ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1 

ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)

แปลโดย : Singin’ in the Rain

ผลงานเรื่อง : 天地白驹

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม

อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

ภาคที่ 1 คนที่ทอดทิ้งฉัน

สรรพสิ่งบนโลกล้วนไม่หยุดนิ่ง ทุกสิ่งเป็นดังสายน้ำที่ไหลเลื่อนเรื่อยไปอย่างไม่หยุดยั้ง ชีวิตคนเราประหนึ่งม้าขาววิ่งผ่านรอยแยก ดำรงอยู่เพียงชั่วคราว

 

บทที่ 1

เขาเคยคิดว่าตัวเองจะอยู่กับใครสักคนไปจนแก่เฒ่าได้ แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าความรักที่เกิดขึ้นในตอนที่ยังไร้เดียงสานั้นก็เหมือนภาพที่วาดไว้ตามซากปรักหักพังของกำแพง มีแต่จะเลือนหายไปกับสายลมและสายฝนที่กัดกร่อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หลายเดือนผ่านไป เมื่อกลับไปดูอีกทีกำแพงนั้นก็ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงกองอิฐและเศษกระเบื้อง ผ่านไปอีกหลายปีแม้แต่ฐานรากของกำแพงก็ถูกรื้อถอนจนหมด

โจวลั่วหยางเร่งฝีเท้าเดินลงบันไดอาคารพลางสลัดสายหูฟังที่พันกันยุ่งเหยิงให้คลายออก ก่อนจะหยุดจัดชายเสื้อและปัดผมเผ้าให้เรียบร้อยตรงหน้ากระจกแตกฝุ่นเขลอะที่ผู้พักอาศัยชั้นล่างของอาคารโยนทิ้งไว้ จากนั้นเขาก็เข็นจักรยานออกมา ก่อนจะขึ้นคร่อมอานแล้วใส่หูฟัง

วันที่เจ็ดเดือนเก้า แสงอาทิตย์เจิดจ้า ตะวันรอนสาดแสงพร่างตา ทันใดนั้นกระแสลมร้อนผ่าวในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงก็พัดมาปะทะเขา ตรงหน้าอาคารสูงใหญ่นับไม่ถ้วน ท่ามกลางแสงสะท้อนจากผนังกระจกตรงนั้นตรงนี้ ทำให้เมืองหว่านดูราวกับกรงขังขนาดมหึมาที่สร้างด้วยลำแสงในดินแดนแห่งฝันที่แหลกสลาย

โจวลั่วหยางฮัมตามทำนองเพลง โดยหยุดเป็นพักๆ ตามสัญญาณไฟจราจรตรงทางแยก เขาย่ำเท้าตามจังหวะดนตรี แล้วปักหมุดร้านอาหารที่จะไป จากนั้นก็เดินทางสวนกระแสผู้คนในชั่วโมงเร่งด่วนหลังเลิกงานราวกับเป็นปลาหัวรั้น โดยมุ่งหน้าไปตามนัดหมายที่ถนนวงแหวนรอบที่สอง

“เอาให้อยู่นะ” เสียงผู้แนะนำดังมาจากปลายสาย “อย่าเล่นมุกไม่ถูกกาลเทศะอีกล่ะ”

โจวลั่วหยางกดแฮนด์จักรยานพลางตอบกลับอย่างจนปัญญา “รู้แล้ว แค่กินข้าวไม่ใช่เหรอ ทำไมนายร้อนใจกว่าฉันซะอีก”

เสียงในโทรศัพท์ว่า “นี่ฉันให้นายรีบหาวิธีคืนเงินฉันอยู่นะ”

โจวลั่วหยางจอดจักรยานไว้ข้างทาง บิดเกลียวเปิดฝาขวดน้ำแร่ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้น

“นายน้อย ฉันดูเหมือนพวกยืมเงินแล้วไม่คืนหรือไง มาถึงแล้ว ไว้ค่อยคุยกันนะ วางสายก่อน”

หลังจากที่มาอยู่เมืองหว่านได้ครึ่งปีโจวลั่วหยางก็จัดการเรื่องที่ควรจัดการเรียบร้อยแล้ว โดยเขาได้ชำระหนี้สินที่ติดค้างไปแล้วส่วนหนึ่ง ขอยืมเงินก้อนหนึ่งจากเพื่อน หาห้องเช่าได้ตรงวงแหวนรอบที่สามที่ใกล้กับวงแหวนรอบที่สอง หลังจากเขาตรวจสอบมรดกที่ปู่ทิ้งไว้ให้เรียบร้อยแล้วจึงย้ายออก หาทางตั้งตัวในเมืองใหญ่ ทำมาหากินเลี้ยงทั้งตัวเองและน้องชาย

ห้องส่วนตัวหมายเลขสิบสอง…คู่นัดบอดคือผู้ชายที่เป็นเจ้าของกิจการ โจวลั่วหยางเช็กมือถือพลางเคาะประตูสองสามครั้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหนักแน่นดังออกมาจากห้องส่วนตัวตรงหน้านี้

“เข้ามาสิ”

โจวลั่วหยางเข้าไปในห้องส่วนตัว เขายิ้มให้ชายคนนั้น อีกฝ่ายกำลังคุยโทรศัพท์อยู่จึงทำท่าบอกให้โจวลั่วหยางนั่งรอก่อน

ชายคนนั้นอายุประมาณสี่สิบปี กำลังสั่งงานผ่านทางโทรศัพท์ โจวลั่วหยางเหลือบมองมือถืออีกครั้ง จากข้อมูลที่ผู้แนะนำส่งมาให้ เขาจึงรู้ว่าคนคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแต่เป็นเกย์ และอยากจะหาคนรักชายที่เหมาะสมกันเพื่อมาร่วมชีวิต…

ทว่าสิ่งที่โจวลั่วหยางต้องการไม่ใช่คนรัก แต่เป็นหุ้นส่วน

“สวัสดี โจวลั่วหยาง” ชายวัยกลางคนทักทาย “ผมชื่ออวี๋เจี้ยนเฉียง”

โจวลั่วหยางพยักหน้า ด้วยความที่เขาขี่จักรยานมาตลอดทาง เหงื่อจึงไหลจนเสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกชุ่ม สามารถมองเห็นเค้าโครงมัดกล้ามและผิวขาวได้รางๆ พอถูกลมแอร์ในห้องส่วนตัวเป่าเขาก็หนาวจนตัวสั่น แววตาอวี๋เจี้ยนเฉียงแฝงรอยยิ้มอยู่ลึกๆ สายตานั้นมองประเมินเขาไม่หยุด ดูเหมือนอวี๋เจี้ยนเฉียงจะค่อนข้างพอใจในรูปร่างหน้าตาของเขา และจ้องมองเสียจนโจวลั่วหยางชักจะอึดอัดขึ้นมา

“วันนี้ร้อนเนอะ” อวี๋เจี้ยนเฉียงชวนคุย “เดินมา?”

โจวลั่วหยางกำลังจะตอบ แต่อวี๋เจี้ยนเฉียงกลับมีสายเข้า อีกฝ่ายเลยยกมือบอกให้เขานั่งรอก่อนแล้วยื่นเมนูอาหารมาให้พลางทำท่าบอกให้สั่งอาหาร ก่อนจะเดินไปด้านหนึ่งของห้องเพื่อรับสาย

โจวลั่วหยางตามองเมนูอาหาร แต่หูคอยจดจ่อกับการฟังอวี๋เจี้ยนเฉียงคุยโทรศัพท์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเปิดประมูลและซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนา

“ขอโทษจริงๆ” อวี๋เจี้ยนเฉียงวางสายไปอีกครั้งแล้วอธิบาย “จะซื้อที่แปลงหนึ่งน่ะ พอดีพรุ่งนี้จะมีงานประมูล”

โจวลั่วหยางรีบพยักหน้า งานของอีกฝ่ายคงยุ่งมาก แต่เวลานี้ก็ยังมาตามนัด เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้ให้ความสำคัญกับตัวเขา…หรืออาจบอกได้ว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับผู้แนะนำ

“ได้ยินว่าคุณเพิ่งมาเมืองนี้?” อวี๋เจี้ยนเฉียงเปิดโหมดปิดเสียงในโทรศัพท์ “หางานทำแล้วหรือยัง”

“ยังครับ” โจวลั่วหยางส่งเมนูอาหารคืนพร้อมกับเอ่ย “ตามใจคุณเลย ผมกินอะไรก็ได้ กลับมาได้ครึ่งปี ยุ่งอยู่กับเรื่องย้ายบ้านและจัดการเรื่องในบ้านน่ะครับ”

“เรียนอะไรมา”

“วิศวกรรมเครื่องกลครับ”

“เป็นคนที่นี่?”

“ครับ…ปู่ผมเป็นคนที่นี่ พอปู่เสียแล้วที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่” โจวลั่วหยางบอก “พ่อแม่ของผมเสียไปนานแล้ว ตอนนี้อยู่กับน้องชายครับ”

“มีน้องชายด้วย?” อวี๋เจี้ยนเฉียงแปลกใจเล็กน้อย ด้วยผู้แนะนำไม่เคยบอกเรื่องนี้เลย เขายิ้มแล้วพูดต่อ “หล่อเหมือนคุณล่ะสิ”

“หล่อกว่าผม” โจวลั่วหยางแย้มยิ้ม เผยฟันขาวเรียงสวย “เพิ่งอายุสิบหกปีเต็ม กำลังเตรียมเข้าเรียน ม.ปลาย ครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงพยักหน้าช้าๆ “วางแผนจะหางานแบบไหนล่ะ งานระดับปริญญาตรีในตอนนี้ดูจะหาได้ไม่ง่ายนะ…”

โจวลั่วหยาง “ผมจบปริญญาโทครับ”

“อ้อ” อวี๋เจี้ยนเฉียงแปลกใจอีกครั้ง

ขณะอาหารมาเสิร์ฟโจวลั่วหยางเล่าว่า “ตอนแรกผมอยากรับช่วงต่อร้านของปู่ แต่หลายปีมานี้กิจการแค่พอไปได้ แล้วก็ติดหนี้อยู่ไม่น้อย เลยต้องปิดร้านไว้ก่อนแล้วค่อยคิดหาทางทีหลัง หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสได้กลับมาเปิดร้านครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงพยักหน้าอย่างเห็นใจ ก่อนจะออกปากถาม “ร้านอะไร”

“ร้านขายนาฬิกา พวกของโบราณ” โจวลั่วหยางคิดแล้วตอบ

“ติดหนี้เท่าไหร่”

“หกล้านกว่าครับ”

หนึ่งคำถาม หนึ่งคำตอบ น้ำเสียงของโจวลั่วหยางผ่อนคลายอย่างยิ่งคล้ายกับกำลังพูดคุยเรื่องของคนอื่น กระทั่งอวี๋เจี้ยนเฉียงหยิบไวน์แดงขวดหนึ่งออกมา โจวลั่วหยางจึงรีบลุกขึ้นไปรับมาแล้วรินให้ อวี๋เจี้ยนเฉียงมองดูเด็กหนุ่ม ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกยอมรับเขาขึ้นมาเอง

“ดื่มได้ไหม ถ้าดื่มได้ก็ดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อย”

โจวลั่วหยางไม่ได้ถามว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงขับรถมาเองหรือเปล่า ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีคนขับรถหรือเรียกใช้บริการขับรถแทนได้ เขาจึงพยักหน้าแล้วรินไวน์

อวี๋เจี้ยนเฉียงเอ่ย “ตอนที่ผมอายุเท่าคุณยังเรียนรู้การทำธุรกิจจากพี่ใหญ่อยู่เลย พี่ใหญ่ในวงการน่ะ ผมสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยมือเปล่า ชีวิตคนเรานับว่ามีเรื่องพลิกผันมากมาย…”

หลังดื่มไวน์แดงโจวลั่วหยางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนักเลงบนตัวของอวี๋เจี้ยนเฉียงที่ไม่ค่อยเหมาะกับภาพลักษณ์ของเจ้าตัวสักเท่าไหร่นัก แต่อาจเป็นเพราะวันนี้แค่มาร่วมกินอาหารและตัวเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายอยู่แล้ว อีกทั้งความหมายของผู้แนะนำเขาเองก็เข้าใจดี นั่นคืออวี๋เจี้ยนเฉียงจะช่วยแก้ปัญหาทางการเงินที่บีบคั้นที่สุดในตอนนี้ และช่วยสนับสนุนให้เขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดนี้ไปได้

หลังจากนั้น…โจวลั่วหยางก็บอกไม่ได้เหมือนกัน

พอใบหน้าเริ่มแดงหลังเมากรึ่ม อวี๋เจี้ยนเฉียงก็พูดพล่ามไม่หยุด เขาพูดโอ้อวดให้โจวลั่วหยางฟังว่าตัวเองสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยมือเปล่าอย่างไร แล้วก็เหมือนกับการสอบสัมภาษณ์ เขาซักถามโจวลั่วหยางมากมาย โดยเรื่องที่ถามมากที่สุดก็คือต่อไปคิดจะทำอะไร สุดท้ายอวี๋เจี้ยนเฉียงก็จุดบุหรี่มวนหนึ่ง ควันบุหรี่ลอยฟุ้งทั่วห้องส่วนตัว เขาคีบบุหรี่ก่อนจะชูนิ้วกลางแล้วชี้มาที่โจวลั่วหยาง

“พี่ชายจะขอพูดเข้าประเด็นเลยแล้วกัน” อวี๋เจี้ยนเฉียงเอ่ย “พี่เป็นคนแบบนี้แหละ พูดอะไรไม่ค่อยน่าฟัง น้องชายอย่าถือสาก็แล้วกัน”

โจวลั่วหยางไอแค่กๆ เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “จะถือสาได้ไงล่ะครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงเอ่ย “ตอนนี้นายคงจะขาดเงินมากสินะ”

โจวลั่วหยางตอบอย่างจริงจัง “ใช่ครับ ค่าใช้จ่ายเดือนหน้ายังไม่รู้จะไปหามาจากไหนเลยครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียง “ทำงานที่สอดคล้องกับความเป็นจริงหน่อย ไม่ต้องไปคิดถึงร้านที่ปู่ทิ้งไว้ให้แล้ว หางานทำจริงๆ จังๆ สิถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”

โจวลั่วหยางพยักหน้าหงึกๆ อวี๋เจี้ยนเฉียงจึงพูดต่อ “คนมีการศึกษาอย่างพวกนายล้วนเย่อหยิ่ง พูดอย่างนี้ไม่รู้ว่าเหมาะหรือเปล่า แวบแรกที่พี่เห็นนายก็คิดว่านายมีชีวิตชีวามาก ยิ้มแย้ม เป็นคนจิตใจดีซะจนไม่รู้ว่าสังคมน่ะโหดร้าย”

โจวลั่วหยาง “เอ่อ…”

อวี๋เจี้ยนเฉียง “พี่รู้ว่านายลำบากใจที่จะออกปาก งั้นให้พี่พูดก็แล้วกัน พี่ให้นายเดือนละหมื่นสอง นายไปเช่าห้องสักห้อง มีเวลาว่างพี่จะไปหาสัปดาห์ละสองสามครั้ง…”

โจวลั่วหยาง “โอ้…”

โจวลั่วหยางคิดในใจ นี่หมายความว่าคิดจะเลี้ยงดูฉันด้วยเงินเดือนละหมื่นสองสินะ ทำไมจากที่จะมาหาหุ้นส่วนถึงกลายเป็นคู่ขาไปซะได้ กลับไปจะต้องตีผู้แนะนำสักยกแล้ว

แต่เขายังควบคุมตัวเองได้ดี ไม่ได้ลุกหนีไปเสียก่อน

หลังจากที่คิดอยู่นานโจวลั่วหยางถึงค่อยตอบกลับอย่างจริงใจ “พี่ชาย ถ้าอย่างนั้นให้ผมเป็นรุกหรือเป็นรับล่ะครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”

“ถ้าเป็นรับ…” โจวลั่วหยางพูดอย่างลำบากใจ “ที่ว่าเดือนละหมื่นสอง ดูเหมือนจะน้อยไปหน่อยนะครับ”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อวี๋เจี้ยนเฉียงใช้เงินฟาดหน้าคนอื่น แต่โจวลั่วหยางกลับเป็นคนแรกที่กล้าต่อรองราคากับเขา ทำให้อวี๋เจียนเฉียงถึงกับสำลัก เขาตะลึงงันไปสองสามวินาทีแล้วหัวเราะลั่น ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เด็กหนุ่มอย่างนายนี่น่าสนใจจริงๆ”

โจวลั่วหยางแสร้งถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ไม่รู้ว่าตอนนี้ราคาตลาดเท่าไหร่กันแน่ แต่ผมจำได้ว่าเมื่อปีก่อนนักศึกษาปริญญาตรีที่ถูกเลี้ยงดูได้เดือนละสองหมื่นเชียวนะครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงยิ้มร่าพลางประเมินโจวลั่วหยาง ใบหน้ามีความมึนเมาเล็กน้อย เขาพูดว่า “ก็ได้ คนขายมักตั้งราคาสูงเกินไป คนซื้อมักต่อราคาต่ำเกินไป นายอยากได้เท่าไหร่ว่ามา”

โจวลั่วหยางทำสีหน้าจริงจัง “ผมเรียนจบปริญญาโท ยังไงก็ต้องบวกเพิ่มสักสี่พันครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงมองออกแล้วว่าโจวลั่วหยางกำลังพูดเสียดสีตนเอง แต่เขากลับไม่รู้สึกโกรธ มิหนำซ้ำยังพูดอย่างไม่แยแส

“ถ้าอย่างนั้นก็หมื่นหก นายกลับไปลองคิดดูก็แล้วกัน”

ตั้งแต่อีกฝ่ายเสนอว่า ‘หมื่นสอง’ โจวลั่วหยางก็รู้แล้วว่าการพบกันวันนี้เป็นการเสียเวลาเปล่า แต่ก็ยังคงรักษามารยาท เขาส่งยิ้มให้อีกฝ่ายโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ก็อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้

อวี๋เจี้ยนเฉียงเรียกคนมาคิดเงินแล้วโทรศัพท์หาคนขับรถ ขณะเตรียมจะกลับ ก่อนไปอาการชอบเอาชนะก็กำเริบขึ้นมา เขารู้ว่าเขาจะระบายโทสะออกมาต่อหน้าชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าที่กำลังทำหน้ายิ้มเยาะหยันไม่ได้ แต่ก็อดใจไม่ไหว สุดท้ายแล้วเขาจึงพูดออกมาประโยคหนึ่ง

“อยากได้เงินก็ต้องหาเอาเอง” อวี๋เจี้ยนเฉียงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าไม่ใช่ญาติหรือเพื่อน โลกนี้ไม่มีใครจะมาชดใช้หนี้แทนนายหรอกนะ อีกอย่างนายก็ไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้น”

“กำลังหาเงินอยู่นี่ไงครับ ไม่ต้องลำบากเป็นห่วงผมหรอก อาหารยังกินไม่หมดเลย บอสอวี๋ไม่ห่อกลับเหรอครับ” โจวลั่วหยางพูดยิ้มๆ “สุรุ่ยสุร่ายเกินไปแล้วมั้ง ทั้งหมดนี้ห่อกลับไปให้หมากินก็ยังได้ ความหมายลึกๆ ของการสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยมือเปล่าคืออะไร คือการเพิ่มรายได้และประหยัดรายจ่ายใช่ไหมล่ะครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”

อวี๋เจี้ยนเฉียงไม่รู้ว่าทำไมถึงคันไม้คันมืออยากต่อยอีกฝ่ายสักหมัด

“บอสอวี๋ วันหน้าค่อยพบกันใหม่!”

ทว่าโจวลั่วหยางไม่ได้ให้โอกาสนี้กับอวี๋เจี้ยนเฉียง เขารีบเปิดประตูห้องส่วนตัวก่อนจะเดินออกไป

ตอนนั้นเองคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจากด้านนอก โจวลั่วหยางไม่ทันระวังจึงก้าวพรวดออกไปชนกับอีกฝ่ายอย่างแรง

ชายร่างสูงโปร่งผิวขาวคนหนึ่งถือใบเสร็จค่าอาหารแล้วนำมายื่นให้อวี๋เจี้ยนเฉียง

โจวลั่วหยางรีบขอโทษแล้วถอยหลังครึ่งก้าว แต่เมื่อสบตากับผู้ช่วยชายคนนั้นก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

“ห่ออาหารให้เขาเอากลับบ้านไปเลี้ยงหมา แล้วไปส่งเขาด้วย” อวี๋เจี้ยนเฉียงไม่แม้แต่จะมองโจวลั่วหยาง เขาหันไปสั่งผู้ช่วยชายแล้วเดินผ่านด้านข้างพวกเขาสองคนออกไป

โลกใบน้อยในห้องส่วนตัวจึงเหลือเพียงความเงียบงัน

ชายสวมชุดสูทตัวตรงแหน็ว สวมแว่นตาดำยืนอยู่ที่ประตูห้องส่วนตัว ใบหน้าของเขาซูบตอบ คิ้วสีดำเข้ม และมีรอยแผลเป็นที่น่าตกตะลึงพาดจากแก้มมาจนถึงสันจมูก อย่างกับมีคนฟันดาบลงบนสันจมูกโด่งอันงดงามนั้น

แผลเป็นที่ว่านั้นมองเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษภายใต้แสงไฟของห้องส่วนตัว

“ให้ห่อกลับ?” เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำ

“ตู้จิ่ง?!” โจวลั่วหยางตกตะลึง เขาพึมพำ “เป็นนายได้ยังไง”

โจวลั่วหยางเดินเข้าไปหาผู้ช่วยคนนั้นครึ่งก้าวอย่างอดใจไม่ไหว เขานึกอยากเอื้อมมือไปคว้าตัวหรือไม่ก็ตบตีอีกฝ่าย แต่พอยกมือขึ้นมาก็กลับหยุดชะงัก เพราะชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธตัวตนที่เขาเรียก ถึงอย่างไรบนใบหน้าก็มีสัญลักษณ์ที่ชัดเจนขนาดนี้ ปฏิเสธไปก็แทบจะไร้ความหมาย

พนักงานเข้ามาเอาอาหารไปห่อให้ โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งยังคงยืนประจันหน้าอยู่อย่างนั้น เวลาเหมือนหยุดนิ่งไปแล้วตรงหน้าพวกเขา

จากนั้นโจวลั่วหยางก็ยื่นมือไปหมายจะถอดแว่นตาดำของตู้จิ่ง แต่เมื่อเห็นเขายื่นมือออกไป ตู้จิ่งก็ชิงถอดแว่นตาดำออกเองเสียก่อน

“นายเป็นผู้ช่วยของหมอนั่น?” โจวลั่วหยางงงงัน เขามองประเมินตู้จิ่งทั้งตัวแล้วเอ่ย “คงไม่ใช่หรอกน่า!”

ตู้จิ่งไม่ตอบ สายตาเคลื่อนจากสองตาของโจวลั่วหยางไปยังพนักงานที่นำอาหารไปห่อให้

“นายเลี้ยงหมา?” จู่ๆ ตู้จิ่งก็ถามขึ้น

โจวลั่วหยางไม่ได้ตอบแต่ถามต่อ “หลังลาออกจากมหา’ลัยแล้วก็ไม่ได้ข่าวคราวของนายอีกเลย หลายปีมานี้นายหายไปไหนมา”

ตู้จิ่งรับถุงกระดาษใส่อาหารมา สวมแว่นตาดำกลับดังเดิมแล้วผลักเปิดประตูเดินออกไปก่อน โจวลั่วหยางรีบสาวเท้าตามออกไป ชั่วขณะหนึ่งเรื่องราวมากมายในอดีตก็ผุดขึ้นในใจ และเมื่อเขามองแผ่นหลังของตู้จิ่ง เรื่องราวในอดีตที่เป็นเหมือนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นก็ผุดพรายขึ้นมาในชั่วขณะหนึ่งตรงถนนที่ไฟประดับเพิ่งเริ่มส่องสว่าง

“จอดรถไว้ที่ไหน” ตู้จิ่งถาม

“หาที่ดื่มกันสักสองแก้ว?” โจวลั่วหยางชวน

ตั้งแต่ได้พบกันอีกครั้งทั้งสองคนต่างก็พูดแต่ในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด จนกระทั่งตอนนี้ตู้จิ่งถึงได้ตอบคำถามของโจวลั่วหยางในที่สุด

“ไม่ไป มีธุระ”

ตู้จิ่งยืนอยู่ริมถนน เขายื่นถุงกระดาษใส่อาหารให้โจวลั่วหยาง แต่โจวลั่วหยางกลับไม่ยอมรับเอาไว้

“โยนทิ้งไปเถอะ”

“…”

“ทิ้งช่องทางติดต่อไว้?” โจวลั่วหยางถามอีก

พอตู้จิ่งไม่ตอบ โจวลั่วหยางก็ไม่ซักไซ้อีก เมื่อห้าปีก่อนเขารู้แล้วว่าไม่อาจใช้วิธีการปกติมารับมือกับหมอนี่ได้

“งั้นฉันไปแล้ว” โจวลั่วหยางเปลี่ยนคำพูด “หวังว่าเราจะมีโอกาสได้พบกันอีก”

โจวลั่วหยางเดินไปยังจุดที่ตัวเองจอดจักรยานไว้ แต่ก็หาจักรยานของตัวเองไม่พบ และหลังจากมองหาอีกหลายครั้งจนยืนยันได้แล้วก็จำต้องยอมรับความจริง…จักรยานน่าจะถูกขโมยไปแล้ว

ตู้จิ่งมองโจวลั่วหยางหาจักรยานอยู่ด้านข้างเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “บอสอวี๋ให้ฉันไปส่งนาย”

โจวลั่วหยางบอก “ไม่ต้อง ฉันเช่าจักรยานสาธารณะก็ได้”

แต่ตู้จิ่งกลับควักมือถือออกมาแล้วเอ่ย “ที่อยู่?”

โจวลั่วหยางยืนนิ่งสักพักแล้วบอกที่อยู่ไป จากนั้นตู้จิ่งก็ใช้แอพพลิเคชั่นเรียกรถ

โจวลั่วหยางเหลือบมองอีกฝ่าย บนข้อมือซ้ายของตู้จิ่งสวมสายรัดข้อมือยางเอาไว้เส้นหนึ่ง

เขายื่นมือไปหมายจะดึงสายรัดข้อมือยางเส้นนั้น ทว่าตู้จิ่งก็เบี่ยงหลบเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่เห็นโดยไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัว

 

เมืองหว่านยามค่ำคืนร้อนอบอ้าวอย่างยิ่ง ทั้งสองยืนอยู่ริมถนน โจวลั่วหยางเหงื่อไหลจนเปียกชุ่มเสื้อเชิ้ตไปหมด เขาหันไปมองตู้จิ่งที่สวมชุดสูททั้งตัวก่อนจะถามขึ้น

“ไม่ร้อน? ร้อนก็ถอดเสื้อตัวนอกออกสิ”

ตู้จิ่งไม่ตอบ

“หลายปีมานี้เป็นยังไงบ้าง” โจวลั่วหยางถามอีก “ยังสวมอยู่อีกเหรอ อาการป่วยดีขึ้นแล้วหรือยัง”

“ฉันทำตามที่นายบอก ลองรักษาดูแล้ว” ตู้จิ่งตอบ “แต่รักษาไม่ได้ แล้วก็รักษาไม่หายขาด”

โจวลั่วหยางขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองตู้จิ่ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วลูบผม แม้จะเอาเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้มารวมกันก็ยังเทียบไม่ได้กับการได้พบตู้จิ่งอีกครั้งอย่างกะทันหันเลย

“ไปนั่งเล่นที่ห้องฉันไหม” โจวลั่วหยางถามอีก

ตู้จิ่งยังคงไม่พูดอะไร ในขณะที่โจวลั่วหยางค้นหาความทรงจำนับไม่ถ้วนในหัวสมอง อาการป่วยของตู้จิ่งกำเริบเป็นพักๆ ปฏิกิริยานี้เหมือนตอนที่พวกเขาทะเลาะกันในหอพักสมัยเรียนหนังสือมาก…ตอนนั้นตู้จิ่งบอกว่า ‘อย่าพูดกับฉัน เดี๋ยวฉันดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง’

แต่ในเวลานี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่โจวลั่วหยางจะหาเขาพบ แล้วทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรสักอย่างล่ะ

“ฉัน…” โจวลั่วหยางคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็เอ่ยว่า “ตู้จิ่ง…”

รถมาถึงแล้ว พอตู้จิ่งเปิดประตูรถ โจวลั่วหยางเลยเข้าไปนั่งในรถก่อน เดิมทีเขาคิดว่าตู้จิ่งจะตามขึ้นมา อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ตู้จิ่งก็บอกว่า ‘ไปส่งนาย’ เลยไม่คิดว่าตู้จิ่งจะปิดประตูรถให้เสียอย่างนั้น

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com