everY
ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
บทที่ 4
นอกจากลู่เหยียนจะสำลักควันบุหรี่ในปากแล้ว เขายังถูกท้ายรถแต่งคันนั้นของคนแซ่เซียวเอาคืนด้วยการรมควันอัดหน้าอีกด้วย
นายสร้อยทองกับลู่เหยียนตามออกไปยืนมองรถที่วิ่งห่างออกไปไกลที่หน้าประตูโซนเจ็ด ปีกท้ายรถเหมือนปีกนก นายสร้อยทองใช้ศอกกระทุ้งลู่เหยียน “น้องชาย นี่มันเรื่องอะไร นายจับผิดคนเหรอ”
ลู่เหยียนไม่รู้ว่าควรเล่าอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง
จับผิดคนงั้นเหรอ
หรือจะเป็นการเข้าใจผิดจริงๆ
“พี่เว่ย” ลู่เหยียนนึกย้อนกลับไปถึงการต่อสู้ที่ระเบียงทางเดินแล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจ อยากขออภัยผู้บริสุทธิ์ แม้ผู้บริสุทธิ์จะไร้มารยาทอย่างมาก โดยการเอาแต่เรียกเขาว่านายพั้งก์ก็ตาม
ลู่เหยียนดับบุหรี่ในมือพลางถอนหายใจ เขาพูดกับนายสร้อยทองว่า “ผมขอยืมรถพี่หน่อยสิ ผมจะตามไปขอโทษเขา”
ถ้าบนตัวพี่เว่ยมีหนาม มันก็คงจะระเบิดตัวออกมาทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘รถ’ หนามทุกอันตั้งขึ้นอย่างตื่นตกใจ “เรื่องอื่นพี่ให้นายได้หมด แต่เรื่องรถไม่โอเค!”
รถที่ลู่เหยียนพูดถึงคือรถมอเตอร์ไซค์
พี่เว่ยเป็นลูกพี่ประจำตึก ทำงานบริษัทเก็บหนี้ ตามปกติงานที่เขาทำเป็นธุรกิจประเภทถึงเลือดถึงเนื้อ บนแขนขวาจึงสักอักษรจีนสี่ตัวโตๆ อย่างเป็นระเบียบที่มีความหมายว่า ‘เป็นหนี้ต้องใช้’ ก่อนโซนเจ็ดถูกรื้อถอน เขาเป็นคณะกรรมการองค์กรความร่วมมือเพื่อผู้หญิงที่ประชาชนจัดตั้งขึ้นมาเอง เป็นผู้ชายที่มีทั้งความแข็งแกร่งและความอ่อนโยนอยู่ในตัวคนคนเดียว พี่เว่ยผู้นี้นับได้ว่าเป็นความหวังของตึก
รถมอเตอร์ไซค์เหมือนจะเป็นของที่มีค่าที่สุดในบรรดาทรัพย์สินอันน้อยนิดของพี่เว่ย
ฟ้ามืด พื้นราบกว้างไกลสุดสายตา กับเครื่องยนต์สี่แรงสูบ ตามปกติเขารักรถคันนั้นเหมือนลูก
ลู่เหยียน “พี่น้องกันไม่ใช่เหรอ”
พี่เว่ยโมโหแต่ไม่ได้แสดงออก “ครั้งก่อนนายขับออกไปเกือบทำรถฉันเป็นรอย!”
“เกือบ ไม่ได้เป็นเสียหน่อย”
“หรือจะรอให้เป็นรอยก่อนล่ะ! ถ้ารถเป็นรอยจริง ตอนนี้นายไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว หญ้าบนหลุมศพนายคงสูงถึงสองเมตรแล้วด้วย”
ลู่เหยียนคว้าเอากุญแจที่เอวพี่เว่ยไปดื้อๆ “คราวนี้ผมจะขับดีๆ เวลามีค่ากว่าชีวิต แต่รถของพี่เว่ยมีค่ายิ่งกว่านั้น…ขอบคุณนะครับ”
“ช่างพูดจริงนะ” พี่เว่ยคิดถึง ‘อุบัติเหตุ’ ครั้งก่อน “วันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันเห็นกับตาว่านายเกือบชนกำแพง”
คราวนี้ลู่เหยียนไม่พูด
เขาหลุบตามองพวงกุญแจเป็นเวลานานก่อนจะยิ้มออกมา “มือลื่นน่ะ”
พี่เว่ยไม่ได้ถือสาคำพูดของเขา “นายรู้ว่าพวกเขาไปทางไหนใช่ไหม ตามไปเถอะ”
“ถนนเข้าเมืองมีไม่กี่เส้นหรอก” ลู่เหยียนใช้นิ้วเกี่ยวพวงกุญแจ เขาเดินพลางควงพวงกุญแจเสียงดังกริ๊งๆ “สุดแล้วแต่ดวง”
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าดวงของลู่เหยียนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว
คุณชายใหญ่คนนั้นจะต้องมาที่นี่เป็นครั้งแรก แปดถึงเก้าในสิบส่วน ในรถจะต้องมีจีพีเอส และเขาจะต้องขับรถตามจีพีเอส ผลคือลู่เหยียนขับรถออกไปได้ไม่กี่ช่วงถนนก็เห็นรถแต่งคุ้นตาคันนั้น…กับป้ายเตือนที่อยู่หลังรถ ‘เว้นระยะห่างห้าสิบเมตร’
เซียวหังมีความรู้สึกว่าวันนี้ตอนออกจากบ้าน เขาจะต้องลืมดูปฏิทินจีนหมื่นปี* แน่ๆ ไม่อย่างนั้นทำไมภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่สิบกว่านาที เขาถึงมีเรื่องให้เซอร์ไพรส์เยอะแยะมากมายแบบนี้
“ลูกพี่” ตี๋จ้วงจื้อพูดด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “รถเสียจริงเหรอ”
เซียวหัง “มันอาจวิ่งจนเครื่องร้อนแล้ว ให้พักหน่อยแล้วกัน”
ตี๋จ้วงจื้อลูบจมูก รู้ว่าตัวเองถามปัญหาโง่ๆ “แล้วเมื่อไหร่รถลากจะมาถึง”
“อีกครึ่งชั่วโมงมั้ง” เซียวหังยกมือขึ้นนวดขมับ
ข้างหน้านี้ไม่มีหมู่บ้านและไม่มีร้านค้า ซ้ายมือเป็นโซนที่พักอาศัยเก่า ส่วนข้างขวาเป็นสวนผลไม้รกร้าง
อากาศร้อน ลมข้างนอกพัดมาเมื่อตะวันตกดิน
สองพี่น้องผู้ตกยากทำได้แค่นั่งฆ่าเวลาอยู่ในรถ
“ผมไม่เคยรู้เลยว่าเมืองเรามีที่แบบนี้ด้วย” ตี๋จ้วงจื้อบอก “เมื่อกี้ต้องขับรถวนอยู่ตั้งนานกว่าจะเจอร้านขายของชำ ของที่ขายในร้านเป็นอะไรพี่รู้ไหม ผมเพิ่งเคยเห็นนมยี่ห้อวั่งจื่อเป็นครั้งแรก”
เซียวหังพูดในใจว่าฉันก็เพิ่งจะเคยได้ยินคนดีดกีตาร์ห่วยขนาดนั้นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน
แถมยังได้เห็นทรงผมพั้งก์ๆ ครั้งแรกด้วย
และมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นที่ระเบียงทางเดินเป็นครั้งแรกเช่นกัน
“จริงสิ พี่หาคนเจอแล้วหรือยัง” ตี๋จ้วงจื้อนึกถึงเป้าหมายในการเดินทางมายังเขตซย่าเฉิงของพวกเขาในครั้งนี้ “ผู้หญิงคนนั้นว่ายังไง เธอน่าจะรู้สิว่าพ่อพี่ไม่คิดจะเลี้ยงเด็กคนนี้ แต่ยังทิ้งเขาไว้บ้านพวกพี่อีก…เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองแท้ๆ ใจร้ายชะมัด”
ตี๋จ้วงจื้อเพิ่งจะพูดจบ หน้าจอมือถือของเซียวหังก็เริ่มสว่าง
บนหน้าจอมือถือมีตัวหนังสือสามตัวคือ ‘เซียวฉี่ซาน’
เซียวหังไม่ได้รับสาย
ตี๋จ้วงจื้ออยากจะถามว่าทำไมเขาถึงไม่รับสาย แต่แค่เหลือบมองหน้าจอก็เข้าใจแล้วว่าทำไม
เซียวฉี่ซาน
สามคำนี้เหมือนมีอำนาจปีศาจ สุดท้ายแล้วไม่ว่าอย่างไรเซียวหังก็เก็บกดอารมณ์ที่เพียรข่มไว้ตั้งแต่ตอนก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ไว้ไม่อยู่แล้ว ตัวเขาแทบถูกกลืนหายไปทั้งหมด อากาศทั้งหมดในโพรงอกถูกสูบหายไปในชั่วพริบตา
น้ำเสียงเข้มงวดไร้อารมณ์เหมือนจะมุดออกมาจากหน้าจอโทรศัพท์…เซียวหัง ทำไมฉันถึงมีลูกไร้ประโยชน์แบบแกได้นะ
ไม่มีประโยชน์
เซียวหังเริ่มหายใจไม่ออก ปลายนิ้วเริ่มรู้สึกถึงความรุ่มร้อนราวกับถูกไฟแผดเผา
แห้งกรอบ ร้อนลวก
อยากสูบบุหรี่ขึ้นมาซะแล้ว
ไม่มีใครพูดอะไร ภายในรถจึงตกอยู่ในความเงียบนานหลายนาทีก่อนที่จะมีเสียงเคาะหน้าต่างรถพวกเขามาจากด้านนอก คนคนนั้นพูดภาษากลางที่ไม่ค่อยได้มาตรฐานและติดสำเนียงท้องถิ่น น้ำเสียงฟังดูเอื้ออารี “น้องชาย รถดับเหรอ ข้างหน้ามีอู่ซ่อม จะให้ฉันช่วยโทรตามให้ไหม”
เซียวหังลดกระจกรถลง
คนที่ก้มตัวลงมาพูดอยู่นอกกระจกรถเป็นชายแปลกหน้าสวมชุดคนงานสีเทา บนหน้ามีรอยบาก
“ขอบคุณครับ แต่ผมโทรแล้ว” เซียวหังแสดงออกว่าเวลานี้เขาไม่อยากสนทนากับใครมากนัก แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะจากไป เซียวหังจึงถามว่า “มีธุระอะไรหรือครับ”
คนหน้าบากมองจ้องนาฬิกาบนข้อมือของเซียวหังที่อยู่บนหน้าต่างรถ แล้วพิจารณาสภาพภายในรถเงียบๆ ก่อนหัวเราะหึๆ “ฉันเห็นรถคันนี้ดูคุ้นๆ มาแต่ไกล เมื่อก่อนฉันก็เคยมีรถแบบนี้อยู่หนึ่งคัน”
คนหน้าบากเริ่มเล่าถึงรถแสนรักของตัวเอง เล่าว่าเขาขับมันไปทุกที่ทั่วประเทศ แล้วอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง พร้อมถอนหายใจ “แต่ฉันบริจาครถไปนานแล้ว อย่ามองว่าฉันอยู่ในสภาพนี้เชียวนะ เมื่อก่อนฉันเปิดโรงงานอาหารแปรรูป ถือว่าเฟื่องฟูดีเชียวล่ะ…แต่ต่อมาฉันก็เข้าใจว่าเงินทองล้วนเป็นของนอกกาย”
เขาเว้นเรื่องที่ตัวเองสร้างกิจการจนรุ่งเรืองขึ้นมาด้วยสองมือเปล่า
“มีเงินแล้วไง ต่อให้มีเงินเยอะกว่านี้ก็ได้มาแค่ความรู้สึกว่างเปล่า หาความหมายที่แท้จริงของชีวิตไม่ได้ มัวแต่หลงอยู่ในกระแสของความอยากในวัตถุ”
“ตอนนี้พี่เลยทุ่มเทจิตใจทั้งหมดไปที่งานการกุศล สร้างพื้นที่โอเอซิสในทะเลทราย ช่วยเหลือเด็กยากจนบนภูเขาให้ได้เรียนหนังสือ” คนหน้าบากล้วงมือถือออกมากดเปิดเว็บไป๋ตู้ แล้วค้นหารูปหนึ่งออกมา เป็นรูปห้องเรียนผุพัง ต้านไม่ได้ทั้งลมทั้งฝน “นายดูสิ นี่คือที่เรียนของเด็กยากจน เห็นแล้วสงสารไหม ปวดใจหรือเปล่า”
ตี๋จ้วงจื้อฟังแล้วได้แต่อึ้งกับอึ้ง ดวงตาของเขาจ้องนิ่งอยู่ที่รูปนั้นพลางผงกศีรษะ “ที่เรียนแร้นแค้นจริง”
เซียวหัง “…”
“ใช่ไหม แล้วดูเด็กๆ ที่มีความฝันแต่ถูกฝนสาดเปียกให้ต้องแบกน้ำหนักเดินไปข้างหน้าสิ”
คนหน้าบากตบไหล่ตี๋จ้วงจื้อ พอพูดไปถึงจุดไคลแมกซ์ เขาก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นหนักแน่นทรงพลัง “พี่เลยยิ่งมุ่งมั่นเดินไปบนเส้นทางการทำการกุศลของตัวเอง! สิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์เราคือการอยู่เพื่อสร้างคุณค่าของตัวเอง บนโลกนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าเงินมากมาย น้องชาย ในมือพี่มีโครงการการกุศลอยู่สามโครงการ…”
คนหน้าบากพูดพลางชูสามนิ้ว
คนหน้าบากตั้งใจจะแนะนำโครงการการกุศลสามโครงการอย่างละเอียด แต่ได้ยินน้ำเสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลังก่อนว่า “นิ้วยังโดนดัดไม่พออีกเหรอ”
ลู่เหยียนนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ ใช้ขาข้างหนึ่งยันพื้น จอดอยู่ด้านหลังคนหน้าบากพอดี
เขาขายาว พอทำท่านี้ก็เหมือนกับดาราหนังที่ตั้งใจจัดท่วงท่ามาเรียบร้อยแล้ว
“พูดเรื่องช่องทางรวยกับคนไม่มีเงิน แต่พอเจอคนไม่ขาดเงินก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องการกุศล” คนที่ราวกับอยู่ในเฟรมภาพถ่ายพูด “หัวไวมาก ขอนับถือ”
จังหวะนี้เอง ตี๋จ้วงจื้อที่กำลังอินอยู่ในงานการกุศลของเด็กยากจนผู้ถูกฝนสาดถึงค่อยได้สติ “คุณเป็นนักต้มตุ๋นเหรอ”
คนหน้าบากมีความรู้สึกว่าลู่เหยียนอาจเป็นคำสาปที่เขาไม่มีวันหนีพ้นในอาชีพนักต้มตุ๋นของเขา
เป็นหลุมพรางที่ไม่มีทางก้าวข้ามไปได้
เป็นกำแพงที่ไม่มีวันข้ามไปไหว
เสียงของคนหน้าบากเริ่มสั่น “ทำไมถึงเป็นนายอีกแล้ว ยังไม่จบไม่สิ้นกันอีกเหรอ ชาติที่แล้วฉันเคยขุดหลุมศพนายหรือไง!”
ลู่เหยียนแสดงออกว่ายอมรับคำพูดประโยคนี้ “อาจมีวาสนาต่อกันเป็นพิเศษ”
ต่อให้คนหน้าบากรู้สึกไม่พอใจสักแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าเล่นแบบหนึ่งต่อสาม เขามองซ้ายมองขวา สุดท้ายก็บ่ายหน้าเผ่นหนีไปบนถนน
ลู่เหยียนมองคนบนรถ “เซียว…” เขาจำไม่ได้แล้วว่าอีกฝ่ายชื่ออะไรเลยพูดได้แค่เซียว แล้วก็ไปต่อไม่ถูก
เซียวหังลงจากรถ เขายื่นมือไปกดตัวตี๋จ้วงจื้อที่อยากลงมาดูความครึกครื้นให้กลับเข้าไปในตัวรถ
หัวของตี๋จ้วงจื้อจึงโขกประตูรถจนเขาร้องเสียงดัง “ชิบ!”
เซียวหัง “นายอยู่ในรถ”
“เรื่องเมื่อกี้ผมขอโทษ” ลู่เหยียนมองเขา “ทุกอย่างเป็นความเข้าใจผิด”
ลู่เหยียนมองท่าทางแบบ ‘ฉันไม่สนนายหรอก’ ของคนตรงหน้าแล้วมีความรู้สึกว่าคุณชายใหญ่เจ้าอารมณ์คนนี้คงไม่รับน้ำใจ
ลู่เหยียนรออยู่สามวินาที
พบว่าฝ่ายตรงข้ามไม่รับน้ำใจเขาจริงๆ
บรรยากาศประดักประเดิดเล็กน้อย ลู่เหยียนลูบจมูกพลางบอกว่า “วันนี้หกศูนย์หนึ่งไม่อยู่บ้านจริงๆ ถ้าคุณมีธุระ ไว้เธอกลับมาแล้วผมจะบอกให้”
เมื่อเห็นว่าฉากนี้มีเขาโซโล่อยู่คนเดียว และอีกฝ่ายก็อาจขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว ลู่เหยียนจึงตั้งใจจะบอกลา คิดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าจะพูดออกมาสองคำว่า “ไม่จำเป็น”
ลู่เหยียนมีความรู้สึกว่าความประทับใจแรกของคนคนนี้สำหรับเขานั้นไม่ได้มีอะไรเลวร้ายเลยสักนิด ถึงความเจ้าอารมณ์กับนิสัยจะไม่ค่อยดี และเย็นชาแบบสุดๆ ก็ตาม
พวกเขาสองคนไม่คุ้นหน้ากัน เมื่อพูดเรื่องที่ควรพูดไปหมดแล้ว ลู่เหยียนก็ไม่คิดจะถามอะไรให้มากความ “โอเค…รถพวกคุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
ระหว่างที่พูด ไม่รู้ว่ามีเสียงสั่นมาจากไหน
ครืด
ครืดๆๆ
เซียวหังมองตามเสียงไปที่ขาที่ยันพื้นอยู่ของลู่เหยียน
วันนี้เขาสวมกางเกงยีน นี่น่าจะเป็นเสียงที่ดังออกมาจากกางเกงยีนตัวนั้น ยิ่งมือถือแนบติดกับต้นขา เสียงสั่นจากสายที่โทรเข้ามาจึงยิ่งดังชัดเป็นพิเศษ
ลู่เหยียนควานอยู่นานกว่าจะล้วงเอามือถือออกมาได้
เป็นพี่เว่ย
ก่อนและหลังที่เขาจะเอารถออกมากินเวลาทั้งหมดไม่ถึงห้านาที เสียงของพี่เว่ยดังอยู่ในสายอย่างรำคาญใจ [ตามเด็กนั่นทันไหม ไม่ทันก็กลับมา นี่มันห้านาทีแล้วนะ รถฉันเป็นอะไรหรือเปล่า]
“ตามทันแล้ว จะเป็นอะไรได้ยังไง” ลู่เหยียนบอก “ลูกชายพี่คือลูกชายผม ผมแทบไม่ได้บิดคันเร่งเลย รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าข้างๆ ยังวิ่งเร็วกว่าผมอีก…โอเค ผมจะกลับเดี๋ยวนี้”
พี่เว่ยบ่นโขมงโฉงเฉงก่อนตัดสาย
ลู่เหยียนยัดมือถือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหันไปมองเซียวหัง ก่อนจะพูดย้ำอีกครั้ง “สรุปคือผมขอโทษสำหรับเรื่องในวันนี้จริงๆ”
พอพูดจบลู่เหยียนก็บิดคันเร่ง โดยเสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์บ่ายหน้าไปทางโซนเจ็ด
* กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอเพื่อล้างตัวยังไงก็ล้างไม่สะอาด เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
* สุนัขจิ้งจอกแอบอิงบารมีเสือ เป็นสำนวน หมายถึงการแอบอ้างบารมีของผู้อื่นเพื่อข่มเหงผู้อื่น
* ปฏิทินจีนหมื่นปี คือปฏิทินจีนที่คำนวณโดยใช้ระบบจันทรคติแบบจีน บอกวันและฤกษ์งามยามดี
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 3 ต.ค. 65