everY
ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
นอกจากจะน่าสงสัยแล้ว คำขยายความอีกหนึ่งอย่างที่เด้งขึ้นมาจากสมองของลู่เหยียนในแวบแรกที่เห็นเขาคือ ‘แพง’ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ดูประณีตมาก เวลาที่หลุบตามองผู้อื่นให้ความรู้สึกเย็นชาห่างเหินอย่างบอกไม่ถูก เหมือนไม่มีอะไรอยู่ในสายตาของเขา ดูหยิ่งผยองและเอาเรื่องอย่างที่สุด
สำหรับคำว่า ‘แพง’ นี้จะใช้คำบรรยายเพื่อขยายความแบบไหนนั้น น่าจะใช้คำที่หลี่เจิ้นพูดเป็นประจำว่าออร่าแบบใส่ของแผงลอยราคาสิบหยวนออกมาได้ดูเป็นหนึ่งแสนหยวน
ลู่เหยียนจับคู่ชายหนุ่มกับรถแต่งสีเทาเงินคันที่อยู่หน้าตึกเมื่อกี้
รถคันนั้นเป็นของเขางั้นเหรอ
คุณชายใหญ่จากบ้านไหนล่ะ
ใช่ลูกชายเจ้าของบริษัทรื้อถอนหรือเปล่า
คราวนี้มากันกี่คน คิดจะหาเรื่องด้วยใช่ไหม
สมองของลู่เหยียนทำงานเร็วจี๋
…เพียงแต่ถ้าดูจากสองคนนี้ ลู่เหยียนกลับดูเหมือนคนที่น่าสงสัยมากกว่า
เพราะได้รับการปกป้องดูแลเป็นอย่างดีทำให้ผมทรงพั้งก์ร็อกหลากสีดูดิบเถื่อนของลู่เหยียนยังคงเหมือนตอนที่ทำเสร็จใหม่ๆ สเปรย์จัดแต่งทรงผมที่ฉีดไว้เมื่อวานยังติดทนดีจนถึงวันนี้ ผมทรงไม้กวาดที่หน้าตาเหมือนเปลวไฟยังคงตั้งสูง
ผมทรงนี้ของเขาสร้างแรงโจมตียิ่งกว่าเสียงกีตาร์เมื่อกี้เสียอีก
ลู่เหยียนที่ดูเถื่อนมากยืนอยู่ตรงประตู เขาชิงทำลายความเงียบก่อน “คุณเป็นใคร”
ชายคนนั้นตอบ “ผมมาหาคน”
สมองของลู่เหยียนคิดถึงคนที่อยู่ชั้นนี้รอบหนึ่ง และยังคงมีท่าทีสงสัยในคำบอกเล่าที่ว่าจะมาหาคน
คนที่อยู่ตึกนี้ห่างไกลกับคำว่า ‘อภิมหาเศรษฐี’ สามคำนี้ นอกจากลูกกำพร้ากับแม่ม่าย ที่เหลือล้วนเป็นพวกยากจนข้นแค้น เมื่อหลายวันก่อนผู้หญิงที่อยู่ชั้นล่างถูกแม่ซึ่งเดินทางมาเป็นพันลี้ตบสองฉาด เนื่องจากเธอไม่ยอมให้เงินน้องชายไปซื้อบ้าน
“หาใคร หกศูนย์อะไร” ลู่เหยียนถาม
“หกศูนย์หนึ่ง” ถึงจะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้เริ่มรู้สึกรำคาญแล้ว
“คุณมาหาพี่หงทำไม” ลู่เหยียนคิดชื่อมั่วๆ ขึ้นมาหนึ่งชื่อ เขาลังเลระหว่างชุ่ยฮวากับเสี่ยวหงอยู่สองวินาที
“…” ชายหนุ่มบอก “คุณยุ่งอะไรด้วย”
“เธอออกไปข้างนอก” ผิดคาดที่ลู่เหยียนไม่ได้ถามต่อ เขาเบี่ยงตัว “อีกเดี๋ยวคงกลับ คุณชื่ออะไร”
“ผมแซ่เซียว”
ลู่เหยียนพยักหน้า ล้วงมือถือออกมาเงียบๆ แล้วกดเปิดวีแชตเพื่อหาหน้าสนทนาของจางเสี่ยวฮุย “ได้ ผมจะโทรบอกเธอให้ คุณจะเข้าไปนั่งในบ้านผมก่อนไหม”
“ขอบคุณ” น้ำเสียงของเซียวหังอ่อนลง “ผมยืนรอตรงนี้…” ได้
เพียงแต่เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกลู่เหยียนจับบิดแขน กดติดผนัง!
ลู่เหยียนใช้มือข้างหนึ่งตรึงข้อมืออีกฝ่ายไว้ จับเซียวหังหันหลังอย่างบีบบังคับ ทำให้หน้าของเซียวหังแนบติดกับภาพกราฟิตี้สีแดงบนผนังทางเดิน
ภาพกราฟิตี้สีแดงเป็นสัตว์ประหลาดที่มีเขี้ยวและปีก พอเซียวหังช้อนตาขึ้นมองก็เจอกับดวงตาของเจ้าสัตว์ประหลาดพอดี สองตาจึงเบิกโพลง
ลู่เหยียนปล่อยของที่ถือไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง พลันเกิดเสียงดังแกร๊ง เมื่อชามกับส้มหล่นลงพื้น
เขาไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตั้งตัว ใช้ข้อศอกกดคอเซียวหังไว้ แขนของลู่เหยียนไม่ค่อยมีเนื้ออยู่แล้ว จึงแข็งมาก พอกระดูกข้อต่อที่โผล่ออกมากดอยู่บนคอคนเลยทำให้เจ็บ
ทั้งสองคนตัวสูงไล่ๆ กัน มองจากมุมของลู่เหยียนจะเห็นหลังคอที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตของชายหนุ่ม เขายื่นหน้าเข้าไปบอกว่า “พี่หงอะไร ฉันยังไม่รู้เลยว่าผู้หญิงห้องตรงข้ามชื่ออะไร แค่สุ่มชื่อมาหลอกนายให้เปิดช่องให้ฉันก็เท่านั้น ท่าทางแบบนายทำไมถึงมาทำงานแบบนี้”
เซียวหังไม่เคยด่าคำหยาบมาแปดร้อยปีแล้ว แต่หนนี้ลู่เหยียนบีบให้เขาพูดมันออกมา เซียวหังหันหน้าไปบอก “นายเป็นบ้าเหรอ”
พูดจบเขาก็สูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด “ฉันไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร แต่ฉันมีธุระกับเธอจริงๆ”
ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก
ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันอย่างชัดเจน
ตอนอยู่ตรงทางเดินเมื่อกี้เซียวหังไม่ได้มองคนคนนี้ให้เต็มตา ตอนนี้เมื่อมาดูดีๆ แล้ว นอกจากทรงผมเว่อร์วังนั่น ใบหน้านี้ก็ดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
ที่มาสำคัญที่บอกว่าดีนั่นคือถึงแม้จะทำผมทรงพั้งก์ร็อก แต่เขายังคงดูห่างไกลกับคำว่าอัปลักษณ์โดยสิ้นเชิง
สุดท้ายนายพั้งก์ก็ถามขึ้นว่า “มีธุระ? คิดจะตัดไฟหรือตัดน้ำล่ะ?”
นายพั้งก์ถามอีกว่า “คราวนี้นายพาพวกมาด้วยกี่คน”
“ปล่อย”
“ฉันไม่ปล่อย”
“นี่ นายพั้งก์” เซียวหังโกรธจนขำ “ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะ ปล่อย”
“…พั้งก์อะไร” ลู่เหยียนโกรธจนขำเหมือนกัน “นายพูดอีกทีซิ”
เซียวหังทอดเสียงพูดซ้ำอีกครั้ง “นาย-พั้งก์”
“โอย” ลู่เหยียนลากเสียงยาว พูดเสียงชิลๆ “เชื่อฟังดีจริง”
ลู่เหยียนคิดแต่จะคุมตัวคนคนนี้ไว้เพื่อไม่ให้เขาหนีไปก่อนผู้อาศัยคนอื่นจะกลับมา คราวก่อนหลังบริษัทรื้อถอนมา ทุกคนต้องรวมเงินกันเป็นค่ารักษาพยาบาลให้ป้าจาง โดยที่ทางนั้นไม่มีคำอธิบายอะไรเลย
เขาไม่อยากใช้กำลังแก้ปัญหา
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม หลังตะเกียกตะกายอยู่ในสังคมแบบนี้ ผ่านประสบการณ์มากมาย ลู่เหยียนย่อมไม่ลงไม้ลงมือง่ายๆ เขาจึงใช้เพียงแค่ปากอย่างเดียว
ตอนแรกลู่เหยียนไม่ได้เห็นคนมาดคุณชายใหญ่คนนี้อยู่ในสายตา เพราะการมองคุณชายคนนี้ทำให้เขามีความรู้สึกว่าตอนที่เหล่าจือระหกระเหินอยู่ในยุทธภพ นายอาจจะยังกินนมอยู่บ้านอยู่เลย
จะทำให้มือนายข้างหนึ่งสร้างคลื่นลมอะไรไม่ได้
และในจังหวะนี้เอง คนที่ถูกเขาตรึงตัวเอาไว้แน่นก็ออกแรง ทำให้สถานการณ์พลิกกลับในชั่วพริบตา คนที่ถูกกดติดกับภาพกราฟิตี้สีแดงบนผนังจนตาเหลือกกลายมาเป็นลู่เหยียนแทน
…บ้าเอ๊ย
ลู่เหยียนเหวอ
หมอนี่บู๊เป็นด้วยงั้นเหรอ
เซียวหังมีความรู้สึกว่าเส้นประสาทส่วนที่เรียกว่า ‘สติ’ ในสมองของตัวเองมาถึงจุดที่ใกล้จะขาดเต็มทีแล้ว เขากดเจ้าตัววุ่นวายไว้ พยายามคุยกับนายพั้งก์นี่อีกครั้ง “ฟังนะ นายอาจเข้าใจผิด…”
พูดยังไม่ทันจบ ข้างล่างก็มีเสียงดังตึง
ไม่รู้ว่าประตูทางเข้าที่ไม่จำเป็นต้องมีกลอนขัดถูกใครผลักเปิด แต่คนที่ผลักนั้นแรงเยอะมาก ทำเอาเสียงประตูกระแทกดังก้องทางเดินภายในตึก
ต่อมาคือคำหยาบคายที่ดังสนั่นกว่าเดิม
ชายเสียงแหบพูดคล้ายกับมีเสมหะอยู่ในปาก “เอ้าเฮ้ย รื้อเลย! รื้อคัตเอาต์! ตัดสายไฟ!”
“ในตึกไม่มีคนเหรอ”
อีกคนตอบ “ไม่มีหรอก เราส่งคนมาดูแล้ว ออกไปทำงานกันหมด”
“งั้นก็ดี” คนคนนั้นหัวเราะ “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเที่ยวนี้จะจัดการพวกเขาไม่ได้”
“…” เป็นครั้งแรกที่ลู่เหยียนได้รู้ว่าอะไรคือกระโดดลงแม่น้ำหวงเหอเพื่อล้างตัวยังไงก็ล้างไม่สะอาด*
ก่อนลู่เหยียนจะเปิดฉากต่อสู้กับบุคคลน่าสงสัย เขาส่งข้อความไปหาจางเสี่ยวฮุยแค่สามคำว่า ‘งานเข้าแล้ว’ เขาไม่รู้ว่าในอาคารยูนิตที่สามจะมีคนที่ได้รับข้อความแล้วรีบกลับมากี่คน
ปัญหาเกิดขึ้นเร็ว และมีคนจำนวนมาก
คนที่เดินเข้าตึกมาเป็นคนแรกคือชายที่ใส่สร้อยทองเส้นโต หน้าร้อนอากาศร้อนระอุ เขาจึงใส่แค่กางเกงบ็อกเซอร์ลายดอกหนึ่งตัว ซึ่งมาด้วยความเร็วปานสายลม ทั้งยังออกแรงมากกว่าคนของบริษัทรื้อถอนเสียอีก
นายสร้อยทอง “ฉันจะดูว่าใครกล้าแตะคัตเอาต์! ฉันจะเอาชีวิตหมาๆ ของมัน!”
ความเร็วของประชากรผู้พักอาศัยในยูนิตที่สามพูดได้ว่าปานลมม้วนเมฆปลิว แม้แต่จางเสี่ยวฮุยที่ไม่มีแรงจะฆ่าไก่ยังสามารถล้มไปได้หนึ่งคน สิบนาทีต่อมาคนที่ตั้งใจมารื้อคัตเอาต์ก็ถูกโยนไปกองไว้นอกตึกเหมือนกองผักกาดขาว คนอื่นๆ ก็ถูกพวกเขาจัดการ ปากตะโกนว่า “สามัคคีคือพลัง ร่วมกันต้านคนนอก”
“เลือดของเรามันลุกโชน! ปณิธานของเราเร่าร้อน!”
“ตะโกนตามฉัน ต่อต้านการรื้อถอน!”
“ต่อต้านการรื้อถอน!”
“…”
“อาคารหมายเลขหก ยูนิตที่สาม! หน้าไม่อาย!”
“หน้าไม่อาย!”
คนผมดำร่วมยี่สิบคนล้อมวงกันชูหมัด ตะโกนทีหนึ่งก็ชูหมัดขึ้นฟ้าทีหนึ่ง ถ้าใครไม่รู้อาจเข้าใจว่านี่เป็นการชุมนุมของลัทธิไสยศาสตร์อะไรสักอย่าง
ลู่เหยียนยืนอยู่หน้าสุด เป็นหงส์ในฝูงกา
เขาเป็นคนที่ดูร้ายที่สุดในกลุ่ม
นายสร้อยทองอยู่ข้างลู่เหยียน ในมือถือกิ่งไม้ที่หยิบติดมือมาจากพื้น “ทุกคนคุกเข่า!”
นายสร้อยทอง “พวกแก อ๊า ช่างไม่รู้สำนึกเลยจริงๆ…มนุษย์แรกเริ่มเดิมทีล้วนดีงาม สิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นมนุษย์คือความดี อะไรทำให้พวกแกเดินทางผิด นี่ฉันว่าแกอยู่นะ เงยหน้าขึ้น”
จางเสี่ยวฮุยยืนอยู่หลังเขาเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอิงบารมีเสือ* พูดเสียงตะกุกตะกัก “ว่า…ว่าๆๆ แกนั่นแหละ!”
ลู่เหยียนไม่พูดอะไร เขาลองล้วงกระเป๋าตัวเอง กลับเจอแต่ไฟแช็ก ไม่มีบุหรี่ จากนั้นเขาเลยล้วงกระเป๋ากางเกงในขาสั้นลายดอกบนตัวนายสร้อยทองอย่างเป็นธรรมชาติมาก แล้วก็ได้บุหรี่ต้าเฉียนเหมินหนึ่งซองจากกระเป๋ากางเกงของเขา
ลู่เหยียนหยิบบุหรี่ในซองออกมาหนึ่งมวน
“แก” ลู่เหยียนคาบบุหรี่ ย่อตัวลงมองคนที่ดูเด่นสุดในกองผักกาดขาว เขาส่งเสียงชิ “จะยอมแพ้แล้วหรือยัง”
คุณชายใหญ่หมดแรงแล้ว พูดใส่หน้าเขาด้วยใบหน้าดำปี๋ว่า “ไสหัวไป”
“พูดแบบนี้ได้ไง” ลู่เหยียนบอก “ยังมีความดีอยู่หรือเปล่า”
รอบนี้คุณชายใหญ่ไม่พูดเลยสักคำ
จังหวะนี้เอง อีกคนที่อยู่ในกองผักกาดขาวพยายามจะพูดขึ้น “คนนั้น…”
ลู่เหยียน “หุบปาก ไม่ใช่เรื่องของนาย”
คนคนนั้นยังพยายามจะพูด “ไม่ใช่…”
ลู่เหยียนเคาะเถ้าบุหรี่ทิ้ง “ฉันบอกให้นายหุบปากไง หุบปาก ไม่เข้าใจหรือไง”
จางเสี่ยวฮุยเลียนแบบ แต่ทำได้แค่พูด ไม่มีความน่าเกรงขามเลยสักนิด “หุบๆๆ ปาก ไม่เข้าใจหรือไง”
“ไม่ใช่” คนคนนั้นยืนกรานด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เขาหดคอ ชี้ไปที่คนข้างๆ
มาดไฮโซ
สีหน้าเย็นชา
ยังมีนาฬิกาที่ดูออกว่าราคาแพงระยับ
บริษัทรื้อถอนเวยเจิ้นเทียนของพวกเขาไม่เคยมีคนแบบนี้!!!
เขาระเบิดคำถามออกมาด้วยน้ำเสียงฉงน “คนนี้เป็นใคร!”
ลู่เหยียนสำลักควันบุหรี่ในปาก