ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 10-12 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 10-12 #นิยายวาย

บทที่ 11

 

เฉิงอวี้มองเซวียโย่วข่า ทันใดนั้นก็คิดถึงเรื่องที่ไม่ควรจะคิดเข้าให้

สายตาของเขากวาดผ่านริมฝีปากแดงเรื่อของอีกฝ่าย ไล่ลงมายังร่างกายที่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ แล้วมาหยุดที่มือข้างที่ยื่นออกมาให้เขาตีฝ่ามืออย่างว่าง่าย เฉิงอวี้ก้มหน้ายิ้มนิดๆ พูดด้วยเสียงแหบพร่าเล็กน้อย

“บ้านพวกเธอนอกจากเก็บผลไม้ในสวนผลไม้กับเก็บใบชาในไร่ชาแล้ว ยังมีอะไรให้เล่นอีกไหม” เขาว่า “ใช้หนี้ด้วยการเป็นไกด์ให้ฉันแทนก็แล้วกัน”

เป็นไกด์งั้นเหรอ

เซวียเทียนเลี่ยงก็ทำงานนี้ เซวียโย่วข่าเลยคุ้นเคยดี “ไปว่ายน้ำที่แม่น้ำไหม”

“ไม่เอา” ไปว่ายน้ำกับเด็กผู้หญิงน่าเบื่อจะตาย

“ทุ่งดอกผักกาดก้านขาวล่ะ สวยมากเลยนะ คนในเมืองมาเห็นยังต้องหยุดถ่ายรูปกันเลย”

เฉิงอวี้ส่ายหน้า

“อ้อ! บ้านฉันมีบ้านต้นไม้นะ”

“บ้านต้นไม้เหรอ หน้าตาเป็นยังไง”

“ก็ตรงนั้นไง” เซวียโย่วข่าคุกเข่าลงตรงขอบเตียงแล้วชี้ให้เขาดู “บนต้นมะเดื่อหลังบ้าน ตอนเด็กๆ ปู่ฉันสร้างให้”

ต้นไม้ต้นนั้นสูงใหญ่จนน่าตกใจ มันสูงกว่าตัวบ้านไม่น้อย เฉิงอวี้มองตามไปก็เห็นบ้านต้นไม้ที่อีกฝ่ายว่ากับบันไดลิง มันดูเรียบง่ายจนน่าเหลือเชื่อ

“ฉันชอบนอนในนั้น” เซวียโย่วข่าว่า “พี่เป็นคนในเมืองคงไม่เคยนอนบ้านต้นไม้แน่ สมัยก่อนตอนหน้าร้อนจะมีหิ่งห้อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้ว หายากมาก ตอนกลางคืนปู่จะจับหิ่งห้อยใส่ไว้ในบ้านต้นไม้ด้วย”

“นี่มันคอกหมาชัดๆ” เฉิงอวี้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้แล้วแหงนมองขึ้นไป

บันไดที่แนบติดกับลำต้นทำจากไม้กับเชือกป่านดูไม่แข็งแรงนัก ที่หน้าประตูเตี้ยๆ เล็กๆ ของบ้านต้นไม้ยังมีผ้าม่านลายดอกไม้ผืนใหญ่ห้อยอยู่ ดูใส่ใจในรายละเอียดมากเหมือนกัน

“ไม่ใช่คอกหมาสักหน่อย หมามันปีนต้นไม้ไม่ได้นะ”

เมื่อได้ยินเขาอธิบายอย่างจริงจัง เฉิงอวี้ก็พูดไม่ออก เซวียโย่วข่าดื้อจะแสดงให้เขาดู อีกฝ่ายปีนเหมือนลิงขึ้นไปก่อนจะเรียกเฉิงอวี้

“พี่จะขึ้นมาไหม ข้างบนเย็นสบายมากเลยนะ”

เขานั่งอยู่ริมบ้านต้นไม้ แกว่งขาไปมา

เฉิงอวี้ไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงคนไหนเหมือนอีกฝ่ายมาก่อน จึงจ้องมองอยู่นาน “ข้างในเหม็นไหม”

“ไม่เหม็น” เซวียโย่วข่าก้มหน้า แสงแดดจ้าตกลงบนศีรษะเขา “ถ้าพี่มาคืนนี้ ฉันจะจับหิ่งห้อยให้ด้วย”

“ไม่ใช่ว่าหายากเหรอ”

“บนเขายังมีอยู่ ฝั่งไร่ชาน่ะ”

“งั้นเธอจับได้ก่อน ฉันถึงจะขึ้นไป”

เซวียโย่วข่ามองพี่ชายตรงหน้าพักใหญ่ “ก็ได้ๆ คืนนี้จะจับให้ พี่จะไม่ขึ้นมาจริงเหรอ”

เฉิงอวี้เลิกคิ้ว “ถ้าเธอจับหิ่งห้อยได้ก็โทรหาฉัน”

เซวียโย่วข่ามองเฉิงอวี้ที่ยืนอยู่ข้างล่าง ก็รู้สึกเหมือนเห็นตัวเองตอนเด็กๆ ตอนนั้นเขาก็เรียกร้องแบบนี้จากเซวียเทียนเลี่ยงเหมือนกัน ร้องขอให้พ่อจับหิ่งห้อยให้

สุดท้ายตอนนี้ก็ถึงตาตัวเองบ้างแล้ว

เฉิงอวี้ว่า “หยิบปากกามาสิ เดี๋ยวฉันเขียนเบอร์ให้”

เมื่อครู่เซวียโย่วข่าเพิ่งบอกว่าทำเบอร์ของเขาหายไป

เซวียโย่วข่าจนปัญญา ก่อนจะค่อยๆ ปีนลงมา และยังหยิบสมุดโทรศัพท์กับปากกาจากบนบ้านต้นไม้ลงมาด้วย

“ฉันจะใช้สมุดโทรศัพท์จดเอาไว้ คราวนี้ไม่หายแน่ ว่ามาเลย”

เมื่อเฉิงอวี้บอกเบอร์ เขาก็จดลงไป

เฉิงอวี้ยื่นมือมา “ขอดูหน่อย”

สมุดโทรศัพท์เล่มนั้นเล่มเล็กมาก มันมีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือ ข้างในจดเบอร์คนไว้เยอะแยะ ล่าสุดที่จดคือเบอร์ของเฉิงอวี้ อีกทั้งข้างหน้ายังเขียนชื่อด้วยลายมือโย้เย้

 

เฉินอวี้’

 

เฉิงอวี้ “…”

“เซวียหมี่หมี่ เธอยังเขียนชื่อฉันผิดอีกเหรอ” เขาไม่อยากจะเชื่อเลย

“ไม่ได้เขียนแบบนี้เหรอ”

เฉิงอวี้ทำหน้าไร้อารมณ์ คว้าปากกาลูกลื่นจากมือเขา แล้วขีดฆ่าคำว่า ‘เฉินอวี้’ ก่อนจะเขียนว่า ‘เฉิงอวี้’ ลงไปแทน

“จำไว้ให้ดีว่าเขียนยังไง กลับไปคัดชื่อฉันสองร้อยรอบ”

เซวียโย่วข่ารู้สึกว่าคุณชายคนนี้น่าจะป่วยทางประสาทนิดหน่อย แต่คนที่น่ารำคาญกว่านี้เขาก็เคยเจอมาแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วเฉิงอวี้ยังถือว่าไม่เท่าไร เขากวาดตามองสมุดโทรศัพท์ ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายชื่อ ‘เฉิงอวี้’ แต่ปากก็ยังแข็ง

“ไม่ได้เขียนผิดซะหน่อย ฉันแค่ใช้ตัวพ้องเสียง พี่ก็ไม่ใช่ครู จะมาลงโทษให้คัดทำไม”

เฉิงอวี้แค่พูดไปอย่างนั้น รู้สึกว่าเด็กคนนี้แกล้งแล้วสนุกดีเลยอดเคาะหน้าผากเขาเบาๆ ไม่ได้ “คัดสิบรอบ เดี๋ยวฉันกลับมาตรวจ”

“ทำไมเหมือนแม่ฉันเลย…” เขาบ่นพึมพำ

เฉิงอวี้ว่า “ฉันไปล่ะ ถ้าจับหิ่งห้อยได้ก็โทรมานะ”

“อืม”

ก่อนกลับเฉิงอวี้ยังขอเบอร์โทรศัพท์บ้านของเซวียโย่วข่าไปด้วย

เซวียโย่วข่าเดินไปส่งอีกฝ่ายถึงหน้าบ้าน พอย่าเห็นเขากลับมาพอดีเลยถามว่า “หมี่หมี่ เมื่อกี้หู่ผีมาหาเหรอ”

เซวียโย่วข่าพยักหน้าแบบขอไปที ไม่ได้บอกว่าเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่

“ย่า เดี๋ยวนี้บนเขายังมีหิ่งห้อยอยู่ไหม”

“ช่วงนี้เหรอ ย่าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้ยินคนเขาว่ามีอยู่นะ”

เซวียโย่วข่าไม่ได้เรียกปู่ แต่ไปลากหู่ผีขึ้นเขาไปจับหิ่งห้อยด้วยกัน ท้องฟ้ามืดแล้ว ทั้งสองถือไฟฉายเดินวนอยู่บนภูเขารอบหนึ่ง ทว่ากลับไม่เจอหิ่งห้อยแม้แต่ครึ่งตัว

หู่ผีถาม “เซวียโย่วข่า จู่ๆ ทำไมนายถึงอยากจับหิ่งห้อยขึ้นมาเนี่ย”

“จับมา…เล่นน่ะ”

“แถวบ้านเราไม่มีหรอก แต่ฉันได้ยินมาว่าที่เขาจงซานน่ะยังมีอยู่”

เขาจงซานอยู่ไกลพอสมควร ถ้าจะไปจากตรงนี้ต้องใช้เวลาขับรถครึ่งชั่วโมง

เซวียโย่วข่าถอนหายใจ ไกลขนาดนั้นเขาจะไปจับหิ่งห้อยให้เฉิงอวี้คนเดียวได้อย่างไร

ตอนลงจากเขา หู่ผีถือไฟฉายเดินนำหน้า ส่วนเซวียโย่วข่าเดินตามหลัง แต่ดันเหยียบตะไคร่น้ำ พื้นรองเท้าลื่นไถลทำให้ล้มลงไป

“โอ๊ย…” เขานั่งอยู่บนพื้น

หู่ผีได้ยินก็รีบหันกลับมาดูเขาทันที “นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม!”

“ไม่เป็นไร ข้อเท้าไม่พลิก แค่ถลอกเฉยๆ” ภายใต้แสงไฟฉายเซวียโย่วข่ารีบดึงขากางเกงขึ้นดู น่องขาทั้งสองข้างถลอกหมด แต่ขาขวาหนักกว่าหน่อย ตรงข้อเท้ามีเลือดซึมออกมาด้วย

หู่ผีก้มดูแผลเขาอย่างละเอียด “ก็หนักอยู่นะ เดินไหวเหรอ งั้นฉันลงไปเรียกคนมาอุ้มนายไหม”

“เว่อร์ไปไหมเนี่ย” เซวียโย่วข่าค่อยๆ ยืนขึ้นแล้วเช็ดดินบนฝ่ามือ แต่กลับพบว่าฝ่ามือก็ถลอกจนมีเลือดซึมเหมือนกัน แต่เขาไม่สนใจ “แค่นี้น่ะเหรอ ยังไม่เจ็บเท่าตอนขลิบเลย”

หู่ผี “…”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ความเร็วของฝีเท้าตอนเดินลงจากเขาก็ช้าลงจริงๆ เซวียโย่วข่าเดินกะเผลกเล็กน้อย แต่เขาโตมาในชนบท หกล้มจนเป็นเรื่องปกติ แผลแค่นี้ไม่นับเป็นอะไร ถึงขั้นขี้เกียจทายาด้วยซ้ำ แค่ใช้ผ้าเช็ดแล้วก็ปล่อยไป

ในเมื่อจับหิ่งห้อยไม่ได้ เขาเลยไม่ได้โทรหาเฉิงอวี้ เซวียโย่วข่านั่งอยู่ใต้หลอดไฟแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำการบ้านที่เหอเสี่ยวโหยวสั่งไว้

จนกระทั่งผ่านไปสองวันเฉิงอวี้ถึงเป็นฝ่ายโทรมาเอง

“เซวียหมี่หมี่ หิ่งห้อยที่นายจะจับให้ฉันล่ะ” อยู่ที่นี่เฉิงอวี้เบื่อจะตายอยู่แล้ว ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักอย่าง

“คือว่า…”

“จับไม่ได้เหรอ”

“อืม…บนเขาของเราไม่มีแล้ว” เขาตอบไปตามตรง “ได้ยินมาว่าต้องไปถึงยอดเขาจงซานถึงจะมี แต่ฉันเตรียมอย่างอื่นไว้ให้แทนแล้วนะ พี่อยากมาดูไหม”

“ลึกลับอะไรขนาดนั้น”

“มาแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง!”

เฉิงอวี้ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเชื่ออีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ พอเจ้าตัวบอกตาเสร็จก็ออกจากบ้านไปทันที

“ตอนบ่ายที่บ้านเธอไม่มีใครอยู่เลยเหรอ” ตอนที่เฉิงอวี้มาถึงก็พบว่าไม่มีใครอยู่บ้านอีกแล้ว

“ย่าไปเล่นไพ่น่ะ”

“แล้วปู่ล่ะ”

“ไปนั่งดื่มชา”

“ไม่พาเธอไปด้วยเหรอ”

“ฉันไม่เล่นไพ่แล้วก็ไม่ดื่มชา จะพาไปทำไม”

เฉิงอวี้ว่า “แล้วเธอเตรียมอะไรไว้ให้ฉันล่ะ”

“พี่ขึ้นไปดูก็รู้เองแหละ!”

เฉิงอวี้ยืนอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ สีหน้าดูแข็งทื่ออึดอัดอยู่พักหนึ่ง

เซวียโย่วข่าดันเขาเบาๆ “ขึ้นไปสิ”

เฉิงอวี้สงสัยจริงๆ ว่าเด็กนี่เตรียมเซอร์ไพรส์อะไรให้ตัวเองกันแน่

“อันนี้มันจะแข็งแรงเหรอ” เฉิงอวี้จับเชือกป่านไว้แล้วเหยียบขึ้นไป

“ทำไมจะไม่แข็งแรงล่ะ! ฉันปีนมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ หลายปีแล้วก็ยังไม่พังเลย”

เฉิงอวี้ปีนขึ้นไปก้าวต่อก้าวก็มาถึงด้านบนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกมือขึ้นเลิกม่านดอกไม้ผืนใหญ่ “เล็กแค่นี้เองเหรอ”

ข้างในค่อนข้างมืด แสงแดดอ่อนๆ ลอดเข้ามาจากรอยแยกของลำต้นที่เป็นโครงสร้างของบ้านต้นไม้เป็นริ้วๆ

“ข้างในมีแค่หมอนข้างหนึ่งใบกับลูกบอลสองลูก”

“นั่นคือลูกบอลเรืองแสง พี่ต้องนอนข้างใน” เซวียโย่วข่าที่ยืนอยู่ข้างล่างบอก

เฉิงอวี้ลองดมดู ไม่มีกลิ่นเหม็น มีแต่กลิ่นธรรมชาติของไม้ จึงค่อยๆ คลานเข้าไป

ทั้งชีวิตเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แม้จะบ่นอยู่ในใจ แต่ก็เหมือนถูกพลังงานลึกลับบางอย่างผลักให้ทำ เฉิงอวี้ขมวดคิ้ว บ้านต้นไม้คับแคบมาก เพียงแค่พลิกตัวหัวไหล่ก็ชนเข้ากับผนัง

เขานอนลง แต่ขายังยื่นออกมานอกบ้านต้นไม้

“แล้วไงต่อ” เฉิงอวี้ถาม

“ลองคลำดูซิว่ามีไฟฉายหรือเปล่า”

เฉิงอวี้เอนศีรษะพิงหมอนข้าง ก่อนจะคลำเจอไฟฉายกระบอกเล็ก

“พี่เปิดไฟฉายแล้วมองข้างบนดู”

เฉิงอวี้กดสวิตช์ไฟฉายแล้วมองขึ้นไปที่เพดานของบ้านต้นไม้

มันคือภาพท้องฟ้าที่มีดวงดาวพร่างพราวซึ่งตัดมาจากในหนังสือ

เฉิงอวี้ “…”

“เห็นไหม” เสียงของเซวียโย่วข่าลอยผ่านต้นไม้ขึ้นมา “นั่นคือกลุ่มเนบิวลาผีเสื้อ สวยไหม”

เฉิงอวี้จ้องภาพยับยู่ยี่ที่ถูกติดด้วยเทปใสไว้บนเพดานนิ่งๆ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจรู้สึกพิเศษอย่างบอกไม่ถูกนิดๆ

ที่บ้านเขามีกล้องโทรทรรศน์ เฉิงอวี้เคยเห็นท้องฟ้าที่มีดวงดาวพร่างพราวจริงๆ มาแล้ว แต่เพราะโรคหัวใจที่เกือบคร่าชีวิตตั้งแต่เกิด เขาจึงแทบไม่เคยไปไหนเลยนอกจากอยู่ในมาเก๊า พ่อแม่ก็ไม่ยอมให้เขาเสี่ยงขึ้นเครื่องบิน

นอกจากนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดของบ้านอย่างห่อเหี่ยว เฉิงอวี้ก็แทบไม่มีอะไรให้ทำเลย

แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกภาพถ่ายยับๆ ใบนั้นกระแทกใจเข้าอย่างจังโดยที่ไม่สามารถอธิบายได้

ขณะที่เขากำลังคิดแบบนั้น ขาที่ยื่นอยู่นอกบ้านต้นไม้ก็เย็นวาบขึ้นมา เฉิงอวี้สะดุ้งเตะขาออกไปแล้วลุกขึ้นนั่งทันทีจนหน้าผากโขกเข้ากับเพดาน

เฉิงอวี้กัดฟันแน่นโดยไม่ได้ร้องออกมา

เขาทำหน้าเคร่งขรึม เมื่อเลิกม่านแล้วก้มลงไปดูก็เห็นเซวียโย่วข่าเกาะอยู่บนบันได

“เห็นว่ายุงเกาะขาพี่ เลยจะฉีดยากันยุงให้…”

ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นสเปรย์กันยุงที่หอมฉุนจนชวนอึดอัดเหมือนอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด

หน้าผากของเฉิงอวี้ปวดตุบๆ เมื่อครู่ศีรษะของเขาโขกแรงไปจริงๆ

เซวียโย่วข่าได้ยินเสียงเมื่อครู่นี้ก็รู้ว่าเขาคงศีรษะโขกแน่ๆ ตอนนี้เลยรู้สึกผิดเล็กน้อย “ขอโทษนะพี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่เจ็บเลย พี่ชอบของข้างในไหม”

เฉิงอวี้ทำหน้านิ่ง “นี่คือที่เธอจะให้ฉันเหรอ”

เซวียโย่วข่าเห็นว่าเฉิงอวี้ไม่ชอบจริงๆ ก็ก้มหน้าอย่างรู้สึกเสียใจ เขาเงียบไปสักพักก่อนจะอธิบายเสียงอ่อย

“แต่บนเขาไม่มีหิ่งห้อยจริงๆ นี่นา…ฉันขึ้นไปหาให้พี่โดยเฉพาะเลยนะ”

“ไม่ใช่บอกว่าที่เขาจงซานมีเหรอ” เฉิงอวี้ปีนลงจากบันไดที่โคลงเคลงพลางลูบหน้าผากตัวเองไปด้วย

เหมือนจะปูดขึ้นมาแล้ว

“มันไกลเกินไป! ต้องขับรถไปตั้งครึ่งชั่วโมง ถ้าปั่นจักรยานก็สองชั่วโมงเลยนะ” ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขายังขี่จักรยานไม่ได้ เพราะเพิ่งผ่าตัดมาได้แค่เดือนเดียว

เซวียโย่วข่าทั้งน้อยใจทั้งโกรธ เขานั่งแปะลงบนไม้กระดกแล้วพับขากางเกงขึ้น เผยให้เห็นรอยช้ำกับแผลถลอกบนขาทั้งสองข้าง

“ฉันไปหาหิ่งห้อยให้พี่ ยังหกล้มอีก ดูสิ!”

เฉิงอวี้นิ่งอึ้ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะย่อตัวลงไปดู

ขาคู่นี้สวยมาก ไม่ได้ผอมเกินไป รูปร่างได้สัดส่วนและเรียวยาว เพียงแค่ตรงเข่ามีรอยฟกช้ำ ที่ด้านข้างขามีแผลถลอกที่ตกสะเก็ดแล้ว ส่วนสะเก็ดแผลที่ข้อเท้าดูจะมีสีเข้มกว่า แสดงให้เห็นว่าแผลตรงบริเวณนั้นรุนแรงกว่า

“ดูสิ! เพราะพี่บอกให้ไปจับหิ่งห้อยไงล่ะ ฉันเอาเงินไปคืนพี่ไม่ได้เหรอ ไม่อยากเล่นกับพี่แล้ว”

เฉิงอวี้มีสีหน้าย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม “แล้วเธอจะไปเล่นกับใครล่ะ”

“ฉันมีเพื่อน!”

“เด็กน้อย”

“อีกไม่กี่วันฉันก็เก็บเงินเอาไปคืนพี่ครบแล้ว ไม่จับหิ่งห้อยให้พี่แล้ว พี่ชอบนักก็ไปจับเองเลย!” ยิ่งพูดยิ่งเสียงดัง ยิ่งพูดยิ่งมั่นใจ ทำเอาเฉิงอวี้โกรธไม่ลง

ช่างเถอะ จะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กผู้หญิงทำไม

“หมี่หมี่”

“หืม?” เขาขานรับอย่างลืมตัว

“ยังเจ็บอยู่ไหม”

น้ำเสียงที่อ่อนโยนลงอย่างกะทันหันทำให้เซวียโย่วข่ามึนงง เขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างอึ้งๆ

“มะ…ไม่เจ็บแล้ว…”

“รอเดี๋ยวนะ” ว่าแล้วเฉิงอวี้ก็ลุกขึ้นเดินออกจากบ้านไปในตอนที่เซวียโย่วข่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว

เซวียโย่วข่ามึนงงยิ่งกว่าเดิม…

เฉิงอวี้เป็นคนที่นิสัยแปรปรวนที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ เมื่อครู่ยังทำหน้าดุใส่อยู่เลย แต่วินาทีต่อมากลับถามอย่างอ่อนโยนว่าเจ็บไหม แล้วอีกวินาทีต่อมาก็ทิ้งเขาไว้แล้วเดินหนีไป

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเฉิงอวี้เดินวนรอบหมู่บ้านจนคุ้นเคยแล้ว เขารู้ว่าตรงทางเข้าถนนมีร้านขายของชำเล็กๆ อยู่

มีแค่เด็กผู้หญิงอายุราวสิบขวบเฝ้าร้าน พอเห็นเฉิงอวี้เดินมาก็หน้าแดงแจ๋ทันที

เมืองเล็กๆ แบบนี้ไม่เคยเห็นผู้ชายแบบเขามาก่อน แต่งตัวสะอาดทันสมัย หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างผอมสูง พับแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นข้อศอกที่ได้รูปและแข็งแรง เป็นผลจากการเรียนฟันดาบและตีกลอง แค่มองแขนก็รู้ว่าถึงร่างกายเขาจะดูผอม แต่จริงๆ แล้วแข็งแรงมาก

“จะ…จะซื้ออะไรคะ” เด็กผู้หญิงถามด้วยภาษาถิ่น เฉิงอวี้พอจะฟังออก เขากวาดตามองร้านขายของชำ แต่ก็มีแต่ขนมขยะทั้งนั้น พวกล่าเถียว[1]* อะไรพวกนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นยี่ห้อที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

เดาได้ว่าเซวียหมี่หมี่น่าจะชอบ แต่เขาก็ไม่ได้ซื้อ

“ขอไอติมแท่งหนึ่ง”

พอเปิดตู้แช่เฉิงอวี้ก็เอื้อมมือไปเลือก ปรากฏว่าเจอแต่ยี่ห้อโนเนมไม่รู้จักทั้งนั้น สุดท้ายเลยหยิบยี่ห้อเค่ออ้ายตัวมา

“เอาอันนี้แหละ” เฉิงอวี้จ่ายเงิน

พอกลับถึงบ้านของตระกูลเซวีย เซวียโย่วข่าก็ไม่ได้อยู่ที่ไม้กระดกแล้ว เมื่อเฉิงอวี้เดินขึ้นไปชั้นบนก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนอนอ่านการ์ตูนอยู่ในห้องตามคาด

เฉิงอวี้เคาะประตูที่เปิดอยู่สองทีเป็นการบอกว่าเขาเข้ามาแล้วนะ

“ซื้อของมาให้” เขาซ่อนไอศกรีมไว้ข้างหลัง

เซวียโย่วข่าตาไว “ไอติมโคน!”

“อืม” เฉิงอวี้ยื่นออกมา

“ซื้อให้ฉันเหรอ!!”

เฉิงอวี้เห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยว่าจากที่หมดอาลัยตายอยากอยู่ จู่ๆ ตอนนี้อีกฝ่ายกลับตาลุกวาวขึ้นมาทันที ดวงตาคู่นั้นกำลังเปล่งประกาย

เขารู้สึกขำและอดยิ้มไม่ได้ “ซื้อให้เธอ”

เซวียโย่วข่ากระโดดลงจากเตียง แต่ในขณะที่กำลังจะคว้าเค่ออ้ายตัวจากมือเฉิงอวี้ อีกฝ่ายก็ชักมือกลับ เซวียโย่วข่าที่คว้าได้แต่ความว่างเปล่าเลยมองเขาอีกที

เฉิงอวี้พูดเสียงเนิบ “ยังปวดท้องอยู่ไหม”

เซวียโย่วข่านึกว่าเขาหมายถึงวันก่อนที่กินอาหารทะเลแล้วปวดท้องเลยส่ายหน้า “หายตั้งนานแล้ว”

“อืม” เฉิงอวี้ยื่นไอศกรีมให้เขา

“ขอบคุณนะพี่!”

“แล้วขาล่ะ ยังโอเคไหม” เฉิงอวี้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ

“ไม่เจ็บแล้ว!”

แม้แต่น้ำเสียงตอนพูดก็ต่างออกไป

“แค่กินไอติมก็ไม่เจ็บแล้วเหรอ ถกขากางเกงขึ้นให้ดูหน่อย”

เมื่อครู่เขาเห็นแค่ผ่านๆ ตอนนี้เมื่อมองให้ชัดๆ ก็พบว่าสะเก็ดแผลที่ขาสองข้างนั้นดูแย่จริงๆ เฉิงอวี้ยังนึกเป็นห่วงนิดหน่อยเลยมันจะเป็นแผลเป็น

เซวียโย่วข่าบอกว่าไม่เป็นไร “ตอนเด็กๆ ฉันเคยไปเล่นที่โรงงานเหล็กแล้วล้มก้นจ้ำเบ้า ถูกเหล็กเสียบเข้าก้น เย็บตั้งยี่สิบเข็ม แต่แทบไม่เป็นแผลเป็นเลย แล้วแผลนี่จะนับว่าเป็นอะไร กินไอติมแล้วเดี๋ยวก็หาย” เขาพูดพลางชำเลืองมองหน้าผากที่ขึ้นสีแดงของเฉิงอวี้

ความสุขของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวช่างเรียบง่ายและบริสุทธิ์แบบนี้เอง

เฉิงอวี้ถึงกับคิดว่าในเมื่อไอศกรีมแท่งเดียวก็ทำให้เป็นแบบนี้ได้ งั้นถ้าให้สิบแท่ง…จะเชื่อฟังเขาทุกอย่างเลยไหม

“พี่ หน้าผากพี่โนนะ”

เฉิงอวี้ชะงัก หยุดจินตนาการทุกอย่างทันที เส้นเลือดตรงหน้าผากเต้นตุบๆ

เซวียโย่วข่าลุกขึ้น ในมือถือโคนไอศกรีมที่ค่อยๆ ละลายภายใต้อุณหภูมิกลางฤดูร้อน กลิ่นหอมของไอศกรีมฟุ้งไปทั่วห้อง

เขานั่งลงข้างเตียงพลางเอ่ยเสียงเบา “พี่ย่อตัวลงหน่อย ฉันจะเป่าให้”

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com