everY
ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1
ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 天地白驹
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม
อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 11
ที่นี่เป็นโรงเรียนนานาชาติที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองหว่าน นอกจากมีบุคลากรครูที่มีคุณภาพและสภาพแวดล้อมที่ดีแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ดีเยี่ยมเป็นพิเศษ นั่นคือเป็นมิตรกับผู้พิการ โดยทางโรงเรียนรับสมัครนักเรียนทั้งผู้พิการแต่กำเนิดและพิการทางร่างกายในภายหลัง
ในโรงเรียนมีทางเดินและลิฟต์สำหรับเก้าอี้รถเข็นโดยเฉพาะ รถรับส่งนักเรียนก็มีระบบยกขึ้นลงที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ จากตึกเรียนไปถึงหอพัก ตลอดจนสนามกีฬา สวนสาธารณะ และทางเดินล้วนเป็นไปตามมาตรฐานระบบป้องกันความปลอดภัยเพื่อผู้พิการของต่างประเทศ อีกทั้งยังสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะทาง ซึ่งทางโรงเรียนไม่เพียงรับสมัครแต่ผู้พิการเท่านั้น แต่ยังให้โอกาสคนหนุ่มสาวอย่างเล่อเหยาได้เข้าเรียนร่วมกับเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ที่มีร่างกายแข็งแรงด้วย
แค่ได้เข้ามาในบริเวณโรงเรียนเล่อเหยาก็ไม่ต้องให้ใครช่วยเหลือแล้ว เขาสามารถเดินทางไปทุกที่ได้ด้วยตัวเอง
มีเพียงสองเรื่องที่ทำให้โจวลั่วหยางเป็นกังวล หนึ่งคือค่าเล่าเรียนค่อนข้างแพง และสองคือทางโรงเรียนกำหนดให้นักเรียนทุกคนต้องเป็นนักเรียนประจำโดยไม่มีข้อยกเว้น
“คุณต้องให้เขาทำอะไรๆ เหมือนเพื่อนนักเรียนคนอื่น ให้เขาปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนให้ได้” เห็นได้ชัดว่าครูใหญ่เคยชินแล้วกับผู้ปกครองขี้กังวล จึงอธิบายให้ฟัง “ไม่อย่างนั้นต่อให้คุณสามารถดูแลเขาไปได้ชั่วชีวิต แต่จะขังเขาไว้ในบ้านเป็นส่วนใหญ่เหรอ เขาจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมและโอกาสยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ค่อยๆ เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับโลกใบนี้เผื่อวันที่ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง เล่อเหยามีร่างกายที่ไม่แข็งแรงสมบูรณ์ แต่ความคิดอ่านของเขากลับสมบูรณ์แข็งแรงมาก คุณดูสิ ที่นี่เรามีเด็กที่เหมือนกับเขามากินนอนเป็นนักเรียนประจำ ทำไมเขาจะอยู่ไม่ได้ล่ะ”
โจวลั่วหยางยอมรับว่าสิ่งที่เล่อเหยาต้องการก็คือการได้ใช้ชีวิตแบบนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงการมีความรัก การแต่งงาน การสร้างครอบครัว และการมีอาชีพหาเลี้ยงตัวเอง สำหรับผู้พิการที่ใช้เก้าอี้รถเข็นแล้ว ถึงแม้ตอนนี้ในประเทศจีนจะมีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่นับว่าสะดวกสบายเท่าไหร่นัก อย่างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วก็นับว่ายังห่างไกลกันอยู่มาก
ผู้พิการจำนวนมากวันๆ แทบไม่ได้ออกไปไหน จึงไม่ต่างอะไรกับการถูกขังไว้ในบ้าน และมีทั้งคนที่ไม่อยากออกไปไหนด้วย ถึงอยากจะออกมาผ่อนคลายอารมณ์เป็นครั้งคราว แต่ถ้าไม่มีคนไปเป็นเพื่อนก็คงไม่ออกจากบ้านไปไกลนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้บริการขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟใต้ดินหรือเรียกรถแท็กซี่ด้วยตัวเอง ผู้พิการส่วนมากจึงชินกับการออกมาสูดอากาศในเขตชุมชนเท่านั้น
“ห้องดูไม่เลวนะ” ตู้จิ่งยกกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ของเล่อเหยามาให้ถึงในห้องพัก
โจวลั่วหยางจะปูเตียงให้น้องชาย แต่เล่อเหยากลับหัวเราะแล้วพูด “ผมทำเองฮะ ให้ผมลองดูเถอะ ผมทำได้”
โจวลั่วหยางหลบไปข้างๆ คอยดูน้องชายลงมือปูเตียงด้วยความพยายามอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ตู้จิ่งมองไปรอบๆ ห้องพัก เตียงคู่กว้างขวางมาก มีที่ว่างให้เก้าอี้รถเข็นเข็นไปมาได้ มีห้องน้ำสองห้อง หนึ่งในนั้นเป็นห้องน้ำและห้องอาบน้ำที่ใช้ได้สะดวก ทุกวันจะมีเจ้าหน้าที่ของทางโรงเรียนมาทำความสะอาด ถ้าหากเล่อเหยาร้องขอก็สามารถช่วยเขาอาบน้ำหรือนั่งเฝ้านอกม่านอาบน้ำได้ด้วย
ตู้จิ่งตรวจดูหน้าต่างและประตูเป็นพิเศษ โจวลั่วหยางรู้ว่าอีกฝ่ายนึกย้อนไปถึงตอนที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่หอพัก จากนั้นทั้งสองก็หันมาสบตากัน
“ดีกว่าห้องพักพวกเราสมัยก่อนเยอะเลย” ตู้จิ่งว่า
เล่อเหยาเอ่ย “เห็นไหม เป็นไงล่ะ ผมเนี่ยนะจะอยู่ไม่ได้”
โจวลั่วหยางยิ้มพลางเอ่ย “ใช่แล้ว นายอยู่ได้”
รูมเมตกลับมาแล้ว เขาเป็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งร่างสูงชื่อว่าจางย่าหลุน เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเลิกเรียน เขาหันมาพยักหน้าให้คนทั้งสาม ดูท่าคงได้ข่าวแล้วว่าจะมีรูมเมตคนใหม่ จึงช่วยนำบัตรใช้ในโรงเรียนแบบสมาร์ตการ์ดติดมือมาให้เล่อเหยาด้วย
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ” จางย่าหลุนบอก “พวกพี่ๆ วางใจได้ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวผมโทรบอก”
เล่อเหยารู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง “ขอบใจนะ”
การที่น้องชายต้องอยู่กับคนอื่นนอกจากตัวเขาเองทั้งวันทั้งคืน เรื่องนี้ทำให้โจวลั่วหยางเป็นกังวล แต่ดูเหมือนว่าครูประจำชั้นจะทำตามสัญญาที่รับปากไว้ จึงช่วยจัดการให้เล่อเหยาอยู่ร่วมห้องกับเพื่อนที่รู้ความและมีมารยาท อีกทั้งแม่ของจางย่าหลุนก็เป็นชาวต่างชาติ ทำงานที่สถานทูต ส่วนพ่อของเขาเป็นนักวิชาการด้านวัฒนธรรม ดูแล้วน่าจะเป็นมิตรและเข้ากันได้ง่าย
“คงต้องฝากเล่อเหยาไว้กับนายแล้ว” โจวลั่วหยางไม่ได้ชวนจางย่าหลุนไปกินข้าว และไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษเพราะคิดว่าไม่จำเป็น ทั้งสองคนจะไว้วางใจกันได้หรือไม่ล้วนเป็นเรื่องที่แล้วแต่โชคชะตาจะกำหนด หากพวกเขาเข้ากันไม่ได้ ต่อให้พูดหรือทำอะไรมากไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
จากคำขอของครูประจำชั้น นักเรียนที่พิการจะไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ เล่อเหยาต้องพยายามอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ต้องให้เขาทำทุกอย่างด้วยตัวเอง โจวลั่วหยางจะเข้าไปยุ่งไม่ได้ อีกอย่างพอรายงานตัวเสร็จแล้วพวกเขาต้องออกจากโรงเรียนให้เร็วที่สุด ตู้จิ่งตรวจดูข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นทุกอย่างแล้ว และยังไปซื้อของกินเล่นที่ร้านสะดวกซื้อชั้นล่างให้เล่อเหยาด้วย ส่วนโจวลั่วหยางนั้นก็ถูกร้องขอให้ออกจากโรงเรียน แล้วค่อยมารับตัวน้องชายกลับบ้านในเย็นวันศุกร์
ขณะยืนอยู่นอกประตูโรงเรียนพลางมองไปยังตึกเรียนสองสามหลังนั้น พวกนักเรียนก็พากันเข้าเรียนแล้ว จากตรงนี้มองไม่เห็นห้องเรียนของตึกสาม แต่โจวลั่วหยางรู้ว่าน้องชายอยู่ในห้องเรียนแล้ว และกำลังพลิกเปิดหนังสือพร้อมกับเรียนคาบแรกของเขา
ตอนนี้อารมณ์ของเขาซับซ้อนอย่างมาก
“เล่อเหยาไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้” ตู้จิ่งเอ่ยขึ้นด้านหลังโจวลั่วหยาง
“อืม” โจวลั่วหยางตอบรับ “ใช่ ก่อนเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาเป็นเด็กที่แข็งแรงและร่าเริงมาตลอด”
ตู้จิ่งจึงว่า “เขาเลยปรับตัวให้คุ้นชินได้ เพียงแค่กลับไปมีชีวิตของตัวเองเมื่อหนึ่งปีก่อนเท่านั้น เขาคอยโอกาสนี้มานานเกินไปแล้ว”
ตั้งแต่เด็กโอกาสที่โจวลั่วหยางกับน้องชายจะได้ใกล้ชิดกันนั้นมีไม่มากเท่าไหร่ กระทั่งหลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้นเขาถึงมีโอกาสได้เริ่มเลี้ยงดูและดูแลน้องชาย เขาเชื่อว่าตู้จิ่งน่าจะเข้าใจความรู้สึกของเล่อเหยามากกว่าเขาเสียอีก เพราะถึงอย่างไรทั้งสองคนก็เคยผ่านความรู้สึกเจ็บปวดอย่างเดียวกันมา
หากพูดให้เจาะจงอีกหน่อยก็คือปัญหาที่รบกวนจิตใจของตู้จิ่งนั้นยาวนานยิ่งกว่า เพราะเขาเกิดมาพร้อมกับอาการป่วย
“ตอนนี้จะทำอะไรดี” ตู้จิ่งถาม
“ฉันไม่รู้ นายล่ะ” โจวลั่วหยางรู้สึกเคว้งคว้างอยู่บ้าง การมาของตู้จิ่งทำเอาชีวิตของเขาปั่นป่วนไปหมด คล้ายกับว่าเขาได้สูญเสียชีวิตของตัวเองไปในชั่วข้ามคืน และการที่เล่อเหยาเข้าเรียนก็ทำให้เขาเหมือนกับสูญเสียจุดมุ่งหมายในชีวิตไป
ตู้จิ่งถาม “ตอนแรกถ้าฉันไม่โผล่มา วันนี้นายวางแผนจะทำอะไร”
โจวลั่วหยางครุ่นคิดแล้วตอบ “หาหุ้นส่วนสักคนแล้วปรึกษาหารือเรื่องเปิดร้าน”
“ใครแนะนำอวี๋เจี้ยนเฉียงให้นาย”
“ฟางโจว”
ริมฝีปากของตู้จิ่งขมุบขมิบเล็กน้อย โจวลั่วหยางอ่านปากออกว่าเขากำลังด่าทอ ด้วยรู้มาตลอดว่าพวกเขาทั้งสองไม่ถูกกัน จากนั้นจึงถามกลับ
“นายล่ะ มีความเห็นยังไง”
“ไม่มีความเห็น” ตู้จิ่งตอบกลับก่อนจะสตาร์ตรถ
โจวลั่วหยางถามอีก “นายจะไปไหน”
“โดดงานไปเที่ยวน่ะสิ” ตู้จิ่งท่าทางไม่อนาทรร้อนใจ
โจวลั่วหยางถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าตู้จิ่งยังต้องไปทำงาน จึงแย้งขึ้น “กลับไปบริษัทนายซะ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหน จะเป็นสายลับหรือนักสืบก็ช่าง ส่วนฉันจะไปดูหน้าร้าน คืนนี้…”
สีหน้าของตู้จิ่งเคร่งขรึมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่พูดอะไรแล้วหมุนพวงมาลัยออกรถ
โจวลั่วหยางพูดไปครึ่งประโยค พอเหลือบไปเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็ให้นึกสงสัยว่าหมอนี่โรคกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว ขณะกำลังคิดที่จะอธิบายอีกสักหน่อย แต่จากนิสัยของตู้จิ่ง ถ้าได้เริ่มแล้ว ไม่ว่าภายหลังจะอธิบายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
ตู้จิ่งจอดรถข้างทางแล้วพูดออกมาแค่สองคำ “ลงไป”
“วันนี้กินยาแล้วหรือยัง” โจวลั่วหยางถามขึ้น “ไม่สบาย?”
ตู้จิ่งไม่ตอบ โจวลั่วหยางจึงจำต้องเปิดประตูรถแล้วก้าวลงมา ก่อนจะบอก “ขับรถระวังด้วยล่ะ”
ตู้จิ่งขับรถออกไปภายใต้สายตาที่มองส่งของเขา
อากาศเย็นทีเดียว โจวลั่วหยางเอามือกุมหน้าผาก เขายืนอยู่ข้างทางสักพักพลางคิดในใจ
แม่งเอ๊ย
มีสายโทรเข้ามาแต่ไม่ใช่สายจากตู้จิ่ง ชื่อที่สว่างวาบขึ้นบนหน้าจอเป็นชื่อที่คุ้นเคย
‘ฟางโจว’
โจวลั่วหยางใส่หูฟังแล้วรับสาย ก่อนจะพยายามดูว่าที่นี่คือที่ไหน เขาจะไปโมโหตู้จิ่งไม่ได้ เพียงแค่ตอนนี้อารมณ์เขายังไม่กลับมาเป็นปกติ ตู้จิ่งก็เป็นเช่นนี้ ก่อนหน้ายังคุยกันดีๆ แต่ต่อมาไม่แน่ว่าอาจจะโกรธกันขึ้นมากะทันหัน
“เล่อเหยาเข้าเรียนแล้วเหรอ” เสียงของฟางโจวดังขึ้นในโทรศัพท์ “ฉันเห็นเขาโพสต์ลงโมเมนต์* น่ะ บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ฉันไปเป็นเพื่อนนาย”
โจวลั่วหยางกล่าว “วันนี้ว่างเหรอ ออกมาสิ จะได้คืนเงินนายด้วย”
ฟางโจวถาม “นายอยู่ไหน”
โจวลั่วหยางกล่าวอย่างจนปัญญา “ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองอยู่ที่ไหน”
“ยังคิดอยู่เลยว่าจะไปเป็นเพื่อนพวกนายสองคนดูโรงเรียนใหม่ซะหน่อย วางใจฝากน้องชายให้พวกเขาเหรอ ไม่แน่ฉันอาจจะขุดคุ้ยเรื่องลับๆ ภายในออกมาได้นะ”
“ไม่ต้องปากพล่อยขนาดนี้ก็ได้มั้ง ฟางเสี่ยวโจว!” โจวลั่วหยางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ไม่มีทางมีข่าวสังคมอย่างการปฏิบัติต่อผู้พิการอย่างโหดร้ายให้นายเอาไปทำข่าวสร้างชื่อหรอกน่า!”
ฟางโจวแชร์โลเกชั่นให้โจวลั่วหยาง เจ้าหมอนี่เป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายของเขา หลังจบปริญญาตรีก็ทำงานที่สำนักพิมพ์นิตยสารแห่งหนึ่ง ฟางโจวมาอยู่เมืองหว่านก่อนโจวลั่วหยางหนึ่งปี วันๆ เอาแต่หอบกล้องเดินตระเวนถ่ายรูปไปทั่ว โจวลั่วหยางรู้ว่าในเช้าวันจันทร์ เมื่อฟางโจวประชุมประจำสัปดาห์เสร็จก็จะว่าง แต่เนื่องจากถ้าตู้จิ่งเจอหน้าอีกฝ่ายโรคอาจจะกำเริบได้ง่ายๆ จึงตัดสินใจไม่เรียกฟางโจวมา
แต่ผลสุดท้ายก็ลงเอยอีหรอบเดิม…โรคเก่าของตู้จิ่งกำเริบอยู่ดี
โจวลั่วหยางนัดฟางโจวไปเจอที่ร้านยูนิโคล่ โดยเขาเอาเงินที่ได้จากตู้จิ่งไปคืนฟางโจวก่อน
“นายยังซื้อเสื้อผ้ายี่ห้อนี้อยู่อีก” ฟางโจวทัก “ดูไม่ออกเลย”
“จนนี่นา ทำอะไรไม่ได้” โจวลั่วหยางถาม “ตอนนี้สวมได้แต่ยี่ห้อนี้ ที่จริงก็ไม่เลวเลย แถมยังใส่สบายมาก หุ้นส่วนที่นายช่วยหาให้ฉันล่ะ”
ฟางโจวตอบ “ฉันหาให้นายได้อีกคนแล้ว ตอนเย็นจะไปเจอไหม ทำไมเลือกเสื้อไซส์ใหญ่ขนาดนี้ล่ะ”
โจวลั่วหยางหยิบเสื้อเชิ้ต กางเกงชั้นใน กางเกงนอน และพวกเสื้อผ้าใส่อยู่บ้านโยนใส่ตะกร้าโดยไม่แม้แต่จะมอง ตู้จิ่งสูงร้อยแปดสิบเก้า สวมได้แต่ไซส์ XXL ส่วนโจวลั่วหยางสูงร้อยแปดสิบ สวมไซส์ XL
“ซื้อให้ตู้จิ่งน่ะ” โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้ว่าต่อไปตู้จิ่งอาจจะมาค้างคืนที่ห้องของตัวเองเป็นบางครั้ง จึงกลัวว่าเขาจะไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน
“ตู้จิ่งกลับมาแล้ว?!” ฟางโจวถามอย่างตกอกตกใจราวกับรอบข้างไร้ผู้คน
“เปล่า” โจวลั่วหยางตอบ “แต่เขาต้องกลับมาในสักวัน โอกาสมีให้คนที่เตรียมพร้อมใช่ไหมล่ะ”
ฟางโจวมุมปากกระตุก เขามองประเมินโจวลั่วหยางแล้วถาม “เขาติดต่อนายแล้วเหรอ”
“ลองสวมตัวนี้ให้หน่อย” โจวลั่วหยางโยนเสื้อสูทตัวหนึ่งให้ฟางโจว ฟางโจวสูงร้อยแปดสิบห้า ซึ่งถือว่ามีรูปร่างใกล้เคียงกับตู้จิ่ง
ฟางโจวเป็นคนผิวขาว แต่เมื่อเทียบกับตู้จิ่งแล้วออกจะซีดไปสักหน่อย หน้าตางดงามหมดจด เป็นแบบฉบับของหนุ่มดอกไม้ เส้นผมที่หยักศกเล็กน้อยตามธรรมชาติปรกหน้าผาก ราวกับกุหลาบดอกหนึ่ง
ไม่เหมือนตู้จิ่งที่ดูเท่อยู่ทุกเวลา เหมือนกับที่ตัดกระดาษอันแข็งแกร่ง
“ตอนนี้ตู้จิ่งเป็นยังไงบ้าง” ฟางโจวถาม
โจวลั่วหยางไม่ตอบ เพียงแค่เพ่งพินิจฟางโจวจากภาพสะท้อนในกระจกเงาพลางคิดในใจ ถ้าตู้จิ่งสวมเสื้อสูทแบบลำลองคงจะดูดีไม่หยอก
“นายตัดสินใจยกโทษให้เขาแล้ว?” ฟางโจวถามอีก
“เขาไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงที่ให้อภัยไม่ได้นี่นา” โจวลั่วหยางถามกลับ “ผ่านมาสามปีแล้วนะ นายคิดว่ายังไงบ้าง”
ฟางโจวพูดขึ้น “ตัวนี้สวยดี ฉันจะใส่เอง นายเลือกอีกตัวให้เขาก็แล้วกัน มีคนทำกับนายอย่างนี้ นายยังซื้อเสื้อผ้าให้เขาอีก จุ๊ๆ ฉันทำดีกับนายขนาดนี้ ทำไมไม่เห็นซื้อให้ฉันบ้าง”
“เขาไม่ได้ตั้งใจทำอย่างนั้นซะหน่อย” โจวลั่วหยางค้าน ขณะเดียวกันก็คิดว่าตู้จิ่งเป็นคนป่วยและไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้น ถ้าเลือกได้ตู้จิ่งคงยอมฆ่าตัวตายดีกว่าทำร้ายเขาเป็นแน่ แต่แค่ตู้จิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
โจวลั่วหยางไม่ได้พูดอะไรกับฟางโจวมากนัก เพียงบอกอย่างจริงจัง “ฉันตัดสินใจใช้ความอบอุ่นแบบระบบปรับอากาศจากส่วนกลางของฉัน พัดผ่านให้คนเลวราวกับอาบสายลมฤดูใบไม้ผลิ ฉันยอมเป็นวัวเป็นม้า* เพื่อชดเชยความผิดพลาดของเขาก็ได้”
ฟางโจวเองก็เพ่งพินิจตัวเองในกระจกเงาเช่นกัน เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถามโจวลั่วหยาง
“นาย…ลั่วหยาง ฉันล่ะอยากถามจริงๆ ว่าตอนนี้นายเป็นไบหรือเป็นเกย์ นาย…เป็นใช่ไหม”
โจวลั่วหยางไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็บอกได้ไม่ชัดเจนว่ารู้สึกอย่างไรกับตู้จิ่ง คงบอกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของกันและกันล่ะมั้ง แต่ก็เหมือนทั้งสองสนิทกันมากกว่าเพื่อนไปอีกขั้นตั้งนานแล้ว หรือจะบอกว่าเป็นคนรักที่เหมือนกับกระจกหักกลับประสานกันอีกครั้ง** ดี แต่ที่จริงพวกเขาสองคนไม่เคยอยู่ด้วยกันแบบจริงๆ จังๆ แล้วจะเรียกว่า ‘กลับประสานกันอีกครั้ง’ ได้อย่างไร
ปีนั้นหลังจากตู้จิ่งจากไป โจวลั่วหยางเคยสงสัยในรสนิยมทางเพศของตัวเอง ในบรรดาพวกเขาสามคน โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งเป็นสเตรต มีแต่ฟางโจวเท่านั้นที่มีรสนิยมทางเพศแตกต่างออกไป หลายปีที่เรียนหนังสือด้วยกันนั้นโจวลั่วหยางเคยเห็นฟางโจวคบหากับหนุ่มหล่อสองคน แต่เขาก็ไม่เคยถามเพราะไม่ได้คิดอะไรกับผู้ชายด้วยกัน
“เปล่า” สุดท้ายโจวลั่วหยางก็ตอบกลับไป ก่อนจะเหลือบมองมือถือ แล้วเห็นว่าตู้จิ่งส่งข้อความมา
ตู้จิ่ง ฉันลางานแล้ว ตอนนี้แค่อยากจะคุยกับนาย ไปที่ไหนก็ได้ พวกเราไม่ได้เจอกันหลายปี มีหลายอย่างอยากจะพูด นายไม่เข้าใจ? ในใจนายรู้ดี นายกำลังหลบเลี่ยงอะไร
สิบเอ็ดโมงเช้าที่บริษัท
การเอาซองเอกสารปลอมมาวางคืนในตู้เซฟของอวี๋เจี้ยนเฉียงตอนกลางวันแสกๆ เป็นภารกิจที่สุดจะท้าทาย โดยเฉพาะในตอนที่ตู้จิ่งดูเหมือนจะไม่สบาย แต่เขาก็ทำสำเร็จ
เขานั่งห่อเหี่ยวอยู่ตรงโต๊ะทำงานเหมือนพืชสีเขียวที่เหี่ยวเฉากระถางหนึ่ง ก่อนจะส่งข้อความตำหนิยาวเหยียดรวมกว่าร้อยตัวอักษรในคราวเดียวให้โจวลั่วหยางพลางแผ่รังสีห้ามคนแปลกหน้าเข้าใกล้ออกมา แล้วลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาถือซองเอกสาร ใช้รหัสผ่านเปิดประตูห้องทำงานของอวี๋เจี้ยนเฉียง เดินเข้าไปแล้วปิดประตู จากนั้นจึงสวมถุงมือก่อนจะเปิดตู้เซฟด้วยท่าทางคล่องแคล่ว สามนาทีให้หลังเขาก็เดินออกมาแล้วโทรหาโจวลั่วหยาง
ตอนนั้นเพื่อนร่วมงานต่างคิดว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงสั่งให้ผู้ช่วยเอาเอกสารชุดหนึ่งไปไว้ในห้องทำงาน จึงไม่มีใครสงสัย
โจวลั่วหยางไม่ได้ตอบข้อความของเขา ตู้จิ่งเปิดกล่องอาหาร นั่งกินอยู่ตรงโต๊ะทำงานตามลำพัง ขณะกินไปได้ครึ่งเดียวและกำลังจะโยนทิ้งก็มีมือข้างหนึ่งมาแตะที่บ่า
“มาได้ยังไง อยากหาตัวนายอยู่พอดี มาที่ห้องทำงานฉันสิ มีเรื่องจะหารือหน่อย” อวี๋เจี้ยนเฉียงพูดกับตู้จิ่ง มือของเขายังคงสั่นเทาอยู่
ตู้จิ่งนั่งลงก่อนจะมองอวี๋เจี้ยนเฉียงอย่างรำคาญ ทั้งยังคอยดูหน้าจอมือถือเป็นระยะๆ
โจวลั่วหยางโทรกลับมาสองสายแต่ถูกตู้จิ่งตัดสายทิ้งทุกครั้ง สักพักโจวลั่วหยางก็ส่งข้อความตอบกลับมา
โจวลั่วหยาง ไม่ใช่ไม่สนใจความรู้สึกนาย ต่อไปยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกมาก ในเมื่อนายไม่ไปไหนแล้ว ทำไมตอนนี้ต้องรีบร้อนด้วยล่ะ ตอนนี้ฉันขาดเงินเลยร้อนใจกว่าปกติ ถ้านายไม่ขยันทำงานจะมีเงินให้ฉันยืมได้ยังไงกัน
“เรื่องนั้น…ฉันกลัวว่าจะปิดไม่มิดเสียแล้ว” อวี๋เจี้ยนเฉียงบอก “พวกเขาสืบจนรู้ที่อยู่ของอีกคนที่หนีไปในคืนนั้นได้แล้ว”
ตู้จิ่งย่อมรู้ดีว่าที่อวี๋เจี้ยนเฉียงหมายถึงไม่ใช่แค่เรื่องเบาะแสของคนที่แบล็กเมล์กับคดีคนตกตึกที่เกิดขึ้นที่ไซต์ก่อสร้างเท่านั้น ทางสันติบาลน่าจะสืบจนรู้สาเหตุบางอย่างและคงไม่ปิดคดีว่าเป็นการฆ่าตัวตายทั้งที่ยังคลุมเครือแน่ อวี๋เจี้ยนเฉียงมีเหตุผลเต็มที่ที่จะไม่ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะอย่างไรเสียก็คงไม่มีใครสงสัยเขาเป็นพิเศษ คนเป็นเถ้าแก่น่ะหรือจะวิ่งแจ้นขึ้นไปถึงดาดฟ้าตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จเพื่อผลักคนตกตึกยี่สิบเจ็ดชั้นลงมา
อวี๋เจี้ยนเฉียงคงรู้ข่าวจากช่องทางเส้นสายของเขาว่าทางตำรวจกำลังควานหาตัวลูกน้องของผู้ตายตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ สี่คนนี้ปกติแล้วตามทวงหนี้ดอกเบี้ยโหด เดิมทีก็ทำงานที่ฝ่าฝืนกฎหมายอยู่แล้ว หลังจากถูกจับตามองจึงต้องหนีไปกบดาน
ทางตำรวจสืบทราบได้อย่างรวดเร็วว่าคนที่หนีไปในคืนนั้นชื่ออู๋ซิงผิง โดยมีคนพบเขาอยู่กับหัวหน้าแก๊งที่บาร์ เขาจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็เป็นพยานฝ่ายโจทก์
แต่นายอู๋ซิงผิงคนนี้ตอนนี้ยังกบดานอยู่ในเมืองหว่าน เขากำลังรอค่าตอบแทนก้อนหนึ่ง พอได้แล้วก็จะรีบหนีไปให้เร็วที่สุด
ถ้าอู๋ซิงผิงถูกจับกุมจะต้องเปิดเผยข้อมูลภายในออกมาอีกมากแน่ๆ รวมถึงการตายของหวังเค่อด้วย อวี๋เจี้ยนเฉียงต้องทำให้แน่ใจว่าอู๋ซิงผิงหนีรอดไปได้อย่างรวดเร็วที่สุด จะได้ไม่ออกมาเปิดเผยสิ่งที่จะสร้างความลำบากให้กับเขา
หลายวันมานี้อวี๋เจี้ยนเฉียงคิดทบทวนไปมาหลายตลบ สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่าจะใช้เงินก้อนหนึ่งแลกกับความสงบ ถึงอย่างไรเงินก้อนนั้นก็ยังไม่ได้มอบให้ไป จึงเอามาจ่ายให้อู๋ซิงผิงเสียเลย และเงินก้อนนี้คงเพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายหลบหนีไปได้ไกลมากพอ
ทว่าพอมาคิดๆ ดูแล้วอวี๋เจี้ยนเฉียงไม่เหมาะจะออกหน้าเอง และคนที่เหมาะสมกับงานนี้ก็คือตู้จิ่ง
“หาตัวเขาเจอแล้ว” อวี๋เจี้ยนเฉียงบอก “ให้เขาไปสี่แสน สองแสนให้นายเป็นค่าแรง ถามมาให้ได้ว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการหาทางเล่นงานฉัน”
ตู้จิ่งว่า “สองแสนเยอะมากครับ เอาเถอะ ผมไปให้ก็ได้”
อวี๋เจี้ยนเฉียงกล่าว “ถึงฉันจะไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่คิดว่าพอจะให้เบาะแสนายได้”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อวี๋เจี้ยนเฉียงถูกตบทรัพย์ เขาถูกแบล็กเมล์มามากจนพอจะรู้ร่องรอยเบาะแสที่หลงเหลืออยู่ ครั้งแรกที่ถูกหลอกไปแปดแสน เขาก็วานให้บริษัทเอกชนสืบเรื่องหมอนี่มาแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าคนพวกนี้จับตามองตนเองอย่างไร รู้แค่พวกเขามีที่ทำการอยู่ในเมืองหว่าน
อวี๋เจี้ยนเฉียงบอกรายละเอียดตำแหน่งที่ตั้งให้ตู้จิ่งและกำชับอีกครั้ง “ทางตำรวจก็กำลังตามหาตัวเขาอยู่เหมือนกัน เวลานี้ใครพบเขาก่อนก็เป็นฝ่ายชนะ อย่าให้ตำรวจจับได้ล่ะ เสี่ยวตู้ งานนี้คงต้องพึ่งนายแล้ว”
ตู้จิ่งเพียงพยักหน้าให้ อวี๋เจี้ยนเฉียงโอนเงินให้จากบัญชีส่วนตัว จากนั้นตู้จิ่งก็ออกจากบริษัทไป
* โมเมนต์ คือหน้าไทม์ไลน์ที่เพื่อนโพสต์ลงในวีแชตคล้ายคลึงกับ VOOM ของไลน์ ทั้งนี้โมเมนต์สามารถตั้งค่าได้ว่าจะแสดงให้ผู้อื่นเห็นกี่วัน โดยมีตัวเลือกตั้งแต่แสดงทั้งหมด ของหกเดือนที่ผ่านมา ของเดือนก่อน และสุดท้ายคือสามวันล่าสุด
* เป็นวัวเป็นม้า เป็นสำนวน หมายถึงรับใช้หรือทำงานอย่างหนัก
** กระจกหักกลับประสานกันอีกครั้ง เป็นสำนวน หมายถึงสามีภรรยาที่เคยแยกจากหรือแตกหักกันกลับมาอยู่ร่วมกันหรือคืนดีกันอีกครั้ง