ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 12

เวลาห้าโมงเย็นตู้จิ่งขับรถพลางคุยโทรศัพท์

“ไปเถอะ ทำตามที่อวี๋เจี้ยนเฉียงบอก ถ้าเจอตำรวจอาชญากรรมเข้าเดี๋ยวฉันคิดหาทางแก้ให้เอง” เสียงจากปลายสายบอกมา “นายควรจะพาเสี่ยวลี่ไปทำภารกิจด้วยไม่ใช่เหรอ วันๆ เอาแต่ให้เขานั่งว่างอยู่ที่บริษัท”

“เขาเป็นลูกน้องผมหรือลูกน้องคุณกันแน่” ตู้จิ่งสวนกลับ

“ก็แค่เตือนนายเท่านั้นเอง” เสียงเหล่าต้าจากปลายสายพูดกลับมา

ตู้จิ่งขับรถไปที่ด้านล่างของอาคารบริษัทชังอี้ จวงลี่รีบเปิดประตูรถเข้าไปนั่งพร้อมทักทาย

“สวัสดีครับพี่จิ่ง”

“ไปนั่งข้างหลัง” ตู้จิ่งยังไม่ออกรถ เขาสั่งเสียงเข้มขรึม

จวงลี่มองตู้จิ่งด้วยสายตาฉงน แล้วหันไปมองที่นั่งด้านหลัง ตู้จิ่งจึงพูดขึ้นมาทันที

“ให้นายไปนั่งตรงเบาะหลัง! ฟังภาษาคนไม่ออกหรือไง!”

จวงลี่รีบปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วไปนั่งตรงเบาะหลัง ตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อย และในตอนนั้นเองมือถือของตู้จิ่งก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองก่อนจะเปิดสปีกเกอร์

“นายอยู่ไหน” โจวลั่วหยางถาม

ตู้จิ่งตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทำงาน”

โจวลั่วหยางเอ่ย “กำลังขับรถชัดๆ นี่นา รู้สึกดีขึ้นแล้วเหรอ”

จวงลี่ฟังทั้งสองคนคุยกัน ตู้จิ่งย้อน “ชัดๆ กำลังขับรถ ฉันไม่ใช่ชัดๆ ฉันไม่ได้ขับรถ”

เมื่อโจวลั่วหยางได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ว่าตู้จิ่งดีขึ้นบ้างแล้ว จึงกล่าว “มารับได้ไหม ของที่ซื้อมาเยอะเกินไป นอกถนนย่านการค้าเรียกรถยาก”

“รอไป เวลาจะแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง” ตู้จิ่งยังย้อนไม่เลิก “ฉันไม่ใช่คนขับรถของนายนะ”

“ที่จริงฉันคืนเงินที่ยืมฟางโจวไปแล้ว ไม่มีเงินติดตัวเลยสักเฟิน ไม่อยากยืมจากฮวาเปย* น่ะ”

ตู้จิ่งจึงไปรับโจวลั่วหยาง ส่วนจวงลี่นั้นยังคงนั่งอยู่ที่เบาะหลังอย่างสงบเสงี่ยมตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

“พี่จิ่งไม่สบายเหรอ” จวงลี่รอจนวางสายได้สักพักแล้วจึงเลียบๆ เคียงๆ ถามอย่างระมัดระวัง

“ตอนนี้ฉันสบายดีมาก” ตู้จิ่งตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา

จวงลี่ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเมื่อไหร่ที่ตู้จิ่งกำลังพูดจาเสียดสีหรือเมื่อไหร่ที่กำลังสั่งงานอย่างจริงจัง คนคนนี้เป็นคนเจ้าอารมณ์ แม้จะเพิ่งเข้ามาทำงานได้แค่ครึ่งปีแต่ก็กลายเป็นตำนานของบริษัทไปแล้ว

ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครที่เพิ่งเข้ามาในบริษัทแล้วได้เป็นหัวหน้างาน บริษัทชังอี้เปิดดำเนินงานในประเทศจีนมาเกือบสี่สิบปีแล้ว นับตั้งแต่ปีที่จีนปฏิรูปเศรษฐกิจก็เริ่มดำเนินกิจการ และจนถึงตอนนี้ตู้จิ่งคือคนเดียวที่ทำได้

สิ่งสำคัญคือเหล่าต้าให้ความไว้วางใจเขาเป็นอย่างมาก จวงลี่มักรู้สึกว่าการที่สามารถเรียนรู้อะไรจากตู้จิ่งได้นั้นนับว่าเป็นโชคดีของตัวเอง แต่คนมีพรสวรรค์ส่วนใหญ่มักทำงานด้วยยาก คล้ายกับเป็นจุดบกพร่องเหมือนที่เพื่อนร่วมงานไอคิวสูงแสดงออกมา

ตู้จิ่งแคะหูขณะกวาดตาสังเกตผู้คนตามรายทางอย่างจดจ่อ

เขาเห็นโจวลั่วหยางแล้ว

หน้าตาของโจวลั่วหยางเต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์ อีกทั้งดวงตาของเขาก็อบอุ่นเหมือนเมฆที่ลอยไปตามต้องการอย่างสงบท่ามกลางท้องฟ้าใสกระจ่าง นุ่มนวลและเอ้อระเหย เขากำลังมองดูพวกสาวๆ ในชุดตามแฟชั่นที่เดินอยู่ริมถนน มือถือเครื่องดื่มไว้แก้วหนึ่งและมีถุงกระดาษใบใหญ่วางไว้ข้างเท้า เหล่าสาวสวยที่เดินผ่านก็กำลังมองเขาเช่นกัน แต่ละคนต่างก็แย้มยิ้ม ซึ่งโจวลั่วหยางเองก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน

รถของตู้จิ่งจอดลงตรงหน้าโจวลั่วหยาง บดบังสายตาของเขาเอาไว้ จากนั้นโจวลั่วหยางก็เอาข้าวของที่ซื้อมาไปวางในกระโปรงหลังรถ แล้วขึ้นมานั่งข้างคนขับ

“สวัสดีครับ” โจวลั่วหยางแปลกใจเล็กน้อยที่มีคนอื่นอยู่ในรถด้วย

“สะ…สวัสดีครับ” จวงลี่รีบก้มศีรษะให้ด้วยท่าทางเงอะงะ

โจวลั่วหยางไม่แน่ใจว่าจวงลี่เป็นหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานของตู้จิ่ง ขณะเดียวกันจวงลี่เองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าโจวลั่วหยางเป็นหัวหน้าหรือเป็นเพื่อนของตู้จิ่ง แต่พอได้ยินเสียงก็นึกออกทันทีว่าวันนั้นมีเสียงของโจวลั่วหยางพูดแทรกขึ้นมาในรถ

“ลงไป” ตู้จิ่งพูดเสียงขรึม

จวงลี่มองโจวลั่วหยางอย่างงุนงง ก่อนจะหันไปมองตู้จิ่งอีกครั้ง ด้วยไม่เข้าว่าทำไมโจวลั่วหยางเพิ่งขึ้นมา ตู้จิ่งก็ไล่เขาลงเสียแล้ว

โจวลั่วหยางกลับบอกว่า “ไล่คนอื่นทำไม หรือให้ฉันไป?”

จวงลี่ถึงค่อยเข้าใจว่าตู้จิ่งพูดกับเขา ทว่าขณะที่กำลังจะเปิดประตูตู้จิ่งกลับออกรถเสียอย่างนั้น

“ขอเงินหน่อยสิ” โจวลั่วหยางยื่นมือไปขอเงินอย่างละโมบอีกครั้ง

“ยุ่งจริงๆ” ตู้จิ่งต่อว่า “ให้นายโอนไปครั้งหนึ่งแล้วนะ”

“ไม่” โจวลั่วหยางตอบกลับอย่างดื้อรั้นแล้วฉวยเอามือถือของตู้จิ่งมา

“ฉันจะไปดูหน้าร้านสักหน่อย” โจวลั่วหยางพูดขึ้น “คืนนี้จะมาหารือกับนายเรื่องทำเลที่ตั้ง แต่ละที่ไม่เลวเลยแต่ค่าเช่าแพงไปหน่อย นี่เลิกงานแล้วหรือยัง”

“ทำงานล่วงเวลา” ตู้จิ่งตอบกลับง่ายๆ

“ไปไหนล่ะ ฉันไปเป็นเพื่อน” โจวลั่วหยางหันไปพูดกับจวงลี่ “ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ”

“ผม…ไม่รู้” จวงลี่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาตอบไปว่า “ผมเองก็ไม่ทราบว่าตอนนี้จะไปไหน”

ตู้จิ่งนิ่งเงียบไร้คำพูด ชายหนุ่มพาทั้งสองคนไปกินมื้อเย็น ก่อนจะสแกนมือถือแล้วส่งให้โจวลั่วหยางสั่งอาหาร โจวลั่วหยางเห็นข้อความของอวี๋เจี้ยนเฉียงเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ โดยบอกให้ตู้จิ่งระวังตำรวจให้ดี เมื่อหาตัวคนพบแล้วก็ให้ส่งข่าวมาบอกเขาด้วย จำไว้ให้ดีล่ะ

เขามองออกว่าอารมณ์ของตู้จิ่งดีขึ้นแล้ว แต่เพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่นเลยไม่อยากพูด โจวลั่วหยางคุ้นชินแล้วกับการอยู่ด้วยกันอย่างนี้ เขาจึงเล่นมือถือแก้เหงาไปได้เรื่อยๆ จะมีก็แต่จวงลี่ที่มีท่าทางเหมือนนั่งบนพรมเข็มอย่างไรอย่างนั้น

“เขาเป็นอย่างนี้ตลอดแหละ” โจวลั่วหยางปลอบ “ไม่เป็นไรหรอก”

โจวลั่วหยางเองก็ไม่สะดวกที่จะชวนจวงลี่คุยเล่น ด้วยคิดว่าเขาเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและรูมเมตของตู้จิ่ง ซึ่งสิ่งที่เกี่ยวกับพวกเขานั้นล้วนเป็นความลับ ถามอะไรมากไปจวงลี่จะตอบก็ไม่ได้ จะไม่ตอบก็ไม่ได้ รังแต่จะทำให้เขายุ่งยากใจเสียเปล่าๆ

“ค่าเช่าหน้าร้านเท่าไหร่” ตู้จิ่งเอ่ยปากพูดประโยคแรกหลังมื้อเย็น

โจวลั่วหยาง “ปีละสองล้าน อีกสองสามวันจะลองไปคุยกับธนาคารว่าจะใช้โกดังเก็บของเล็กๆ นั่นค้ำได้ไหม มีคนคุ้นเคยที่นายรู้จักบ้างหรือเปล่า”

“ฉันจะลองไปหาทางดู” ตู้จิ่งบอก “ยังต้องตกแต่งร้านอีก นายแน่ใจจริงๆ เหรอว่าจะเปิดร้านที่นี่”

“ที่นี่?” โจวลั่วหยางเอ่ยอย่างงุนงง “ไม่ใช่ที่นี่ นี่มันย่านศูนย์กลางทางธุรกิจ…” ทันใดนั้นถึงค่อยตระหนักได้ว่าตู้จิ่งพูดถึง ‘เมืองหว่าน’ ต่างหาก

“ไม่ให้เปิดร้านที่นี่แล้วจะไปเปิดที่ไหนล่ะ” โจวลั่วหยางย้อนถาม

ตู้จิ่งไม่ตอบ แต่แล้วโจวลั่วหยางกลับนึกขึ้นได้ว่าตอนที่พวกเขายังเรียนมหาวิทยาลัย เขาเคยอยากเปิดร้านนาฬิกาโบราณเล็กๆ ที่ถนนเป่ยซานในหังโจว ปีนั้นค่าเช่าร้านยังไม่แพง ความฝันเล็กๆ นี้จึงดูเหมือนจะเอื้อมถึง แต่ตอนนี้ผ่านมาห้าปีแล้ว ความฝันในตอนนั้นกลับกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากลำบาก

โจวลั่วหยางรู้ว่าตู้จิ่งชอบหังโจวที่ฝนตกปรอยๆ และมีความงดงามแบบเจียงหนาน เมื่อเทียบกับเมืองที่มีแสงแดดเจิดจ้าอย่างแคลิฟอร์เนียหรือบาร์เซโลนาแล้ว เขาดูจะชอบเมืองที่ชุ่มชื้นและเงียบสงบมากกว่า

“ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ แล้วเล่อเหยาจะทำยังไง” โจวลั่วหยางพูดขึ้นในตอนท้าย หลังออกมาจากร้านอาหารแล้วมองระบบนำทางของตู้จิ่งก็เอ่ยขึ้นอีก “ไม่กลับห้องสิ ต้องไปทำงานล่วงเวลาไม่ใช่เหรอ ฉันไปเป็นเพื่อนนายด้วย”

“ไม่ได้” ตู้จิ่งคัดค้าน

“เล่อเหยาก็ไม่อยู่ที่ห้อง” โจวลั่วหยางบอก “จะให้ฉันกลับไปทำอะไรล่ะ นายรู้สึกผิดบ้างไหมเนี่ย”

ตู้จิ่งว่า “ที่ที่ฉันจะไป นายไม่อยากไปหรอก”

“ไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ” โจวลั่วหยางแย้ง “ฉันจะไปเป็นเพื่อนนาย”

“นายพูดเองนะ” ตู้จิ่งเปลี่ยนใจแล้ว

“แน่นอน” โจวลั่วหยางตอบ เขาอยากอยู่กับตู้จิ่งจะตาย หลังแยกจากกันไปหลายปีเขาก็ตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก…ตอนแรกเขารู้สึกว่าตู้จิ่งเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งในบรรดาเพื่อนมากมายเท่านั้น ทว่าตอนนี้กลับพบว่าสำหรับเขาแล้วตู้จิ่งคือคนที่เป็นหนึ่งเดียวในใจ เหมือนกับตัวเขาที่มีตำแหน่งอยู่ในหัวใจของตู้จิ่งเช่นกัน

หลังจากนั้นตู้จิ่งก็จอดรถที่นอกโรงอาบน้ำแห่งหนึ่ง

โจวลั่วหยาง “…”

ตู้จิ่งเหลือบมองโจวลั่วหยาง

“มาทำอะไรที่นี่ครับ” จวงลี่เลียบๆ เคียงๆ ถาม “พี่จิ่งอยากนวดเหรอครับ จริงๆ มีที่หนึ่งที่ไม่เลว”

“คนที่นายจะมาตามหาอยู่ที่นี่?” โจวลั่วหยางถาม

ตู้จิ่งพยักหน้าก่อนจะหันไปพูดกับจวงลี่ “รออยู่ในรถ”

จวงลี่ได้แต่ยอมทำตามคำสั่งตู้จิ่ง ส่วนตู้จิ่งก็พาโจวลั่วหยางเข้าไปในโรงอาบน้ำ

 

โรงอาบน้ำเดี๋ยวนี้ตกแต่งอย่างหรูหราตระการตา การตกแต่งภายในของห้องอาบน้ำแต่ละห้องก็มีเอกลักษณ์เฉพาะ พร้อมทั้งให้บริการอบซาวน่าและนวดตัว โจวลั่วหยางเป็นคนทางใต้จึงไม่เคยไปโรงอาบน้ำสาธารณะ และไม่เคยนัดเพื่อนฝูงที่สนิทสนมไปอาบน้ำด้วยกันในที่ที่ทุกคนต่างก็คุ้นเคยกับการเปลือยร่างล่อนจ้อนเลยสักครั้ง ส่วนตู้จิ่งเป็นคนทางเหนือ ค่อนข้างไม่แยแสกับร่างกายสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยมาสถานที่แบบนี้

“นายมาหาใครล่ะ” โจวลั่วหยางกระซิบถาม

ตู้จิ่งจึงตอบ “ชื่ออู๋ซิงผิง ยังไม่ได้หนีไป”

เมื่อไม่ได้อยู่ต่อหน้าจวงลี่แล้ว เห็นได้ชัดว่าตู้จิ่งพูดเยอะขึ้น อีกทั้งน้ำเสียงก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน

“เมื่อคืนนอนนานแค่ไหน” โจวลั่วหยางถามอีก

ตู้จิ่งตอบ “ไม่ได้นอน”

โจวลั่วหยางเอ่ย “อีกสักพักรีบทำงานให้เสร็จแล้วกลับไปพักผ่อนเถอะ ถ้าไม่ได้นอนนานๆ จะส่งผลร้ายต่อร่างกายมากนะ”

“ช่วงนี้กระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ” ตู้จิ่งมองดูรอบๆ พลางพูดเรื่อยเปื่อย “ไม่เป็นไรหรอก”

ทั้งสองเพิ่งเดินเข้าไป ชายหกคนที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ไม่ไกลก็สังเกตเห็นตู้จิ่งกับโจวลั่วหยางทันที สองคนในกลุ่มรีบลุกเดินหนีไป ส่วนอีกสี่คนที่เหลือนั้นเดินเข้ามาหาพวกเขา

โจวลั่วหยางรู้แล้วว่าที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนของแก๊งเล็กๆ แก๊งนี้

หัวหน้าแก๊งเล็กๆ ตายไปแล้ว ในตอนที่กลับมาอู๋ซิงผิงย่อมไม่มีทางที่จะไม่เล่ารายละเอียดและสิ่งที่ประสบพบเจอมาอย่างแน่นอน อวี๋เจี้ยนเฉียงคงกลายเป็นคู่แค้นในสายตาของคนพวกนี้ทันที และถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้ลงมือแก้แค้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่ทำ ทว่าตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจะรับมือกับการสืบสวนของสันติบาลอย่างไรต่างหาก

“มีธุระอะไร” คนเป็นหัวหน้าพูดขึ้น

สี่คนที่เดินเข้ามาสวมเสื้อกล้าม มีรอยสักตามลำคอ ท่อนแขนและส่วนอื่นๆ ของร่างกายแตกต่างกันไป

ตู้จิ่งใช้สายตาบอกโจวลั่วหยางว่าห้ามพูด หากต้องลงมือจัดการพวกอันธพาลทั้งสี่คนนี้ สำหรับเขาแล้วนับว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร

“เรียกอู๋ซิงผิงออกมาคุยกันหน่อย” ตู้จิ่งบอก “พวกหมาต๋า* กำลังควานหาตัวเขาอยู่”

คนเป็นหัวหน้ามองตู้จิ่งอย่างระแวงสงสัย ตู้จิ่งจึงเอ่ย “ฉันมีอะไรมาบอก รับประกันได้ว่าเขาจะพอใจ”ชายคนนั้นจึงแจ้งคนที่อยู่ชั้นบนผ่านทางหูฟัง “ผู้ช่วยของอวี๋เจี้ยนเฉียงมาหา” ก่อนจะเดินไปด้านข้างเพื่อพูดคุย ไม่นานก็กลับมาบอกตู้จิ่ง “พวกนายขึ้นไปอาบน้ำเถอะ” จากนั้นก็หันไปบอกคนที่เคาน์เตอร์ “เปิดบิลห้องอาบน้ำใหญ่ให้พวกเขา”

 

“ไม่อาบได้ไหม” โจวลั่วหยางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขานั่งลงข้างๆ ตู้จิ่งแล้วเปลี่ยนมาสวมรองเท้าแตะ ชีวิตนี้เขาเพิ่งเคยมาโรงอาบน้ำขนาดใหญ่อย่างนี้เป็นครั้งแรก

ตู้จิ่งตอบกลับ “ใครกันนะที่บอกว่าจะไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น”

เมื่อก่อนโจวลั่วหยางเคยแช่บ่อน้ำพุร้อนกับตู้จิ่ง ตอนนั้นต่างฝ่ายต่างเปลือยกายแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเก้อเขินอะไรมากมายนัก แต่ดูจากความใหญ่โตโอ่โถงของโรงอาบน้ำแห่งนี้แล้ว ด้านในน่าจะมีแขกคนอื่นๆ ด้วยแน่ๆ ในฐานะคนทางใต้เขารับไม่ได้จริงๆ กับการที่มีร่างเปลือยเปล่าเดินอล่างฉ่างไปทั่ว

ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมีคนไม่มากเท่าไหร่นัก มีอยู่เพียงแค่สองสามคนเท่านั้น

ตู้จิ่งแขวนชุดสูทแล้วหยิบเครื่องบันทึกเสียง มือถือ มีดพับสวิส และสนับมือที่ดูไม่ออกว่าทำมาจากวัสดุอะไรออกมาวางไว้ในตู้ล็อกเกอร์ทีละชิ้นๆ

โจวลั่วหยางจ้องมองอุปกรณ์และอาวุธของเขา ก่อนจะหยิบสนับมือขึ้นมาต่อหน้าเขา มองมันแวบหนึ่งแล้วลองสวมไว้ในมือ

“สอบสายดำผ่านแล้วเหรอ” โจวลั่วหยางถาม เขาไม่กังวลเรื่องการป้องกันตัวของตู้จิ่ง แต่เทคนิคการใช้สนับมือนั้นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปเรียนมาจากไหน

“เปล่า” ตู้จิ่งตอบ “ขี้เกียจไปสอบ อย่าแตะมั่วซั่วสิ บนอาวุธอาบยาชาไว้นะ”

โจวลั่วหยางวางสนับมือคืนที่เดิม ก่อนมองดูตู้จิ่งพลางประเมินว่าปกติงานที่เขาทำเสี่ยงอันตรายแค่ไหน

ตู้จิ่งเก็บเนกไทแล้วปลดกระดุมคอของเสื้อเชิ้ต เผยผิวขาวบริเวณกระดูกไหปลาร้าและกล้ามอกบางทว่าเห็นลายเส้นกล้ามเนื้อชัดเจน จากนั้นเมื่อถกเสื้อขึ้นก็เผยให้เห็นกล้ามท้อง

“ถอดสิ” ตู้จิ่งบอก

“เอ่อ…” โจวลั่วหยางหันมองไปรอบๆ แล้วถาม “ถอดหมดเลย?”

“ถ้าไม่ถอดแล้วจะเอายังไงล่ะ” ตู้จิ่งย้อนถามในขณะที่เริ่มปลดเข็มขัดหนังแล้ว

โจวลั่วหยางเห็นลูกค้าคนหนึ่งถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วเดินอาดๆ ผ่านไป เลยจำต้องถอดแจ็กเก็ตกีฬาออกบ้าง

“มี…เสื้อคลุมอาบน้ำหรือผ้าขนหนูหรือเปล่า” โจวลั่วหยางถามพนักงาน

“ในนี้มีครับ” พนักงานตอบ “เถ้าแก่บอกให้รอสักครู่ คนที่ต้องการพบจะมาหาพวกคุณครับ”

คราวนี้มือถือของทั้งสองคน รวมถึงเครื่องบันทึกเสียงและข้าวของทั้งหมดล้วนถูกเก็บไป อู๋ซิงผิงคงไม่เอาแต่หลบๆ ซ่อนๆ และกลัวว่าจะถูกลอบทำร้ายอีกต่อไป

 

สามนาทีต่อมาโจวลั่วหยางก็ถอดเสื้อผ้าออกภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของตู้จิ่ง ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน

“นายผอมลง” โจวลั่วหยางอดที่จะพูดออกมาไม่ได้

ตู้จิ่งบอก “นายก็ผอมลง”

ตู้จิ่งหมุนกายเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำใหญ่ โจวลั่วหยางมองดูเค้าโครงแผ่นหลังตลอดจนบั้นท้ายของอีกฝ่าย เมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟสว่างนวลของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ดูเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก

สายตาของโจวลั่วหยางกวาดมองไปทั่วร่างกายของอีกฝ่าย หมอนี่เปลือยหมดทั้งตัว สิ่งเดียวที่เหลืออยู่บนร่างกายคือสายรัดข้อมือยางบนข้อมือข้างซ้ายเส้นนั้น

ตู้จิ่งเอียงศีรษะเล็กน้อย แล้วหันมามองโจวลั่วหยาง จากนั้นก็เดินเท้าเปล่าไปสองสามก้าวแล้วหันมามองอีกทีหนึ่ง

“ฉันเดินตามนายอยู่” โจวลั่วหยางพูดขึ้น “ทางเดินตรงนี้หนีไปไหนไม่ได้หรอก เอาแต่หันมามองฉันทำไม”

“นายเซ็กซี่ดี” ตู้จิ่งบอก “หุ่นนายได้สัดส่วนน่ามอง ให้ความรู้สึกเฉพาะตัวของพวกเนิร์ด”

“อย่าพูดมากน่า” โจวลั่วหยางกระซิบต่อว่า “ตอนนี้เป็นเวลาทำงานล่วงเวลา” ว่าแล้วก็กวาดตามองอีกฝ่ายทีหนึ่ง เมื่อเห็นส่วนนั้นของตู้จิ่งที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับเกิดมีอาการผงกขึ้นเล็กน้อย ตัวเขาเองก็อดที่จะมีปฏิกิริยาตอบสนองไปด้วยไม่ได้

ปฏิกิริยาที่ว่านั้นไม่ได้เกี่ยวกับอารมณ์ปรารถนา แต่เพราะอยู่ในสภาพที่ไร้สิ่งป้องกันโดยสิ้นเชิง เมื่อถูกจับจ้องใจก็เต้นระส่ำขึ้นมาเอง

แต่ที่นี่เป็นโรงอาบน้ำของผู้ชาย…ถึงจะบอกว่าเป็นวัยที่เลือดลมกำลังพลุ่งพล่าน แต่พอออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วถูกคนจ้องมองก็อดที่จะเก้อเขินไม่ได้!

โชคดีที่สุดท้ายแล้วโจวลั่วหยางก็ฉวยเอาผ้าขนหนูที่พับซ้อนกันอยู่ตรงประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ แล้วโยนไปให้ตู้จิ่งผืนหนึ่ง

“นายเอาไปบังไว้สักหน่อยเถอะ” โจวลั่วหยางแนะ ขณะเดียวกันก็คิดว่ายังดีที่ไม่สายเกินไป ผ้าขนหนูที่โยนไปเลยไม่ถึงกับโยนไปแล้วแขวนได้พอดี

ตู้จิ่งรับผ้าขนหนูมาบังไว้พอเป็นพิธีเหมือนตอนที่แช่บ่อน้ำพุร้อนในญี่ปุ่น แต่ก็เกือบจะบังไม่มิด

ด้านหน้าเป็นโรงอาบน้ำขนาดใหญ่ที่มีไอน้ำปกคลุมหนาทึบ ใต้เพดานโค้งมีแสงไฟส่องสว่าง พื้นที่ตรงกลางมีจอฉายภาพขนาดใหญ่ กำลังฉายภาพยนตร์เงียบ ภายในโรงอาบน้ำตกแต่งสไตล์ฮัมมัม* และรอบด้านมีน้ำร้อนไหลออกมาจากรูปปั้น

บนขอบสระด้านหนึ่งมีทางเดินสองสามทาง แยกเป็นทางไปยังห้องขัดตัว ห้องซาวน่า และห้องอาบน้ำ บนเคาน์เตอร์บาร์มีเครื่องดื่มและของว่าง โรงอาบน้ำมีคนอยู่ราวๆ ยี่สิบสามสิบคน ถึงจะต่างจากที่โจวลั่วหยางคิดเอาไว้ แต่ก็มีความน่าประหลาดใจในบางแง่มุม

ทว่าในไม่ช้าโจวลั่วหยางก็ปรับตัวได้ เพราะนอกจากตู้จิ่งแล้วเขาก็ไม่รู้จักใครเลย และไม่มีใครจ้องมองเขา ทุกคนเดินไปเดินมาอย่างคุ้นชินโดยไม่มีแม้แต่การพันผ้าขนหนูไว้ที่เอวด้วยซ้ำ

“คนล่ะ” โจวลั่วหยางยังคงมองไปรอบๆ

“ช่วยนวดให้หน่อย” ตู้จิ่งหาก้อนหินตรงบริเวณที่น้ำไม่ลึกแล้วนั่งลง โดยหันหลังให้โจวลั่วหยาง “ถึงเวลาที่เหมาะสมเขาจะโผล่มาเอง”

โจวลั่วหยางถาม “นายอยู่ทางนั้น อาการป่วยยังพอๆ กับเมื่อก่อนไหม”

“หนักกว่าเมื่อก่อนหน่อย” ตู้จิ่งว่า “แต่ควบคุมได้อยู่ ดูออกเลยเหรอ”

โจวลั่วหยางสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เมื่อก่อนการเจ็บป่วยของตู้จิ่งทำให้เกิดความต้องการทางเพศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ยาระงับเอาไว้

“หันมาสิ” โจวลั่วหยางดึงแขนตู้จิ่งสองสามครั้งจากทางด้านหลัง ตู้จิ่งจึงหมุนตัวกลับมาพลางแยกขาออกเล็กน้อย พวกเขานั่งอยู่ในน้ำที่ลึกระดับเอว และการที่ตู้จิ่งนั่งชันเข่าอย่างนี้ก็ทำให้เขาดูเหมือนสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่ง

โจวลั่วหยางช่วยนวดแขนให้เขา กุมฝ่ามือใหญ่ของเขาไว้ แล้วก็เห็นว่าเขาเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย

“คิดจะเปลี่ยนหมอไหม” โจวลั่วหยางถาม

ตู้จิ่งจึงว่า “เปลี่ยนมาหลายคนแล้ว ไม่เห็นจะได้ผล”

โจวลั่วหยางถามขึ้นในที่สุด “ที่แท้นายทำงานอะไรกันแน่ เป็นนักสืบเอกชน?”

ตู้จิ่งบอก “นายมีคำตอบมานานแล้วไม่ใช่หรือไง”

“สามปีมานี้นายทำอะไรอยู่กันแน่” โจวลั่วหยางสงสัย “ตอนนี้บอกฉันได้หรือยัง ก้มลงหน่อย”

ตู้จิ่งก้มลงแล้วมองดูผิวน้ำอย่างเหม่อลอย โจวลั่วหยางแตะแผลเป็นบนเอวของตู้จิ่งอย่างเบามือ ก่อนจะช่วยเขาขัดตัวเล็กน้อย และสัมผัสได้ว่าตู้จิ่งขยับตัวเบาๆ จนแทบจะไม่รู้สึก

ตู้จิ่งไม่ได้ตอบคำถามของโจวลั่วหยางตรงๆ แต่พลันถามขึ้น “ในที่สุดนายก็ยอมรับแล้วเหรอว่าตัวเองชอบผู้ชาย”

โจวลั่วหยางเงยหน้ามองสีหน้าของตู้จิ่งโดยไม่แสดงอาการหวั่นไหวใดๆ

ตู้จิ่งพูดอีก “ลั่วหยาง นายเป็นไบหรือเป็นเกย์กันแน่”

“ฉันไม่รู้” โจวลั่วหยางตอบ

 

* ฮวาเปย หรือหม่าอี่ฮวาเปย คือบริการสินเชื่อผู้บริโภคจากบริษัท Ant Group บริษัทในเครือ Alibaba โดยหลังจากสมัครแอพพลิเคชั่นที่ให้บริการแล้วจะได้วงเงินในการกู้ยืม 500-50,000 หยวน

* หมาต๋า เป็นคำสแลง หมายถึงตำรวจ

* ฮัมมัม (Hammam) หรือ เตอร์กิช บาธ (Turkish Bath) เป็นวิธีการอาบน้ำในที่สาธารณะดั้งเดิมวิธีหนึ่งของชาวตะวันออกกลาง โดยอาศัยอุณหภูมิสูงภายในห้องอาบน้ำทำให้คนเหงื่อออกเยอะๆ จากนั้นค่อยอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นเพื่อขจัดสิ่งสกปรก ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระดูก หรือขจัดความเมื่อยล้า

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 3

บทที่ 3 ความผิดพลาด+ใต้แสงจันทร์ แม้สิ่งที่ไทเฮากล่าวจะเป็นประโยคคำถาม แต่ซูโม่อี้ก็รู้ว่านางไม่ได้มีความตั้งใจจะถามเขาเ...

community.jamsai.com