everY
ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 93-94 #นิยายวาย
บทที่ 94 ไหลึกลับ
หลังจากที่ปลอบประโลมซึ่งกันและกัน ทั้งไป๋เยวี่ยหูและลู่ชิงจิ่วก็นอนเอนกายบนเตียงกันอยู่ครู่หนึ่ง
ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเนื้อตัวเหนอะหนะจึงลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำ ตอนที่เขากลับมาที่ห้องก็เห็นไป๋เยวี่ยหูหลับไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าร่างกายของอีกฝ่ายยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ แม้ขณะที่หลับแล้วบริเวณระหว่างคิ้วก็ยังคงเผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้า ถ้าหากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่ไป๋เยวี่ยหูมีสีหน้าพึงพอใจแล้วล่ะก็ ลู่ชิงจิ่วคงจะคิดว่าตัวเองได้สร้างความลำบากให้ไป๋เยวี่ยหูเพิ่มเสียแล้ว เขาสำรวจร่างกายของไป๋เยวี่ยหูคร่าวๆ จนแน่ใจว่าบาดแผลพวกนั้นไม่ได้ปริออก แล้วค่อยเอาผ้าอุ่นๆ มาวางไว้บนท้องของไป๋เยวี่ยหูเพื่อป้องกันความเย็นเข้าตัว ก่อนจะย่องออกไปเงียบๆ
อิ่นสวินที่กำลังให้อาหารเสี่ยวฮวาได้ยินลู่ชิงจิ่วเดินออกมาเงียบๆ เลยพูดไปว่า “นายเสร็จธุระแล้วเหรอ”
ลู่ชิงจิ่ว “…เสร็จธุระแล้ว”
อิ่นสวิน “ระวังตัวด้วยล่ะ”
ลู่ชิงจิ่ว “นี่นายเตือนฉันหรือเตือนไป๋เยวี่ยหูกันนะ?”
อิ่นสวินหันกลับมามองหน้าลู่ชิงจิ่วแล้วพูด “ฉันว่าจะเตือนไป๋เยวี่ยหู แต่คิดไปคิดมาแล้วเตือนนายน่าจะดูเข้าท่ากว่านะ”
ลู่ชิงจิ่วหุบยิ้ม “พอแล้ว โทษฐานที่นายพูดมาก พรุ่งนี้รีบเข้าเมืองไปซื้อเนื้อเลยนะ พรุ่งนี้พวกเราจะทำเนื้อย่างกินกัน”
“หลายวันนี้ไป๋เยวี่ยหูคงจะหิวเนื้อเป็นพิเศษ แบบนี้ก็เตรียมอาหารเป็นเนื้อชุดใหญ่ไปเลยดีกว่า อยากกินเท่าไหร่ก็กิน”
อิ่นสวินได้ยินแบบนั้นก็รีบตอบตกลงทันที ก่อนที่จะขอตัวกลับก่อน
ลู่ชิงจิ่ว “อืม กลับไปเถอะ”
อิ่นสวินกลับไปแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็กลับเข้าห้องของตัวเอง เขาเอนนอนลงข้างๆ ไป๋เยวี่ยหู ไม่ว่าจะพลิกตัวกลับไปกลับมาอย่างไรเขาก็ยังคงนอนไม่หลับอยู่ดี สุดท้ายจึงไปหยิบบันทึกของคุณยายออกมานั่งอ่านอย่างละเอียดอยู่หลายรอบจนใกล้จะถึงเวลาเที่ยงคืน เขาก็เริ่มรู้สึกง่วงและเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
วันต่อมาลู่ชิงจิ่วรีบตื่นขึ้นมาแต่เช้า เขาเตรียมอาหารเช้าให้ไป๋เยวี่ยหู เมื่อเสร็จแล้วก็เข้าเมืองไปกับอิ่นสวินและซื้อเนื้อชุดใหญ่กลับมา ไม่ว่าจะเนื้อไก่ เนื้อหมู หรือเนื้อแกะก็ซื้อมาทั้งหมด แถมยังมีพวกอาหารทะเลแห้ง เห็ดหอม และอาหารแห้งอีกจำนวนหนึ่งด้วย
ตอนที่ทั้งสองไปซื้อของก็บังเอิญได้พบกับหูซู่และคู่หูของเขา ลู่ชิงจิ่วทักทายพร้อมพูดคุยกับพวกเขา
“อากาศงั้นเหรอ หลายวันมานี้อากาศในเมืองไม่ใช่ว่าร้อนมาตลอดเหรอ” หูซู่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ลู่ชิงจิ่วถาม จึงได้แต่ถามกลับอย่างงงๆ “มีอะไรหรือเปล่า”
ลู่ชิงจิ่วส่ายหน้าบอกแต่ว่าตัวเองแค่ถามไปอย่างนั้น
หูซู่รู้สึกแปลกใจ “คำถามทั่วไปงั้นเหรอ”
ลู่ชิงจิ่ว “ใช่แล้ว”
หูซู่ “เออใช่แล้ว มะรืนนี้พวกนายว่างกันมั้ย ว่าจะชวนมากินข้าวซะหน่อย เรื่องที่โรงเรียนอนุบาลในครั้งก่อนยังไม่ทันได้ขอบคุณพวกนายเลย”
“มะรืนนี้เหรอ” ลู่ชิงจิ่วคิดอยู่สักพักก่อนตอบ “ยังรับปากไม่ได้ครับ เดี๋ยวผมต้องกลับไปถามคนอื่นก่อนนะ”
หูซู่พยักหน้าและถือว่านี่คือการตกลงแล้ว
ทั้งสองซื้อของเสร็จเรียบร้อยก็หิ้วทั้งห่อเล็กห่อใหญ่กลับมาที่บ้าน และเมื่อมาถึงเขาก็ยังคงเห็นไป๋เยวี่ยหูนอนสลบไสลอยู่ตามเดิม ลู่ชิงจิ่วไม่ได้ปลุกไป๋เยวี่ยหูขึ้นมา เขาและอิ่นสวินไปช่วยกันจัดการพวกวัตถุดิบ โดยเอาเนื้อที่ซื้อมาหมัก ส่วนกุ้งนำไปละลายน้ำแข็ง และอาหารจำพวกผักก็นำไปล้างให้สะอาด ก่อนหน้านี้เวลาทำเนื้อย่างจะใช้แต่เตาถ่าน แต่ครั้งนี้ลู่ชิงจิ่วว่าจะลองเปลี่ยนไปใช้หม้อทอดแทน เขาเตรียมพวกผักเพื่อใช้ตัดความเลี่ยน ทั้งยังเตรียมกิมจิไว้มากินคู่กับเนื้อย่างด้วย
หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็ไปปลุกไป๋เยวี่ยหู ไป๋เยวี่ยหูลืมตามองหน้าลู่ชิงจิ่วด้วยความสะลึมสะลือ เขาคว้าตัวลู่ชิงจิ่วแล้วจุมพิตเบาๆ ที่มุมปาก หูของเขาตั้งขึ้นดูขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่มีความเยือกเย็นและโหดเหี้ยม…มันทำให้ลู่ชิงจิ่วนึกถึงภาพที่ไม่เหมาะสมกับเด็กขึ้นมา
เวลาที่มีอารมณ์มากๆ หูของไป๋เยวี่ยหูมักจะตั้งชูชันขึ้นมาแบบนี้ เวลาที่ลู่ชิงจิ่วอดใจไม่ไหวก็จะยื่นมือไปจับเอาไว้ แม้กระทั่งก้มหน้าลงไปกัดหูพวกนั้นเล่น ความรู้สึกที่ได้กัดลงไปก็นุ่มละมุนเกินบรรยาย…ในขณะเดียวกันร่างกายของไป๋เยวี่ยหูก็จะยิ่งตื่นตัวมากขึ้น ให้อารมณ์เหมือนลู่ชิงจิ่วกำลังประคบประหงมเขามังกรของตัวเอง
ไม่รู้ว่าทำไมมังกรที่ดูเย็นชาและโหดร้ายถึงมีหูน้อยๆ ที่น่ารักปุกปุยได้ขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ความน่ามอง แต่สัมผัสที่ได้ยังทำให้คนไม่อยากปล่อยมือ
ลู่ชิงจิ่วลูบไล้ไป๋เยวี่ยหูที่กำลังสะลึมสะลือและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ไป๋เยวี่ยหู ไปกินข้าวกันเถอะ”
ไป๋เยวี่ยหูกำลังงัวเงียไม่ค่อยได้สติ แต่ปากก็ตอบตกลงไปว่า “อืม”
ลู่ชิงจิ่ว “เด็กดี เดี๋ยวกินเสร็จแล้วค่อยนอนนะ”
ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้าและยังคงใช้หูของตัวเองคลอเคลียอยู่กับลู่ชิงจิ่ว จากนั้นจึงตื่นนอนได้อย่างเต็มตา
หลังจากที่อาบน้ำแล้ว ทั้งสองก็ไปที่ห้องนั่งเล่นและหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าว
แม้ว่าเนื้อย่างจะไม่ได้ทำอย่างประณีตเท่ากับอาหารอื่นๆ แต่สัดส่วนของเนื้อที่มีก็นับว่าเป็นข้อดีที่สุดของการกินปิ้งย่าง ย่างจนเนื้อเป็นสีน้ำตาลแล้วนำไปวางบนผักพร้อมด้วยพริกสดๆ กิมจิ และกระเทียมอีกหน่อย เมื่อกินเข้าไปก็จะได้รสชาติแบบเต็มปากเต็มคำ
วันนี้ไม่ได้เข้าไปที่เมืองใหญ่เลยหาซื้อกุ้งสดๆ มาไม่ได้ หาได้แต่กุ้งแช่แข็งมาแทนไปก่อน แต่นำมาคลุกเคล้ากับผงพริกป่นก็ได้รสชาติที่ไม่เลวเลย ส่วนพวกผักสดที่เหลือลู่ชิงจิ่วก็จัดการทั้งหมด พวกเห็ดหอมหั่นออกเป็นชิ้นเล็กๆ ล้างให้สะอาดและลงไปย่างในหม้อ ผ่านสักพักก็จะมีน้ำออกมาจากตัวเห็ด ซึ่งน้ำเห็ดนี้ถือว่าเป็นของชั้นดี มีรสชาติอร่อย นอกจากนี้ยังมีก้อนเต้าหู้ที่ห่อด้วยกระดาษฟอยล์ ภายในยัดไส้ด้วยพริก ต้นหอม และเครื่องเทศ เมื่อกินเข้าไปแล้วให้ความรู้สึกเผ็ดร้อนช่วยให้รู้สึกตื่นตัว อีกทั้งยังช่วยแก้เลี่ยนจากเนื้อย่างได้เป็นอย่างดี
ลู่ชิงจิ่วอาศัยเวลาช่วงที่กินข้าวเล่าถึงเหตุการณ์ที่มีบุคคลปริศนาปลอมตัวมาเป็นไป๋เยวี่ยหูให้ฟัง เมื่อไป๋เยวี่ยหูได้ยินเรื่องราวก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาพร้อมย้อนถามถึงรายละเอียด จนถึงตอนที่ลู่ชิงจิ่วเล่าว่ากอดกับบุคคลนั้น ใบหน้าของไป๋เยวี่ยหูก็ยิ่งเรียบนิ่ง
ไป๋เยวี่ยหู “เขากอดนายแล้วเหรอ”
“ใช่” ลู่ชิงจิ่วกัดมะเขือย่างและพูดไปด้วย เขาไม่รู้ว่าทำไมการที่ไป๋เยวี่ยหูแสดงสีหน้าแบบนั้นถึงทำให้เขารู้สึกใจหวิวๆ “เพราะตอนนั้นฉันเองก็ยังแยกไม่ออกเลย”
ไป๋เยวี่ยหู “แยกไม่ออกเหรอ”
ลู่ชิงจิ่ว “อ่า…ครั้งหน้าแยกออกแน่นอน”
ไป๋เยวี่ยหูไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ลู่ชิงจิ่วที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนั้นจากไป๋เยวี่ยหูรู้สึกพิลึกชอบกล เขาหัวเราะออกมาเพื่อทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินไปและเปลี่ยนไปประเด็นอื่นในทันที
ลู่ชิงจิ่ว “ใช่แล้ว หูซู่เขาอยากจะชวนพวกเราไปกินข้าวน่ะ มะรืนนี้ว่างกันมั้ย”
ไป๋เยวี่ยหู “ได้นะ”
ลู่ชิงจิ่วเห็นไป๋เยวี่ยหูตอบตกลง ในใจก็คิดว่าตัวเองผ่านด่านเมื่อกี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าขณะที่กำลังจะหายใจออกด้วยความโล่งอก กลับได้ยินไป๋เยวี่ยหูถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “แยกไม่ออกจริงๆ เหรอ”
ลู่ชิงจิ่ว “…”
ไป๋เยวี่ยหูยังไม่ปล่อยวางกับคำถามนี้ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
ไป๋เยวี่ยหู “ฉันกับเขาน่าจะมีส่วนที่ไม่เหมือนกันอยู่นะ”
ลู่ชิงจิ่วไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่เคี้ยวอาหารไปอย่างเงียบๆ แล้วค่อยหยิบทิชชูมาเช็ดที่ริมฝีปาก ก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของไป๋เยวี่ยหู
ไป๋เยวี่ยหูได้ยินคำพูดของลู่ชิงจิ่วก็สบายใจขึ้นมาทันที ทั้งยังยิ้มออกมาอย่างมีความสุข อิ่นสวินที่มัวแต่กินอาหารไม่สนใจใครจึงไม่รู้เลยว่าลู่ชิงจิ่วพูดอะไรออกไปถึงทำให้ไป๋เยวี่ยหูอารมณ์ดีขึ้นมาได้
“นายรับปากแล้วนะ อย่าคืนคำล่ะ” ไป๋เยวี่ยหูหลุบตาพร้อมกับหูที่ตั้งขึ้นมา
ใบหน้าของลู่ชิงจิ่วดูหมดหนทาง “อืม แต่ว่ารอแผลนายหายดีก่อนละกัน”
ไป๋เยวี่ยหู “ตอนนี้ฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว”
ลู่ชิงจิ่ว “นายอย่าพูดเลย เมื่อคืนฉันเกือบจะเห็นกระเพาะของนายแล้วนะ”
ไป๋เยวี่ยหู “…”
ลู่ชิงจิ่ว “อืม อาจจะไม่ใช่กระเพาะนะ แต่น่าจะเป็นลำไส้มากกว่า”
บาดแผลที่ท้องของไป๋เยวี่ยหูดูน่าสยดสยอง ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่มังกร ป่านนี้คงได้ตายไปเป็นหมื่นๆ ครั้งแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ลู่ชิงจิ่วไม่กล้าขยับตัวเปลี่ยนท่าเลย เขาคิดว่าถ้าหากนอนอยู่บนตัวของไป๋เยวี่ยหู กลัวว่าจะมีอวัยวะในช่องท้องสักชิ้นออกมาอยู่นอกร่างกายของเขา…แค่คิดภาพนั้นก็ขนหัวลุกแล้ว
ไป๋เยวี่ยหูและลู่ชิงจิ่วสื่อสารโดยที่เข้าใจกันเองสองคน ปล่อยให้คนโสดอย่างอิ่นสวินนั่งกินผักไปอย่างงงๆ ตอนนี้เขาเข้าใจคำพูดของจูเหมี่ยวเหมี่ยวแล้วว่าหมาโสดไร้คู่คืออะไร
ปาร์ตี้เนื้อย่างยาวนานไปจนถึงเที่ยงคืนกว่า ไป๋เยวี่ยหูกินอาหารทุกอย่างบนโต๊ะจนหมด เพราะตอนนี้ดึกมากแล้วลู่ชิงจิ่วจึงบอกอิ่นสวินว่าค่อยมาเก็บจานพรุ่งนี้แทน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน
วันถัดมาลู่ชิงจิ่วตอบกลับคำเชิญของหูซู่และถามถึงเวลาและสถานที่
หูซู่ [พรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ แล้วกัน เป็นช่วงที่พวกเราเปลี่ยนกะพอดี ส่วนสถานที่ก็ร้านเนื้อย่างข้างสถานีตำรวจแล้วกัน ร้านอาหารเจ้านี้เนื้อแกะย่างถือว่าเด็ดที่สุด พวกนายต้องมาลอง]
“ได้เลยครับ” ลู่ชิงจิ่วรับปาก
[ไม่เจอไม่กลับ ต้องเจอกันให้ได้]
ลู่ชิงจิ่วและหูซู่ที่นัดแนะกันเสร็จแล้วก็วางสายลง
จะว่าไปแล้วการได้มาที่หมู่บ้านสุ่ยฝู่ นอกจากเพื่อนบ้านแล้วลู่ชิงจิ่วก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนคนไหนอีกเลย ยิ่งกับตอนนี้ที่เขารู้แล้วด้วยว่าคนในหมู่บ้านไม่มีใครที่ยังมีชีวิตอยู่เลยสักคนก็ทำให้รู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย การพบกันครั้งก่อนระหว่างเขา หูซู่ และผังจื่อฉีถือได้ว่าสนิทสนมกันพอสมควร ซึ่งพวกเขาทั้งสองก็ทำงานเป็นตำรวจ รู้จักกันไว้หน่อยคงจะไม่เสียหายอะไร อีกอย่างพวกเขาน่าจะสามารถเข้าระบบภายในได้ และแน่นอนว่าคงจะต้องรู้ข้อมูลบางอย่างของพวกที่ไม่ใช่มนุษย์
บ่ายวันนั้นพวกเขาไปตามนัด แต่เมื่อเข้าไปถึงที่ตัวเมือง หูซู่ก็โทรมาว่าติดธุระนิดหน่อย เลยจะขอปรับเปลี่ยนเวลาเล็กน้อย
ลู่ชิงจิ่ว “กี่โมงดีล่ะถ้างั้น”
หูซู่ [พวกนายมาที่สถานีตำรวจแล้วกัน วันนี้ฉันกับผังจื่อฉีต้องเข้าเวร ประมาณเกือบสองทุ่มก็น่าจะเลิกละ เดี๋ยวตอนเลิกพวกเราค่อยไปที่ร้านกัน]
ลู่ชิงจิ่ว “…แน่ใจนะครับ?”
หูซู่ [แน่ใจสิ หัวหน้าพวกเราไม่อยู่ ไม่มีปัญหาแน่นอน]
“คุณบอกว่าวันนี้ไม่มีเวรไม่ใช่เหรอ” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยความสงสัย
หูซู่อธิบายไปว่าวันนี้เพื่อนร่วมงานเกิดติดธุระกะทันหันขึ้นมา ก่อนที่จะออกไปเขาและผังจื่อฉีเลยต้องมาเฝ้าเวรแทน แม้ว่าในเมืองปกติจะไม่ได้มีเรื่องอะไร แต่ก็ไม่ควรวางใจเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
ลู่ชิงจิ่วเห็นว่าหูซู่พูดจามีเหตุผล เขาจึงขับรถกระบะของตัวเองมุ่งหน้าไปยังสถานีตำรวจ
ก่อนจะมาถึงที่นี่ ลู่ชิงจิ่วไม่เคยมาที่สถานีตำรวจเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เมื่อมาถึงที่แล้วกลับกลายเป็นเหมือนแขกคนสนิทของที่นี่ แถมยังได้ทำความรู้จักกับตำรวจอีกสองนายด้วย
สถานีตำรวจในเมืองค่อนข้างเล็ก โดยทั่วไปแทบจะไม่มีคดีใหญ่ๆ เหมือนกับครั้งก่อนที่มีคนพบศพในบ่อน้ำ ลักษณะคดีใหญ่ๆ แบบนี้จะโอนไปให้กับเมืองใหญ่ๆ ในการรับผิดชอบ
ลู่ชิงจิ่วเดินเข้าไปในสถานีตำรวจก็เห็นหูซู่กับผังจื่อฉีนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อทั้งสองเห็นลู่ชิงจิ่วก็รีบเข้ามาทักทายด้วยความอบอุ่น
“นั่งก่อนๆ เดี๋ยวฉันจะไปเอาชามาให้ดื่ม”
หูซู่ต้อนรับอย่างอบอุ่น เขาลุกออกไปและเทน้ำชาให้กับทั้งสามคน แม้ว่าข้างนอกจะร้อนแต่ในตัวอาคารเปิดแอร์กำลังดีจึงทำให้รู้สึกเย็นสบาย
ลู่ชิงจิ่วถาม “พวกคุณทำอะไรกันอยู่”
หูซู่ตอบ “ก็กำลังนั่งเขียนรายงานอยู่น่ะสิ เมื่อวานซืนในชุมชนพวกเราเจอวัตถุอะไรบางอย่างเข้า”
ลู่ชิงจิ่ว “เจออะไรเหรอครับ ของคืออะไร คงไม่ใช่ศพแบบครั้งที่แล้วเนอะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หูซู่ตอบสบายๆ “จะเป็นศพได้ไงล่ะ ก็แค่ของเล็กๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง”
ลู่ชิงจิ่วได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขา ไป๋เยวี่ยหู และอิ่นสวินจึงนั่งรอให้ถึงเวลาเลิกเวรของอีกฝ่าย
ตอนนี้ก็เพิ่งจะหกโมงกว่า กว่าหูซู่จะเลิกเวรก็อีกราวๆ สองชั่วโมง เขาใช้เวลาที่รอนี้พูดคุยกับหูซู่ไปเรื่อยเกี่ยวกับเรื่องของพวกอมนุษย์ที่อยู่บนโลกมนุษย์ และเมื่อได้พูดคุยเขาจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกผู้ใหญ่ก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน แต่รู้ไปก็เท่านั้น สุดท้ายก็ไม่มีวิธีจัดการอยู่ดี เพราะถึงอย่างไรพลังวิญญาณบนโลกนี้ก็ค่อยๆ เบาบางลงไป พวกที่มีพลังเรียกลมเรียกฝนได้แบบในอดีตต่างก็ล้มหายตายจากกันไป ถึงขนาดพลังง่ายๆ ขั้นพื้นฐานก็สูญหายไปด้วย
ลู่ชิงจิ่วถามต่อ “แล้วปืนนั่นยังถือว่าใช้ได้มั้ย”
“ไม่รู้เหมือนกันนะ ก็คงต้องดูประเภทของพวกมันก่อน ถ้าเป็นพวกสัตว์ร้ายก็คงพอได้ แต่ถ้าเป็นพวกภูตผีวิญญาณล่ะก็นะ…” หูซู่พูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ทันทีที่เขาพูดจบ ในห้องก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา เสียงฟ้าร้องในขณะที่ท้องฟ้ากำลังสดใสดังสะเทือนจนฝุ่นบนเพดานถึงกับร่วงลงมาบนโต๊ะ และกระจกหน้าต่างเองก็เกือบแตก
“เฮ้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” หูซู่ร้องอย่างตกใจ
ผังจื่อฉีที่กำลังเล่นเกมไพ่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์มีสีหน้าตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงแบบนั้น “ข้างนอกมีฟ้าผ่าเหรอ”
หูซู่ “ไม่น่าจะใช่นะ ดูเหมือนว่าเสียงมันจะมาจากในตัวอาคาร”
ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในความเป็นจริงแล้วเสียงนี้ก็คล้ายกับเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เพียงแต่ว่าต้นเสียงไม่ได้มาจากด้านนอกแต่มันกลับมาจากข้างในอาคาร
หูซู่ “ในห้องมีของอะไรหรือเปล่า”
ผังจื่อฉีครุ่นคิด ก่อนที่หน้าของเขาจะเผยว่าคิดออกแล้ว “บ้าเอ๊ย ของที่เอามาวันนี้ไม่ได้เอาไปเก็บไว้ที่ห้องข้างๆ แล้วหรอกเรอะ”
หูซู่ “…”
พวกเขาเหมือนกำลังนึกอะไรขึ้นมาได้ และในเวลาเดียวกันก็มองเข้าไปในห้องนั้น
ณ เวลานี้เสียงประหลาดดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของมันเหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่ผ่าอยู่ข้างหู อิ่นสวินได้ยินก็ถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว “นี่ไม่ใช่เสียงฟ้าร้องเหรอเนี่ย ตกลงมันคือเสียงอะไรกันแน่”
“เดี๋ยวฉันไปดูเอง” ผังจื่อฉีพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เลียที่ริมฝีปากตัวเอง
ผังจื่อฉีมุ่งหน้าไปที่ห้องนั้น ลู่ชิงจิ่วชำเลืองมองไปที่ไป๋เยวี่ยหู ซึ่งเขาก็เข้าใจความหมายที่อยากจะสื่อ เขาพูดเบาๆ ว่า “ไปเถอะ ไม่มีอะไรหรอก มีฉันอยู่”
ลู่ชิงจิ่วมีความอยากรู้อยากเห็นมาก ยิ่งเห็นไป๋เยวี่ยหูมีท่าทีนิ่งสงบขนาดนี้ ก็คิดว่าคงไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคิดแบบนี้เขาและอิ่นสวินที่อยากรู้อยากเห็นเหมือนกันก็เดินตามเข้าไปร่วมสังเกตด้วย
ผังจื่อฉีและหูซู่เดินไปถึงที่หน้าประตู หยิบกุญแจออกมาไขประตูอย่างระมัดระวัง ลู่ชิงจิ่วเห็นสัญลักษณ์ที่ประตูจึงรู้ว่านี่คือห้องที่ใช้เก็บของกลางโดยเฉพาะ ทว่าเพราะในเมืองไม่ค่อยมีคดีอะไรมาก ดังนั้นในห้องจึงค่อนข้างโล่ง เมื่อประตูเปิดออก หูซู่ก็เปิดสวิตช์ไฟ ลู่ชิงจิ่วจึงได้เห็นวัตถุบางอย่างที่วางไว้บนโต๊ะ
มันคือไหสวยงามสองใบ ใบหนึ่งเล็กอีกใบหนึ่งใหญ่วางอยู่บนโต๊ะในห้องโล่งๆ ที่ใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา ดูคร่าวๆ แล้วมันก็คืองานฝีมือธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่งที่บนตัวไหประดับลวดลายประหลาดๆ คล้ายกับตัวอักษรอะไรสักอย่าง แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่อักษรจีน
ผังจื่อฉีเดินเข้าไปข้างๆ ไหอย่างระมัดระวัง
“คือเจ้านี่เองเหรอ ทำไมพวกคุณถึงต้องเอาของพวกนี้กลับมาด้วยล่ะ” ลู่ชิงจิ่วถามอย่างสงสัย
“เอ่อ…คือว่าคนที่แจ้งความบอกว่าเห็นคนปีนออกมาจากไห” หูซู่รู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาดูน่าขำ น้ำเสียงที่เขาพูดมีความกระอักกระอ่วนและจนใจ “เขาบอกว่าไหนี้คือสมบัติประจำตระกูลพวกเขา ในวันที่ทางบ้านล้มละลาย พวกเขาทำใจไม่ได้ที่จะขายทิ้ง หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้น ทั้งข้าวของขยับเองหรือซากสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยกระจายเกลื่อนทั่วบ้าน จนตอนหลังต้องเปิดกล้องวงจรปิด…”
“แล้วเห็นอะไรต่อจากนั้น” ลู่ชิงจิ่วถามอย่างตื่นเต้น
ผังจื่อฉี “ไม่มี กล้องวงจรปิดไม่ได้จับภาพแปลกปลอมอะไร พวกเขาเองก็คิดว่าต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ คืนหนึ่งตื่นขึ้นมากะทันหัน เห็นคนผมยาวคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ที่โซฟาในบ้าน มองหน้าพวกเขาอย่างตะลึงงัน”
ลู่ชิงจิ่ว “นี่มันจะดูหลอนเกินไปแล้วนะ”
หูซู่ “พอเป็นแบบนั้นเจ้าทุกข์ก็รีบวิ่งโร่เข้าแจ้งความทันที จากนั้นพวกเราก็รีบไปดูที่เกิดเหตุแล้วขอตรวจดูกล้องวงจรปิด”
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกล้องไม่สามารถจับภาพประหลาดอะไรได้เลย แต่ด้วยความที่เจ้าทุกข์ยืนกรานอย่างขึงขัง ทั้งหูซู่และผังจื่อฉีจึงต้องนำไหนั้นกลับมาที่สถานีตำรวจและเก็บไว้เป็นของกลาง เพราะถึงอย่างไรสถานีตำรวจนี้ก็มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด แถมไม่ค่อยมีพวกคดีใหญ่มากนักอยู่แล้วด้วย ส่วนมากก็มีแต่เรื่องเล็กๆ น้อยของชาวบ้าน อย่างเรื่องสามีภรรยาทะเลาะกัน หรือบ้านไหนกินพื้นที่เพื่อนบ้านคนอื่น เป็นต้น
ลู่ชิงจิ่วถาม “แปลว่าพวกคุณไม่ได้ดูว่าในไหนั้นมีอะไรอยู่หรือเปล่า”
“ไม่ได้ดูหรอก ถ้าเกิดว่าในนั้นมันมีอะไรแปลกปลอมขึ้นมาจริงๆ ป่านนี้คงไม่ได้เอามาเก็บไว้ที่นี่หรอก” เขาพูดอย่างอับจนหนทาง “ต่อให้ก่อนหน้านี้ฉันจะไม่เชื่อเรื่องลี้ลับอะไรพวกนี้ แต่ว่าตอนนี้…”
ลู่ชิงจิ่ว “ตอนนี้?”
หูซู่ “ตอนนี้ฉันกำลังวิจัยเรื่องลี้ลับอยู่”
ลู่ชิงจิ่ว “หืม…?”
หูซู่อธิบายให้ลู่ชิงจิ่วฟังต่ออีกว่าทุกปรากฏการณ์ลี้ลับที่จริงแล้วสามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างเช่นสนมเทพสายฝนแท้จริงแล้วก็แค่เป็นอีกสปีชี่ส์หนึ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่จำพวกมนุษย์ แต่โดยพฤตินัยก็ถือว่ามีตัวตนอยู่จริง
ทฤษฎีที่ว่ามานี้เล่นเอาลู่ชิงจิ่วยิ่งฟังยิ่งงง เขาเงียบอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยเอ่ยถามไปว่า “ถ้างั้นเรื่องไหใบนี้จะอธิบายยังไงเหรอครับ”
หูซู่มองไปที่ไหใบนั้น ด้วยความที่ตัวยืนห่างจากของกลางค่อนข้างไกล แต่เพราะภาระหน้าที่เขาจึงต้องทำใจดีสู้เสือเดินไปที่ข้างๆ ไหใบนั้นและก้มมองดูข้างในอย่างระแวดระวัง เมื่อมั่นใจแล้วว่าข้างในไม่มีสิ่งแปลกปลอม เขาก็หยิบขึ้นมาพลิกกลับไปกลับมาและเขย่าๆ “เห็นมั้ย…บอกแล้วว่าข้างในมันไม่มีอะไร”
ข้างในไหโล่งกลวงไม่มีอะไรหล่นออกมา ทว่าผังจื่อฉีที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เฮ้ย รีบวางมันลงเถอะ”
หูซู่มีสีหน้างุนงง “เอ๊ะ ทำไมล่ะ”
“โธ่เอ๊ย รีบวางมันลงซะ!!!” ผังจื่อฉีขึ้นเสียง “ข้างในมีอะไรบางอย่าง!”
หลังจากที่ผังจื่อฉีพูดจบ สายตาของหูซู่ก็เหลือบไปเห็นตาสีเขียวคู่หนึ่งเพ่งเล็งมาที่ตัวเขาจากข้างในไหใบนั้น
“เฮ้ย” หูซู่ตะโกนออกมาด้วยความตกใจสุดขีด ทันทีที่เขาปล่อยมือไหก็ร่วงหล่นพื้น และทันทีที่ไหหล่นลงถึงพื้นมือขาวซีดคู่หนึ่งก็ตะเกียกตะกายยื่นออกมา และคลานหนีออกไปที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว
ทุกคนกำลังยืนอึ้งกับเหตุการณ์ที่เห็นตรงหน้า ต่างคนต่างพูดอะไรไม่ออก ไป๋เยวี่ยหูซึ่งยืนรออยู่หน้าประตูอย่างสงบนิ่งยื่นขาออกไปเตะที่ไหตรงๆ
ไหที่ร่วงลงไปอยู่ที่พื้นกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่รอบหนึ่ง จนมือสีขาวคู่นั้นหดกลับเข้าไปข้างในเหมือนเดิม และประจวบเหมาะกับที่ไหใบนั้นกลิ้งไปอยู่ที่ข้างเท้าของลู่ชิงจิ่ว เขาชะเง้อไปมองอีกครั้ง พบว่าข้างในมีเพียงความมืดมิดอันว่างเปล่า มือที่ยื่นออกมาคู่นั้นตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว ไหกลับมามีสภาพโล่งๆ ตามเคย
สายตาของทุกคนต่างจ้องไปที่ไหใบนั้น
“นี่…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย” อิ่นสวินถามด้วยความสั่นกลัว
ลู่ชิงจิ่วกำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าไหเปล่าๆ ที่ล้มอยู่บนพื้นกลับมีเสียงเหมือนฟ้าร้องดังออกมา และครั้งนี้เสียงของมันมาดังอยู่ที่ข้างหูของเขา ดังถึงขนาดที่ทำให้ใครหลายคนถึงกับมึนหัวตาลาย
ลู่ชิงจิ่วอุดหูของตัวเองที่กำลังได้ยินเสียงสั่นสะเทือน “นี่มันอะไรกันเนี่ย”
ไป๋เยวี่ยหู “นี่ฉันก็เพิ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก”
ลู่ชิงจิ่ว “หืม?”
ไป๋เยวี่ยหูก้มตัวลงแล้วหยิบไหใบนั้นขึ้นมา ทันทีที่มันมาอยู่บนมือของเขา ไหใบนั้นก็สั่นไม่หยุดราวกับว่ากำลังหวาดกลัวอยู่ ไป๋เยวี่ยหูจ้องมองอยู่สักพักแล้วจึงสรุปออกมา “น่าจะเป็นพวกปีศาจตัวเล็กที่สิงอยู่ในนี้”
ลู่ชิงจิ่ว “ปีศาจงั้นเหรอ แล้วเสียงฟ้าร้องเมื่อกี้ล่ะ นั่นคือวิธีการโจมตีของมันเหรอ”
หลายคนตอนนี้กำลังหน้าตาเคร่งเครียด ถ้าตามที่หูซู่บอกเอาไว้ ก่อนหน้าไหใบนี้ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ประหลาด จนเมื่อมันมาอยู่ที่สถานีตำรวจถึงค่อยได้ยินเสียงฟ้าร้อง
ไป๋เยวี่ยหูยื่นมือล้วงเข้าไปในไห แต่ถูกหูซู่ขวางไว้ก่อนเพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้น ทว่าผังจื่อฉีที่อยู่ข้างๆ กลับห้ามหูซู่อีกที เขาส่งสายตาเพื่อบอกหูซู่ว่าไป๋เยวี่ยหูไม่ใช่คนธรรมดา ปล่อยเขาจัดการไปเถอะ หูซู่ที่รู้แบบนั้นแล้วก็ปล่อยให้ไป๋เยวี่ยหูจัดการต่อไป
มือของไป๋เยวี่ยหูล้วงเข้าไปสัมผัสสิ่งที่อยู่ในไห และเมื่อดึงมือออกมาก็พบของเหลวลักษณะโปร่งแสงที่ดูไปแล้วไม่ต่างจากน้ำเปล่าธรรมดาเกาะติดมากับมือของเขาด้วย เขายกมือขึ้นมาดมกลิ่น จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
ลู่ชิงจิ่วคิดว่าน้ำนั่นต้องมีปัญหาอะไรอย่างแน่นอน เขาจึงรีบหยิบทิชชูออกมาเช็ดทำความสะอาดมือของไป๋เยวี่ยหูทันที
ลู่ชิงจิ่ว “นี่มันคือน้ำอะไรเหรอ”
ไป๋เยวี่ยหู “ดูแล้วน่าจะเป็น…”
ลู่ชิงจิ่ว “เป็น?”
ไป๋เยวี่ยหูพูดต่อ “น่าจะเป็นน้ำตาของปีศาจน่ะ”
ลู่ชิงจิ่ว “…”
ทุกคนเงียบกันอยู่สักพัก แล้วหูซู่ก็พูดติดอ่างขึ้นมาว่า “นะ…นะ…น้ำ…น้ำตางั้นเรอะ หมายความว่าไหนี่มันร้องไห้งั้นเหรอ”
ไป๋เยวี่ยหูพูด “ดูเหมือนจะใช่”
อิ่นสวินรู้สึกไม่อยากจะเชื่อกับเหตุการณ์นี้ “แปลว่าเสียงฟ้าร้องเมื่อกี้คือเสียงร้องไห้เหรอ”
ไหใบนั้นราวกับว่าจะขานรับกับคำพูดของอิ่นสวิน คราวนี้มันส่งเสียงดังสนั่นอีกครั้งจนคนแทบจะหูหนวก ซึ่งทั้งนี้ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดเปลี่ยนใจอะไรขึ้นมา เพราะลู่ชิงจิ่วที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องในรอบนี้กลับสัมผัสได้ถึงอาการของคนที่กำลังร้องไห้ ตอนแรกฟังเหมือนเสียงคำรามน่ากลัวจนชวนให้ขนลุกซู่ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนเป็นเสียงร้องไห้อย่างหมดอาลัยตายอยาก
“มันกำลังร้องไห้เรื่องอะไรเหรอ” หูซู่เสียงสั่น
“นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าก่อนหน้านี้มันไม่เคยส่งเสียงอะไรเลย นี่มันเพิ่งร้องไห้เป็นครั้งแรก” อิ่นสวินตอบ
“ใช่ แล้วยังไงต่อ” หูซู่ถาม
“ก็นายไปแยกเขาออกมาจากครอบครัว แถมยังเอามาขังไว้ที่สถานีตำรวจอีก แบบนี้จะไม่ให้ร้องไห้ได้ยังไง” อิ่นสวินอธิบาย
หูซู่ “…”
ผังจื่อฉี “…”
ที่อิ่นสวินพูดมาถือว่ามีเหตุผล พวกเขานิ่งไปชั่วขณะโดยที่ไม่รู้ว่าจะเถียงอะไรได้อีก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 01 ธ.ค. 65