก เมื่อมองผ่านรั้วเข้าไปก็เห็นแสงไฟเล็กๆ ในบ้าน และได้ยินเสียงรายการทีวีดังลอดออกมา
“เข้าไปแล้วนะ” เซวียโย่วข่ายืนอยู่หน้าประตูแล้วยื่นมือไปขอกระเป๋าจากเฉิงอวี้
เฉิงอวี้ยื่นกระเป๋าให้เขาก่อนเอ่ยเรียก “เซวียหมี่หมี่”
“หืม?” เขาเงยหน้าขึ้น แสงจันทร์ส่องลงบนใบหน้า ผื่นแดงลดลงไปมากแล้ว
“ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันนะ”
“ได้ รู้แล้ว” เขาหิ้วกล่องรองเท้าเตรียมจะเข้าไป แต่เฉิงอวี้ก็เรียกไว้อีก “เธอรับปากอะไรน่ะ มีเบอร์ฉันเหรอ”
“ไม่มี…” เซวียโย่วข่าพูดจริงจัง “ฉันไม่มีมือถือ”
“ใช้โทรศัพท์บ้านโทรมาก็ได้” เฉิงอวี้เปิดซิปกระเป๋าของอีกฝ่าย “หยิบกระเป๋าปากกาออกมา แล้วก็สมุดเล่มหนึ่ง”
เฉิงอวี้เขียนเบอร์ตัวเองไว้ที่ด้านหลังสมุดแบบฝึกหัดด้วยลายมือที่บ่งบอกถึงความเป็นอิสระ “ใส่ยาไว้ในกระเป๋าแล้วนะ อย่าลืมกิน แล้วก็…” เขาทำท่าโทรศัพท์
“จำได้แล้ว” เซวียโย่วข่าโบกมือแล้วพูดเบาๆ “บ๊ายบายนะพี่”
“บ๊ายบาย”
อาจเป็นเพราะความมืด พอเซวียโย่วข่าเข้าบ้าน ย่าเลยไม่สังเกตเห็นผื่นแดงบนหน้าเขาเลย “อ้าว หมี่หมี่ ทำไมกลับดึกจังลูก”
“เกาเกาต้องนอนโรงพยาบาลฮะ พรุ่งนี้หนูจะไปเยี่ยมเขา”
ความสนใจของย่าถูกดึงไปทันที คิดว่าตอนบ่ายเขาไปเยี่ยมลูกพี่ลูกน้องที่โรงพยาบาล พอได้ยินว่าหลานชายที่แสนดีป่วยก็รีบโทรหาแม่ของเด็กทันใด
เมื่อกลับเข้าห้องเซวียโย่วข่าก็ส่องกระจก เห็นว่ายังมีผื่นแดงบางๆ อยู่บ้างและยังคันหน่อยๆ จากนั้นก็กินยา แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเปิดประตูชั้นล่างจึงเดินออกไปดูที่ระเบียง เห็นปู่กำลังสตาร์ตรถสามล้อเก่าๆ อยู่ ไฟสีแดงของรถในความมืดนั้นดูราวกับแมลงที่มีดวงตาขนาดยักษ์
“ปู่จะไปโรงพยาบาลเหรอ งั้นหนูไปด้วย”
“อยู่เฝ้าบ้านเถอะ เดี๋ยวปู่กับย่าก็กลับมาแล้ว เป็นเด็กดีนะ!”
จนกระทั่งกลางดึก เซวียโย่วข่าที่กำลังจะหลับถึงเพิ่งได้ยินเสียงพวกท่านกลับมา เขาใส่ชุดนอนเดินออกไปดู เห็นคนชราสองคนลงจากรถ
เซวียโย่วข่าเอ่ยขึ้นว่า “ย่า เกาเกาเป็นยังไงบ้าง”
“หือ? หมี่หมี่ หลานทำอะไรอยู่ ทำไมถึงยังไม่นอน” ย่าเงยหน้าขึ้นมองเขา “ไปนอนเร็วเข้า! น้องไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้ค่อยไปเยี่ยมเขา”
เช้าวันถัดมา เมื่อเซวียโย่วข่าตื่นขึ้นก็ไปโรงพยาบาลกับผู้สูงอายุทั้งสอง
เขาติดสอยห้อยตามผู้ใหญ่ไปทั้งวัน ระหว่างวันได้กลับบ้านกับอาหนหนึ่ง ต้มโจ๊กให้เกาเกาเสร็จก็กลับไปโรงพยาบาลอีก
เกาเกาที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยถามพี่สาวว่า “พี่ครับ ทำไมพี่หมี่หมี่หน้าบวมๆ น่าเกลียดจัง”
เซวียโย่วข่าไม่อยากจะถือสาหาความ
พอตกเย็น เขาก็กลับบ้านกับเหอเสี่ยวโหยว หลังยุ่งอยู่หลายวันเหอเสี่ยวโหยวก็พอจะมีเวลาว่างบ้างแล้วจึงถามถึงการบ้าน
“หนูทำเสร็จแล้ว แต่กระเป๋าอยู่ที่บ้านย่า…จริงๆ นะ! ตอนเช้ารีบมาหาเกาเกาเลยลืมหยิบมา”
เหอเสี่ยวโหยวจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เชื่อเขา ก่อนจะไปหยิบแบบเรียนวิชาอื่นมาให้ “ท่องบทเรียนก่อนนอนจะได้ผลดีที่สุด ตรงบทนี้แล้วก็ตรงนี้…”
เธอมอบหมายการบ้านก่อนนอนให้เขา แล้วถือนมร้อนเข้ามาให้หนึ่งแก้ว
กลางดึก ทั้งอำเภอตกอยู่ในความเงียบสงัดของยามค่ำคืน แท็กซี่คันหนึ่งจอดลงหน้าบ้านตระกูลเซวีย เซวียเทียนเลี่ยงเดินทางกลับมาอย่างอิดโรย หลังวางกระเป๋าเสร็จ สิ่งแรกที่ทำคือเปิดประตูห้องของเซวียโย่วข่า เข้าไปดูลูกชายอยู่ครู่หนึ่ง
เซวียโย่วข่ารู้สึกตัวรางๆ แต่ไม่ได้ลืมตา แค่พึมพำว่าพ่อ
เซวียเทียนเลี่ยงนั่งอยู่ข้างเตียงเขาสักพักแล้วจึงลุกออกไป
กว่าเซวียเทียนเลี่ยงจะได้กลับมานั้นไม่ง่ายเลย เขาจึงพาเซวียโย่วข่าออกไปเที่ยวเล่นอยู่สองวันเต็มและยังพาไปตัดผมที่ร้านด้วย จนกระทั่งเหอเสี่ยวโหยวเริ่มไม่พอใจ “พอได้แล้วมั้ง เล่นมากเกินไปแล้ว เขายังต้องเรียนหนังสือนะ จะให้เล่นอย่างนี้ไม่ได้หรอก หมี่หมี่ เดี๋ยวไปบ้านย่านะ ไปเอาสมุดแบบฝึกหัดกลับมาด้วย”
ผ่านไปสองสามวันเหอเสี่ยวโหยวยังนึกถึงกระเป๋านักเรียนที่ลูกบอกว่าลืมไว้ที่บ้านย่ามาตลอด เธอให้ความสำคัญกับการเรียนของเซวียโย่วข่ามาก ด้วยกังวลว่าเพราะเขาอายุน้อย พอเปิดเทอมแล้วจะตามนักเรียนคนอื่นไม่ทัน เธอไปฟังบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญอยู่บ่อยๆ รู้ดีว่าขอแค่ช่วงเริ่มต้นตามไม่ทัน ต่อไปก็จะยากมากถ้าหากอยากจะเรียนตามให้ทัน
พอถึงบ้านย่า เหอเสี่ยวโหยวก็แทบจะไม่ให้เวลาเขาได้ดื่มน้ำเลย เธอขึ้นไปชั้นบนแล้วบอกให้เซวียโย่วข่าให้นำสมุดแบบฝึกหัดออกมา
“เอามาให้แม่ดูที่ลูกทำหน่อยสิ”
เซวียโย่วข่าทำส่วนที่เธอสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว เหอเสี่ยวโหยวดูแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ “ทำได้ดีเลย” จากนั้นก็หยิบเฉลยมาตรวจคำตอบแล้วขีดคำตอบที่ผิดให้เขา “ตรงนี้ตอบผิดนะ ทำใหม่อีกรอบ แล้วก็ตรงนี้อีก” เธอพลิกดูทีละหน้าแล้วพับมุมล่างขวาไว้ “ถ้าอยากอยู่บ้านย่า ช่วงสัปดาห์นี้ก็ทำตรงนี้ให้หมดนะ ถึงวันหยุดคราวหน้าแม่จะไปหาและจะตรวจการบ้านลูก”
“แม่…นี่มันเยอะเกินไปหรือเปล่า”
“เยอะตรงไหน ไม่ได้พาไปเรียนพิเศษ ลูกก็ต้องขยันเองสิ อนาคตอยากเรียนแค่โรงเรียนเทคนิคเหมือนแม่กับพ่อหรือไง”
เซวียโย่วข่าทำได้แค่ปิดปากไปเงียบๆ
เหอเสี่ยวโหยวเน้นให้เขาเรียนภาษาจีน คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ โดยทิ้งการบ้านไว้ให้เขาครบทั้งสามวิชา เรียกว่าหนักกว่าเรียนที่โรงเรียนเสียอีก
พอเธอออกไป เซวียโย่วข่าก็วางปากกาลงแล้วเปิดสมุดแบบฝึกหัดไปหน้าหลัง จากนั้นก็เห็นตัวเลขชุดหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
แย่แล้ว!
เหมือนว่าเขาจะลืมโทรหาเฉิงอวี้…
ชุดตัวเลขนั้นคือเบอร์โทรศัพท์ที่เฉิงอวี้เขียนทิ้งไว้ให้
จะโทรตอนนี้ดีไหมนะ
แต่นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว…
ช่างมันก็แล้วกัน
คาดว่าเฉิงอวี้เองคงลืมเรื่องนี้ไปแล้วเหมือนกัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายให้เขาโทรไปทำไม
ตอนที่เขากะว่าจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้คืนเงินหรือเปล่านะ
คืนนั้นเขาฉีดยาที่โรงพยาบาลแล้วก็เป็นลุงฉู่ ตาของเฉิงอวี้ที่ช่วยออกเงินให้ก่อน
เซวียโย่วข่าไม่ชอบติดหนี้ใคร และนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องไปคืนเงิน เขาไม่เดินอ้อมไปไกล แต่เดินไปยังริมแม่น้ำแล้วไปหยุดยืนที่ฝั่งตรงข้ามบ้านของเฉิงอวี้ จากนั้นก็ตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายจากระยะประมาณสิบกว่าเมตร
เขาตะโกนอยู่หลายรอบ สุดท้ายลุงเว่ยเป็นคนได้ยิน อีกฝ่ายมายืนที่ริมแม่น้ำแล้วถามเขาว่า “หนูจะหาพี่เหรอ เขานอนอยู่บนบ้าน เดี๋ยวลุงเรียกให้นะ”
ผ่านไปห้านาทีเฉิงอวี้ก็เปิดหน้าต่างออกมา เส้นผมยุ่งเหยิง คิ้วขมวดแน่น สีหน้ายังคงไม่รับแขกเหมือนเดิม
“เรียกฉันทำไม”
เฉิงอวี้ยืนอยู่ข้างบนและก้มลงมามอง ก่อนจะเห็นว่าเขาไปตัดผมมาแล้ว ซึ่งการตัดผมสั้นทำให้ดูเหมือนเด็กผู้ชายมากขึ้น
“พี่เป็นคนบอกให้ฉันโทรหาพี่ไม่ใช่เหรอ!” เซวียโย่วข่าตะโกนตอบ
“บ้านเธอไม่ได้จ่ายค่าโทรศัพท์เหรอ ถึงได้ใช้วิธีโทรแบบนี้น่ะ”
“ว่าไงนะ!”
“ฉันพูดว่า…” เมื่อเฉิงอวี้เปิดหน้าต่างให้กว้างขึ้น ลมก็พัดเข้ามาทันทีจนผ้าม่านสีขาวลอยขึ้นมา “หายดีหรือยัง”
เซวียโย่วข่าได้ยินไม่ชัด เขาเดินไต่ก้อนหินริมน้ำลงไปในแม่น้ำ “ฉันมาคืนเงิน!”
เขาสะพายกระเป๋าที่ข้างในบรรจุเงินที่เอามาจากกระปุกออมสินและเงินค่าขนมที่ได้จากพ่อเมื่อไม่กี่วันก่อน รวมแล้วมีหกสิบถึงเจ็ดสิบหยวน
เฉิงอวี้เห็นเขาถอดรองเท้าแล้วก้าวลงไปในแม่น้ำ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเด็กคนนี้กำลังมีประจำเดือน เมื่อวันก่อนยังปวดท้องจนซบเขาตัวสั่นอยู่เลย
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย!” เฉิงอวี้ตะโกนใส่เขาเสียงดัง
คราวนี้เซวียโย่วข่าได้ยินชัดจึงหยุดยืนทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมอง
หน้าต่างบานนั้นมีต้นไม้อยู่ตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังตื่นไม่เต็มตาของเฉิงอวี้โผล่พ้นจากช่องระหว่างพุ่มไม้เขียวชอุ่ม
“กลับบ้านไปซะ”
“ฉันมาคืนเงินนะ!”
“รู้แล้ว เดี๋ยวฉันจะไปหาเธอ” เฉิงอวี้ดูเวลาแล้วบีบสันจมูก “สี่โมง รอก่อน”
“ฉันจะไปรอพี่หน้าบ้าน!”
เฉิงอวี้พยักหน้า จากนั้นก็ปิดหน้าต่างลงทันที
เซวียโย่วข่ากลับบ้านมา พอสี่โมงเย็นนาฬิกาปลุกที่เขาตั้งไว้ก็ดังขึ้น เขาถือเงินออกไป ไม่ช้าก็เห็นเฉิงอวี้ที่สวมแว่นกันแดดยืนอยู่ที่ปลายทางเดินเล็กๆ
เซวียโย่วข่าวิ่งไปหาเขา
“ไปตัดผมมาเหรอ”
“เมื่อวานพ่อพาไปตัด”
“ตัดแล้วดูเหมือนผู้ชายขึ้นเยอะเลย” เฉิงอวี้มองใกล้ๆ นอกจากผิวขาวก็ไม่เห็นลักษณะพิเศษของเด็กผู้หญิง
“ก็ฉันเป็นผู้ชายอยู่แล้วนี่นา”
เฉิงอวี้ยิ้มมุมปาก
เซวียโย่วข่าเปิดกระเป๋า “พี่ ฉันติดเงินพี่เท่าไร”
“เธอมีเท่าไรล่ะ” เฉิงอวี้รู้ว่ากว่าเด็กน้อยจะเก็บเงินเองได้นั้นไม่ง่ายจึงไม่คิดจะเอาเงินคืนจริงๆ
“ฉันมีทั้งหมดเจ็ดสิบสองหยวนสามเหมา” เซวียโย่วข่ากำเศษเงินในมือ “พอไหม”
“ไม่พอ”
“แต่…ฉันมีแค่นี้จริงๆ”
“ฉันให้โทรหาฉันวันเสาร์อาทิตย์ วันนี้มันพฤหัสแล้วนะ” เฉิงอวี้ยืนใต้ร่มไม้ “หรือเธอไม่อยากคืนเงินเลยจงใจไม่โทรมา”
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ แค่…วันนั้นน้องฉันเข้าโรงพยาบาลเลยไปเยี่ยม แล้วแบบฝึกหัดก็อยู่บ้านย่า…วันนี้แม่ก็เอาแบบฝึกหัดไปแล้ว เลยไม่มีเบอร์พี่ แต่ฉันจะคืนแน่นอน” เซวียโย่วข่าควักเศษเงินออกมายื่นให้ “นี่ให้พี่ก่อน ส่วนที่เหลือ…ที่เหลือ…”
เฉิงอวี้ยัดเศษเงินกลับเข้าไปในกระเป๋าเขา “แล้วจะคืนยังไง”
“พี่เอาใบชาไหม” เซวียโย่วข่าพูด “บ้านฉันมีไข่ไก่ไข่เป็ดด้วยนะ”
เฉิงอวี้ยิ้มน้อยๆ “ไม่เอา”
“งั้น…ที่บ้านฉันมีสมบัติอย่างอื่นอยู่หน่อยนึง พี่อยากได้ไหม”
พอเฉิงอวี้ถามว่าสมบัติอะไร เซวียโย่วข่าก็บอกว่าจะพาไปดู
เขาพาเฉิงอวี้เข้าบ้าน ในบ้านมีคนแต่กำลังหลับอยู่ เซวียโย่วข่าจึงพาเขาเดินย่องขึ้นบันไดไปเบาๆ ก่อนจะเข้าไปในห้องของตัวเอง
เฉิงอวี้เพิ่งจะเคยเข้ามาห้องของเด็กผู้หญิงเป็นครั้งแรก แต่เขาไม่คิดเลยว่าผนังห้องจะติดภาพเจ้าหนูปรมาณู แถมยังติดโปสเตอร์ซูเปอร์ไซย่าอีก ห้องเล็กๆ ห้องนี้มีเพียงเตียงเล็กข้างหน้าต่าง โต๊ะเขียนหนังสือธรรมดา และเก้าอี้ไม้หนึ่งตัว
แค่นี้เอง…
ไม่มีแม้แต่สิ่งที่เด็กผู้หญิงมักจะชอบ อย่างเช่นสีชมพูหรือผ้าม่านลูกไม้ เซวียโย่วข่าไม่มีของพวกนั้นแม้สักอย่าง
เฉิงอวี้แค่กวาดตามองแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ “เธอจะให้ฉันดูสมบัติอะไร”
เซวียโย่วข่าก้มตัวลงไปลากกล่องรองเท้าออกมาจากใต้เตียง
ทันทีที่เห็นกล่องรองเท้าเก่าๆ เฉิงอวี้ก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เหมือนที่ตัวเองคิดไว้แล้ว
จนกระทั่งเซวียโย่วข่าเปิดกล่องเผยให้เห็นข้าวของจุกจิกเต็มกล่อง
เมื่อเขายกกล่องมาวางบนโต๊ะ เฉิงอวี้มองเข้าไปก็พบว่าด้านในและด้านบนเต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูน นิตยสารเรื่องเล่า โปสเตอร์อะนิเมะ ฟิกเกอร์ สติ๊กเกอร์การ์ด แม้แต่คู่มือเทรดหุ้นก็ยังมี
เซวียโย่วข่าหยิบหนังสือการ์ตูนออกมาหลายเล่ม หนังสือพวกนี้ยืมมาจากหู่ผี จากนั้นก็ส่งของที่เหลือทั้งหมดให้เฉิงอวี้
“ของสะสมทั้งหมดของฉัน ยกให้พี่หมดเลย”
“เซวียหมี่หมี่” เฉิงอวี้มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “เธอเห็นฉันเป็นพ่อค้ารับซื้อของเก่าเหรอ”
เซวียโย่วข่าเกาศีรษะอยู่นานก่อนจะพูดว่า “ฉันเก็บเงินได้นะ แต่มันต้องใช้เวลาหน่อย…”
“ช่างเถอะ” จริงๆ เฉิงอวี้ไม่ได้คิดจะเอาเงินเขาอยู่แล้ว “นายเก็บเงินไว้ซื้อของกินอร่อยๆ เถอะ”
“หือ?” เขาไม่เข้าใจ “แบบนี้ไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” เฉิงอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยื่นมือออกมาสิ”
ถึงจะไม่รู้ว่าเฉิงอวี้จะทำอะไร แต่เซวียโย่วข่าก็ยื่นมือออกไปให้
มือของเด็กคนนี้ใหญ่กว่ามือของเด็กผู้หญิงทั่วไป ผิวขาว ลายมือชัดเจน เล็บก็ตัดแต่งจนสะอาดเรียบร้อยดี
เฉิงอวี้ยกมือขึ้น…
ท่าทางที่เหมือนกับจะตีมืออันคุ้นเคยนี้ทำให้เซวียโย่วข่านึกถึงไม้บรรทัดเหล็กของครูคณิตศาสตร์ขึ้นมาทันที
เขาสะบัดแขนไปข้างหลังอย่างระแวง
“อย่าขยับ”
เฉิงอวี้เอื้อมมือมาคว้าข้อมือบางของเขาไว้แล้วใช้มืออีกข้างตบเบาๆ ที่ฝ่ามือเขา การกระทำนั้นแผ่วเบาจนไม่มีแม้แต่เสียง
“จะได้จำไว้บ้าง” เฉิงอวี้มองตาเขา “กล้าทำเบอร์ฉันหายได้ยังไง”
วันนั้นพวกเขาเป็นห่วงเซวียโย่วข่ากันมาก ลุงเว่ยถึงกับขับรถไปหาเขา แต่กลับไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน
ฝ่ามือรู้สึกชาเล็กน้อย เซวียโย่วข่ามองเขาด้วยความสับสนอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า “งั้นฉันยังต้องคืนเงินไหม”
“เธอคืนไม่ไหวไม่ใช่เหรอ”
“ฉัน…ฉันคืนทีละนิดได้นะ”
“ฉันขัดสนเงินของเธอหรือไง”
เซวียโย่วข่าก้มหน้าคิดเงียบๆ แต่ยังค้างท่ายื่นมืออยู่เหมือนเดิม จากนั้นก็พูดอย่างจริงจังว่า “พี่ ถ้าพี่อยากตีฉันก็ตีเลย จะตีตรงไหนก็ได้ จริงๆ นะ”
Comments



